ร้านโจ๊กแถวอันกุก

โจ๊กร้านนี้จืดเชียว แต่เพราะเสิร์ฟพร้อมกับกิมจิเป็นเครื่องเคียงเลยพอมีรสชาติขึ้น เราเองไม่เคยทานโจ๊กเกาหลีร้านที่เค้าว่าเด็ดๆกันเลยไม่มั่นใจว่าโจ๊กร้านอื่นจะจืดอย่างนี้ไหม ส่วนพนักงานใจดี๊ใจดี แถมร้านนอกจากจะน่ารัก ห้องน้ำสะอาด (ลองใช้มาแล้ว) แล้วยังบริการเครื่องดื่มฟรีสำหรับผู้ที่ทานโจ๊กด้วย

Direction : ลงสถานีรถไฟอันกุก (Anguk) ออกทางออกที่ 1 เลี้ยวเข้าซอยที่มี Starbucks อยู่ด้านหน้า เดินเลยร้านขายของชำไปร้านตั้งอยู่ซ้ายมือ

20130316-190205.jpg

20130316-192221.jpg

20130316-192245.jpg

20130316-192518.jpg

IB Ville

ที่พักสะอาด มีอาหารเช้าเป็นขนมปังและชา กาแฟ อินเตอร์เน็ตฟรี ราคาค่อนข้างสูง เดินขึ้นเขานิดหน่อย แต่เพราะเป็นทางเดินไปเคเบิลขึ้นนัมซานและ N Seoul Tower ก็เลยไปเปลี่ยว สะดวกเพราะเดินข้ามถนนไปก็มยองดงแล้วค่ะ พนักงานเหมือนจะดุแต่จริงๆแล้วใจดีค่ะ ช่วยเหลือเราตลอดตั้งแต่คราวที่แล้วคือจองทัวร์ไป DMZ และ JSA ให้ คราวนี้ก็ช่วยเรื่องติ่งๆ (ไว้จะเล่าให้ฟังในวันถัดๆไป)

Direction :
ลงสถานีรถไฟมยองดง (Myeongdong) ออกทางออกที่ 2 หรือ 3 เดินไปทาง Pacific Hotel เดินขึ้นเนินเบาๆไปประมาณ 200 เมตรนะคะ

 
20130316-184953.jpg

Website :
http://www.ibville.com/accomodations.htm
http://www.facebook.com/ibville

Anguk Guesthouse

Direction :
ลงสถานีรถไฟอันกุก (Anguk) ออกทางออกที่ 1 เลี้ยวเข้าซอยที่มี Starbucks อยู่ด้านหน้า ขวามือจะมีร้านขายของชำ เลี้ยวขวามือแรก ถ้าไม่มั่นใจสังเกตป้าย avecmoi ที่ตึกตรงทางแยก พอเลี้ยวไปจะมีเสาไฟฟ้าใหญ่ๆและร้านอาหารทางซ้ายมือ ให้เดินเข้าไปในซอยนั้น ที่สุดทางเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดนึงในซอยเล็กๆจะเห็นป้ายอันกุกเกสท์เฮาส์ (Anguk Guesthouse) แล้วค่ะ

20130316-184708.jpg

Website :
http://www.anguk-house.com

1.

กางปีกบิน…และก้าวขาเดิน

ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาอาหารเช้าบนเครื่องแล้วค่ะ กินเสร็จนอนต่ออีกเพราะพอจะรู้ว่าอนาคตจะใช้พลังงานเกิน เพราะฉะนั้นชาร์จได้ชาร์จเลยเต็มที่ มาเริ่มตื่นเอาก็ตอนที่เครื่องใกล้จะลงจอดเราก็จัดการเตรียมตัวเช็คของนั่นนี่ให้พร้อม ด้วยความที่ KE แสนใจดีมี USB Port ไว้ทุกที่นั่งเราก็จัดการชาร์จแบตมือถือไปด้วย (แต่ปิดเครื่องนะคะ เพราะเราเป็นคนดี .. เปล่า จริงๆแล้วเพราะเปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ต่างหาก) ตอนเครื่องลงแบตเลยเต็มทั้งคนทั้งมือถือเลย เย้!

พอเครื่องลงปุ๊บก็เดินตรงดิ่งไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างรวดเร็วด้วยความที่ไม่อยากต่อแถวนาน ไม่มีการบอกลาคนข้างๆ ไม่มีการทักคนที่นั่งข้างหลังใดๆทั้งสิ้น แต่สุดท้ายก็มารอกระเป๋านานแทน -__-” แผนการในวันนี้ง่ายๆคือเอากระเป๋าไปโยนไว้ที่ที่พักแถวมยองดง (Myeongdong) ก่อนแล้วก็หอบกระเป๋าใบน้อยไปเช็คอินที่ที่พักแถบอันกุก (Anguk) ที่เราจะไปพักสองคืน เดินเล่นแถมซัมชองดง (Samcheongdong) แล้วก็ไปดูละครเวที Legally Blonde ที่เจสสิก้าเล่น ส่วนทำไมเราไม่พักที่เดียวกันตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่เกาหลีก็เพราะเลื่อนตั๋วมาเร็วขึ้นสองวันนั่นแหละค่ะ ที่พักที่จองไว้ตอนแรกไม่ว่างสองคืนนั้นเป๊ะ มีว่างแค่ห้องสำหรับสี่คนซึ่ง….ใหญ่ไปถ้าจะนอนคนเดียว เราก็เลยถือโอกาสนี้ลองเปลี่ยนที่พักเป็นแถวอันกุกดูบ้าง

สำหรับอากาศสององศาวันนี้พอทนไหว ไม่โหดร้ายอย่างที่คิด เกาหลีต้อนรับเราได้ใจดีมากจริงๆ คิดดูว่าดีใจถึงขนาดอีเมล์บอกแม่ที่จะมาเที่ยวอีกสัปดาห์ข้างหน้าว่าหนาวแบบรับไหว แต่วันข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่อาจทราบได้ เพราะจากพยากรณ์อากาศนี่ -15 คนที่เดินผ่านตู้แช่ในซุปเปอร์มาเก็ตแล้วจามไม่หยุดอย่างเราคิดก็สยองแล้วค่ะ ㅠㅠ

จากอินชอนเรานั่งรถลีมูซีนบัสจากเข้าเมือง ไม่ต้องบอกคงรู้ว่าสิ่งที่เราทำตอนอยู่บนรถก็คือ”นอน” เก็บสแปร์เซฟพลังชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตื่นมาอีกทีก็ช่วงใกล้จะเข้าโซลพอดี ไม่นานนักก็ถึงมยองดงย่านถนัด ด้วยความที่เซ่อซ่าไม่รู้ว่ามีที่ให้ข้ามถนนข้างบนเพราะปกติก็ข้ามโดยใช้ทางเดินของสถานีรถไฟใต้ดิน คราวนี้เราเลยใช้สถานีรถไฟใต้ดินนั่นล่ะเป็นทางข้ามเหมือนปกติ แต่ผิดกันนิดหน่อยที่ต้องแบกกระเป๋าสิบกว่าโลขึ้นๆลงๆด้วย ถึกเป็นบ้าเลยค่ะ ใครก็ไม่รู้ -__-” มุดใต้ดินเดินขึ้นเขาแค่นี้ก็ถึงแล้วค่ะ ที่พักของเรา IB Ville

หลังจากจัดการชำระเงินค่าห้องที่จะพักในอีกสองวันข้างหน้า จัดกระเป๋าใบน้อย ฝากกระเป๋าใบใหญ่เสร็จสิ้น แล้วเราก็พร้อมแล้วค่ะ พร้อมออกจากที่พักแถบมยองดงไปโยนของไว้ที่ที่พักแถวย่านอันกุกเพื่อเริ่มต้นเที่ยวจริงๆเสียที ความบันเทิงแรกของเราในวันนี้ก็คือ .. กระเป๋าใบน้อยขาดค่ะ ต้องอธิบายย้อนกลับไปว่าตอนหยิบมาเราก็ไม่ได้ดูละเอียด แค่หยิบถุงผ้าที่เบาๆและไม่หนักมาเพราะว่าก็แค่ใส่ของใช้จำเป็นแค่ไม่กี่วันเท่านั้น จับยัดใส่กระเป๋าเดินทางเรียบร้อย จนมาถึงและจัดกระเป๋านั่นแหละก็เลยได้รู้ว่ากรุพลาดไปเยอะทีเดียว แต่เพราะกระเป๋าเองยังใส่ของได้และก็ยังเช้าอยู่พอสมควร ร้านค้ายังไม่ค่อยเปิด เราเองก็ไม่อยากเสียเวลามากนัก วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเราคือเดินระวังๆไม่ให้ขาดเพิ่ม แค่เริ่มวันก็สนุกแล้วใช่ไหมล่ะ -__-”

จากมยองดงมาอันกุกใช้เวลาปุ๊บเดียวเท่านั้นเอง ที่พักเราเองก็เดินไม่ไกลจากสถานีอันกุก เกสท์เฮาส์นี้เป็นเกสท์เฮาส์บ้านโบราณค่ะ ตอนจองห้องเจ้าของไม่ได้ให้โอนเงินมัดจำไปให้ แต่มีอีเมล์ยืนยันเรียบร้อยโดยที่ในอีเมล์บอกว่าให้โทรมาหาตอนที่เดินทางมาถึงแอร์พอร์ทแล้ว ด้วยปกติพักมากี่ที่ไม่เคยต้องโทรบอก เราก็เลยไม่ได้โทรไป กลับกลายเป็นว่าเราประหลาดใจเสียเองเพราะ….ไปถึงเรียบร้อยแล้วแต่ประตูบ้านปิดสนิท ไม่ว่าเคาะประตูหรือกดกริ่งยังไงก็ไม่มีใครออกมาเปิดให้ ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าคงยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน แล้วไม่เห็นบอกเลยว่าจะต้องเช็คอินกี่โมง ก็เลยตัดสินใจว่าต้องไปหาของกินและที่อุ่นๆก่อน เราเลยเดินย้อนกลับมานั่งทานโจ๊กที่ร้านใกล้ๆตรงนั้นเอง (แอบเห็นตอนที่เดินไปเกสท์เฮาสท์ ความจำดีมากพอเป็นเรื่องอาหาร ><) ติดต่อคุณเจ้าของอยู่พักใหญ่สุดท้ายก็สำเร็จ คุณเจ้าของบอกว่าเวลาเช็คอินที่เค้าจะจัดการทำความสะอาดห้องให้เสร็จคือบ่ายสองโมง เราเลยตัดสินใจฆ่าเวลาโดยการเดินเล่นซัมชองดงทั้งๆที่เดินถือถุงผ้าสีชมพูนั่นละค่ะ

เดินๆเล่นดูนั่นดูนี่เรื่อยเปื่อยกะว่าจะวนๆให้ครบรอบแต่พอเดินไปกลับเจอคนประมาณ 20-30 คนกำลังชุมนุมประท้วงโดยมีนายตำรวจเกาหลียืนคุมเชิง ทำเอาเดินไม่เป็นเลยค่ะ หันรีหันขวางเดินไปเดินมาอยู่พักนึงก่อนที่จะตัดสินใจเลาะๆกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วก็เดินต่อไป เดินจนเมื่อยแถมฝนก็ตกแล้วก็ยังไม่บ่ายสอง ㅠㅠ สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินกลับไปนั่งหลบหนาวที่สถานีรถไฟอันกุกแล้วก็ไปใช้ห้องน้ำด้วย ㅜㅜ

ความทรงจำของเรากับห้องน้ำที่สถานีรถไฟฟ้าอันกุกไม่ใช่เดินไกลหรือห้องน้ำสกปรกหรืออย่างไร ไม่ใช่ค่ะ แต่เป็นความป้ำๆเป๋อๆของเราเองที่เปิดน้ำเย็นล้างมือ แว๊บนั้นเย็บยะเยือกไปวูบนึงแต่ก็คิดว่าเอาน่ะ เดี๋ยวเป่าๆกับเครื่องเป่าลมอุ่นเดี๋ยวก็หายหนาว มือก็ยื่นไปที่เครื่องเป่าลม ฟู่เดียว…….แข็ง มันไม่ใช่ลมร้อนแต่เป็นลมเย็นได้อีก พอสมองกลับมาฟังก์ชั่นใหม่อีกครั้งหลังจากที่ชาไปสามวินาทีก็เห็นที่เค้าแปะไว้ Feel Fresh Air รู้ตัวช้านะเรา ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ

20130316-181931.jpg

เริ่มตามล่า…

บ่ายสองปุ๊บวิ่งรี่ไปเช็คอินปั๊บ เจ้าของเกสท์เฮาส์ขอโทษขอโพยใหญ่ที่ให้เช็คอินช้าเพราะทำห้องไม่ทัน เขาแนะนำนั่นนี่เสร็จ เราก็โยนของแล้วออกเดินจากบ้านทันทีค่ะ ซัมชองดงก็เดินไปเรียบร้อยตามที่ตั้งใจไว้ เราก็เลยจะไปหาซื้อ CD I Got A Boy ไว้เผื่อเข้าไลฟ์วันต่อๆไป แถมสบโอกาสใกล้วันแฟนไซน์เลยว่าจะไปดูลาดเลาสถานที่จัดแฟนไซน์ทั้งสองวันและซื้อ CD ลุ้นไซน์นิดๆหน่อยๆพอหอมปากหอมคอ แน่นอนว่าในใจที่จะซื้อคือ CD น้องซอสำหรับตัวเอง CD ที่เพื่อนฝากซื้อ และอาจจะซื้อปกรวมอีกซักแผ่น ตัดสินใจได้ดังนั้นเราก็ออกเดินทางไปที่แรกที่จะสำรวจ .. Hot Track Time Square ไม่มี I Got A Boy หน้าปกน้องซอ อะไม่เป็นไร ซื้อที่คนอื่นฝากซื้อมาก่อนแล้วก็เดินสำรวจสถานที่ก่อนมุ่งหน้าหาน้องซอที่ร้านถัดไป .. ร้านที่สอง Evan Record Coex ไม่มี ณ จุดนั้นเริ่มสงสัยว่านี่ทำมาน้อยหรือเราไม่มีดวงกันแน่ แต่ก็เอาน่า เราซื้อ CD รวมไว้เอาเข้าไลฟ์ไปแล้ว ไว้ตามล่าน้องซอต่อวันพรุ่งนี้ วันนี้พักไว้ก่อนเพราะเรามีภารกิจมิชชั่นคือดู Legally Blonde ><

การดูสิก วูดส์วันนั้นเราเริ่มจากความหิวโหย เพราะโจ๊กเมื่อเช้าย่อยไปหมดแล้ว ㅠㅠ หิวมาก แต่พอเจอสิก้าเท่านั้น อาการหิว อาการง่วง เพลีย หมดแรง หายเป็นปลิดทิ้ง พอพักก็หิวใหม่ แล้วพอสิก้าเล่นครึ่งหลังก็ลืมไปอีกรอบนึง นี่มันคือเรื่องบ้าอะไรของกระเพาะเรากันแน่คะ! ทำไมถึงแปรผกผันตามสิก้าได้ขนาดนี้ เราดูละครเวทีด้วยความสนุกสนานเต็มที่ สิก้าตัวเล็กและปกติจะแรงน้อยแต่เหมือนกับเธอให้พลังในทุกๆฉากที่แสดง เป็นเอลล์ วูดส์ที่น่ารัก น่าหยิก ดูแล้วต้องยิ้มตามเลยล่ะค่ะ อาจจะเป็นเพราะมิวสิคคัลดัดแปลงมาจากหนังที่เราเคยดูเลยทำให้สามารถดูเข้าใจ สนุกแบบที่หัวเราะขำและอินในช่วงเศร้าทั้งๆที่เราฟังพูดอ่านเขียนภาษาเกาหลีไม่ได้ ได้แค่ประโยคพื้นฐานหรือที่ได้ยินบ่อยๆ นี่แหละนะตัวอย่างของการสื่อสารโดยอวจนภาษา Oh! My God~

เราดูละครจบด้วยความอิ่มเอมเปรมปรีด์ แต่เราไม่ได้ไปส่งสิก้ากลับตรงที่ขึ้นรถหรอกนะคะ เรากลัวว่ารถไฟจะหมดก่อนเพราะมันจะลำบากมากทีเดียว อันกุกเองก็ไกลจาก Coex คนละโยชน์ขนาดนี้ ระหว่างทางที่นั่งเราเองก็พยายามบอกตัวเองตลอดๆว่า "อย่านั่งเลยนะ อย่านั่งเลยนะ" แต่เหมือนกับจะไม่เป็นผล เรานั่งรถไฟเลยตอนห้าทุ่มกว่าจะเที่ยงคืน ชั่วโมงนั้นภาวนาอย่างเดียวว่าขอให้รถไฟเที่ยวสุดท้ายยังไม่ผ่านไป ขอให้ยังมีรถไฟให้เรานั่งกลับไปอันกุกด้วย มือก็กดแอพรถไฟเกาหลีเช็ค สมองสั่งการไปแล้วว่าถ้าแอพบอกว่าขบวนสุดท้ายผ่านไปแล้วเราจะยอมเดินจากกวางฮวามุนกลับอันกุกเพราะมันก็แค่สถานีเดียวเอง เราเองก็เคยเดินมาก่อน แต่โชคดีว่ายังมีรถไฟมาเราเลยไม่ต้องใช้แผนการสุดท้าย เรานั่งรถไฟย้อนมาหนึ่งสถานี เดินข้ามไปซื้อของกุบกิบที่ G25 แล้วก็เดินกลับเข้าที่พัก

20130316-181945.jpg

ที่พักที่อันกุกของเราน่ารักมากค่ะ เป็นบ้านโบราณที่แบ่งห้องให้เช่าพัก ห้องเรามีห้องน้ำในตัวด้วย น่าแปลกคือด้านในบ้านอุ่นแต่แค่เปิดประตูมาก็หนาวฟู่ แต่อย่างนึงที่เราไม่ค่อยชอบที่พักแถวนี้คือย่านนี้ดึกๆแล้วมืดมาก มีคนเมาเดินเต็มถนนเลยค่ะ วันนี้วันแรกเราเจอคนเมานั่งหลับอยู่ข้างๆบนรถไฟฟ้า พอออกมาในสถานีก็เจอคุณลุงเมาๆทักอีก นอยแตกสุดๆทั้งๆที่ก็รู้ว่าไม่ได้อันตรายอะไรแต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี

การเริ่มเที่ยวของเราแค่วันแรกก็ป่วนๆแล้ว ไม่รู้กว่าจะจบทริปนี้จะป่วนป่วงป่วยไปถึงไหนเนอะ ㅋㅋㅋ

“กุยเซี่ยน”

“กุยเซี่ยน!”

เสียงเรียกชื่อเขาเข้มขึ้นจนเสียงหวานๆนั่นแทบจะกลายเป็นเสียงตะโกน แต่ชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศยังคงไม่ไหวติง ดวงหน้าที่เคยขี้เล่นบัดนี้ดูเคร่งขรึม มือทั้งสองชี้ไปในอากาศในขณะที่ตาสีน้ำตาลเข้มจดจ้องไปที่ภาพหน้าที่ฉายขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ท่าอย่างนี้คงไม่พ้น .. เล่นสตาร์คราฟ!

ร่างโปร่งบางและเกือบจะโปร่งแสงทำหน้ามู่อย่างขัดใจ ก่อนไปปรากฎตัวอยู่ข้างกายเขา เธอป้องสองมือน้อยไว้ข้างหูแล้วตะโกนใส่จนสุดเสียง “กุยเซี่ยน!!!”

เดวิลหนุ่มสะดุ้งจนตีลังกาไปนอนอยู่ที่พื้นจนเกือบจะกระเด็นตกไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆขาว ดวงตาสีน้ำตาลมองนางฟ้าตัวน้อยในชุดเดรสสั้นระบายสีขาวทั้งตัวอย่างขัดใจ เดวิลกุยเซี่ยนโปรดปรานการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะเกมสตาร์คราฟ หากสวรรค์ไม่มีสตาร์คราฟก็เป็นไปได้ว่ากุยเซี่ยนคงขอไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์เพื่อให้ได้เล่นเกมนี้ กุยเซี่ยนเดวิลขี้เล่นแสนเกรียนจะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้จริงจังเวลาเล่นเกมทุกครั้งและจะขัดใจขั้นสุดหากมีคนมารบกวนเขาในเวลาแห่งความเป็นจริง(?)เช่นนี้

“ซูเซี่ยน! ไม่ห็นเหรอะว่่าว่าเค้าทำอะไรอยู่” เสียงทุ้มระเบิดออกมาด้วยความขัดใจ ผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเหมือนทุกครั้งที่เขาหงุดหงิด

“เค้าเรียกเสียงเบาตั้งหลายทีแล้ว ตัวไม่ได้ยินเอง” นางฟ้าลอยตัวออกห่างเขาแล้วพูดต่อ “ก่อนจะโวยใส่เค้า ตัวไปดูภารกิจของตัวก่อนเหอะ”

สิ้นคำร่างสวยก็หายตัวปุ๊บก่อนจะไปปรากฎตัวนั่งห้อยเท้าสบายอกสบายใจอยู่บนดวงจันทร์ที่อยู่ไม่ไกลนัก หากเอื้อมมือคว้าก็คงเอื้อมถึง .. บ้านหลังนี้ใกล้ดวงจันทร์ดีจริงๆ

ส่วนเจ้าเดวิลเมื่อได้ยินคำกล่าวของนางฟ้าช่างเจรจาก็ผุดลุกขึ้นมามองไปยังโลกมนุษย์พร้อมกับเริ่มร่ายมนต์ เดวิลอย่างเขาได้ภารกิจให้ทำโทษคนเกเรมากมายจนแทบจะไม่ซ้ำกัน หากแต่กุยเซี่ยนก็ชอบงานแบบนี้มากกว่าจะเป็นเทวดาผู้พิทักษ์อย่างหญิงสาวที่วันทั้งวันต้องตามติดนั่งเฝ้าอยู่กับคนคนเดียว

“ฟู่ว์~ เกือบไปแล้ว” กุยเซี่ยนถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น เกือบจะไม่ทันแท้ๆหากนางฟ้าซูเซี่ยนไม่เรียกไว้ ไม่งั้นเขาคงโดนผู้คุมกฎแทแทร่ายมนต์งานงอกใส่เพื่อทำโทษเหมือนครั้งที่แล้วเป็นแน่ แล้วภารกิจของเขาก็จะเพิ่มเป็นเท่าตัว .. แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

“ขอบคุณมากนะ ซูเซี่ยน” เสียงหญิงสาวพูดขึ้นหวานราวกับเสียงดนตรีต่างกับเมื่อครู่ “ตัวต้องพูดกับเค้าแบบนี้”

“ขอบคุณมาก” เขาเอ่ย

“ขอโทษนะ ซูเซี่ยน .. ตัวต้องพูดกับเค้าแบบนี้” เธอพูดต่อคราวนี้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “ไม่งั้นเค้าจะไปฟ้องพี่นางฟ้าแทแท ตัวจะต้องโดนทำโทษ .. คราวนี้เค้าจะขอพี่ร่ายมนต์งานงอกใส่ตัวเองกับมือเลย กี่บทดีนะ?”

“ก็ต้องขอโทษอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องขู่กันเลยซูเซี่ยน” เขาตอบ กุยเซี่ยนอยากจะตายอีกซักรอบที่เสียท่าให้กับเธอ

…รักน่ะก็รักหรอกนะ แต่แบบนี้มันเสียฟอร์มชะมัด

“เค้าว่าตัวควรจะเลิกเล่นเกมซักทีได้แล้ว” เธอกล่าว “ไม่งั้นอาจจะร่ายมนต์ดนตรีของเค้าใส่ตัวซักวัน”

“เค้ายังไม่บอกให้ตัวเลิกดูการ์ตูนกบครองโลกเลยนะ!” เขาย้อนโดยยกการ์ตูนประหลาดของมนุษย์ที่เธอชอบนักชอบหนามาพูดบ้าง นางฟ้าองค์นี้ชอบอะไรเพี้ยนๆ กบที่ไหนจะมาครองโลก .. ไหวรึเปล่า!

ดวงตาสีน้ำตาลมองเธอพร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจที่โต้กลับเธอได้ ซูเซี่ยนแกล้งทำแก้มป่องอย่างขัดใจเมื่อโดนย้อนกลับ แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ดวงตากลมโตมองเขาอย่างสำรวจ ร่างสูงในเสื้อยืดสีเท่ากับกางเกงยีนส์แล้วสวมทับด้วยชุดลายตารางสีแดงพับแขนขึ้นมาถึงศอกอย่างลำลอง

…หล่อบาดใจไปเลย กุยเซี่ยน

แต่ถึงอย่างนั้นนางฟ้ารูปงามกลับพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจออกไป “ตัวน่ะเป็นเดวิลภาษาอะไรกัน ทั้งตัวมีสีแดงอยู่แค่เสื้อลายสก็อตตัวนั้นน่ะ ไม่ผิดกฎสวรรค์หรือไงนะ!”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยซูเซี่ยน ตัวก็ชอบเค้าแบบนี้ไม่ใช่หรือไง” เดวิลหนุ่มตอบก่อนจะยิ้มให้เธออย่างล้อๆ เขาดีดนิ้วเปาะก่อนจะหายตัวไปปรากฎอยู่ข้างกายเธอบนดวงจันทร์แล้วประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากสวยหวานพร้อมกระซิบที่ข้างหู “เค้าขอบคุณตัวมากนะซูเซี่ยน”

Love Fight แบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำระหว่างกุยเซี่ยนและซูเซี่ยน ผลัดกันงอนผลัดกันง้อ เถียงชนะบ้างแพ้บ้าง แต่ไม่นานซักพักก็คืนดีกลับไปจี๋จ๋ากันใหม่ เหล่าเทพองค์อื่นๆที่สนิทสนมกันต่างก็เห็นจนเคยชิน บางครั้งที่ทั้งสององค์ทะเลาะจนรำคาญเพื่อนที่สนิทๆก็มีคำถามถามขึ้นมาว่าไม่เบื่อบ้างหรือไร กุยเซี่ยนก็มักจะตอบไปเรียบๆเหมือนกันทุกครั้ง “คบกันมาตั้งเป็นร้อยปี ไม่ทะเลาะกันสิน่าเบื่อ”

จะว่ากันไปนางฟ้าน้อยแสนสดใสซูเซี่ยนกับเดวิลหนุ่มรูปงามแสนเจ้าเล่ห์ต่างก็เป็นที่รู้จักในหมู่มวลเทพ เธอเป็นนางฟ้าที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ เธอสวย สง่า และน่ารักจนเป็นที่หมายปองของเหล่าเทพและเดวิลหนุ่มทั้งหลาย พวกเขาต่างก็แข่งกันเพื่อจะแย่งชิงหัวใจของเธอมาครอง ส่วนกุยเซี่ยนเป็นเดวิลผู้มีรูปโฉมงดงาม สติปัญญาหลักแหลมและความสามารถเป็นเลิศไม่เป็นรองใคร บรรดานางฟ้าและเดวิลสาวๆต่างก็หวังจะได้เป็นผู้กุมหัวใจของเขา … หากแต่เขาทั้งสองกลับมีหัวใจเดียวกัน

ดวงตากลมโตของเธอจับจ้องอยู่กับภาพมนุษย์เบื้องล่างท่ามกลางเสียงเจี้ยวจ๊าวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้บนสวรรค์ เหล่านางฟ้านางแปดองค์ต่างก็มารวมตัวกันเฝ้ารอนางฟ้าน้องเล็กอย่างซูเซี่ยนที่ยังคงไม่ยอมทิ้งความรับผิดชอบ

“เลิกงานได้แล้วมั้งซูเซี่ยน คนของเธอก็กลับถึงบ้านเรียบร้อยดีแล้วนี่”

“ใช่พักซะบ้าง … ถึงเธอจะบอกว่าเป็นนางฟ้าแล้วไม่ต้องนอนก็เถอะ”

“มาเล่นกับพี่ๆดีกว่านะ”

“เป็นน้องเล็กมาปล่อยให้พี่ๆรอได้ยังไงกัน”

เสียงจากเหล่านางฟ้าผู้พี่ทำให้เธอยอมละสายตาจากเป้าหมายในที่สุด นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนเป็นหนึ่งในนางฟ้าผู้พิทักษ์ตระกูลโจวที่แสนจะอบอุ่นและรักเสียงเพลง เธอสนิทกับนางฟ้าบรรดาศักดิ์สูงที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติอีกแปดองค์ด้วยทั้งวิ่งเล่นและช่วยเหลือกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนางฟ้าฝึกหัดจนมาถึงทุกวันนี้ .. เป็นนางฟ้าใช่จะเป็นกันง่ายๆที่ไหน เสียน้ำตาไปก็ตั้งมากกว่าจะได้เป็นนางฟ้าเต็มตัว .. ด้วยความผูกพันธ์กว่าหลายร้อยปีทำให้พวกนางสนิทสนมกันมากพอที่จะใช้คำพูดแบบสามัญชนแทนที่คำอย่างหมู่มวลเทพทั่วไปบนนี้

“พี่ว่าเธอกำลังจะได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่” นางฟ้าแทแทผู้รับหน้าที่เป็นผู้คุมกฎเป็นผู้ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสงบในสวรรค์กล่าวขึ้นกับนางฟ้ารุ่นน้อง

“เอ๊ะ” นางฟ้าผู้อ่อนเยาว์ที่สุดด้วยอายุ 510 ปีขมวดคิ้วเป็นคำถามด้วยไม่เข้าใจความหมายของนางฟ้ารุ่นพี่

“โจว ฮยอนอากำลังจะให้กำเนิดบุตรในไม่ช้า” นางฟ้าแทแทเอ่ยยิ่งทำให้นางฟ้ารุ่นน้องสับสน จะไม่สับสนได้อย่างไรในเมื่อเทพด้านการปกครองทราบเรื่องนี้ก่อนเทพจุติอย่างนางฟ้าชิกชิน

…พี่รู้ได้ยังไงนะ หรือมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

“พี่รู้ได้ยังไงคะ” ซูเซี่ยนถาม

นางฟ้าตัวเล็กผู้เริ่มเรื่องกลับปิดปากเงียบไม่พูดอะไร หน้าที่ของเธอคือการลงโทษเทพที่ทำผิดกฎ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรบอกให้ใครรู้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของเดวิลกุยเซี่ยน เดวิลคนสนิทของนางฟ้ารุ่นน้อง คราวนี้กุยเซี่ยนทำเกินไป เขากำลังติดพันเล่นเกมสตาร์คราฟในเวลาทำงาน(อีกแล้ว)เลยพลั้งมือร่ายมนต์ผิดคาถา เสียแต่ว่าครั้งนี้ผิดพลาดมากเกินไปหน่อย จากแค่ต้องร่ายมนต์ให้ภารกิจสะดุดหิมะล้มกลับพลาดจนถึงกับหิมะถล่ม เดือดร้อนและเกือบจะสิ้นชีวิตกันไปทั้งมนุษย์และเทพที่อยู่ในละแวกนั้น … เป็นเทพ ต้องเสี่ยงตายซ้ำซ้อนอย่างนี้เป็นเธอเธอก็โกรธ

“พี่รู้ก็แล้วกันน่ะ” แทแทตอบรุ่นน้องแบบเลี่ยงๆก่อนจะไปสมทบกับเพื่อนนางฟ้าที่กำลังสนุกสนานกันอยู่

ซูเซี่ยนไม่ได้ติดใจอะไรนัก เธอไปเล่นสนุกกับเหล่านางฟ้ารุ่นพี่ทั้งแปดองค์แก้เหงาเนื่องจากกุยเซี่ยนไม่มาหาเธอสองสามสัปดาห์แล้ว นานจนเธอไม่สบายใจ เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาหายไปนานขนาดนี้ ปกติแล้วเขาจะมาเล่นกับเธอเสมอไม่ว่าจะภารกิจเยอะแค่ไหน ต่อให้พี่แทแทร่ายมนต์งานงอกไปสิบบทกุยเซี่ยนก็ยังสามารถหาเวลามาพบกับเธอได้โดยที่ภารกิจไม่เสียหาย แต่นี่กลับเหมือนหายวับไปกับตา

…เกิดอะไรขึ้นกับตัวนะกุยเซี่ยน

“ซูเซี่ยน เจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์ของโจว คยูฮยอน บุตรของโจว ฮยอนอา เวลาจุติ…….” ซูเซี่ยนมองสาส์นสั่งการในมือที่ส่งเสียงตามข้อความที่ปรากฏ สติของเธอหลุดลอยไปตั้งแต่ได้รับรู้ภารกิจใหม่ทั้งๆที่ข้อความในสาส์นยังไม่จบด้วยซ้ำ มนุษย์ที่จะมาอยู่ภายใต้การดูแลของเธอคือกุยเซี่ยนแน่ๆ เธอรับรู้ได้

มือบางๆของเธอสั่นระริก สมองที่เคยประมวลผลอย่่างรวดเร็วกลับหยุดสั่งการกระทันหัน มีเพียงเสียงเบาๆเท่านั้นที่หลุดออกมาตอบกับนางฟ้าผู้พิทักษ์ฮโยยอนที่ขอทำหน้าที่เดินสาส์นแต่งตั้งนี้มาให้กับนางฟ้าน้องเล็กคนสนิทด้วยตัวเอง “ค่ะพี่ ขอบคุณมากคะที่เอาสาส์นมาให้ ฉันจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดค่ะ”

…อย่างน้อย ฉันก็ได้ดูแลเธอนะกุยเซี่ยน

ในขณะเดียวกันนางฟ้าที่เหลือต่างก็พร้อมใจกันไปรวมตัวที่บ้านของนางฟ้าแทแทเพื่อรอฟังข่าวคราวของน้องเล็กจากฮโยยอน บางก็ทอดถอนใจ บ้างก็เดินไปมาด้วยจนน่าเวียนหัว หากแต่ไม่มีใครสนใจจะตำหนิใจทั้งนั้นเพราะพวกนางอยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกันเท่าใดนัก

“พี่ว่าซูเซี่ยนจะเป็นยังไง” อิมยุน นางฟ้าอารมณ์ดีที่ดูจะหมองลงไปในวันนี้ถามพี่ๆอย่างห่วงใยในตัวน้องสาวคนเดียวของเธอ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันอิมยุน แต่พี่ก็พยายามที่สุดแล้ว โทษของกุยเซี่ยนไม่มีทางเลี่ยงได้ ยังไงเขาก็ต้องลงไปรับโทษที่โลกมนุษย์เป็นเวลาหกปีสวรรค์” แทแทอธิบายพร้อมกับทอดถอนใจ เธอลำบากใจขั้นสุดที่ต้องดูแลกรณีของกุยเซี่ยนเพราะเป็นคนสนิทของน้องสาว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ไว้ใจให้ใครมาดูแลกรณีนี้แทนด้วยเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำได้ดีกว่าตัวเธอแล้ว

“แค่นั้นก็สุดความสามารถของพี่แล้ว” แทแทเอ่ยก่อยจะทอดถอนใจ เธอไม่อยากทำแบบนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อหน้าที่ก็คือหน้าที่ .. ไม่มีทางหลีกเลี่ยง

เหล่านางฟ้าทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากันอย่างแสนอึดอัดใจ อยากช่วยแต่อับจนหนทางเสียเหลือเกินตอนนี้คงได้แต่รอฟังข่าวจากฮโยยอน ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันก็แล้วกัน

ท่ามกลางความกังวลของเหล่านางฟ้าผู้พี่ ซูเซี่ยนกลับสร้างความแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อน้องเล็กไม่มีน้ำตาแม้ซักหยด เธอเข้าใจและยอมรับคำตัดสินจากสวรรค์ เธอเฝ้าติดตามดูแลคยูฮยอนเป็นอย่างดีด้วยรู้ว่าเป็นหัวใจของเธอที่หายไป เธอใช้ชีวิตติดตามดูแลคยูฮยอนมากเสียจนโดนเหล่านางฟ้าผู้พี่ต่อว่าว่าใช้เวลาอยู่บนโลกมนุษย์มากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเฝ้าดูแลเขา บางครั้งซูเซี่ยนก็แอบจำแลงกายลงมาให้เขาเห็น

ในยามที่ทารกคยูฮยอนตื่นขึ้นกลางดึก นางฟ้ากุยเซี่ยนจะปรากฎกายขึ้นและร้องเพลงขับกล่อมจนทารกน้อยกลับไป

ในยามที่เด็กชายคยูฮยอนเล่นอยู่คนเดียว นางฟ้าผู้พิทักษ์จะจำแลงกายเป็นเด็กหญิงอายุไล่เลี่ยกันมาเล่นด้วยเสมอ

ในยามที่เขาร้องไห้ เธอจะจำแลงกายเป็นนูน่าแสนสวยมาปลอบโยน

ในยามที่เขาเริ่มเป็นหนุ่มและรู้จักความรัก ก็ไม่พ้นเธออยู่เคียงข้างในวันที่เขาอกหักจากรักครั้งแรก ซูเซี่ยนจำแลงกายเป็นเด็กหญิงที่มอบดอกไม้ให้กับเขาเพื่อเป็นกำลังใจ

เธออยู่เคียงข้างเขามาตลอดแม้เขาไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเธอ หากแต่อย่่างนั้นเธอกลับรู้สึกดีได้ดูแลเขา ได้มองเห็นเขา และได้รับรู้ความเป็นไปของเขาแบบนี้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ซูเซียนมองภาพที่ปรากฎตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่เธอหน้าที่ดูแลโจว คยูฮยอนที่เธอรู้สึกไม่ดี หญิงสาวตัดสินใจไม่พักแม้ซักนิดจนกว่าจะวางใจว่าวันนี้จะผ่านไปด้วยดี ดวงตากลมเฝ้าติดตามมองดูเขาตลอดไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ไม่เว้นแม้แต่เข้าห้องน้ำ (หะ?) จนเมื่อเหล่าพี่สาวใช้เทเลพอทตั้งวงสนทนากลุ่มขึ้นมานั่นแหละที่ทำให้นางฟ้าใจเสียอย่างซูเซี่ยนสมาธิกระจัดกระจายไปชั่วครู่ เมื่อเธอกลับมาติดตามเขาอีกครั้งกลับพบภาพรถยนต์เสียหลักหมุนคว้างอยู่กลางถนน นางฟ้าตัวน้อยดีดนิ้วเปาะหายตัวจากสวรรค์ในทันที เธอมาปรากฎกายขึ้นบนที่นั่งข้างคนขับด้านในรถฮุนไดสีขาว ก่อนจะใช้หลับตานิ่งอย่างพยายามร่ายเวทมนต์ทุกอย่างเพื่อจะหยุดมัน

รถฮุนไดสีขาวหมุนคว้างอยู่สามรอบก่อนจะพลิกคว่ำแม้ได้รับการช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถของนางฟ้าผู้พิทักษ์ หากแต่เธอมาช้าไป ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองหาผู้ชายที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอด้วยความห่วงใยและความหวังเต็มเปี่ยม .. บางทีเขาอาจจะปลอดภัย .. แต่เลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาไม่ได้บอกเธอเช่นนั้น

จากภาพที่เห็น แม้ไม่ได้เป็นหมอหญิงสาวก็สามารถบอกได้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัส ด้วยนิมิตนางฟ้าแม้จะอ่อนแรงจากการใช้พลังงานไปเมื่อครู่แต่เธอก็พอจะเห็นความหายนะข้างหน้า รถบรรทุกเบรคแตกกำลังมุ่งหน้ามาจากทิศทางตรงข้ามและกำลังจะพุ่งเข้าปะทะกับเศษเหล็กสีขาวนี้ในไม่ช้า .. ร่างโปร่งแสงหลับตาอีกครั้งก่อนจะเริ่มร่ายมนต์ทั้งน้ำตา เพียงเพื่อให้เขาปลอดภัยเธอยอมใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ นางฟ้ารูปงามใช้เวทมนต์ย้ายบุรุษผู้บาดเจ็บและสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพาหนะของเขากลับไปที่ที่พักของคยูฮยอน พร้อมกับเยียวยาชายหนุ่ม

รอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นที่ดวงหน้าสวยเมื่อเริ่มเห็นสีเลือดฝาดของชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอควรจะไปพักบ้างเช่นกัน ร่างขาวที่แสนจะรางเลือนลงทุกขณะหันกลับหลังเพื่อจะเดินทางกลับไปยังที่ของเธอ .. ก่อนที่แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างวาบขึ้นไปทั่วทั้งบ้านของโจว คยูฮยอน

ร่างของหญิงสาวนอนหมดสติอยู่บนพื้นกลับปรากฎชัดเจนขึ้น ชุดสีขาวระบายพริ้วกลับกลายเป็นเดรสสั้นสีขาวเรียบ ปีกนางฟ้าสีขาวค่อยๆหายไปกลับกลายเป็นจ้ีขนนกอยู่บนคอนางฟ้าผู้หลับไหล

เสียงลมพัดหวือเข้ามาในห้องปลุกผู้ที่นอนหลับสนิทอยู่ให้ตื่นขึ้น เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆก่อนจะกระพริบซ้ำๆเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างของเวลากลางวัน ห้องนอนสีขาวที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขรึมดูคุ้นตา หากแต่คนที่เพิ่งตื่นยังคงสับสน .. สิ่งที่เธอทำเรียกว่าหลับอย่างนั้นหรือเปล่า? .. หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตบ่งชัดถึงความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างชัดเจน ตลอดเวลา 510 ปีของการเป็นนางฟ้าซูเซี่ยนไม่เคยหลับ เธอชอบพักผ่อนด้วยวิธีอื่นไม่เหมือนเจสสิก้านางฟ้ารุ่นพี่ที่แสนจะขี้เซา ผู้มีงานอดิเรกคือการนอน

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆตัวอีกครั้งก่อนที่จะนึกได้ว่าห้องที่คุ้นตานั้นเป็นห้องของเขา ผู้ที่ิอยู่ภายใต้การดูแลของเธอ ก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างนึกขึ้นได้ .. ห้องของคยูฮยอน!

หญิงสาวรู้สึกได้ถึงมือหนาที่สัมผัสช่วงไหล่ของเธออย่างเบามือ ก่อนจะหันหน้าไปเพียงเพื่อพบว่าเจ้าของมือนั้นคือผู้ที่อยู้ภายใต้การดูแลของเธอ เขากำลังประคองเธอด้วยอาการห่วงใย .. เขาเห็นเธอ!!

“คุณบาดเจ็บอยู่ที่หน้าบ้านผม” ชายหนุ่มเปิดบทสนทนาขึ้นเมื่อเห็นแววตาสับสนระคนตกใจของคนที่เพิ่งฟื้น

เมื่อเช้าคยูฮยอนตื่นขึ้นมาตามเวลาปรกติของเขา เขารู้สึกเมื่อยล้าไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร อาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยเกินไปเพราะเมื่อคืนเขากลับถึงบ้านยังไงเขายังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนยังคงตั้งใจว่าจะไปทำงาน แต่ความตั้งใจของเขากลับถูกหยุดไว้เมื่อพบกับร่างหญิงสาวนอนหมดสติอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เขาพาเธอเข้ามาในห้องนอนของเขาก่อนจะเริ่มปฐมพยาบาลบาดแผลตามร่างกายของเธอ อีกครั้งที่เขาประหลาดใจเมื่อเข้าใกล้และได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอ เป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกสงบและอบอุ่น หอมเหมือนกับเพื่อนที่เคยมาเล่นกับเขาในวัยเด็ก เหมือนกับกลิ่นหอมจากนูน่าแสนสวย และกลิ่นของเด็กหญิงที่มาสารภาพรักกับเขา .. น่าแปลกที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงเหล่านั้นและเธอคนนี้เป็นที่สุด แม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน .. หลังจากที่เขาทำแผลให้เธอเสร็จเพียงชั่วครู่หญิงสาวก็ได้สติและทำท่าจะลุกขึ้นทั้งๆที่อ่อนแรงจนเขาต้องเข้าไปประคองนั่นแหละ ดวงตากลมโตของเธอมองเขาด้วยท่าทีตกใจราวกับเขาจะทำมิดีมิร้ายเธอก็ไม่ปาน

“คุณมีญาติหรือเพื่อนที่ไหนไหม ผมจะได้โทรตามให้เขามารับ” คยูฮยอนเอ่ยถาม

ร่างบางส่ายหัวช้าๆอย่างอับจนหนทาง นางฟ้าที่ไหนจะมีญาติเป็นมนุษย์เล่า แถมพลังของเธอตอนนี้คงหมดจนถึงขั้นติดลบเสียล่ะมั้ง มนุษย์อย่างคยูฮยอนจึงสามารถมองเห็นเธอได้อย่างนี้ ลองเทเลพอทไปหาเหล่าพี่ๆก็ไม่ประสบผล ไม่มีสัญญานยิ่งกว่าตอนที่สัญญานโทรศัพท์มือถือระบบดีแทคในเมืองไทยล่มเสียอีก

คยูฮยอนมองอาการของคนตรงหน้าอย่างประเมินก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “งั้นก็อยู่ที่นี่จนกว่าจะหายก็แล้วกัน” ในเมื่อเธอไม่พร้อมจะไปไหนและไม่มีญาติหรือเพื่อนแม้สักคน ทางที่ดีที่สุดคือดูแลเธอจนกว่าจะหายดี

คยูฮยอนเฝ้าดูแลหญิงสาวแปลกหน้าเป็นอย่างดีในขณะที่เธอก็หายวันหายคืน เขามักจะแวะกลับมาทานอาหารกลางวันกับเธอเพื่อไม่ให้เธอเหงา ส่วนเธอก็หัดทำกิจวัตรตามแบบมนุษย์ที่เธอเคยเห็นแต่ไม่เคยทำเองเสียที ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำ กินข้าว ทำความสะอาดบ้าน ซูเซียนเรียนที่จะทำมันทีละอย่าง ซึ่งมักจะผิดพลาดไปเสียทุกครั้ง เธอเอาไข่ไปใส่ในไมโครเวฟจนระเบิด อบเสื้อด้วยเตาอบอาหารเพราะอยากให้ผ้าแห้งไวๆ คยูฮยอนจะได้ใส่ แต่เสื้อกลับหดเหลือตัวจิ๋วจนเขาใส่ไม่ได้ ทุกอย่างที่นางฟ้าตกสวรรค์ทำเป็นหายนะไปเสียทั้งนั้น หากแต่คยูฮยอนกลับไม่ถือโทษ เขามักจะหัวเราะเบาๆก่อนจะจัดการหายนะเหล่านั้นแล้วจึงจัดการกับเธอ เขาสอนเธออย่างใจเย็นจนเธอค่อยๆเรียนรู้ ในช่วงที่คยูฮยอนออกไปทำงาน นางฟ้าน้อยก็จะพยายามเรียกพลังของเธอกลับคืนเพื่อติดต่อกับสวรรค์แต่ก็ไม่ประสบผลเป็นอย่างนี้ทุกวัน

วงเวียนชีวิตของนางฟ้าซูเซี่ยนดำเนินไปอย่างนี้ เธอมีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาแต่อีกใจก็กังวลเมื่อคิดว่าตนเองกำลังสูญเสียพลังและความรับผิดชอบที่มีอยู่ ซูเซี่ยนหวังเหลือเกินว่าพี่จะทราบเรื่องของเธอในเร็ววันนี้เพื่อช่วยกันหาทางแก้ไข ตอนนี้พี่ๆของเธอคงกำลังยุ่งกับภารกิจตัวเองอยู่เป็นแน่ ในเมื่อหนึ่งวันบนโลกเทียบเท่ากับเวลาเพียงชั่วครู่บนสวรรค์ เป็นไปได้ว่าคงยังไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน

จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เริ่มนานขึ้นจนคนแปลกหน้ากลายเป็นคนคุ้นเคย ความรักของชายหญิงแปลกหน้าเริ่มผูกพันกันทีละน้อย คยูฮยอนดูแลซูเซี่ยนเป็นอย่างดี ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เขาชอบดวงตาเป็นประกายใสแจ๋ว คำพูดที่ไร้พิษภัย ท่าทีที่แสนบริสุทธิ์ไม่ต่างกับเด็ก และความบ้ากฎระเบียบขั้นสุด รู้ตัวอีกทีก็กลับกลายเป็นความรักที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น

“ตัวทำอย่างนี้กับเค้าได้ยังไง” หญิงสาวโวยวายเมื่่อถูกมือหนาๆปิดตาในขณะที่กำลังง่วนอยู่หน้า วันนี้ซูเซี่ยนตั้งใจจะทำอาหารให้เขา ถึงกับไปค้นสูตรอาหารจากอินเตอร์เน็ตมาเลยทีเดียว

“ตัวนั่นแหละ ทำอย่างนี้กับเค้าได้ยังไง”เขาปล่อยมือออกจากคนตรงหน้าก่อนจะยกเสื้อที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมาชูอยู่หน้าคนที่ตัวเล็กกว่า ดวงตากลมผลุบมองพื้นทันทีอย่างรูัสึกผิด เธอใช้เวลาว่างในการทดลองทำขนม(อีกแล้ว?)ด้วยการนำผ้าที่ซักไว้มารีดให้กับเขา ครั้นเสียงกริ่งจากเตาอบดังเตือนขึ้น นางฟ้าน้อยก็ลืมตัววิ่งไปนำขนมออกมาจากเตาเพื่อชื่นชมในฝีมือของตัวเองอย่างลืมตัว เธอลืมไปเสียสนิทว่าได้ทิ้งเตารีดร้อนๆไว้กับเสื้อตัวเก่งของคยูฮยอน รู้ตัวอีกทีควันก็โขมงจะร่ายมนต์เหมือนที่เคยก็ไม่ได้จนเสื้อเชิ้ตตัวเก่งกลายเป็นรูรูปเตารีดอย่างที่เห็น ซูเซี่ยนรู้สึกผิดจับใจเหมือนทุกครั้งที่เธอทำผิดพลาด ตอนเป็นนางฟ้าเธอไม่เคยพลาดอย่างนี้เลย เพียงแค่ดีดนิ้วเปาะก็เนรมิตทุกอย่างได้

“เค้าขอโทษ เค้าแค่อยากมีส่วนช่วยให้ตัวบ้าง” เสียงที่เคยหวานใสสลดลงอย่างชัดเจน

“เค้าไม่ได้ว่า ถ้าตัวทำไม่เป็นก็ไม่เห็นเป็นไร เค้าไม่อยากให้ต้องลำบากทำในเมื่อเดี๋ยวก็มีคนมาทำความสะอาดให้” ชายหนุ่มอธิบายเมื่อเห็นอาการของหญิงสาว

“แล้วตัวจะให้เค้าทำอะไร อยู่เฉยๆก็น่าเบื่อ” เธอตอบแบบรั้นๆ

“อ่านหนังสือ เล่นดนตรี อะไรก็ได้ที่ตัวถนัด อย่างอื่นถ้าตัวอยากทำเค้าสัญญาว่าจะค่อยๆสอน……” คยูฮยอนพูดพร้อมกับลูบศรีษะของเธอเบาๆก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นแปลกๆจนเธอทำตาม

“ว้ายยย! ไหม้หมดแล้ว” ซูเซี่ยนโวยวายเมื่อหันไปเห็นวันดำขโมงออกมาจากอาหารที่ตั้งอยู่บนเตา หญิงสาวทำท่าเลิ่กลั่กหมุนตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูกจนมือหนาคว้าไหล่กลมมนแล้วดันเธอออกไปข้างๆ คยูฮยอนจัดการดับไฟแล้วโยนกระทะไปไว้บนอ่างล้างจานอย่างรวดเร็ว เขาเปิดน้ำใส่กระทะร้อนๆจนเสียงซ่าหายไปแล้วจึงหมุนปิดก่อนจะหมุนตัวกลับมาเพื่อจัดการคนตรงหน้าที่หาเรื่องปวดหัวมาให้เขาอีกแล้ว แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าสลดวูบพร้อมดวงตาหมาหงอยสิ่งเดียวที่หลุดออกมาจากปากเขาคือ

“อยากทานอาหารจีนไหมซูเซี่ยน”

เย็นวันนั้นอาหารเย็นจึงเป็นอาหารจีนแบบส่งถึงบ้าน คยูฮยอนและซูเซี่ยนจัดการอาหารเรียบไม่เหลือคราบ หลังอาหารหญิงสาวผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วไปหยิบคุ้กกี้ฝีมือตนเองเพื่อจะเอามาให้เขา แต่กลับกลายเป็นว่าคยูฮยอนย้ายมันไปวางบนชั้นสูงเพราะเกะกะการเก็บกวาดครัวเลอะเทอะด้วยฝีมือเธอ ซูเซี่ยนเขย่งจนสุดปลายมือของเธอก็ยังไม่ถึง ซูเซี่ยนรู้สึกได้ถึงร่างหนาที่ทาบทับอยู่ด้านหลังก่อนที่แขนยาวๆของเขาจะเอื้อมหยิบโหลนั้นลงมาอย่างง่ายดาย

“ซนอะไรอีกซูเซี่ยน” เขาถามพร้อมกับยื่นของในมือให้กับเธอ

“เค้าเปล่าซนนะ แค่จะเอาคุ้กกี้ไปให้ตัวกิน” เธอโต้พร้อมกับทำหน้างอใส่คนตรงหน้า แค่จะหยิบขนมก็ว่าเธอเล่นซน

…ฉันน่ะนางฟ้าอายุ 510 ปีนะ! ไม่ใช่เด็กซักหน่อย!!

“เค้าเคยกินแล้ว” ชายหนุ่มตอบกวนๆมองคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า ดวงหน้าไร้การเสริมแต่งหากแต่ผิวขาวราวกับเรืองแสงของเธอกับแก้มใสๆขึ้นสีเลือดฝาดตามธรรมชาติแลดูน่ามอง ผมสีน้ำตาลยาวตรงทิ้งตัวลงมาถึงกลางหลัง และเสื้อผ้าสีขาวที่เธอชอบนั่นทำให้เธอดูเด็กกว่าอายุที่เธอบอกเขาไว้เป็นกอง ยิ่งทำท่าแบบนี้ซูเซี่ยนเหมือนเด็ก 18 มากกว่าหญิงสาวอายุ 22 ปีด้วยซ้ำ ใช้คำว่าซนแหละเหมาะสมที่สุดแล้ว

“แต่ตัวไม่เคยกินฝีมือเค้า” เธอแย้ง มือเรียวบางปิดขวดโหลพร้อมกับยื่นไปตรงหน้าเขา

คยูฮยอนอ้าปากงับคุ้กกี้ชิ้นโตตรงหน้าก่อนจะเคี้ยว “พอใจยัง” ชายหนุ่มถามทั้งๆที่ขนมยังอยู่เต็มปาก มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอก่อนจะดึงเข้ามาใกล้จนน่าตกใจ

“อร่อยใช่ม้า~” เธอถามเขาอย่างภูมิใจ คุ้กกี้เป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ที่เธอทำสำเร็จโดยไม่พังอะไรซักอย่าง แค่ทำเสื้อไหม้ไปตัวเดียวเท่านั้นเอง หญิงสาวมัวแต่ปลาบปลื้มใจยังไม่รู้ถึงสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา

“อื้ม ก็ดี” เขาพนักหน้าแล้วนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “แต่เค้าว่าตัวอร่อยกว่า”

“ตัวรู้ได้ยังไง ตัวยังไม่เคยกินเค้าซักหน่อย” ซูเซี่ยนถามด้วยไม่ทันเล่ห์ของชายหนุ่ม เธอรู้สึกถึงริมฝีปากบางที่ทาบทับอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นตามอารมณ์

…อืมมม มนุษย์เค้ากินกันแบบนี้เหรอ เป็นผู้พิทักษ์มาตั้งหลายร้อยปีไม่ยักรู้

คยูฮยอนนำพาซูเซี่ยนไปยังดินแดนที่เธอไม่เคยไปมาก่อน หากเรียกว่าสวรรค์บนดินคงไม่ผิดนัก ที่นั่นเธอลืมทุกอย่างมีเพียงแค่เธอกับเขาและอ้อมกอดอันอบอุ่นที่กอดเธอไว้แน่นหนา เธอได้รู้สึกถึงความรู้สึกแปลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในร่างกาย ซูเซี่ยนลืมตาโพรงในความมืดด้วยความสับสนเมื่อทุกอย่างจบลง ทั้งสุขสมและกังวลใจในเวลาเดียวกัน เธอไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นแต่เธอรู้ว่าบัดนี้ความผูกพันธ์ระหว่างนางฟ้าตกสวรรค์อย่างเธอกับมนุษย์รูปงามอย่างเขามากมายจนน่าหวั่นใจ

ความสัมพันธ์ของเจ้าบ้านและผู้อาศัยแสนน่ารักแปรเปลี่ยนเป็นคนรักอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งนานวันความรักของทั้งคู่ก็ยิ่งเบ่งบานจนซูเซี่ยนลืมความพยายามของตนที่จะกลับสวรรค์ไปเสียสิ้น นางฟ้าน้อยรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ เธอได้ยินเสียงหัวใจอีกดวงที่เต้นไปพร้อมๆกับหัวใจของเธอ ด้วยความเป็นเพศแม่ เธอรู้ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร

“ตัวเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” คยูฮยอนถามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงคนรัก ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกับสีหน้าว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินมาหาเธอ มือหนาแย่งเอาแปรงหวีผมในมือเธอมาไว้ก่อนจะค่อยๆหวีผมยาวสลวยนั้นอย่างเบามือ

“เค้าเปล่าเป็นไร” เธอตอบเสียงหวาน พยายามจะปิดความกังวลไม่ให้ออกมาทางน้ำเสียง เธอลุกขึ้นหันตัวกลับไปเพื่อมองหน้าเขาแต่กลับปะทะกลับไหล่กว้างและมือหนาๆที่โอบกอดเธอไว้ ซูเซี่ยนตัดสินใจเอ่ยถาม “ถ้าเราจะมีลูก ตัวว่าจะเป็นไรไหม”

“ลูกเหรอ?” เขาถามกลับ คยูฮยอนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทนายหนุ่มโสดที่กำลังมือขึ้นอย่างเขาตั้งเป้าหมายแต่ด้านการทำงานมาตลอด เขาแทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่องครอบครัวเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแต่งงานหรือมีลูก หากนั่นเป็นเรื่องก่อนที่จะมาพบเธอ “เราจะมีลูกกันเหรอ ซูเซี่ยน” เขาเอ่ยถามพร้อมกับสีหน้ายินดีอย่างเปิดเผย

…ถึงจะไม่ได้ตั้งใจไว้ แต่ก็เป็นความบังเอิญที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ

เธอพยักหน้าเบาๆก่อนที่ร่างบางจะลอยหวือเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง เธอฝังหน้าลงบนอกเขาพร้อมกับลอบถอนหายใจเบาๆ เธอได้ยินเขาเอ่ยขอบคุณเธอครั้งแล้วครั้งเล่าที่ให้โอกาสเขาได้เป็นพ่อ ก่อนหลับตาลงคืนนั้นเธอได้ยินเขากระซิบบอกเธอเบาๆที่ข้างหู “เค้ารักตัวซูเซี่ยน เราแต่งงานกันนะ”

“ซูเซี่ยน!”

เสียงที่คุ้นหูเรียกชื่อเธอเบาๆปลุกเธอจากนิทรา ซูเซี่ยนลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาสวยมองร่างทั้งแปดที่ในที่สุดก็มาหาเธอ หญิงสาวค่อยๆพาตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาก่อนที่จะมาบรรดาพี่ๆมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่ิอไม่ให้รบกวนอีกคนที่กำลังนอนหลับอยู่

“เป็นยังไงบ้าง”

“น้องชั้นเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ไปเสียแล้ว”

“สนุกใหญ่นะเรา”

“ไหนเล่ามาซิว่าอะไรยังไง”

นางฟ้ารุ่นพี่ต่างก็แย่งคำถามถามเธอจนเธอตอบแทบจะไม่ทัน ซูเซี่ยนเล่าเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ใช้ชีวิตแบบไร้เวทมนต์ไม่ต่างกับปุถุชนทั่วไป พี่ๆต่างก็รับฟังและแสดงความห่วงใยนางฟ้าน้องเล็ก แต่ก็ยินดีที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับอดีตคนรัก เหล่านางฟ้าใช้เวลากว่าครึ่งคืนในการแลกเปลี่ยนความเป็นไป จนรุ่งสางเหล่านางฟ้าต่างก็แยกย้ายกันกลับสวรรค์ด้วยถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่และเกรงว่าเจ้าของบ้านผู้หลับไหลจะตื่นมาพบเข้าจริงๆ หากแต่นางฟ้าอีกองค์ยังคงยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน

นางฟ้าแทแท นางฟ้าตัวน้อยที่แม้จะดูท่าทางขี้เล่นน่าเอ็นดูนั้นสามารถหลอกเทพองค์อื่นให้เชื่ออย่างนั้นได้ แต่ในบรรดาหมู่นางฟ้าทั้งเก้าองค์ดีว่านางฟ้าแทแทเป็นผู้คุมกฎที่โหดขนาดไหน หากทำผิดกฎสวรรค์แล้ว แม้แต่เป็นเพื่อนสนิทกันเธอเองก็ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นว่า “ผิดต้องเป็นไปตามผิด” ให้เธอช่วยเรื่องอื่นเสียจะดีกว่า

“ซูเซี่ยน พี่ไม่รู้จะช่วยเธอยังไง” นางฟ้าผู้พี่กล่าวขึ้นเมื่อมั่นใจว่าอยู่กับซูเซี่ยนตามลำพัง “ท่านรู้และคงจะกำหนดโทษในไม่ช้า เรื่องนี้พี่คงจะช่วยเธอไม่ได้มากไปกว่านี้ นอกจากมาบอกเธอให้รู้ไว้ล่วงหน้าจะได้เตรียมตัวได้ทัน”

“ไม่เป็นไรค่ะอนนี่ ฉันเข้าใจ” ซูเซี่ยนตอบเสียงเรียบ เธอทราบดีทั้งหมด “สิ่งที่ฉันทำไป ฉันไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ฉันดีใจที่ฉันได้ใช้เวลาที่มีค่ากับกุยเซี่ยนไม่ว่าเขาจะอยู่ในร่างของใครหรือเขาจะจำฉันไม่ได้ก็ตาม”

บนโซฟาสีขาวหนานุ่มหญิงสาวหลับซุกตัวเองอยู่ในอ้อมอกอุ่นของคยูฮยอน ลมแผ่วๆที่พัดเข้ามาจากทางหน้าต่างพัดแรงขึ้นจนสิ่งของในห้องแทบจะปลิวว่อนไปทั่ว แสงสว่างจ้าส่องสว่างขึ้นกลางบ้านโจว คยูฮยอน ซูเซี่ยนลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะยืนสงบนิ่งอย่างรวดเร็วด้วยรับรู้ถึงการมาของท่านผู้ทรงอำนาจ ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงและสับสน

…นี่มันอะไรกันวะเนี่ย

“นางฟ้าซูเซียน เจ้าละเมิดกฎของสวรรค์” สุรเสียงอันทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ร่างชายกลางคนในชุดสีขาวงามสง่าปรากฎขึ้น คยูฮยอนสัมผัสได้ถึงไอของจิตเมตตาจากคนตรงหน้าจึงทำให้ความตกใจเริ่มคลายลง หากแต่ประโยคที่ได้ยินนั้นกลับสร้างความกังวลให้กับเขา .. นางฟ้า? สวรรค์? ละเมิดกฎสวรรค์? นี่เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า

“ท่านคะ ข้าขอให้กำเนิดเด็กผู้เกิดจากความรักบริสุทธิ์ของข้ากับคยูฮยอนเถอะนะคะ แล้วหลังจากนั้นข้ายินดีกลับไปรับโทษ”

คยูฮยอนหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงหวานจากคนข้างกายเอ่ยขึ้น แม้ไม่รู้ที่มาที่ไปแต่เขาพอจะเข้าใจได้รางๆ ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าเขาก็ไม่ควรจะเห็นเธอได้ (หรือควร?) หากคงมีเหตุผลกลใดที่ทำให้เธอมาปรากฎกายตรงหน้าเขา เขามองหญิงคนรัก แม้เพิ่งพบกันได้ไม่นานแต่เขาคิดว่าเขารู้จักเธอดี หญิงสาวไม่ชอบการทำผิดพลาด เธอไม่เคยทำผิดกฎแม้จะเป็นเพียงกฎเล็กน้อยๆของมนุษย์ แต่นี่นางฟ้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ เธอต้องมีเหตุผล ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเธอต้องทำความผิดอะไรมาซึ่งเขาควรจะปกป้องทั้งเธอและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา “หรือไม่อย่างนั้นก็ลงโทษผมแทนเธอเถอะครับ ให้เธอและลูกได้มีชีวิตที่ดีเถอะนะครับ”

“โจว คยูฮยอน เวลาของเจ้ายังมาไม่ถึง ด้วยสิ่งที่เจ้าทำทำให้เจ้าต้องใช้เวลาอยู่บนโลกมนุษย์อีกหลายสิบปี” เจ้าของเสียงทรงอำนาจกล่าวอย่างหนักแน่นก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวคนเดียวในที่นั้น “ส่วนนางฟ้าซูเซี่ยน เจ้าปกป้องเขานั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วสำหรับนางฟ้าผู้พิทักษ์ ความรักเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายและไม่สามารถห้ามได้ ไม่แปลกอันใดหากเจ้าจะรักและผูกพันธ์กับคนที่เจ้าดูแลเอาใจใส่คนคนนึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง .. แต่สิ่งที่สามารถห้ามได้คืออารมณ์และการกระทำของเจ้าต่างหาก”

“พวกเจ้าสามารถใช้เวลาอยู่ร่วมกับบนโลกมนุษย์จนกว่าซูเซียนจะให้กำเนิดบุตร จากนั้นนางจะต้องไปรับโทษที่สวรรค์ ส่วนเจ้าเองก็ต้องใช้เวลาที่เหลือของเจ้าในฐานะมนุษย์เช่นเดียวกัน .. เด็กที่เกิดมาจะอยู่ในการดูแลของเจ้าโจว คยูฮยอน” ท่านผู้ทรงอำนาจกล่าวอย่างเด็ดขาดก่อนจะหายตัวไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในที่สุดคยูฮยอนก็เข้าใจทุกอย่างเมื่อได้ยินคำตัดสิน คนรักของเขา แม่ของลูกที่กำลังจะเกิดมา จริงๆแล้วคือนางฟ้าผู้พิทักษ์ประจำตัวของเขา ความผิดของเธอที่ทำให้นางฟ้าผู้อยู่ในกรอบตลอดมาทำผิดใหญ่หลวงคือการที่มารักและมอบกายให้กับเขา .. ทั้งหมดเป็นเพราะเขา

ดวงตาสีน้ำตาลมองร่างบอบบางของหญิงสาวตรงหน้า ในใจอย่างจะทำลายข้าวของทุกอย่างให้สาแก่ใจเพื่อระบายความโกรธ เขาโกรธตัวเองที่เป็นต้นเหตุของปัญหา หากแต่ดวงหน้าสวยหวานนั้นกลับเงยขึ้นมองเขาพร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ทำให้เขาสงบลง

“จนกว่าลูกของเราจะเกิดมา เรามาใช้เวลาที่มีค่าที่เหลืออยู่ด้วยกันนะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับคำพร้อมกับโผเข้าหาคนตัวสูงกว่า ไม่มีน้ำตาหรือความกังวลอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้พวกเขาจะใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า … จนกว่าจะถึงวันนั้น

คยูฮยอนตัดสินใจจัดงานแต่งงานเล็กๆภายในครอบครัว เขาดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ทุกๆวันคยูฮยอนจะพาเธอไปเดินเล่นรับลมในตอนเย็น เขาบอกว่าอากาศบริสุทธิ์จะทำให้จิตใจของแม่และลูกเบิกบาน จวบจนถึงวันที่ซูเซี่ยนให้กำเนิดเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารัก เธอให้ชื่อเด็กหญิงว่าซองอึนที่แปลว่าพรจากสวรรค์ คยูฮยอนอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมแขนของเธอแล้วกับกอดหญิงสาวไว้แนบกาย ไม่ว่าจะเตรียมใจไว้แค่ไหนแต่เมื่อถึงเวลาแห่งการจากลาก็ยังใจหาย ซูเซี่ยนใช้เวลาอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของสามีอย่างต้องการซึบซับทุกความทรงจำไว้ .. อ้อมกอดแรกและคงเป็นอ้อมกอดสุดท้ายที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่และลูกน้อย

ซูเซี่ยนได้เห็นหน้าซองอึนเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะโดนพาตัวกลับสวรรค์ พรข้อสุดท้ายของเธอ เธอขอให้นางฟ้าอารมณ์ดีฮโยยอนดูแลคยูฮยอนแทนเธอ ในขณะที่คยูฮยอนเลี้ยงดูเด็กหญิงเพียงลำพังโดยรอแค่เพียงเธอ เขามักจะมองไปที่ท้องฟ้าไกลและพูดคุยราวกับจะบอกผ่านไปให้เธอได้รับรู้

…ความรักของเขาหนักแน่นราวกับหินผา ความรักของเธอบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอากาศที่หายใจ

…เขาเชื่อในความรักยิ่งใหญ่ว่าซักวันเขาและเธอจะได้กลับมาพบกัน และเขาจะรอวันนั้น จนกว่าจะหมดลมหายใจ

“ว่าอย่างไร เจสสิก้า” น้ำเสียงดังกังวานถามขึ้นเมื่อเห็นนางฟ้าแห่งความรักปรากฎกายขึ้นตรงหน้า

“ท่านคงจะไม่ใจร้ายกับทั้งคู่ใช่ไหมคะ เค้าและเธอคือคู่แท้ที่ควรจะถูกผูกกันไว้ด้วยด้ายแดง หากเป็นเช่นนี้….” นางฟ้าเจสสิก้ารวบรวมความกล้าเอ่ยถามท่านผู้ทรงอำนาจที่ใหญ่สุดของสวรรค์ ครั้งนี้นับป็นครั้งแรกที่เธอสงสัยในตัวท่าน เธอจะไม่สงสัยอื่นใดหากว่าคู่ที่ท่านตัดสินลงโทษไม่ใช่กุยเซี่ยนและซูเซี่ยน คู่รักที่ยิ่งกว่าคู่แท้ของสวรรค์กลับต้องมาพลัดพรากจากกันแบบนี้งั้นหรือ .. นางฟ้าแห่งความรักรับไม่ได้

“ข้ารู้ เจสสิก้า .. แต่ถึงอย่างนั้นกฎก็ยังคงต้องเป็นกฎ” ชายผู้สูงวัยกว่าตอบอย่างสุขุม

“แต่ท่านคะ….” เสียงแหลมสูงขัดขึ้น แต่กลับโดยหยุดโดยผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า

“ไม่มีแต่ เจสสิก้า กุยเซี่ยนทำผิดและควรได้รับบทลงโทษที่โลกมนุษย์จนถึงเวลาที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับซูเซี่ยนที่ละเมิดกฏสวรรค์ทั้งๆที่รู้ ไม่ว่าจะเป็นนางฟ้าความประพฤติดีเด่นหากทำผิดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ควรได้รับบทลงโทษเช่นเดียวกัน เจ้าไม่ว่าอย่างนั้นหรือ” เสียงทรงอำนาจยังคงกล่าวต่อ “เชื่อการตัดสินใจของข้าเถิด ข้ามั่นใจว่าความรักของกุยเซี่ยนและซูเซี่ยนจะยิ่งใหญ่และมั่นคงแม้จะยังไม่มีด้ายแดงผูกไว้ในตอนนี้ เจ้าอดทนรออีกหน่อยจนเมื่อถึงเวลา ถึงตอนนั้นข้ารับรองว่าเจ้าจะได้ดูแลความรักของเค้าทั้งคู่ .. เจ้าว่าอย่างนั้นเป็นไง”

ภายในห้องสีขาวที่เต็มไปด้วยจิตกรรมฝาผนังสีสันหลากสีโย้ไปเย้มาราวกับเป็นศิลปะแบบ Abstract ตกแต่งเครื่องเรือนขนาดเล็กสีชมพูไล่โทนตั้งแต่ชมพูอ่อนแบบ pastel ไปจนถึงชมพู shocking pink สุดจะแสบตา ตุ๊กตาและของเล่นจำนวนมากถูกวางเรียงไว้ที่มุมเล็กๆซึ่งจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นมุมให้เด็กน้อยได้เล่นอย่างสร้างสรรค์ได้เต็มที่ สีทั้งสีเทียน สีเมจิก และสีไม้วางรวมอยู่ในกล่องใบใหญ่บนโต๊ะพลาสติกขนาดจิ๋ว ไม่ไกลนักเก้าอี้ขนาดเดียวกันสองตัววางอยู่คู่กัน บนเตียงสีเสาขนาดเล็กสีชมพูดอ่อนสบายตาชายหนุ่มนอนเอนร่างสูงใหญ่เกินเตียงอยู่เคียงข้างเด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ชายหนุ่มปิดหนังสือนิทานในมือหลังจากที่เพิ่งเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ของเทพนิยายที่จบลงอย่างน่าประทับใจให้กับลูกสาวคนเดียวฟังก่อนนอนเช่นทุกวัน

“อัปป้า อมม่าอยู่ที่ไหนคะ” เด็กน้อยเอ่ยถาม ดวงตากลมโตพราวระยิบด้วยความใคร่รู้ เธอเห็นเพื่อนทุกคนมีคุณพ่อคุณแม่มาส่งอยู่บ่อยๆ แต่ตัวของเธอเองกลับไม่เคยเห็นมารดาแม้ซักครั้ง

“อมม่าอยู่บนสวรรค์ค่ะลูก” ร่างสูงใหญ่ตอบคำถามลูกสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าวันหนึ่งเธอจะต้องมีคำถามแบบนี้และเขาก็เตรียมรับมือไว้ตลอด ติดอยู่ตรงที่ว่าเขาไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้

“อัปป้า ซองอึนจะได้เจออมม่าไหมคะ” เด็กหญิงยังคงตั้งคำถามอย่างสงสัย สวรรค์ที่คุณพ่อบอกอยู่ที่ไหนกัน ไกลมากหรือเปล่า ถ้าไกลแล้วตอนนี้คุณแม่ของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง .. หากเดินทางมาที่นี่ยาก ถ้าอย่างนั้นซองอึนกับอัปป้าควรจะไปหาอมม่าแทนไหมนะ

“ต้องได้เจอสิคะ ซักวันนึงซองอึนต้องได้เจออมม่าแน่นอน” เขาตอบอย่างมั่นใจทั้งๆที่ยังไม่รู้ถึงอนาคต .. แม่ของซองอึน ภรรยาของเขา จากไปนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็ไม่เคยคิดจะหาแม่คนใหม่ให้กับลูก เขารักเธอและจะรักเธอตลอดไป เขาจะสอนให้ลูกรู้จักความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พ่อกับแม่มีให้กัน เขาจะสอนให้ลูกรู้จักความเชื่อที่แน่วแน่ของพวกเขา .. ซักวันนึงพวกเขาต้องได้พบกัน ซักวันนึงครอบครัวต้องกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง

ชายหนุ่มลุกขึ้นจัดผ้าห่มขึ้นคลุมร่างน้อยแล้วจึงหอมหน้าผากกลมมนเบาๆ เขายิ้มให้ลูกสาวอย่างอบอุ่นก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ ประตูไม้ค่อยๆปิดลงช้าๆ แสงไฟที่ลอดผ่านประตูค่อยๆหายไปคงเหลือเพียงแต่ความมืดมิด เด็กน้อยขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สองมือเล็กๆกุมอยู่ที่หน้าอกพร้อมกับเอ่ยคำอธิฐานออกมาเบาๆ

“พระเจ้าคะ ถ้าพระเจ้ามีจริง ช่วยพาอมม่ามาหาอัปป้าด้วยนะคะ”

“เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหมเฮ” เสียงหญิงสาวหวานแหลมฟังแล้วเย็นเยียบจับใจดังขึ้น “เจ้าต้องทำให้คำอธิษฐานที่โจว ซองอึนขอเป็นจริง หาคู่แท้ของโจว คยูฮยอนและผูกด้ายแดงให้กับเขา”

ร่างบางในเอ่ยขึ้น หญิงสาวใส่ชุดสีขาวพริ้วไหวราวกับต้องลมอ่อนๆ ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตาชั้นดีและผมสีบลอนด์ขับให้เธอเปล่งประกายเจิดจ้าจนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยต้องหยีตาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสีขาวบนนี้ เฮแตกต่างกับคนที่อยู่บนนี้ เขาเป็นเดวิลเกือบตลอดชีวิตของเขา เขาคุ้นชินกับชุดทำงานสีแดงแรงฤทธิ์มากกว่าชุดสีขาวสว่างของนางฟ้าที่พอสะท้อนแสงสวรรค์แล้วแสบตาเสียเหลือเกินจนเขาอยากจะหยิบแว่นกันแดดออกมาใส่ให้รู้แล้วรู้รอด .. เท่าที่เขาจำได้ 210 ปีบนนี้เขาใช้ชีวิตเป็นเดวิลคอยลงโทษพวกมนุษย์แสนเกเร ส่วนเรื่องก่อน 25 ปีก่อนที่เขาจะมาเป็นเดวิลนั้น เฮไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของความจำเลยแม้แต่น้อย เกือบตลอดชีวิตของเขาเป็นคนลงทัณฑ์ทั้งๆที่ลึกๆแล้วเขากลับอยากเป็นผู้ให้พรมากกว่า เมื่อโอกาสมาถึงเขาจึงขอร้องนางฟ้าเจสสิก้า นางฟ้าบรรดาศักดิ์สูงอายุกว่า 500 ปีให้รับเขาเข้าเป็นคิวปิด และภารกิจนี้จะเป็นภารกิจแรกของเขาในฐานะผู้ให้พร .. ชายหนุ่มผู้พร้อมด้วยใบหน้าสมบูรณ์แบบมองนางฟ้าแสนงามตรงหน้าด้วยรู้ว่าเธอมีสิ่งอื่นที่จะพูดต่อ

“เจ้าสามารถทำให้สองคนมาพบและช่วยให้เขารักกันได้ แต่มีข้อแม้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าจะไม่สามารถบังคับหรือใช้เวทมนต์พวกเขาให้รักกันหรือหมดรักกัน และห้ามเด็ดขาดที่จะใช้เวทมนต์ขัดขวางการทำงานของคิวปิดองค์อื่น” เสียงหวานๆพูดต่อ ดวงตาคู่สวยมองจรดนิ่งชายผู้มีจิตใจงดงามตรงหน้า “หากเจ้าทำได้ก่อนวาเลนไทน์ เจ้าจะได้ย้ายงานจากเดวิลมาเป็นคิวปิดฝึกหัดเต็มตัว”

เฮก้มลงมองร่างในชุดสีแดงของตัวเอง งานนี้เขาจะพลาดไม่ได้ เขาต้องหาแม่ให้ซองอึนเพื่อที่เขาจะได้เป็นคิวปิดฝึกหัดและได้เปลี่ยนยูนิฟอร์มเป็นสูทสีขาวอย่างเช่นเทพองค์อื่นบ้างคงจะดี

…คงจะเท่ไม่เบาเลยนะเรา หึหึหึ

คิวปิดทดลองงานเดินเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ในบ้านหลังเล็กอย่างใจเย็นด้วยรู้ว่าไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถเห็นร่างของเขาได้ เขาสำรวจที่ที่เขาจะต้องมาใช้เวลาอยู่ด้วยซักระยะด้วยภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ชายหนุ่มพาตัวเองเข้ามาในห้องครัวขนาดย่อยก่อนจะเปิดประตูตู้เย็นหยิบเอาแอ็ปเปิลสีแดงสดเข้ากับสีเสื้อของเขามากัดคำโต

“คุณลุง .. คุณลุงคือใครเหรอคะ เข้ามาในบ้านของซองอึนทำไม”

ร่างสูงในชุดสีแดงทั้งตัวหันมองซ้ายขวาเพื่อหาที่มาของเสียงจนพบเข้ากับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่ยืนมองเขาอยู่ด้วยแววตาฉงน เฮขัดใจลึกๆเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหญิงเรียกเขา .. ลุงงั้นเรอะ!?!?!

“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน มาเรียกฉันว่าคุณลุงได้ยังไง .. ฉันน่ะว่าที่คิวปิดเชียวนะ” เขาโวยวายเสียงดังลั่น

“คุณลุงจะเป็นคิวปิดได้ยังไงคะ คิวปิดเค้าต้องเป็นเด็กมีปีกน่ารักๆสิคะ แต่นี่ …”

“แต่อะไร” เขาขัดขึ้นทั้งๆที่เด็กหญิงยังพูดไม่ทันจบประโยคดี

“ใส่ชุดแดงอย่างกับเดวิล แบร่~!” ซองอึนกล่าวตอบอย่างไม่กลัวชายหนุ่มแปลกหน้าพร้อมกับแลบลิ้นให้เมื่อจบประโยค เท่าที่เด็กน้อยรู้คิวปิดไม่ควรจะมีรูปพรรณสันฐานแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ชุดสีแดง .. ชุดสีแดงน่ะมันของเดวิลเกเรต่างหาก

ว่าที่กามเทพฝึกหัดของขึ้นทันทีที่ได้ยินคำเรียก เดวิลงั้นเรอะ! ครั้งนี้เขามาในฐานะผู้ให้พรจะเป็นเดวิลได้ยังไงกัน!! เด็กบ้า!!! เฮนับหนึ่งถึงร้อยในใจเพื่อระงับอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดก่อนที่จะใช้เวทมนต์ในทางที่ผิดไปซะก่อน ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เฮร้องเรียกเด็กน้อยอย่างตกใจ “นี่!”

“คะ?” โจว ซองอึนรับคำอย่างเป็นคำถาม ดวงตากลมโตมองหน้าคุณลุงในชุดแดงอย่างไม่เข้าใจ ลุงเดวิลเรียกเธอ”นี่”ทำไมกัน แล้วทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย

“ว่าแต่ .. เธอเห็นฉันได้ยังไง” ชายหนุ่มในชุดแดงตั้งคำถาม มนุษย์ไม่ควรเห็นร่างของเหล่าเทพ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา นางฟ้า หรือแม้แต่เดวิลอย่างเขาไม่ใช่หรือ แต่เจ้าเด็กน้อยนี่กลับมองเห็น แถมยังโต้ตอบอย่างไม่เกรงกลัวเสียด้วย ราวกับคุ้นชินกับพวกเขาอย่างนั้นแหละ

“ซองอึนไม่ควรจะเห็นเดวิลเหรอคะ” เด็กน้อยตั้งคำถาม แก้มเล็กพองลมออกพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบ “อืมมม .. ซองอึนเจออามิน อามินใจดีช่วยสอนการบ้านซองอึนบ่อยๆ แล้วก็เจอนางฟ้าผู้พิทักษ์ฮโยยอนกับท่านฮยอกแจบ่อยๆ นางฟ้าองค์อื่นก็รู้จักบ้างเหมือนกัน แต่ซองอึนไม่ค่อยเห็นเดวิลหรอกค่ะ …. หรือซองอึนไม่ควรเห็นเดวิลนะ”

เดวิลอยากย้ายงานตนนี้อึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ตอบกลับมาเป็นคำถามของเด็กหญิงตัวจ้อย เธอรู้จักนางฟ้าผู้พิทักษ์ของทั้งตัวเอง ของบิดา และเทพองค์อื่นๆอีกด้วย คงไม่ใช่ความบังเอิญที่เด็กหญิงตรงหน้าสามารถเห็นเหล่าเทพทั้งหลายรอบตัวเธอ เขามองเธออย่างพิจารณาอีกครั้ง

…เธอคงเป็นพวกจิตบริสุทธิ์สินะ

“ช่างมันเถอะ .. ฉันแค่อยากมาดูบ้านของโจว คยูฮยอนซะหน่อย จะได้รู้ว่าจะจับคู่เขากับใครดี” เฮพูดขึ้นก่อนจะบอกลาเด็กน้อย “ไปล่ะ ฉันไปทำงานต่อดีกว่า”

ร่างหนาพาตัวเองเดินออกไปแต่กลับมีอะไรรั้งเขาเอาไว้ไม่ได้สามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้ เฮก้มลงมอง เขาเห็นมืออูมเล็กจับชายเสื้อหนาวตัวหนาสีแดงของเขาแน่น “เฮ้! เธอมาจับเสื้อฉันทำไมแม่หนูน้อย”

“ให้ซองอึนไปด้วยได้ไหมคะ ซองอึนอยากเลือกอมม่าด้วย” เด็กหญิงถาม เธอเอียงคอเล็กๆมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างน่ารัก

“ไม่ได้!” เฮตอบอย่างหนักแน่น เขามองนิ่งลึกเข้าไปในดวงตาใสของเด็กน้อยราวกับจะอ่านความคิด น้ำใสๆที่เริ่มก่อตัวในดวงตาคู่นั้นทำให้เขาเริ่มจะลังเลใจจนยอมเธอในที่สุด “อะ ก็ได้ .. แต่เธอห้ามวุ่นวายกับงานของฉันนะ”

“คนนั้น”
“ไม่เอาค่ะ ไม่เห็นสวยเลย”

“คนนั้นล่ะ”
“หวา ดูใจร้ายออกนะคะคุณลุง”

“สาวเสื้อแดงคนนั้นดูน่าสนใจดีนะ”
“อี๋ โป๊”

เสียงผู้ทำหน้าที่คิวปิดในชุดแดงถามความเห็นจากเด็กน้อยผู้ที่น่าจะให้ความร่วมมือในการหาคู่ในโจว คยูฮยอน แต่กลับกลายเป็นว่าแม่หนูน้อยปฏิเสธหญิงสาวทุกคนที่เขาชี้ให้เธอดูโดยแทบจะไม่คิด เด็กน้อยหาเหตุมาแย้งเขาคนแล้วคนเล่าจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าจนเขาเองชักจะเริ่มเหนื่อยกับการตามล่าหาคู่แท้เสียแล้ว

“นี่ซองอึน เธอจะชอบคนไหนที่ฉันเลือกไหม” เฮถามอย่างขัดใจ

“ก็คุณลุงเลือกแต่อะไรก็ไม่รู้นี่คะ แบบนี้เลือกยังไงอัปป้าก็ไม่ชอบหรอก” เด็กหญิงตอบพร้อมกับทำหน้ามู่ มือเล็กๆเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมมาตามใบหน้ากลมพร้อมด้วยเครื่องหน้าน่ารักจนทำให้ผมยุ่งไปหมด แต่เธอยังคงน่ารักราวกับตุ๊กตาตัวน้อย

…ตุ๊กตาผีน่ะสิ เด็กอะไรวุ่นวายชะมัด!

“ก็แล้วเธออยากได้แบบไหนกันเล่า” ร่างสูงถามขึ้น อย่างน้อยเด็กหญิงก็รู้จักภารกิจของเขาดีที่สุด เขาควรจะหาข้อมูลจากเธอ

“ผิวขาว ตาโต ผมยาว สวย ใจดี มีรอยยิ้มที่จริงใจและอบอุ่น” ซองอึนร่ายยาวก่อนจะหันหน้ามาถามคุณลุงเดวิลของเธอ “จะหาได้ไหมคะคุณลุง”

เฮถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหยิบสมุดเล่มหนาออกมาก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงไปราวกับพิมพ์ดีดก่อนจะยื่นสมุดเล่มโตนั้นมาให้เด็กหญิงก่อนจะถาม “มีชอบซักคนไหมซองอึน”

มือเล็กเปิดหนังสือที่เต็มไปด้วยภาพและประวัติของหญิงสาวหน้าแล้วหน้าเล่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคุณลุง “อืมมมมม .. มันพูดยากนะคะ”

“แล้วอย่างนี้เราจะหาแม่ให้เธอได้ทันวาเลนไทน์ไหมล่ะซองอึน” เขาเห็นอาการเลือกเยอะของเด็กตรงหน้าแล้วถึงกับท้อ นี่ขนาดเปิดบัญชีสาวโสดให้เลือกอย่างกับแคทตาล็อกแล้วเธอก็ยังไม่พอใจ ภารกิจของเขาครั้งนี้ท่าจะเจองานหิน แค่คิดเฮก็ยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างท้อใจ

…จะได้เป็นไหม คิวปิดฝึกหัดเนี่ย

“อัปป้า” ชายหนุ่มหันหน้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องเรียก คยูฮยอนนั่งรอลูกสาวที่ออกไปเล่นกับเพื่อนข้างบ้านแต่กลับบ้านช้าผิดเวลาจนเขาเริ่มเป็นห่วงจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เขากำลังคิดจะไปตามหาลูกที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้านหากแต่แม่หนูกลับมาถึงบ้านเสียก่อน

“ซองอึน ไปไหนมาคะลูก” ชายหนุ่มถาม น้ำเสียงบ่งชัดถึงความห่วงใย

“ไปหาอมม่ากับคุณลุง… อุ๊บ!” เด็กหญิงตอบตามความจริงอย่างลืมตัวก่อนจะนึกได้ เธอเปลี่ยนคำตอบให้ปลอดภัยสำหรับลุงเฮและภารกิจหาแม่ “ไปหาอมม่าของจีฮโยมาค่ะอัปป้า”

ชายหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้าลูกสาว ดวงตาคมปราบมองแม่ตัวน้อยอย่างพินิจแต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขากลับฉายแววอ่อนโยนและอบอุ่น มือหนาเอื้อมจับไหล่เล็กทั้งสองข้าง “ซองอึน ลูกรู้ใช่ไหมคะว่าความหมายของชื่อลูกแปลว่าอะไร” เขาถาม

“อัปป้าบอกว่าแปลว่าพรจากสวรรค์ค่ะ” เด็กน้อยตอบเจื้อยแจ้ว

“ลูกเป็นพรจากสวรรค์ของทั้งอัปป้าและอมม่า อมม่าที่อยู่บนสวรรค์ต้องคอยมองพวกเราอยู่แน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าน้อยใจที่ซองอึนไม่ได้เจอคุณแม่ทุกวันเหมือนคนอื่นนะคะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอบอุ่นราวกับกำลังร้องเพลงกล่อมเด็ก เขารู้ว่าซองอึนก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ต้องการความรักและการดูแลจากทั้งพ่อและแม่ หากแต่แม่ของเธอจากไปแล้ว ลูกถึงโหยหาความรักจากแม่ขนาดนี้ การที่ได้ยินว่าเธอไปหาแม่ของเพื่อนสนิทยิ่งทำให้เขาคิด หรือเขาควรจะหาแม่ให้ลูก ในเมื่อหัวใจของเขามีไว้เพื่อเธอ ภรรยาของเขา แล้วเขาควรจะทำอย่างไร

…อดทนหน่อยนะลูกรัก อัปป้าเชื่อว่าอมม่าต้องกลับมาหาพวกเรา

“ค่ะอัปป้า” เด็กหญิงตอบรับก่อนจะโผเข้ากอดบิดาที่ไม่ทันตั้งตัวจนเสียหลักก้นจ้ำเบ้าไปนั่งกับพื้น สองพ่อลูกหัวเราะขันก่อนจะพากันลุกขึ้น

“ถึงมีอัปป้าอยู่ ซองอึนก็ยังอยากมีอมม่าอยู่งั้นเหรอเนี่ย .. น่าน้อยใจชะมัด” คยูฮยอนบ่นอย่างน้อยใจ เขาอุ้มลูกสาวคนเดียวมานั่งบนตักที่โซฟาตัวหนา

“อัปป้า~ ซองอึนรักอัปป้านะคะ” เด็กน้อยกอดบิดาอีกครั้ง ครั้งนี้แถมด้วยหอมที่แก้สากหนึ่งฟอดใหญ่เพื่อง้อไม่ให้เขาน้อยใจก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อหยิบการบ้านในกระเป๋าออกมาทำ

ชายหนุ่มมองภาพเด็กหญิงที่เหมือนเธออย่างกับถอดพิมพ์เดียวกัน ทั้งดวงตา แก้มนุ่มนิ่มสีชมพู และริมฝีปากเล็ก ทุกครั้งที่เขามองซองอึนทำให้เขาคิดถึงเธอ หญิงอันเป็นที่รัก คยูฮยอนมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาจ้องไปที่ปลายฟ้าพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ลูกสาวเราโตขนาดนี้แล้ว เธอเห็นใช่ไหม”

เดวิลหนุ่มอายุ 210 ปีเดินตามเด็กหญิงตัวจ้อยไปเรื่อยๆ แทนที่จะไปติดตามเจ้าตัวภารกิจ เขากลับรู้สึกว่าเด็กหญิงเป็นกุญแจสำคัญในการตามหาคู่แท้ของคยูฮยอนมาผูกด้ายแดงมากกว่า ดวงตาสีเทาวาบวับของเดวิลมองตามเด็กน้อยไป เธอทักทายคนอื่นไปทั่ว เห็นก็รู้ว่าเด็กน้อยเป็นที่รักของคนรอบข้าง … อาจจะเป็นเพราะออร่าบางอย่างที่ออกมาจากตัวเธอ เขาสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และจริงใจของเด็กน้อย

ร่างสูงลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กที่เด็กน้อยนำมาวางไว้ข้างๆโต๊ะเรียนของเธอโดยบอกกับเพื่อนๆว่าเธออยากจะใช้มันวางกระเป๋าเป้ใบโตที่ทำให้เธออึดอัดกับการนั่ง เด็กหญิงคุยหยอกล้อกับเพื่อนๆก่อนที่จะเดินแยกตัวมานั่งที่โต๊ะเมื่อได้ยินเสียงระฆัง เพียงไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวร่างเล็กก็เดินเข้าห้องมาด้วยท่าทางเป็นกันเอง หญิงสาวดูทั้งอ่อนเยาว์และสดใส ถึงอย่างนั้นเขารู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในแววตาคู่นั้น

…น่าสนใจทีเดียว เป็นตัวเลือกทีดีสำหรับโจว คยูฮยอนไม่ใช่รึ

“เด็กๆคะ คุณครูซันนี่ลาคลอดไปเลี้ยงน้อง เด็กๆรู้ใช่ไหมคะลูก” คุณครูใหญ่แทยอนเอ่ยถามเด็กๆอย่างสดใสและมีพลัง

“ทราบครับ/ทราบค่ะ” เด็กๆต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“เป็นคุณครูคนนี้ดีไหมซองอึน” เฮกระซิบถามเด็กน้อยข้างกาย

“ไม่ค่ะ!” ซองอึนตอบเดวิลข้างๆเสียงดังอย่างลืมตัวว่ามีเธอเพียงคนเดียวที่เห็นเขา

สิ้นเสียงตอบของเด็กน้อย เพื่อนร่วมห้องต่างก็หันมามองเธอเป็นตาเดียว คุณครูหน้าเด็กได้ยินถึงกับตั้งคำถามด้วยความสงสัย เนื่องจากซองอึนไม่เคยเกเรในห้องมาก่อน แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น “ว่าไงนะจ้ะซองอึน”

“ปะเปล่าค่ะ” เด็กหญิงปฏิเสธ มือน้อยๆโบกให้วุ่น “ซองอึนหมายถึง ทราบค่ะคุณครู” เธอตอบก่อนจะหันไปค้อนขวับให้กับเจ้าว่าที่คิวปิดฝึกหัดตัวแสบที่กำลังแลบลิ้นให้กับเธอ อยากจะแลบลิ้นกลับลุงเฮเป็นที่สุดแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าทำไปจริงคุณครูแทยอนคงจับเธอไปอบรมเป็นแน่ เด็กน้อยทำจมูกย่นอย่างขัดใจ

“วันนี้เรามีคุณครูคนใหม่มาดูแลเด็กๆแทนคุณครูซันนี่นะจ้ะ” คุณครูแทยอนยังคงกล่าวต่อไปด้วยเสียงสดใสก่อนจะหันไปเรียกผู้มาใหม่ที่อยู่ด้านนอกห้อง “เชิญค่ะคุณครูซอ”

ร่างบางระหงเดินเข้ามาตามคำบอกของผู้เป็นหัวหน้า ผิวเนียนละเอียดของเธอขาวจนเกือบจะเรืองแสงได้ ผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอนสลวยราวกับกลุ่มไหมทิ้งตัวลงมาเกือบถึงเอว ดวงหน้าสวยหวานซึ้งรับกับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน “สวัสดีจ้ะเด็กๆ ครูชื่อซอ จูฮยอน .. เด็กๆเรียกครูว่าคุณครูจูฮยอนก็ได้จ้ะ”

เฮขมวดคิ้วก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นร่างระหงที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย เขาสัมผัสได้ถึงความพิเศษในตัวเธอ ความอบอุ่น รวมไปถึงไอของจิตบริสุทธิ์แบบเดียวกับที่แผ่มาจากโจว ซองอึน และยิ่งเสียงหวานๆราวกับร้องเพลงอยู่ข้างหูนั่นอีก เขามั่นใจว่าต้องใช่เธอแน่ๆ

“ดูแลคุณครูดีๆนะจ้ะเด็กๆ” แทยอนกล่าวเสียงสดใสก่อนจะเดินจากไปปล่อยให้คุณครูคนใหม่อยู่กับเด็กๆตามลำพังด้วยรู้ว่าคุณครูซอสามารถจัดการดูแลเด็กๆได้เป็นอย่างดี

“คุณลุงเฮคะ คุณลุง” เด็กหญิงกระซิบกระซาบกับสิ่งไร้ร่างที่อยู่ข้างตัวพร้อมรอยยิ้มยินดี “หนูเจอแล้วคู่แท้ของอัปป้า”

“นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนงั้นเหรอ” เฮพูดกับตัวเองเบาๆในใจก่อนจะหันไปถามเด็กน้อย “จะใช่เหรอซองอึน”

เขาเองพอจะรู้จักนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนอยู่บ้าง ใครเล่าจะไม่รู้จักนางฟ้าที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ เธอสวย สง่า และน่ารักจนเป็นที่หมายปองของเหล่าเทพและเดวิลหนุ่มทั้งหลาย พวกเขาต่างก็แข่งกันเพื่อจะแย่งชิงหัวใจของเธอมาครอง เฮไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากเขาเป็นเพียงเดวิลด้อยบรรดาศักดิ์จึงไม่อาจหาญไปจีบนางฟ้าในหมู่นางฟ้าอย่างเธอเช่นเดียวกับองค์อื่น แต่ถึงอย่างนั้นเขายังจำทั้งดวงหน้า แววตา และน้ำเสียง หรือแม้แต่กลิ่นหอมอ่อนๆจากเธอได้เป็นอย่างดี .. ช่วงครึ่งปีหลังตามเวลาสวรรค์เฮไม่ได้พบเธอบ่อยมากนักอย่างที่ผ่านมา แต่เขาไม่นึกเอะใจใดๆ อาจเพราะมัวยุ่งอยู่กับการทำเรื่องขอย้ายมาเป็นคิวปิดฝึกหัดภายใต้การดูแลของนางฟ้าเจสสิก้าก็เป็นได้

…แล้วอยู่ๆก็มากลายเป็นมนุษย์เนี่ยนะ มันจะใช่เหรอท่านซูเซี่ยน!

“ใช่สิคะ ซองอึนเห็นบ่อยๆในฝัน” เด็กน้อยตอบราวกับล่วงรู้คำถามในใจของเขายังไงอย่างงั้น

ไม่มีเสียงตอบจากเฮ ว่าที่คิวปิดฝึกหัดชุดแดงกำลังประมวลผลจนเริ่มจะปวดหัว หรือสมองน้อยๆที่ผ่านการใช้งานมากว่าสองร้อยปีเริ่มจะสึกหรอเสียแล้ว ทุกอย่างถึงดูสับสนไปหมดตอนนี้ .. หรือเขาพลาดอะไรบางอย่างไป

“คุณลุงเฮ จะทำยังไงให้อัปป้าพบกับอมม่าล่ะคะ” เด็กน้อยถาม “อัปป้าให้ป้าอาร่ามารับซองอึนตลอดเลย แล้วจะเจอกับคุณครูได้ยังไง”

“คุณลุงเฮ” ซองอึนเรียกเฮอีกครั้งให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด

“เดี๋ยวฉันมานะยัยเด็กน้อย” ชายในชุดแดงตอบก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วหายตัวไปจากห้องเรียน ปล่อยเด็กหญิงซองอึนไว้เบื้องหลังกับห้องเรียนที่ดูจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับเธอ มีเพียงอย่างเดียวที่น่าสนใจคือคุณครู สมองเล็กๆประมวลผลไปร้อยแปดวิธีที่จะทำให้อัปป้ามาเจอกับคุณครูแสนสวย

เด็กน้อยถอนใจเฮือกใหญ่ วันนี้กามเทพเฉพาะกิจดูจะเงียบผิดปรกติตั้งแต่เห็นหน้าคนที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคุณแม่ หรือว่าคนที่เธอเลือกมันจะยากเกินไปสำหรับลุงเฮและอัปป้าก็ไม่รู้

…เฮ้อ ก็ซองอึนอยากให้คุณครูซอฮยอนเป็นอมม่านี่นา

…เป้าหมายมีไว้พุ่งชนไม่ใช่เหรอ

…แล้วลุงเฮหนีไปไหนในเวลาอย่างนี้ล่ะเนี้ย! ไม่มาอยู่พุ่งชนด้วยกัน หรือลุงเฮจะกลัวเจ็บ

…กระซิบอามินดีไหมเนี่ยว่าให้ไปฟ้องเทพผู้ดูแลลุงเฮว่าลุงเฮหนีไปแล้ว

ท่ามกลางอากาศที่ยังคงหนาวของกรุงโซลในเดือนกุมภาพันธ์ แดดรำไรยังคงสาดส่องแม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้วก็ตาม เด็กน้อยต่างก็วิ่งเล่นอย่างร่าเริงภายในสนามเด็กเล่นเล็กของโรงเรียนอนุบาลเพื่อรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน บ้างก็วิ่งไล่กัน บ้านก็เล่นเครื่องเล่นผลัดกันปีนป่าย ร่างน้อยๆของโจว ซองอึนอยู่บนชิงช้าที่แกว่งไกวอย่างช้าๆภายใต้สายตาอบอุ่นที่ทอดมองมายังเด็กน้อยโดยที่เธอไม่รู้ตัว คุณครูสาวรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงเป็นที่สุดทั้งๆที่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ความผูกพันก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ หญิงสาวมองเด็กน้อยที่ผุดตัวลุกขึ้นจากที่นั่งวิ่งไปหาใครซักคนที่หน้าประตูโรงเรียน ขาเรียวบางก้าวตามร่างจิ๋วไปอย่างไม่รู้สาเหตุ เด็กหญิงวิ่งไปกอดหญิงสาวร่างเล็กผิวขาวนวลราวกับหยวกกล้วย ดวงหน้ารูปไข่รับกับผมม้าที่ทำให้เธอดูเด็กเกินกว่าจะเป็นแม่ของเด็กวัยห้าปีอย่างซองอึน

“คุณป้าอาร่า!” ไม่ต้องพูดถึงการเป็นป้าด้วยซ้ำ! ซอ จูฮยอนมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ไม่ต่างกันกับสายตาครุ่นคิดที่อีกฝ่ายส่งมาให้

“วันนี้มีคุณครูคนใหม่มาแทนคุณครูซันนี่ด้วยค่ะ” เด็กหญิงเล่าให้คุณป้ายังสาวฟังเจื้อยแจ้ว ดวงตาบ่งชัดถึงอาการตื่นเต้น “คุณครูจูฮยอนค่ะ”

จูฮยอนโค้งศรีษะเก้าสิบองศาอย่างนอบน้อมให้กับหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มเป็นมิตรไปให้จากใจจริง “สวัสดีค่ะ”

หญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าตอบรับ หากไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นเสียงทุ้งดังขึ้นจากเบื้องหลังส่งผลให้คุณครูสาวยิ้มด้วยประกายเจิดจ้า “ซอฮยอน”

หญิงสาวกล่าวลาทั้งผู้ปกครองและลูกศิษย์ตัวน้อยเบาๆก่อนจะขอตัวไปหาผู้มาใหม่ เธอวิ่งไปหยิบกระเป๋าสะพายส่วนตัวที่วางไว้ไม่ไกลนักก่อนจะเดินกลับมาหาร่างสูงสมบูรณ์แบบนั้น เด็กหญิงลอบมองภาพตรงหน้าอย่างครุ่นคิด … หรือคุณครูอาจจะมีแฟนแล้วก็เป็นได้ .. ดวงตากลมโตที่มักฉายแววร่าเริงอยู่เสมอหม่นลงเล็กเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอไม่อยากให้กลายเป็นความจริง

ถัดไปไม่ไกลนัก วิญญาณรูปหล่อยังคงสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล สีหน้าครุ่นคิดแต่ไม่ได้ฉายแววตึงเครียดหรือซึมเศร้าเฉกเช่นเด็กน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจะหายตัวไปในพริบตา

“คุณลุงเฮ เราจะทำยังไงกันดีคะ” เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างชายหนุ่มปรากฎกายขึ้นในห้องนอนของเธอหลังจากที่หายไปตั้งแต่เมื่อกลางวัน อามินเทวดาผู้พิทักษ์ประจำตัวเธอก็บอกว่าลุงเฮไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คงไปที่ไหนซักแห่งของสวรรค์ … จริงๆเธอควรจะให้อามินหรือไม่ก็ลุงเฮพาไปหาอมม่าที่สวรรเสียจะได้สิ้นเรื่อง เสียแต่คิดช้าไปหน่อย นี่อมม่ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนแบบนี้คงไม่ต้องหนีอัปป้าไปสวรรค์แล้ว ที่จำเป็นตอนนี้คือความสามารถที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ของลุงเฮต่างหาก

“อะไรยังไงล่ะ” เดวิลที่รับหน้าที่เป็นผู้ให้พรถามกลับเมื่อได้ยินคำถามที่ได้ที่มาที่ไป

“ก็อมม่ามีแฟนแล้วได้ยังไงล่ะ คุณลุงต้องจัดการนะคะ” เด็กหญิงร้องโวย

“ฉันจะจัดการได้ยังไงล่ะ” จะจัดการยังไงที่ไม่ใช่ร่ายมนต์ผูกใจใส่คยูฮยอนกับคุณครูสุดสวย และก็ต้องไม่ใช่ร่่ายมนต์สิ้นสิเน่หาใส่พ่อหนุ่มหน้ามนที่เทียวไล้เทียวขื่อคุณครูซอ .. ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบแม้ในใจยังคงครุ่นคิด จะแก้ปมนี้ได้อย่างไรดีในเมื่อการเป็นกามเทพดูจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว

“ก็คุณลุงเฮเป็นคิวปิดนี่คะ ทำไมทำไม่ได้ล่ะ ก็แผลงศรใส่สิคะ” ซองอึนกล่าวอย่างขัดใจเมื่อเห็นท่าทางเรียบเฉยของเขา “เป็นคิวปิดปลอมล่ะสิ เห็นไหมหนูว่าแล้วเชียว”

“ฉันเป็นคิวปิดฝึกหัดเฉยๆ ไม่ได้เป็นคิวปิดปลอมซักหน่อย” “นี่ซองอึน ความรักน่ะนะ มันบังคับกันไม่ได้ซักหน่อย ฉันแค่สามารถช่วยให้พวกเค้าได้พบกันในเวลาที่เหมาะสม ช่วยทำให้เขาเพาะบ่มความรักได้งอกงามขึ้นเท่านั้นแหละ แต่ฉันน่ะทำให้คนเลิกกันไม่ได้หรอกนะ มันไม่ใช่วิถีของคิวปิด”

“เวทมนต์ทำให้คนรักหรือหมดรักกันไม่ได้หรอกนะเด็กน้อย” เขาอธิบายหลักการข้อแรกของคิวปิด แรกเริ่มที่นางฟ้าเจสสิก้าอธิบาย เขาเองไม่เข้าใจนัก หากแต่เมื่อมีเวลาใคร่ครวญก็เข้าใจได้ว่าหากรักนั้นมาจากเวทมนต์ เมื่อถึงเวลาเวทมนต์คลาย ความรักก็เสื่อมถอย ในทางตรงข้าม หากรักนั้นมาจากหัวใจเพาะบ่มไว้ด้วยความเข้าใจและศรัทธาอันหนักแน่น รักนั้นจะอยู่ยืนยง

“ว้า” เด็กหญิงทอดถอนใจเมื่อดูแล้วความหวังของเธอจะเลือนรางลงทุกที มือน้อยคว้าหมอนมากอดไว้ที่อกพร้อมทำหน้าย่น เธอซุกใบหน้าเล็กๆนั่นลงกับหมอนใบโตอย่างท้อใจ

…การจะมีแม่ซักคนเหมือนคนอื่นเค้ามันยากอย่างนี้เลยหรือ

…คนอื่นจะต้องพยายามอย่างนี้บ้างไหมนะ

“อย่าเพิ่งหมดหวังสิ ก็บอกแล้วไงว่าเราช่วยพวกเค้าให้รักกันได้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่น ท่าทางของเด็กน้อยทำให้เขามุ่งมั่นขั้นสุดว่าภารกิจนี้ต้องไม่มีทางพลาด ยังไงเขาต้องทำให้ซอ จูฮยอนมาเป็นอมม่าของเด็กน้อยให้ได้ มือหนาลูบที่ศรีษะเล็กอย่างเบามือพร้อมกับเอ่ยประโยคสั้นๆแต่กลับสร้างความมั่นใจให้กับเธอ “เชื่อมือลุงเฮสิ”

ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เฮยังคงเฝ้ารอจังหวะเหมาะๆที่จะร่ายมนต์วิเศษเพื่อช่วยให้เด็กน้อยสมหวัง เขายังไม่ได้ใช้ร่ายมนต์ซักบทตั้งแต่ลงมาโลกมนุษย์เพื่อทำภารกิจหากไม่ได้นับมนต์เดินเหินหรือหายตัว เด็กหญิงซองอึนยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง เธอเชื่อสุดหัวใจในความสามารถของเฮและเชื่อลึกๆว่าคุณครูซอ จูฮยอนคือคนที่ฟ้าสร้างมาเพื่อคู่กับบิดาของเธอ เธอรู้สึกอย่างนั้น

ร่างสูงใหญ่ในชุดแดงนั่งนิ่งอยู่บนคานเสาข้างเคียงสัญญานไฟจราจรกลางสี่แยกที่พลุกพล่าน แต่หามีใครเห็นไม่ ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ตามปกติ สายตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นคนอย่างเขา .. เฮ

วันนี้เฮตัดสินใจมาตามดูชายหนุ่มคนสนิทของซอ จูฮยอนหญิงสาวที่เขาหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะให้เป็นเนื้อคู่ของภารกิจนี้แทนที่จะไปนั่งดูการเรียนการสอนเหมือนทุกวัน วาเลนไทน์ใกล้มาทุกที เขาคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ดวงตาคมมองรถสปอร์ตหรูสีแดงที่เคลื่อนตัวมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะดีดนิ้วเปาะ

ปัง!

ยางล้อรถคันสวยแตกเสียงดังลั่นจนรถหมุนคว้าง เฮมองรถรอบๆคอยระวังไม่ให้ได้ผลจากมนต์ของเขานอกเหนือไปจากชายหนุ่มรูปงามที่กำลังรีบไปยังที่นัดหมายเพื่อคุยธุรกิจกับคู่ค้า เสียงหวีดร้องดังไปทั่วบริเวณเมื่อกลายเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์หวาดเสียว สายตากว่าสิบคู่จ้องมาที่รถสวย บ้างก็เข้ามาใกล้เพื่อดูว่าผู้อยู่ในรถต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ประตูรถค่อยๆเปิดอย่างช้าๆก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะออกมาจากรถที่บัดนี้กลายเป็นพาหนะสามล้อไปเสียแล้ว เขากล่าวขอบคุณคนที่เข้ามาช่วยเหลือก่อนจะรีบคว้าเอาโทรศัพท์ออกมาทันทีแทบจะไม่มีโอกาสได้หายใจ

โจว อาร่าผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่สำนักงานของบริษัทก่อสร้างชื่อดัง อันที่จริงเธอมอบหมายให้เลขาส่วนตัวเป็นผู้มาติดต่อเรื่องแบบแปลนก่อสร้างโรงเรียนสาขาใหม่แต่กลับกลายเป็นว่าเลขาของเธอป่วยกระทันหันจนไม่สามารถมาทำงานได้ เธอจึงต้องรับหน้าที่นี้แทน แต่นี่ก็เลยเวลาไปมากแล้วสถาปนิกที่เธอนัดไว้ยังมาไม่ถึงเสียที ร่างเล็กผุดลุกผุดนั่งเมื่อไม่มีแม้เงาของผู้ที่เธอนัดไว้และเธอเองก็กำลังจะไปรับหลานไม่ทัน!

“คุณโจวคะ” เสียงหญิงสาวประชาสัมพันธ์ของสำนักงานหยุดร่างเล็กนั้นไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกไป “คุณซงเกิดอุบัติเหตุ อาจจะมาถึงช้าไปซักหน่อยแต่เขากำลังเดินทางมา ใกล้จะถึงแล้วค่ะ”

อาร่ายกนาฬิกาขี้นดูก่อนจะขมวดคิ้วอย่างชั่งใจ หากเธอบอกคยูฮยอนให้ไปรับซองอึนเองวันนี้จะเป็นไรไหมนะ เธอไม่อยากเสียเวลากว่าชั่วโมงที่นั่งอยู่ที่นี่ไปฟรีๆ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือคู่ใจออกกมาพร้อมกับกดเบอร์โทรด่วนไปหาน้องชายทันที

“ขอโทษครับ ผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ร่างสูงเดินเข้ามาให้ส่วนรับรองของสำนักงานก่อนจะโค้งแสดงความขอโทษที่ทำให้ลูกค้าอย่างเธอรอนาน เขามองคนที่ลุกยืนโค้งกลับเขาอย่างสุภาพก่อนจะนึกไว้ว่าไม่ใช่หน้าคุ้นๆของคนที่เคยเจรจาตกลงงานด้วยกันบ่อยๆ

“เลขาปาร์คป่วยน่ะค่ะฉันเลยต้องมาคุยเอง” เธอตอบตามความจริง

“เหมือนเราจะเคยพบกันมาก่อน” ซง ซึงฮุนสถาปนิกชื่อดังเจ้าของสำนักงานนี้เอ่ย “แต่ไม่น่าจะใช่เพราะงานนี้ เพราะผมติดต่อเลขาปาร์คมาตลอดหากเป็นงานจาก AC Music Academy”

“คงเป็นที่โรงเรียนอนุบาลละมังคะ” เธอตอบเสียงเรียบ .. จะลืมได้อย่างไรในเมื่อเพิ่งพบกับไปเมื่อวานแถมเขายังน่าจดจำเสียขนาดนี้

ซึงฮุนพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เขาผายมือให้เธอแล้วเดินนำเธอไปในห้องทำงานส่วนตัวเพื่อคุยโครงการสร้าง AC Music Academy สาขาใหม่

คยูฮยอนละมือจากงานทั้งหมดเพื่อเดินทางมายังโรงเรียนอนุบาล โชคดีแท้ๆที่เขาไม่เหลืองานเร่งด่วนอย่างเช่นทุกวัน เขาเลยสามารถไปรับลูกสาวได้ประจวบเหมาะกับที่อาร่าไม่ว่างพอดี รถฮุนไดสีขาวจอดสนิทนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเรียน ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังสถานที่ที่นานๆทีเขาจะได้มาเยือน ไม่ใช่เขาไม่รับผิดชอบหรือไม่อยากดูแลลูกหรืออย่างไร แต่ด้วยงานทนายความที่มักจะมีลูกความขอความช่วยเหลือเสมอและส่วนใหญ่ก็จะเป็นกรณีเร่งด่วนทำให้เขาต้องเลิกงานดึกอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะกำหนดตัวเองให้เลิกดึกสุดแค่หนึ่งทุ่มเพื่อที่จะกลับไปดูแลลูกน้อยต่อจากอาร่าพี่สาว อาร่าเองก็ยินดีเหลือเกินที่ได้ดูแลเด็กน้อยเพราะเธอเองก็ยังไม่มีครอบครัว การที่อาร่ามารับซองอึนไปดูแลในช่วงเย็นจึงกลายเป็นสิ่งที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย

คยูฮยอนเดินมายังห้องเรียนของลูกสาวเมื่อพบว่าเธอไม่อยู่ที่สนามเด็กเล่นอย่างที่เคย ในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยของเล่นเด็กเล็กสีสันสดใส ดวงตาคมมองเห็นเบื้องหลังร่างระหงที่ย่อตัวเล่นอยู่กับเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แม้เธอจะหันหลังให้เขาแต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่หญิงสาวหันกลับมาตามซองอึนที่วิ่งไปหาบิดาอย่างดีใจ วินาทีที่เขาเห็นหน้าเธอเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ดวงตาคมสบนิ่งอยู่กับเธอ มีเพียงคำพูดออกมาจากปากเขาที่เบาจนเหมือนกระซิบ

“ซูเซี่ยน”

“สวัสดีค่ะ ฉันซอ จูฮยอนคุณครูประจำชั้นคนใหม่ของซองอึนค่ะ” ครูสาวแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร เธอจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของเขาที่เหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ จูฮยอนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นอย่างประหลาด หากแต่บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร .. ทั้งๆที่เธอเข้ากับคนยากแท้ๆ

ในอาคารแบบโรมันขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายวัย เกือบจะทั้งหมดอยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวที่คล้ายๆกับจะเรืองแสงเมื่อสะท้อนกับแสงสีขาวที่ตกกระทบลงบนอาคารหินอ่อนดูแสบตา วิญญานรูปหล่อในชุดแดงที่ปรากฏตัวขึ้นในหอสมุดกลางของสวรรค์จึงเป็นจุดสนใจ(เล็กๆ)ซึ่งเจ้าตัวพยายามคิดว่าเป็นเพราะความหล่อของเขามากกว่าชุดแดงแรงฤทธิ์นั่น เฮเดินดุ่มไปยังชั้นหนังสือหมวดชีวประวัติ เขาหยิบหนังสือวิเศษขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วตั้งคำถาม

“หนังสือวิเศษ ข้าอยากรู้ชีวประวัติของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยน”

“นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนเป็นหนึ่งในนางฟ้าผู้พิทักษ์ตระกูลโจว นางเป็นนางฟ้าที่อบอุ่นและรักเสียงเพลง ความสามารถพิเศษคือการใช้เสียงเพลงขับกล่อมให้ทั้งมนุษย์และเทวดาทำตามประสงค์ราวกับร่ายมนต์

30 ปีที่แล้วตามเวลาโลกมนุษย์โจว คยูฮยอนได้กำเนิดบนผืนโลก นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซียนจึงได้รับมอบหมายให้เป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์เขา

จนเมื่อ 6 ปีที่แล้วตามเวลามนุษย์นางฟ้าผู้พิทักษ์บาดเจ็บสาหัสจากการช่วยเหลือโจว คยูฮยอนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้เวทมนต์นางฟ้าเสื่อมนางจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลโจวอย่างมนุษย์ปุถุชนและได้รับการดูแลจากโจว คยูฮยอนจนในที่สุดความรักต้องห้ามก็เกิดขึ้น นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนตั้งครรภ์กับโจว คยูฮยอน นางขอให้ให้กำเนิดเด็กน้อยอันเป็นตัวแทนแห่งความรักของทั้งคู่ก่อนที่จะรับบทลงโทษตามสมควร ด้วยจิตบริสุทธิ์ความรักที่ยิ่งใหญ่ของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซียนและโจว คยูฮยอน

บทลงโทษของความรักต้องห้ามครั้งนี้คือนางฟ้าซูเซี่ยนถูกปลดจากการเป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์และลงไปใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์เช่นเดียวกับคนธรรมดาโดยไร้ความทรงจำเกี่ยวกับอดีตไม่เว้นแม้แต่อดีตกับโจว คยูฮยอนคนรัก บุตรสาวของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนได้รับการเลี้ยงดูโดยโจว คยูฮยอน เด็กหญิงชื่อว่าซองอึนอันแปลว่าพรแห่งสวรรค์………” หนังสือวิเศษร่ายยาวถึงชีวประวัติของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนก่อนจะเงียบลงไปเพราะแรงปิดหนังสือของเฮ แม้จะแว่วเสียงโวยวายจากหนังสือวิเศษที่เขาปิดไปโดยที่เธอยังรายงานผลการค้นหาไม่จบแต่มือก็ก็วางมันไปแล้วจึงเดินจากมาพร้อมด้วยแววตาครุ่นคิด

…รักบริสุทธิ์ของนางฟ้าผู้พิทักษ์กับมนุษย์อย่างนั้นหรือ

“ทำไมท่านให้ง่ายอย่างนี้ให้กับข้าเล่า” เฮในชุดสีขาวเอ่ยถามดวงตาจับจ้องมองดูผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ คยูฮยอนและจูฮยอนกำลังเดทกันอย่างหวานชื่นในสวนสาธารณะโดยมีซองอึนไปด้วย

“ง่ายงั้นหรือ เฮ” เสียงหวานแหลมถามขึ้น

“ก็ทั้งคู่ผูกพันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่มาตั้งแต่แรก ทั้งคู่รักกันแม้เขาจะต้องไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือเธอจะต้องโดนลบความทรงจำ ไม่ยากเลยที่จะเกิดความรักขึ้นอีกครั้งถึงความทรงจำของเธอจะเป็นศูนย์ก็ตาม .. ข้าเลยแทบจะไม่ได้แสดงฝีมือเลย”” เขาตอบตามจริงพร้อมกับบ่นอย่างเสียดาย จริงอยู่ภารกิจอาจจะออกมาสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แต่ถ้าได้แสดงฝีมือมากกว่านี้ก็คงดี

“ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าโชว์ฝีมือนะเฮ ข้าอยากให้เจ้ารู้จักรักบริสุทธิ์ หากเจ้าเป็นคิวปิดเต็มตัว เจ้าต้องเห็นคุณค่าของทุกความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักของนางฟ้าผู้พิทักษ์ที่มีต่อมนุษย์ภายใต้การดูแล ความรักของคนธรรมดาสองคน ความรักของพ่อแม่กับลูก หรือความรักของพี่กับน้อง” นางฟ้าแสนงามอธิบายด้วยเสียงแหลมจนปวดหูของเธอ “เห็นไหมล่ะ กับบางครั้งความรักก็แทบจะไม่ต้องการการแผลงศร แค่ร่ายมนต์ให้รถยางแตกกับคนท้องเสียนิดหน่อยเท่านั้นเองว่าไหมเฮ”

“โธ่ท่าน” เฮโอดครวญ

… ถึงจะรุนแรงไปหน่อยแต่ข้าก็ระวังทุกฝีก้าวไม่ให้ไปกระทบใครนะท่านเจสสิก้า

“เจ้าบรรลุเป้าหมายโดยไม่ได้ละเมิดข้อบังคับใด ไม่ได้ขัดขวางความรักของคนอื่น ไม่ได้ขัดขวางการทำงานของคิวปิดตัวอื่น แต่เจ้า….เกือบทำคนชะตาขาดทั้งๆที่ยังไม่ถึงฆาต” เทพธิดารูปงามประเมินผลงานของเขาก่อนจะอธิบายถึงผลของเวทมนต์ที่เฮได้ร่ายไป ทั้งที่ทำให้รถของซึงฮุนยางระเบิดและที่ทำให้เลขาปาร์คท้องเสีย

“เจ้าคิวปิดฝึกหัด เจ้าต้องเรียนรู้อีกเยอะ จากที่ข้าเห็นคงซักอีก 10 ปีล่ะมั้ง” เธอสรุปสั้นๆ

“นะนั่นมัน…..ร้อยปีมนุษย์เลยนะท่าน” ชายหนุ่มในร่างกายทิพย์ร้องโอดโอยทันทีที่สิ้นคำของเจสสิก้า

“เจ้ายังมีเวลาอีกเยอะนี่ใช่ไหมเฮ ยังไงเสียเจ้าก็ยังไม่ได้อยากจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ไหนไม่ใช่รึ”

Valentine Cupid และ Angel Love
เป็นเรื่องที่เขียนไว้เมื่อวาเลนไทน์ปีที่แล้ว โพสลงบนบล็อคเก่าเมื่อวาเลนไทน์ 2012 พอดี
ตอนที่ย้ายบล็อคก็ตั้งใจว่าจะลงเรื่องนี้ในวันวาเลนไทน์ปีนี้ (2013) แต่ลืม
สุดท้ายเลยได้อัพในวัน White Day แทน

ทั้ง Valentine Cupid และ Angel Love ยังไม่ได้รีไรท์นะคะ
ภาษายังเป็นของเมื่อปีที่แล้ว ต้องขอโทษถ้ามันจะกากไปบ้าง อ่อนด้อยไปบ้าง
เราติดโปรเจกท์อื่นอยู่คงไม่ได้รีไรท์ในเร็ววัน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทำใจ ^^”

แล้วเจอกันใหม่นะคะ

0.

เตรียมตัว…

แน่นอนการเดินทางก็ต้องมีการเตรียมตัวเป็นเรื่องปกติ กระเป๋าที่กองเกะกะตั้งแต่ไปรอบที่แล้วยังกางอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลาต้องจัดกระเป๋าใหม่อีกครั้ง เก๋ไหมล่ะคนเรา การเตรียมตัวของเราก็ทั่วไป คือกำหนดวันเดินทาง จองตั๋ว ออกตั๋ว วานแผนคร่าวๆ คราวนี้คร่าวมากค่ะ คร่าวประมาณว่าหาแค่ข้อมูลของสถานที่ที่อยากจะไปและวิธีการเดินทางไว้พรึ่บๆนอกนั้นไม่ได้กำหนดเวลา เพราะพร้อมเปลี่ยนแปล้งได้เสมอ แต่การเตรียมตัวที่เพิ่มมาหน่อยคือการหาเสื้อผ้าและอุปกรณ์ท้าลมหนาวจนวันสุดท้ายก่อนปิดกระเป๋าเดินทางก็เหมือนกับว่ากระเป๋าเราจะเต็มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เดินทางซะแล้ว ต่างจากตอนเดินทางหน้าร้อนที่ใช้กระเป๋าเดินทางไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น .. เสื้อหนาวมันหนาตรึ้บจะไม่เอาไปก็ไม่ได้นี่คะ ㅠㅠ

ถ้าถามว่าติ่งน้อยๆอย่างเราเตรียมอะไรเป็นพิเศษคงไม่พ้นหาข้อมูลวิธีการเข้าชมรายการเพลง จองบัตรคอนเสิร์ทและมิวสิคคัล อัพเดตตารางงาน หาข้อมูลแฟนไซน์ ที่หาไว้ไม่ได้จะไปทั้งหมดแต่การติ่งคือมีความเสี่ยง ผู้ติ่งควรศึกษาข้อมูลก่อนติ่ง เราคือเพื่อให้รู้ว่ามีที่ไหน อย่างไรและควรจะจัดการชีวิตอย่างไร ดูแลตัวเองบ้าง ดูสาวๆบ้างสลับกันไป

ว่ากันไปทริปนี้ป่วงตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้วค่ะ ด้วยความที่จองตั๋วแล้วก็ออกตั๋วเลยแต่เครื่องซิปแซ็ปที่ใช้รูดบัตรของเอเจนท์พัง ทำเอางงไปพังใหญ่ว่าจะออกตั๋วได้ไหม หรือยังไง ผ่านไปเกือบอาทิตย์กว่าจะหายพังและเอามารูดปรี้ดๆได้อีกครั้ง นึกว่าจะไม่ได้ออกตั๋วซะแล้ว ตอนแรกเราก็ลาก่อนเดินทางหนึ่งวันและหลังเดินทางหนึ่งวันตามแบบฉบับคนชอบเดินทางสบายๆ มีเวลาเตรียมตัวก่อนเดินทางและมีเวลาให้พักหลังเดินทางบ้าง สุดท้ายแผนการพังทลาย ยอมลาเพิ่ม ไม่หยุดล่วงหน้าเพราะนายอาจจะด่า ทั้งหมดเพื่อเลื่อนวันเดินทางให้ตัวเองสามารถไปดู Mcountdown ได้ทัน อย่างน้อยภารกิจมิชชั่นที่จะต้องทำในครั้งนี้จะได้สำเร็จไปหนึ่งอย่าง เลื่อนตั๋วที่เหมือนง่ายแต่จริงๆแสนจะยากเย็นเพราะแค่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เราออกตั๋วไปไฟล์ทก็เต็ม! เต็ม!! เต็ม!!! นี่บินฟรีกันรึเปล่าคะ!!! สุดท้ายได้มาหนึ่งที่นั่งวันที่ 23 เราจึงจัดการเปลี่ยนเลยค่ะ เสียอะไรไม่ว่าต้องเอาที่นั่งนั้นมาให้ได้

ถึงจะดูเหมือนไร้สาระและเหตุผลในการยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถไปลงชื่อรายการเพลงรายการนึงได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ดู แต่การเลื่อนไฟล์ททั้งทีมันก็มีอะไรดีๆมากไปกว่านั้น มันทำให้เราไปทันละครเวที Legally Blonde รอบที่เจสสิก้าเล่นพอดี เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องมานั่งกดคลิกๆๆๆจองบัตรละครเวทีด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ถึงจะเคยมาดูคอนเสิร์ทที่เกาหลีแล้ว มีบัตรคอนเสิร์ทโบอาและบัตรละครเวที Catch Me If You Can อยู่ในมือแล้วแต่นั่นอาศัยมือคนอื่นคลิกล้วนๆ เก็บครั้งแรกไว้ให้เธอคนเดียวเลยนะสิก้า ><

คราวนี้เราทำงานจนเย็นวันสุดท้ายก่อนบินเลยค่ะ ทำงานเสร็จดิ่งกลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ปิดกระเป๋า เดินทาง! ก่อนปิดกระเป๋านี่มาดราม่าน้องหมาเล็กๆน้อยๆ ตอนที่เราเดินหย่อนของ นั่นนิดนี่หน่อย หันมาอีกทีกำลังจะปิดกระเป๋า .. แบมแบมไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยเลยค่ะ ฮืออออออออ จะขำก็ขำ จะจ๋อยก็จ๋อย เหมือนหมาน้อยจะรู้ทุกครั้งที่เราจะเดินทางว่าเราจะหนีเที่ยวอีกแล้ว เจ้าของทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตา ㅠㅠ

20130225-230703.jpg

เดินทางได้…ไหม

หลังจากที่ทำพิธีกรรมร่ำลาน้องหมาเสร็จสิ้น เราก็พร้อมออกเดินทางล่ะค่ะ แอบตื่นเต้นไม่น้อยตอนที่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่เดินทางคนเดียวจริงๆเป็นครั้งแรก คราวที่แล้วเที่ยวคนเดียวแต่ก็ยังมีผู้มีอุปการคุณที่เดินทางไปพร้อมกัน แถมยังจะไปติ่งคนเดียวด้วย .. ชักจะกล้าเดินไปแล้วนะ!

ก่อนเดินทางปัญหาเกิด เกิดอะไร? ขอเริ่มต้นด้วยประโยคบอกเล่าสั้นๆว่า “มือถือเราใช้ McAfee Scan Virus” ค่ะบางคนอาจจะบอกว่าแล้วไง ไม่แล้วไงค่ะ มันก็ดี อาจจะดีเกินไปหน่อยสำหรับคนความจำสั้นอย่างเรา ㅠㅠ ที่เราวางแผนไว้ในครั้งนี้คือจะไม่ใช้น้องไข่ไวไฟค่ะ เพราะการเดินทางคนเดียวทำให้รู้สึกว่าไม่อยากพะวงหลายๆเรื่องและราคาก็ไม่ต่างกันเท่าไร (ไม่มีคนหารนั่นเอง) เพราะงั้นเพิ่มเงินซักหน่อยให้มือถือเราสามารถใช้ Data Roaming ได้ไม่จำกัดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเรา เราจะได้ไม่ต้องพะวงว่าไข่จะหาย (หะ?) สายชาร์จจะอยู่ไหม แบตอะไรจะหมด แค่ดูแลมือถือให้ดีก็พอ โดยทางเลือกของเราคือ Prepaid ของค่ายนึง เพราะมือถือค่ายที่เราใช้อยู่ไม่มี Unlimited Data Roaming ค่ะ ก็กลัวจะติ่งไม่พอ เลยจัดการไปตระเตรียมซื้อซิมใหม่ซะให้เรียบร้อยดิบดี แต่ไม่เคยลองใช้ พอวันเดินทางเราก็ไปเติมเงินเพื่อจะใช้แพคเกจที่สนามบิน แค่เปลี่ยนใส่ซิมใหม่เท่านั้นแหละ McAfee ผู้แสนดีก็ให้ใส่รหัสรหัสที่เราจำไม่ได้ ใส่ผิดและ….เครื่องล็อค ไม่สามารถทำอะไรกับเครื่องได้นอกจากหาพินที่ถูกมาใส่ Restart ได้แค่นั้น โทรศัพท์ยังเรียกร้องพินอยู่ร่ำไป Restore ก็ไม่ได้ ณ จุดนั้นที่กำลังใกล้จะบิน เจ้า McAfee บอกเราผู้เป็นเจ้าของเครื่องว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ใช่ของแก เอาไปคืนเจ้าของซะ หรือไม่ก็ติดต่อขอพินบั้ดดี้ซะ โชคดีมากที่เราติดต่อบั้ดดี้คือแม่ให้ดูรหัสที่ McAfee ส่งไปทางข้อความได้หลังจากโทรไปหลายรอบ ไม่งั้นมือถือจะมีค่าแค่ที่ทับกระดาษ ㅠㅠ

โชคดีที่ในที่สุดเราก็สามารถจัดการทุกอย่างได้สำเร็จก่อนเวลาเครื่องขึ้น และโชคดีกว่านั้นที่มีปัญหาซะตั้งแต่ที่เมืองไทย เพราะถ้าไปพินผิด เครื่องล็อค ช็อคโลกอย่างนี้ที่เกาหลีสงสัยชีวิตพังเป็นยังไงคงได้รู้จักแน่ เพราะข้อมูลและแผนการเดินทางและข้อมูลทั้งหมดของเราอยู่ในโทรศัพท์มือถือค่ะ ไม่ได้สำรองไว้ในไอแพดซะด้วย สุดยอดมากๆ ขอบคุณ McAfee ที่ดูแลคุ้มครองมือถือเราอย่างดี(เกินไป)มา ณ ที่นี้ด้วย

20130225-231011.jpg

เจอเรื่องปวดเศียรตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่อง แต่เรายังใจเต้นตึ่กๆอยู่เลย ชั่วโมงนั้นที่ทุกคนกระหน่ำส่งข้อความทางไลน์ ทวิตเตอร์ และแม่ก็พยายามโทรหา ปวดหัวไม่น้อยเลยค่ะ เพราะนัดเจอเพื่อนที่จะไปดูคอนเสิร์ทโบอาด้วยกันไว้ใน Custom แต่ติดต่อกันไม่ได้เพราะมือถือล็อคไปพักนึง พอเอามันกลับมาได้มือถือก็พร้อมใจกันเตือนทุกแอพเหมือนจะระเบิด ตื่นเต้นหนักเลยทีนี้ ความตื่นเต้นทั้งหลายทั้งปวงของเรามันจบลงตอนที่ที่นั่งข้างๆของเรามีคนมานั่งด้วยและเพื่อนร่วมทางเป็นคนทำงานด้านพลังงานอย่างนึง เค้าเป็นมิตรนะคะ ชวนคุยนั่นนี่ แล้วก็เลคเชอร์เรื่องพลังงานทดแทนนิดหน่อย ในขณะที่เบาะด้านหลังเป็นโซวอนล้านเปอร์เซ็นต์เพราะได้ยินชื่อยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า สลับกันไป ในใจน่ะอยากจะหันไปคุยด้วยคน แต่จะปีนพนักไปก็กระไร สุดท้ายในขณะที่ด้านหลังยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้าและด้านหน้าพลังงาน พลังงาน พลังงานอยู่นั้นเราเลย……หลับตัดหน้าทุกคนไปอย่างสวยงาม ฮ่า!

เจอกันอีกทีก็อาหารเช้า เราพร้อมจะลงจอดที่เกาหลีแล้ว .. ส่วนทำไมเบาะหลังถึงยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้านั้น แล้วก็จะได้รู้ในไดอารี่วันถัดๆไปค่ะ ตอนนี้เราพร้อมลั้นลากันแล้ว ไปกันดีกว่าเนอะ ^^

เกาหลีรอบที่สองของเรากลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว

เรื่องมันเริ่มที่แม่บ่นอยากไปเที่ยวเกาหลีตั้งแต่ปลายปี 2011 ได้ จนเมื่อปีที่แล้วลูกสาวไปแว๊นเกาหลีมาก่อนเป็นที่เรียบร้อยแม่ก็ยังไม่ได้ไป สุดท้ายก็จัดสรรตารางได้แล้วบอกว่าจะไปปลายกุมภาพันธ์ เจรจากันไปมาเลยตกลงกันว่าแม่ควรจะไปเที่ยวกับทัวร์แต่ขอให้แม่เลื่อนมาเป็นช่วงปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์แทนได้ไหม ซึ่งแม่ก็โอเค หารู้ไม่ว่าลูกสาวมี hidden agenda ว่าจะอยากอยู่เกาหลีในวันเกิดของโจว คยูฮยอน แฮ่~!

ทริปนี้เรากำหนดวันไว้และออกตั๋วตั้งแต่ปลายปีแล้วว่าจะไปช่วงไหน ยังไงเสียก็เล็งไว้แล้วว่าวันเกิดของคยูคงเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่สาวๆจะมี Arena Tour ที่ญี่ปุ่นก็เดาไว้ว่าถ้าสาวๆไม่ออกอัลบั้มช่วงที่เราจะไปก็คงเป็นหลัง Arena Tour ช่วงเมษายนไปเลยซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเที่ยวให้เต็มที่ ส่วนที่เหลือค่อยว่ากันอีกที ด้วยความที่วันเดินทางเป็น fixed schedule ไม่สามารถเปลี่ยนได้อีกแล้วเนื่องด้วยหน้าที่การงานก็มี เราเลยทำได้แค่เฝ้าภาวนาให้รอบละครเวทีของหนุ่มๆสาวๆ การคัมแบ็คของ SNSD อยู่ในช่วงที่เราจะไป ทำได้เท่านั้น .. ใครจะเชื่อว่ามันจะเป็นจริง

ทริปนี้กลายเป็นทริปติ่งขั้นสุดสำหรับเราเมื่อช่วงนั้นมีคอนเสิร์ทโบอาครั้งแรกในรอบ 12 ปีตั้งแต่เธอเดบิวท์ คยูฮยอนเปลี่ยนรอบละครเวที Catch Me If You Can กับนักแสดงท่านอื่นมาเล่นในช่วงนั้น มีรอบละครเวที Legally Blonde ที่ Jessica เล่นพอดิบพอดี และที่สำคัญตรงกับ SNSD Comeback อัลบั้มใหม่ด้วย และนอกจากติ่งขั้นสุดแล้วสงสัยเราจะเพลิดเพลินกับอาหารมากไปจนมีคนเรียกทริปนี้ว่า “ชิมไปติ่งไป” เลยทีเดียว

และตามธรรมเนียมที่ปกติจะกลับมาแล้วเขียนไดอารี่ แต่บอกตรงๆคราวนี้ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะก็ไม่ได้ไปที่ที่เสริมสร้างความรู้แต่อย่างใด สุดท้ายก็ได้หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ซื้อมาเป็นแรงบันดาลใจว่าจะลองชิมไปติ่งไปเวอร์ชั่นการ์ตูนติ่งนะคะ .. อาจจะมีการ์ตูนป่วยๆบ้าง ไว้ลองมาดูกันว่าเวอร์ชั่นการ์ตูนติ่งจะเขียนเสร็จทันการไปเที่ยวครั้งต่อไปหรือไม่

ช่วยติดตามกันด้วยนะคะ ><

นัยน์ตาคมมองจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แน่นิ่ง คิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่นอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมหยิบปากกาที่ใกล้ตัวมาจดอะไรลงลงไปบนกระดาษสีขาว ดวงตาคมกริบเหลือบขึ้นมองหน้าจอสว่างไสวตรงหน้าสลับกับกระดาษตรงหน้าของตน ที่จดมานี้เขาเองก็ไม่ได้เข้าใจนักหรอกว่ามันคืออะไรบ้าง ก็แค่รู้ว่าสิ่งของตรงหน้าคือสิ่งที่เขาต้องใช้เท่านั้นเอง เขายกกระดาษที่มีลายมือยุกยิกขึ้นมามองอย่างชั่งใจก่อนที่จะหายใจยาวเมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มือแกร่งเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือคู่ใจขึ้นมากดต่อหาใครบางคน

“ฮัลโหล เจสสิก้าเหรอ ผมต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง” คริสกรอกเสียงทุ้มไปตามสาย ด้วยความที่ชายหนุ่มไม่มีญาติในเกาหลี ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่แคนาดา ประเทศที่เขาเกิดและเติบโตจนย้ายถิ่นฐานมาทำงานอยู่ที่นี่ เขาจึงมีเพียงแค่เพื่อนเท่านั้นที่จะสามารถขอความช่วยเหลือได้อย่างเร่งด่วนในตอนนี้ แต่หลังจากที่พิจารณาถ้วนถี่แล้วเพื่อนสนิทของเขาที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายคงช่วยอะไรเขาไม่ได้ ซ้ำร้ายอาจจะยิ่งสร้างปัญญา เขาจึงตัดสินใจต่อสายหาเจสสิก้า เพื่อนผู้หญิงที่เขาคิดว่าสนิทและคิดว่าพอจะช่วยได้ ยังไงเสียเธอน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพื่อนสนิทคนอื่นๆ เขาแจ้งรายละเอียดเธอไปและขอร้องจนอีกฝ่ายตกลงมาพบอย่างเสียไม่ได้

คริสวางหูโทรศัพท์ก่อนที่จะรีบไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับเจสสิก้าไว้ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน ร่างสูงกระชับเสื้อหนาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้นก่อนจะเดินฝ่าลมหนาวเข้าไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ทันทีที่เขาเห็นร่างเล็กกะทัดรัดในชุดชายหนุ่มก็ก้าวยาวๆเข้าไปหา ต่างกับเธอที่ส่ายหัวเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายในเสื้อโค้ทสีเหลืองตัวโต

“อะไรของนาย บอกมาซะดีๆนี่มันเรื่องอะไรลากฉันออกมาซุปเปอร์มาร์เก็ตเอาตั้งแต่นกยังไม่ออกหากินแบบนี้ ถ้านายไม่บอกก็เชิญอยู่ที่นี่ไปคนเดียวเถอะ ช้อปให้สนุกนะ” คนตัวเล็กโวยวายทันที่ที่เขาเดินเข้ามาใกล้ มีอย่างหรือ นึกจะนัดก็นัดเธอออกมา บอกแค่ว่าให้มาที่ไหนและสำคัญมากโดยไม่ยอมอธิบายซักคำว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เป็นเวลาเช้าตรู่อย่างนี้ในสถานที่แบบนี้ แค่คิดเจสสิก้าก็พร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อ

มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวแล้วหยิบเอากระดาษที่เต็มไปด้วยรอยปากกาขึ้นมายื่นที่ตรงหน้าเธอ หญิงสาวปราดตาอ่านเพียงชั่วครู่ก็พอรู้ว่าเป็นอะไร “ช่วยซื้อให้หน่อยสิ ผมไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แล้วเค้าต้องใช้ยี่ห้อไหนกัน” คริสเอ่ย

เพียงแต่ได้ยินเจสสิก้าก็แทบอยากจะตายไปซะตรงนั้น ก็เธอน่ะเป็นตัวช่วยที่ผิดมหันต์ หญิงสาวกระดาษที่คริสจดรายการส่วนผสมด้วยคิ้วขมวดมุ่นก่อนจะตัดสินใจคว้ามันมาไว้ในมือแล้วเดินนำไป ปล่อยให้ร่างสูงสาวเท้ายาวๆตามไปไม่ไกลนัก

หญิงสาวร่างเล็กเดินหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้จากชั้นมาอ่านดูก่อนจะโยนใส่รถเข็นที่ชายหนุ่มเข็นตามมา เปล่าเลย เจสสิก้าไม่ได้รู้เรื่องการทำอาหารหรอก เธอแค่อ่านสลากแล้วเลือกเอาที่เหมือนกับรายการของคริสก็เท่านั้น แล้วก็เลือกเอาที่เธอคุ้นๆว่าเคยเห็นที่บ้าน อันไหนที่ไม่คุ้นเธอก็เลือกที่ราคา เจสสิก้าถือคติที่ว่าของแพงมักดีกว่าเสมอ คริสได้แต่เดินเข็นรถมองตัวช่วยข้างหน้าอย่างมีหวังว่าอย่างน้อยสิ่งที่เขาตั้งใจไว้มันอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด

แต่เจสสิก้าก็ไม่ทำให้เขาจะดีใจมากไปกว่านั้น หญิงสาวเอ่ยลาทันทีที่เลือกของและชำระเงินเสร็จ “ทำเองเถอะนะคริส ฉันว่านายทำเองน่าจะดีกว่า อีกอย่าง..ฉันทำอาหารไม่เป็น” สิ้นคำคนตัวเล็กก็เดินจากไปทิ้งเขาให้ยืนมองข้าวของที่ซื้อมาตรงหน้า อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

…อย่าบอกนะว่าไอ้ที่ซื้อมานี่เลือกโดยคนทำอาหารไม่เป็น อย่าได้เลือกผิดเชียวนะเจสสิก้า

…ขอโทษนะคริส ฉันพอจะรู้ว่าเธออยากจะทำอะไร แต่ถ้าฉันช่วยมันจะพังกันไปหมดน่ะสิ

ร่างสูงใหญ่เดินถือข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาในห้องชุดขนาดใหญ่อย่างทุลักทุเลก่อนจะวางลงบนโต๊ะทานอาหารในห้องครัว เขาค่อยๆหยิบของที่ซื้อมาออกมาจากถุงทีละอย่าง นัยน์ตาสีเข้มค่อยๆอ่านสลากเพื่อเทียบกับกระดาษที่เขาจดไว้เมื่อครู่ เขาเปิดตู้ขนอุปกรณ์ทำครัวทุกอย่างเท่าที่มีออกหมายจะมาวางบนเคาท์เตอร์ครัวในคราวเดียว แต่กลับหลุดมือหล่นกระจายอยู่ที่พื้น คริสใช้มือข้างนึงค่อยๆหยิบมาไว้ในแขนแกร่งก่อนจะหอบเอาทุกอย่างขึ้นมาวางสำเร็จ เขาเดินไปหยิบชุดกันเปื้อนลายน่ารักที่เธอมักจะใส่มาสวมทับเสื้อยืดแขนยาวสีขาวแล้วถกแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะให้กำลังใจตัวเองอย่างกับคนจะออกรบ สุดท้ายเขาก็เริ่มจากการตวงส่วนผสมตามที่ตัวเองจดไว้ มือหนาทำทุกอย่างอย่างเงอะๆงะๆตามประสาคนไม่เคย ปากก็พลางท่องจำนวนส่วนผสมพร้อมๆกับที่กำลังตวง

“แป้งหนึ่งถ้วยครึ่ง หนึ่ง ครึ่งถ้วยคืออันไหนเนี่ย” เขาหยิบถ้วยตวงขึ้นมาส่องอ่านตัวหนังสือที่ด้านข้างเพื่อความมั่นใจว่าเป็นครึ่งถ้วยก่อนจะใช้ตวง

ส่วนผสมค่อยๆวางเรียงอยู่ในถ้วยตรงหน้าทีละอย่างจนกินพื้นที่เกือบเต็มเคาท์เตอร์ยาวในห้องครัว มือหนาเอื้อมหยิบชามผสมใบใหญ่กับตะกร้อตีไข่ขนาดถนัดมือขึ้นมา ดวงตาคมเข้มอ่านกระดาษบันทึกอีกครั้ง นึกถึงภาพที่ตนเองได้ค้นคว้าหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี เขาหยิบเนยกับน้ำตาลใส่ลงไปในชามอ่างค่อยๆผสมให้เข้ากันอย่างทุกลักทุเล เสียงก๊องแก๊งยังคงดังได้ยินเป็นระยะๆเพราะเขายังคงไม่คุ้นกับการทำอาหาร เดี๋ยวก็ทำไม้ตีบ้างชามที่ใช้ผสมแป้งบ้างหลุดมือ ชายหนุ่มค่อยๆใส่ส่วนผสมลงไปทีละอย่างและค่อยๆทำมันอย่างพยายามจนแป้งเหมือนจะเข้ากันดี เขาตักส่วนผมใส่ในถ้วยคักเค้กแล้วนำเข้าเตาอบที่ตั้งความร้อนไว้ ระหว่างรอเวลาให้ขนมอบได้ที่ร่างสูงเดินไปเดินมาอย่างกับหนูติดจั่น สายตานั้นแทบจะไม่ละไปจากวัตถุที่อยู่ในเตาอบเลย เพียงไม่นานคริสก็นำถาดขนมที่อบร้อนๆออกจากเตามาวาง ชายหนุ่มกอดอกยืนมองคัพเค้กที่ได้อย่างภูมิใจทั้งๆที่ยังไม่เสร็จดี เหงื่อเม็ดโตไหลซึมลงมาตามไรผมแต่เขากลับเช็ดด้วยแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นบอกการมาถึงของใครบางคน ร่างสูงใหญ่ละจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารีบไปเปิดประตูให้ทันทีราวกับคนกำลังรอผู้มาเยือนคนนี้ ทันทีที่คริสเปิดประตูรับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมวงก็ดังขึ้น “พี่คริส! นี่พี่กำลังทำอะไร!!”

ภาพชายหนุ่มอกสามศอกใส่ชุดกันเปื้อนสั้นเต่อ ทั้งตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่นแป้งสีขาวไม้เว้นแม้แต่ศรีษะ แป้งที่เกาะจนแห้งอยู่ที่ใบหน้าหล่อนั่นทำให้ซูโฮไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ง่ายๆแม้ได้รับการตอบโต้ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายของคนตัวโตกว่า “หัวเราะอะไรของนาย” เขาเอ่ยก่อนที่ร่างสูงใหญ่หันขวับเดินเข้าห้องไปทำเอาซูโฮชักใจคอไม่ดี ก็จะอะไรเสียอีก ใครๆต่างก็รู้กันว่าคริสอารมณ์เสียน่ะเลวร้ายแค่ไหน

ซูโฮเดินตามเขาเข้าไปในห้องอย่างคุ้นเคย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร คริสกลับเรียกเขาให้เดินตามเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับยื่นอะไรบางที่หน้าตาคล้ายกับขนมสีน้ำตาลเข้มมาตรงหน้า “อะ ลองกินดู”

ซูโฮยื่นมือไปรับของชิ้นนั้นมาอย่างเกร็งๆ เดาไม่ออกว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นอยู่ในอารมณ์ไหน เมื่อแรกดูเหมือนจะโกรธแค่กลับยื่นขนมประหลาดมาให้แทน ซูโฮมองขนมในมือสลับกับเพื่อนของเขาอย่างพิจารณา เขากับคริสรู้จักกันมานานจึงทำให้ทั้งเป็นเพื่อน พี่และที่ปรึกษา ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักที่แม้แต่บุรุษเพศด้วยกันอย่างเขายังอิจฉาไม่ได้ฉายแววความมั่นใจอย่างทุกครั้ง กลับแดงไปจนถึงใบหู ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยจึงทำให้พอรู้ว่าแท้จริงแล้วคริสไม่ได้โกรธ เขาก็แค่..อาย ชายหนุ่มไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ เขาเป็นคนที่มีความเป็นผู้ชายสูงลิบ ห้องครัวและการทำอาหารห่างไกลความเป็นคริสนัก แล้ววันนี้เกิดอะไร

“เป็นยังไงบ้างวะ” คริสถามขึ้นทันทีที่ซูโฮยกขนมอบฝีมือเขาขึ้นกินก่อนที่จะแสดงสีหน้าแสนประหลาดก่อนจะไอค่อกแค่กจนเหมือนสำลัก คริสรีบยื่นไปไว้ตรงหน้าเพื่อนทันทีในขณะที่ซูโฮเองก็รับไปดื่มอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“มันก็ไม่แย่นะ พอกินได้อ่ะ” รสชาติมันก็ไม่แย่นัก จัดว่าดีผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกเลยทีเดียว หากแต่มันร้อน แข็ง และขมจนเกินคำว่าอร่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง

“งั้นนายว่าถ้าใส่สตรอว์เบอร์รี่ลงไปจะได้ไหม” คนสูงวัยกว่าถามแบบไม่มั่นใจเท่าไรนัก

” หา! สตรอว์เบอร์รี่!” ซูโฮร้องเสียงหลง ก็จะไม่ให้ตกใจขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ในเมืองคัพเค้กที่เขาเพิ่งเสี่ยงชีวิตกินไปเป็นคัพเค้กขนาดจิ๋วแต่สตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดตรงหน้าเขามองยังไงก็ดูใหญ่เกินไป ขนาดมันน่าจะเท่าหรือใหญ่กว่าคัพเค้กที่เขาเป็นหนูทดลองด้วยซ้ำไป “พี่จะใส่มันไปทำไม!”

คริสไม่ตอบอะไร เขาเองก็รู้ดีว่าว่าสตรอว์เบอร์รี่นั้นมันขนาดเกินที่จะใส่ลงไปในคัพเค้กจิ๋ว แล้วเขาควรจะทำอย่างไร ก็ในเมื่อทำตามที่จดมาทุกอย่างแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ดวงตาคมมองไปที่คัพเค้กขนาดเล็กสีน้ำตาลเข้มกับสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่

…แค่ทำเค้กให้เป็นเค้กก็ยากแล้ว เอาเป็นว่าทำวานิลาคัพเค้กธรรมดาให้สำเร็จก่อนดีไหม

…ผมว่าพี่อย่าทำเลยจะดีกว่า ซื้อเอาเถอะ ผมสงสารคนกิน ㅠㅠ

พ่อครัวขนมหวานมือสมัครเล่นมองของตรงหน้าอย่างชั่งใจ ระหว่างไปซื้อสตรอว์เบอร์รี่ลูกเล็กจิ๋วมาใหม่เพื่อให้ใส่ลงไปในคัพเค้กนั้นได้หรือไปซื้อถ้วยคัพเค้กขนาดปกติมาแทน คิดแล้วเคืองตัวเองไม่หายที่ไม่รู้จักเอะใจว่าทำไมขนาดถ้วยมันถึงได้เล็กนัก

“นายนั่งเล่นไปก่อนอย่าเพิ่งไปไหนนะ เดี๋ยวพี่มา” ชายหนุ่มพูดก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป

“เฮ้ย! ฮยอง!” ซูโฮร้องเรียกชายหนุ่มผู้พี่เสียงดังแต่ก็รั้งเขาไว้ไม่ทัน คริสเดินผลุนผลันออกไปทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลายน่ารัก

ร่างสูงเดินกลับเข้ามาในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เพิ่งมากับเจสสิก้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วแต่แตกต่างกันที่ครั้งนี้เขามาเพียงคนเดียว คริสเดินไปตรงชั้นวางที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นถ้วยคัพเค้กกระดาษหลากสีโดยไม่ได้ใส่ใจสายตาหลายต่อหลายคู่ที่มองมาที่เขาหรือแม้แต่เสียงหัวเราะคิกคักที่แว่วมาให้เขาได้ยิน ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบเอาถ้วยกระดาษมาก่อนจะเดินไปเลือกซื้อสตรอว์เบอร์รี่สีสดขนาดเล็กลงมาอีกหนึ่งแพค .. ไม่ว่ายังไงก็คงสำเร็จซักทางสิน่า เขาพยายามบอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น

ระหว่างทางเดินไม่ไกลนักจากอพาร์ทเมนท์ของชายหนุ่ม คริวเดินถือถุงถ้วยกระดาษฝ่าสายลมหนาวพลางนึกก่นด่าตัวเองในใจที่รีบร้อนออกมาจนไม่ได้หยิบแม้แต่เสื้อหนาวก่อนที่จะชะงักกึก ดวงตาคมเหลือบลงมองตัวเองในชุดผ้ากันเปื้อน วูบนั้นเขาลืมความเย็นเฉียบไปชั่วขณะ ทั้งตัวร้อนผ่าวเมื่อนึกได้ว่าตัวเองน่าอายขนาดไหน ยิ่งคิดถึงสายตาหยอกล้อที่เขาเห็นและเสียงหัวเราะขันที่เขาได้ยินยิ่งทำให้เขายิ่งอับอาย ขายาวๆนั้นก้าวอย่างรวดเร็วจนเกือบวิ่งเพื่อจะพาตัวเองกลับบ้านไปให้เร็วที่สุด

“ย่าห์! คิม จุนมยอน!” เสียงเรียกชื่อจริงของซูโฮดังลั่นพร้อมกับเสียงเปิดประตูปัง ซูโฮที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเปล่งเสียงหัวเราะทันทีที่ร่างสูงใหญ่ผูกผ้ากันเปื้อนติดระบายสีหวานสั้นเต่อยืนหอบอยู่ตรงหน้า หาได้เกรงกลัวกับท่าทางแข็งๆอาการโวยวาย และใบหน้าที่แดงก่ำ ด้วยรู้ว่าคริสก็แค่อายจริงๆ

“ไม่บอกกันซักคำวะว่าไม่ได้ถอดผ้ากันเปื้อน”

“ก็ผมบอกไม่ทัน” ซูโฮตอบพลางหัวเราะจนคริสเองไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็พาตัวเองเดินกลับเข้ามาในห้องครัวปล่อยซูโฮให้ขําให้พอใจจนเหนื่อยและหยุดไปเองในที่สุด

หลังจากที่วางของที่ซื้อมาไว้ที่เคาท์เตอร์ห้องครัว ชายหนุ่มก็เริ่มตั้งสติอีกครั้งก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คริสเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องวุ่นวายทำอะไรที่ไม่คุ้ยเคยและแสนจะยุ่งยากขนาดนี้ แต่เมื่อนึกถึงดวงหน้าใสและรอยยิ้มหวานเหตุผลทุกอย่างก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เขายังจำได้ดีเมื่อครั้งที่เธอมักจะถามเขาว่าทำไมถึงชอบเรียกเธอว่ามายคัพเค้กนัก

“ทำไมต้องมายคัพเค้กละคะ”

“ทำไมคนอื่นเค้าเรียกกันว่าที่รักแล้วทำไมเค้าถึงเป็นขนมละคะ!”

“คัพเค้กมันอ้วนไม่ใช่เหรอคะ เค้าอ้วนเหรอคะ”

รอยยิ้มละมุนเผยขึ้นช้าๆบนใบหน้าหล่อสมบูรณ์นั้นเพียงแค่คิดถึงเธอที่รัก มือหนารวบหยิบอุปรณ์เครื่องครัวที่เลอะเทอะไปทำความสะอาดก่อนจะเริ่มลงมือทำใหม่อีกครั้ง

ร่างสูงเฝ้าเวียนวนอยู่หน้าเตาอบ ดวงตาคมคอยแต่จะมองสังเกตความเปลี่ยนแปลงของของที่อยู่ด้านในนั้น ขนมที่ค่อยๆฟูขึ้นทีละน้อยและกลิ่นหอมหวานที่อบอวลไปทั่ว ทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้เขาก็ปรี่เข้าไปนำเอาขนมอบใหม่ออกมาด้วยใจระทึก ครั้งนี้ผลงานออกมาคัพเค้กสีเหลืองทองสวยดูน่ารับประทาน ดูดีกว่าครั้งที่แล้วอย่างไม่น่าเชื่อ เขายิ้มอย่างยินดีก่อนจะหยิบเอากระดาษที่เริ่มยับยู่ยี่ออกมาดูอีกครั้งก่อนที่สายตาจะพลันเหลือบไปเห็นถุงถ้วยคัพเค้กที่เรียงกันอยู่เกือบจะครบทุกสีทุกขนาดตั้งแต่ขนาดมินิ ขนาดกลาง ขนาดปกติ

…เจสสิก้า! เธอจะหยิบถ้วยคักเค้กมาให้ทำไมทุกไซส์!!

…ขอโทษน่ะคริส ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันทำอาหารไม่เป็น

มือหนาหยิบเอาคัพเค้กที่ตั้งไว้จนเย็นขึ้นมาพิจารณา เขาตัดสินใจหยิบช้อนตักเอาตรงกลางออกบางส่วนแล้วลองวางสตรอว์เบอร์รี่ลงไปก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองลืมทำไอซิ่งเหลว คริสหยิบเอาชามอ่างขึ้นมาผสมน้ำตาล ผิวมะนาว และน้ำมะนาวจนเข้ากันดี เขามองก้อนเค้กที่ตักออกมาแล้วจึงหยิบเข้าปากเสีย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฎอยู่บนใบหน้าทันทีที่ได้รู้ว่าครั้งนี้ฝีมือของเขาไม่แย่อย่างที่คิด ครั้งที่แล้วเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีผิดพลาดกันบ้างแล้วมันก็เป็นความโชคร้ายของซูโฮก็เท่านั้น ครั้งนี้เขารับประกันว่ามันจะต้องออกมาดี ชายหนุ่มค่อยๆเทน้ำตาลไอซิ่งเหลวที่ละลายไว้บนหน้าคัพเค้กแล้วโรยผงน้ำตาลสีเขียวและตกแต่งให้สวยงาม

ร่างสูงเกินมาตรฐานชายเกาหลีที่เดินเข้ามาหาเธอในร้านกาแฟขนาดเล็กเป็นจุดสนใจของคนเกือบจะทั้งร้าน ด้วยหน้าตาหล่อเหลาและผมสีทองเจิดจ้าแตกต่างจากชายเกาหลีทั่วไป สายตาที่ต่างจับจ้องว่าใครหนอจะเป็นหญิงสาวผู้โชคดีที่ได้ครอบครองหัวใจของหนุ่มรูปงามคนนี้ เพียงแค่เขาไปยืนหยุดอยู่ที่โต๊ะความสนใจก็เปลี่ยนจากเขาไปเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่แทน เธองดงามหมดจด สีหน้าท่าทางอ่อนหวานราวกับนางฟ้าในชุดสีโอล์ดโรส

“ไปไหนมาคะ เค้าโทรมาไม่เห็นรับสาย แถมไม่ตอบข้าความเค้าด้วย .. เคืองชะมัด” เสียงหวานเอ่ยถามแกมตัดพ้อทันทีที่เห็นคนคุ้นตาอยู่ตรงหน้า

กล่องสีขาวลายจุดสีเขียวประดับด้วยริบบิ้นสีเดียวกันดูน่ารักถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว ดวงหน้าหวานเผยผิวขาวใสแต่งแต้มแค่เพียงลิปกลอสสีชมพูอ่อนบนริมฝีปากสวย นัยน์ตาที่มักจะเปล่งประกายระยับมองเขาอย่างสงสัย เมื่อวานเธอติดต่อคนรักหนุ่มไม่ได้ตลอดทั้งวันจนเริ่มกังวล แต่เจสสิก้ากลับบอกว่าคริสไม่เป็นอะไรหรอก แค่ทำบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ว่าเธอจะพยายามถามเท่าไรว่าเจสสิก้ารู้ได้อย่างไรว่าคริสกำลังทำอะไรแต่พี่สาวก็ไม่ยอมขยายความ บอกเธอแค่เพียงว่า .. เดี๋ยวก็รู้

ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างๆหญิงสาวอย่างคุ้นเคย เขามองมือเรียวบางค่อยๆแกะริบบิ้นสีหวานออกอย่างทนุถนอมก่อนจะเปิดดูด้านในด้วยความระมัดระวัง ดวงตาสวยเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นสิ่งของที่อยู่ด้านใน คัพเค้กที่ไม่ได้แต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมหนาๆหากแต่เป็นไอซิ่งบางๆสีเขียวอ่อนจนเกือบจะกลายเป็นขาวเกาะอยู่บนเนื้อเค้กสีเหลืองสวยน่ารักประทาน ด้านบนประดับด้วยใบสตรอว์เบอร์รี่สีเขียวสดดูน่ารัก หญิงสาวหันไปมองคนข้างๆอย่างตื่นเต้นระคนสงสัย

“คุณทำเองเหรอคะ คริส”

“เธอคิดว่ายังไงล่ะซอฮยอน” เขาตอบอย่างไว้ทีทั้งๆทีในใจแสนยินดีที่เห็นรอยยิ้มเจิดจ้า ชะรอยของขวัญที่เขาตั้งใจทำให้คนจะถูกใจเธอไม่น้อยทีเดียว

“มันจะทานได้ไหมคะ” เธอเอียงคอถามอย่างหยอกเย้าจนคริสหน้าแดงไปถึงหูด้วยรู้ว่าคนรักไม่เคยแม้แต่จะทำรามยอนด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงการทำขนมอบหรือเบเกอร์รี่ที่ซับซ้อนกว่านั้น มือหนาเอื้อมมาทำทีว่าจะดึงของที่สู้อุตส่าห์ทำข้ามคืนกลับหากแต่เธอฉวยไว้ได้ทัน

“ให้แล้วไม่เอาคืนสิคะ คริส” เธอตอบพลางส่งยิ้มหวานที่เขามองยังไงก็แสนจะกวนส่งมาให้ ก่อนที่จะหยิบคัพเค้กขึ้นมาลองทาน “เค้าลองชิมนะ”

หญิงสาวทำหน้าประหลาดใจอีกครั้งที่ภายใต้เนื้อเค้กนุ่มและไอซิ่งรสเปรี้ยวหอมกลิ่นมะนาวกลับมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆจากเนื้อนุ่มฟูของสตรอว์เบอร์รี่เกาหลีไม่ได้เป็นแค่เนื้อเค้กอย่างที่เธอเข้าใจ ดวงตาคมมองคนข้างๆอย่างสังเกตอาการ คริสมองเธอค่อยๆเคี้ยวทีละคำจนกลืนลงคอไปก็ยังจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นราวกับเป็นคำถาม

“มองเค้าอย่างนั้นทำไมคะ อร่อยขนาดนี้เค้าไม่ตายหรอกค่ะ” เธอพูดพลางส่งรอยยิ้มหวานมาให้ก่อนจะพูดอีกประโยคถัดมาเบาๆ “แต่อาจจะท้องเสีย”

มือหนารวบคนตัวเล็กเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแน่นอย่างต้องการจะทำโทษคนขี้แกล้ง เธอจะรู้บ้างไหมว่าคัพเค้กชิ้นเล็กๆที่เธอกินอยู่น่ะทำเขาสาหัสเพียงใด “ว่าไงนะคะ มายคัพเค้ก”

“ไม่ว่ายังไงนะคะ หูไม่ดีหรือเปล่า” เธอตอบ ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อจนเกือบจะเป็นสีเดียวกับสตรอว์เบอร์รี่

ริมฝีปากหนากดประทับลงที่ปากเรียวบางได้รูปลิ้มรสหอมหวานจนแทบไม่อยากถอน หญิงสาวจูบตอบเขาอย่างอ่อนหวานหลังจากที่หายตกใจ เป็นครั้งแรกที่คริสแสดงความรักกับเธอต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะในที่สาธารณะ ปกติแล้วเขามักจะชอบทำท่านิ่งขรึมจนใครๆต่างก็สงสัยว่าเธอรักคนอย่างเขาไปได้ยังไง น้อยคนนักที่จะรู้ถึงความน่ารักของผู้ชายคนนี้ น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสอย่างที่เธอสัมผัส

“ทำไมต้องเป็นคัพเค้กล่ะคะ” เธอกระซิบถามอย่างแผ่วเบาทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงสัมผัสกันจนคนถูกถามใจเต้นไม่แพ้กับจูบแรก ซอฮยอนทำให้เขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กชายอายุสิบห้าที่ไม่ประสาเรื่องรักอีกครั้ง

“คัพเค้กมันทั้งหอมหวาน กลิ่นวานิลลาจางๆเหมือนกับเธอ ชิมแล้วก็อยากจะชิมอีกบ่อยๆน่ะสิ” เขาหยุดคำตอบไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเริ่มชิมคัพเค้กแสนรักของเขาอีกครั้งอย่างละมุนละไม

…Happy Valentine’s, My Cupcake

One Shot คริส ซอฉลองวาเลนไทน์ค่า
เหตุเกิดเพราะชื่อเล่นหรือ pet name ที่ซอฮยอนพูดถึงใน Romantic Fantasy เลยลองเอามาแต่งดู
เนื้อเรื่องเทไปทางพ่อรูปหล่อซะเป็นส่วนมาก ถึงจะคู่กันน้อยไปนิดแต่ก็น่ารักใช่ไหมคะ ><
รูปที่แปะเป็นหน้าตาคัพเค้กที่เอามาใช้ในเรื่องค่ะ คนเขียนก็ต้องไปหาสูตรมาเหมือนกัน
เพราะเรื่องนี้ทำให้อยากกินคัพเค้กทุกครั้งที่เขียน ถ้าอ้วนจะโทษซอฮยอน บู่~!
สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะทุกคน ขอให้มีความรักที่อร่อยหอมหวานเหมือนคัพเค้ก ^^

20130214-215858.jpg

Strawberry Lime Cupcake

ที่มา : Food network
http://www.foodnetwork.com/recipes/food-network-kitchens/strawberry-lime-stuffed-cupcakes-recipe/index.html

Life is a tragedy when seen in close-up, but a comedy in long-shot.” – Charlie Chaplin

1.

ในห้องทำงานสีขาวสะอาดตา ร่างสูงมองออกไปนอกหน้าต่างที่ขึ้นเป็นฝ้าจางๆ เกร็ดน้ำแข็งจากหิมะยังคงเกาะบางๆอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ด้านนอกทั้งอาคารและทางเดินเต็มไปด้วยสีสันประดับประดาไปด้วยของขวัญ ต้นคริสต์มาส กวางเรนเดียร์ และซานตาครอส ผู้คนต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองทำให้บรรยากาศของโซลในตอนนี้อบอวลไปด้วยความสุข ความอบอุ่น รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ช่างแตกต่างกับห้องทำงานเงียบๆของเขาเสียเหลือเกิน

ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก มือหนาหยิบตำราแพทย์ด้านหัวใจที่อ่านค้างไว้มาเปิดดู ดวงตาคมไล่อ่านทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นแพทย์เฉพาะทางแต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นแพทย์เวรประจำแผนกฉุกเฉินในคืนวันคริสต์มาสอีฟอย่างนี้เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยที่เป็นหนุ่มโสดไร้พันธะ คงดีกว่าที่จะให้คนที่มีครอบครัวหรือคนรักได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างนี้ ส่วนเขายินดีฉลองกับเพื่อนร่วมงานและคนไข้ในโรงพยาบาล อาจจะเป็นโชคดีที่ตั้งแต่เข้าเวรวันนี้เคสฉุกเฉินมีแค่อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น แค่ทำแผลนิดหน่อยก็ปล่อยให้กลับบ้านได้ เขาจึงได้ใช้เวลาว่างจากการตรวจที่แผนกฉุกเฉินมาค้นคว้าเพิ่มเติม เผื่อว่าจะมีข้อมูลดีๆน่าสนใจสามารถใช้รักษาผู้ป่วยภายใต้การดูแลของเขาได้

“คุณหมอจองคะ!” เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจากภายนอกพร้อมกับเสียงอึกทึก

ยุนโฮรีบฉวยเอาเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดมาใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าโดยไม่ลืมหยิบสเตทโตสโคปที่วางอยู่ไปด้วย ร่างสูงกำยำก้าเท้ายาวๆไปตามทางที่คุณพยายาลเดินนำไป ไม่ทันไรก็ไปหยุดข้างเตียงเลื่อน หญิงสาวท้องแก่ใกล้คลอดนอนอยู่บนเตียงอย่างกระสับกระส่าย ดวงตาคมสะดุดไปชั่วครู่เมื่อเห็นเจ้าของดวงหน้าหวานที่ตอนนี้ชื้นด้วยไรเหงื่อ

“ซอฮยอน…” เสียงครางเบาๆหลุดออกมาจากคุณหมอหนุ่มทันทีที่เห็นเธอ

…ซอฮยอนท้องอย่างนั้นหรือ กับใครกัน แล้วคริสล่ะ

“ซอ จูฮยอน ตั้งครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ เจ็บท้องคลอด ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตรแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลรายงานฉุดเรียกเขาขึ้นจากความสงสัย ตอนนี้ยังไงคงต้องทำคลอดก่อนแล้วค่อยเรียบเรียงเคียงถาม

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับที่มือน้อยแน่น เขาเอ่ยกับว่าที่คุณแม่ที่กำลังอยู่ในความเจ็บปวดด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “ซอฮยอน-อาห์ จำพี่ได้ไหม พี่จะเป็นคุณหมอทำคลอดให้เธอเองนะ”

“พี่ยุนโฮ” เสียงหวานแหบแห้งเรียกชื่อเขาเมื่อมองได้ถนัดขึ้น

“พี่จะดูแลทั้งเธอและลูกให้ปลอดภัย ไว้ใจพี่นะซอฮยอน” เขาเอ่ยกับเธอก่อนหันไปบอกพยาบาลให้พาเธอไปยังห้องเตรียมคลอด ส่วนเขาแยกไปเตรียมตัวเพื่อทำหน้าที่เป็นคุณหมอทำคลอดให้กับเธอ

กว่าชั่วโมงที่ซอฮยอนอดทนกับความเจ็บปวด โดยมียุนโฮรับหน้าที่เป็นทั้งคุณหมอและญาติเพียงคนเดียวที่คอยให้กำลังใจ จนก้าวเข้าสู่วันใหม่หญิงสาวก็ได้ให้กำเนิดทารกน้อยเพศชายหน้าตาน่ารักน่าชัง .. เด็กชายเกิดในวันคริสต์มาส ราวกับว่าเป็นของขวัญชิ้นน้อยๆแสนล้ำค่าที่ซานตาครอสมอบให้เธอ

รอยยิ้มอบอุ่นเคลือบริมฝีปากทันทีที่เธอเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและคนรัก หญิงสาวรับทารกน้อยจ้ำม่ำจากพยาบาลมาไว้ที่แนบอก ดวงตากลมสวยพินิจมองเจ้าตัวเล็กทีละส่วน ดวงหน้ากลมและแก้มยุ้ยๆ ผิวขาวจัดออกชมพูของทารกแรกคลอด ดวงตาที่ยังคงปิดสนิทรับกับจมูกเล็กและปากแดงจุ๋มจิ๋ม .. น่ารักเกินกว่าจะเป็นลูกชาย โตขึ้นคงสวยเหมือนพ่อ .. คุณหมอหนุ่มเฝ้ามองทุกอากัปกิริยาของคุณแม่คนใหม่อย่างอ่อนโยนแม้ในใจยังเต็มไปด้วยความสงสัย

“ซอฮยอน..” เขาเรียกเธออย่างคนตั้งใจที่จะถามแต่สุดท้ายกลับกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป เหลือเพียงเสียงเรียกชื่อเธออย่างแผ่วเบา

หญิงสาวละสายตาจากลูกน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขา เธอพอจะรู้ได้ถึงความข้องใจที่บุรุษหนุ่มตรงหน้ามี “ถามมาเถอะค่ะ ฉันตอบได้”

ยุนโฮนิ่งไปอยู่อึดใจ เขาถอนหายใจหนักก่อนที่จะเอ่ย “เด็กคนนี้…”

“เค้าคือลูกของคริสค่ะ” เธอตอบอย่างสัตย์จริง ดวงตาหลุบมองลงที่ลูกชายตัวน้อย หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆเพื่อไม่ให้เขาได้เห็นหยาดน้ำใสที่กำลังเอ่อล้นอยู่ริมสองตา

“แต่คริส…” ยุนโฮถามกลับเกือบจะทันที

“คริสเสียไปก่อนที่จะได้รู้ว่าเค้าจะได้เป็นพ่อ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนอยากมีแท้ๆ .. พี่คะ พี่ว่าคริสจะดีใจไหมคะที่เค้ามีลูกชายน่ารักขนาดนี้” หญิงสาวตอบพร้อมกับคำถามที่ถามราวกับว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง

ดวงตาคมมองภาพสองแม่ลูกตรงหน้าอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร คริส วูเป็นรุ่นน้องนักศึกษาแพทย์ที่เรียนตามกันมา คริสรักกับซอฮยอนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย เขารู้จักคริสครั้งแรกก็เพราะครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมรุ่นเคยเข้าใจผิดว่าเขาไปเดทกับเด็กภาษาศาสตร์ผมม้าหน้าใส แต่สุดท้ายกลับเป็นคริสที่ไปเดทกับซอฮยอน ด้วยส่วนสูงและรูปร่างที่คล้ายคลึงกันจนทำให้เพื่อนที่เห็นเพียงแค่ด้านหลังเข้าใจผิด ก็ใครเลยจะนึกว่าผู้ชายเกาหลีร่างสูงกำยำท่าทางดีจะเรียนแพทย์มากกว่าดารา

ที่เขารู้คริสและซอฮยอนอาศัยอยู่ด้วยกันฉันท์คนรักหลังจากเรียนจบ ทั้งสองไม่เคยทะเลาะกันแม้สักครั้ง คริส…ชายหนุ่มหน้าตานิ่งขรึมมักจะกลายเป็นคนขี้แกล้งและยิ้มเสมอเมื่ออยู่กับเธอ เธอ..ซอฮยอน หญิงสาวแสนอ่อนหวานจะกลายเป็นเด็กผู้หญิงช่างพูดคอยบ่นคอยดุคนรักไม่เว้นวัน เขามองแล้วก็นึกแปลกใจอยู่ทุกครั้งว่าความรักมันช่างประหลาดนัก คนเรามักจะมีด้านที่ไม่น่าเชื่อเสมอเมื่ออยู่กับคนคนนั้น หากความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่นึกฝัน คริสจากไปด้วยอุบัติเหตุ ปิดฉากอนาคตแสนสวยงามตรงหน้าของคุณหมอหนุ่มรูปงามและนักประพันธ์สาวแสนสวย

ไม่มีข่าวคราวใดจากซอฮยอนอีกเลยหลังจากงานศพคริสที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หญิงสาวหายเงียบไปจนทุกคนรอบข้างเป็นห่วง บ้างก็ว่าซอฮยอนยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิิดขึ้น บ้างก็ว่าเธอย้ายไปอยู่อาศัยที่เมืองอื่นตามลำพังอย่างคนไร้ญาติ เขาเองไม่ได้ติดใจไถ่ถามจนเมื่อได้พบเธอวันนี้ … วันที่หนึ่งชีวิตน้อยๆลืมตาขึ้นดูโลกโดยมีสองมือของเขาเป็นสองมือแรกคอยโอบอุ้ม

…แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปซอฮยอน

2.

เสียงนกร้องประสานกับเสียงหวานละมุนจากเพลงกล่อมเด็ก ซอฮยอนมองทารกน้อยที่เธออุ้มไว้แนบกาย เด็กชายหลับสนิทหลังจากที่เธอเพิ่งป้อนนมไปเมื่อครู่ หญิงสาวค่อยๆวางลูกน้อยลงที่บนเตียงก่อนจะตระคองกอดไว้อย่างเบามือเธอหยุดร้องเพลงกล่อมเด็กที่ฟังแล้วแสนเศร้าก่อนจะเปลี่ยนมาลูบศรีษะทุยน้อยพร้อมกับค่อยๆปล่อยตัวเองไปกับความคิด

“มีลูกกันเถอะนะซอฮยอน เธอก็รู้ว่าฉันอยากมีลูก” เสียงกระเง้ากระงอดของชายหนุ่มร่างโตดังขึ้น อีกครั้งแล้วที่คริสยังคงแสดงความตั้งใจในเรื่องเดิมๆ “อย่าคุมเลยนะซอ” เค้าพูดก่อนจะโยนแผงยาคุมกำเนิดขนาดเล็กทิ้งลงถังขยะไปต่อหน้าต่อตาอย่างที่อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหัวยิ้ม

…ทำตัวเป็นเด็กอีกตามเคย แล้วอย่างนี้จะเป็นพ่อคนได้ยังไงกัน

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองที่คนตัวเล็กกว่าพลางส่งสายตาอ้อนวอน ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือหนาเอื้อมไปจับกุมมือน้อยๆของเธอเขย่าเบาๆอย่างต้องการขอความเห็นใจ เขาเองรักเธอจะตายอยู่แล้ว คบกันอยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ตัวเขาเองก็อยากจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเสียที ถึงแม้ใครจะบอกว่าพวกเขายังไม่พร้อมที่จะมีลูก คริสเพิ่งเริ่มทำงานได้เพียงไม่กี่ปีและยังต้องศึกษาแพทย์เฉพาะทางต่อ ในขณะที่งานเขียนบทละครของซอฮยอนกำลังก้าวหน้า แต่เขาเชื่อแสนเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ซอฮยอนมองคนตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหากแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดวงหน้าสวยราวกับรูปสลักเข้ากับผมสีอ่อนทอประกายผิดจากชายชาวเอเชียทั่วไป ดวงตากลมโตคมกริบเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนยากจะอธิบาย ทั้งหยอกเย้า ซุกซน ดื้อรั้น จริงจัง และอ้อนวอน คนรักหนุ่มของเธอนี้ไม่เหลือภาพรุ่นพี่มาดเท่แสนเคร่งขรึม คุณหมอคนเก่งของไข้หรือนักเรียนแพทย์ดีเด่นของอาจารย์ เขาเป็นแค่คริส วู ผู้ชายที่รักเธอหมดหัวใจ

“ใครบอกว่าซอคุม อันนั้นมันของเมื่อเดือนที่แล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยทิ้งให้” เธอบอกเขากลับไปนิ่งๆพร้อมกับรอยยิ้มหวานละไมไปให้

เพียงแค่ได้ยินชายหนุ่มก็ดีใจจนตัวลอย “ไม่คุมแล้วจริงๆนะซอ อย่ามาหลอกให้ฉันดีใจเล่นนะ”

สองสัปดาห์หลังจากนั้นคริสก็ต้องพาซอฮยอนมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเมื่อหญิงสาวมีความปกติบางอย่างกับร่างกาย เขาทั้งสวดภาวนาอ้อนวอนกับพระเจ้า ขอให้ความหวังของเขาเป็นจริงเสียที .. พระเจ้า ได้โปรดประทานพรให้ลูกด้วย ให้ลูกได้มีบุตรสมใจหวังด้วยเถิด

ชายหนุ่มกุมมือเรียวบางของคนที่อยู่ข้างๆแน่นขณะที่รอผลตรวจ มือของเขาเย็บเฉียบแต่กลับชื้นไปด้วยเหงื่อ ซอฮยอนรู้ดีว่าเขาซ่อนความสับสนวุ่นวายใจภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยนั้น

“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะ ซอฮยอนแท้ง อายุครรภ์ยังแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้นเอง ผมคงต้อง….” เพียงเท่านั้นเองที่เขาสามารถจับใจความได้ เสียงนายแพทย์หนุ่มยังคงดำเนินต่อไป หากแต่สมองของเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว

แท้ง..คำเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัว คริสเสียใจไม่น้อยที่สิ่งที่เขาหวังไม่เป็นดั่งใจคิด แพทย์ผู้ดูแลซอฮยอนอธิบายให้เขาเข้าใจอีกครั้งเมื่อเขามีสติมากขึ้น “เด็กเพิ่ง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นเอง เขายังไม่เป็นตัวเลย อายุครรภ์เด็กขนาดนี้ปกติแล้วจะเป็นความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งก็เป็นไปตามการคัดเลือกตามธรรมชาติ คุณเองเรียนทางด้านนี้มาน่าจะรู้”

…รู้แล้วยังไง ในเมื่อความรู้ด้านการแพทย์ที่เรียนมาไม่อาจช่วยเขาได้ในเวลานี้

…รู้แล้วยังไง จะทำให้เธอเสียใจน้อยลงหรือยังไง

คริสได้แต่หันไปหยอกเย้าร่างบอบบางที่อยู่บนเตียง ดวงตาหวานแดงก่ำ หยาดน้ำตาพร่าพราวเกาะอยู่ที่แพขนตางอนหากแต่ไม่ได้ปล่อยให้รินไหลออกมา สำหรับเธอแล้วคงเจ็บปวดมากกว่าเขาหลายเท่านัก ทั้งเจ็บกายและผิดหวัง..เสียใจ แม้จะผิดหวังที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไข แต่เธอสำคัญมากกว่าสิ่งใดในตอนนี้ เขาควรจะต้องดูแลคอยให้กำลังใจเธอเพื่อที่จะก้าวผ่านเวลานี้ไปด้วยกัน

“ว้า แล้วที่ฉันแพ้ท้องแทนเธอล่ะซอ ฉันรู้สึกเหมือนฉันแพ้ท้อง ไม่ใช่หรอกเหรอเนี่ย” เขาแกล้งทำโวยวาย มือหนาเอื้อมไปยีที่ผมม้าด้านหน้าของเธอจนยุ่งไปหมด

“……..” ไม่มีเสียงตอบใดจากอีกฝ่าย น้ำใสแจ๋วเอ่อล้นที่สองตา จมูกได้รูปแดง หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นอย่างไม่รู้เจ็บ ดวงหน้าหวานบอกอาการราวกับจะร้องไห้ได้ทุกขณะจิต

“ไม่เป็นไรหรอกนะซอ ไว้เราค่อยพยายามใหม่อีกก็ได้นี่ เธอก็แข็งแรง ฉันก็แข็งแรง เห็นไหม ปล่อยแค่ไม่ทันไรเธอก็ท้องแล้ว แต่ถ้าเธอไม่มั่นใจ ฉันยินดีจะสร้างความมั่นใจด้วยการทำมันบ่อยๆ ดีไหมซอ”

“คริส คนบ้า!” ร่างบอบบางลุกขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินคำเขา มีอย่างหรือ คนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวานกลับมัวแต่มาพูดจาสองแง่สามง่ามแบบนี้ กำปั้นเล็กทุบรัวซ้ำๆไปที่หน้าอกของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มพยายามปัดป้องก่อนที่จะตัดสินใจรวบเธอไว้ด้วยสองแขนแกร่ง หญิงสาวยังคงพยายามทำโทษเขาแล้วก็หยุดนิ่ง เพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของเขา เพียงแค่ได้รับอุ่นไอที่คุ้นเคย ความแข็งแกร่งที่เธอพยายามสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงกลับพังทลายลงในพริบตา เสียงร้องไห้สะอื้นสะอึ้นดังขึ้นพร้อมกับความเปียกชื้นจากหยาดน้ำตาที่ชุ่มอยู่ตรงหน้าอกเสื้อ คริสปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มกระชับกอดแน่นขึ้นราวกับจะบอกเธอว่า .. ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร

เขาดันตัวเธอออกเมื่อเห็นเธอดีขึ้น สองมือหนาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะอยู่บนแก้มนวลใสอย่างทนุถนอม คริสก้มลงประทับจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากสีชมพู หยาดน้ำตาที่่เหมือนกับจะแห้งไปกลับไหลลงมาอีกครั้ง

…ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา ทำไมถึงต้องเป็นเราสองคน

ซอฮฮยอนใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ไม่นาน ความจริงแล้วเธอปกติที่สุดเท่าที่เธอจะเป็นได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของคริส เขาจึงขอร้องให้เธอพักผ่อนอยู่ซักหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยดำเนินชีวิตตามปกติอีกครั้ง น่าแปลกที่ความผิดหวังได้รับการเยียวยาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ควรเป็น อาจเป็นความรักของเขา .. ความรักของเรา .. ที่ช่วยรักษาทุกอย่างให้หายดีราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

สุขภาพจิตใจของซอฮยอนดีจนน่าตกใจ แต่สุขภาพกายกลับน่าเป็นห่วง หญิงสาวมักจะมีอาการอาหารไม่ย่อยและเสียดท้องจนต้องแอบตื่นขึ้นมากลางดึก เธอรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเธอ หากแต่ไม่อาจรู้ว่ามันคืออะไร ซอฮยอนไม่กล้าบอกคนรักด้วยกลัวเขาเป็นห่วง คริสมักจะทำอะไรเกินไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของเธอ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึกปลุกหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมา ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาของวันใหม่ แต่คริสยังไม่กลับบ้าน ซอฮยอนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มาไว้ที่แนบหู

“ซอฮยอนใช่ไหม คริสเกิดอุบัติเหตุ เธอรีบมาที่โรงพยาบาลด่วนเลยได้ไหม” เสียงใครซักคนที่แสนคุ้นหูดังขึ้นมาตามสาย

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบดี ซอฮยอนก็แทบจะหายตัวไปที่โรงพยาบาล ในยามวิกาลอย่างนี้ ด้วยคำพูดอย่างนี้ ทุกอย่างทำให้เธอร้อนรนจนแทบหายใจไม่ออก จากที่เป็นคนขับรถช้าอย่างที่คริสมักว่าว่าเธอขับรถรอไฟแดง เธอกลับใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีจากบ้านมายังที่หมาย หญิงวิ่งออกจากรถที่จอดเทียบไว้ส่งๆโดยที่ประตูยังไม่ปิดสนิทมายังห้องฉุกเฉิน ที่เบื้องหน้านายแพทย์อาวุโสกำลังยืนหน้าเครียดกับยุนโฮรุ่นพี่ของคริสที่เธอเคยเจอตั้งแต่สมัยเรียน ไม่นานนักผู้สูงวัยกว่าจะเดินจากไป หญิงสาวอีกคนในชุดเสื้อกาวน์สีเขียวเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วคุยอะไรกับนายแพทย์หนุ่มอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ทั้งคู่จะสังเกตเห็นเธอ

…ได้โปรดอย่าเดินมา ได้โปรดอย่าบอกฉันว่าเขาเป็นอะไร ได้โปรด

คำภาวนาของเธอเหมือนกับจะไม่เป็นผล แพทย์หญิงอีกคน แทยอนเพื่อนสนิทของคริส เธอคนนั้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจ ก้าวแต่ละก้าวช่างแสนช้าในสายตาของซอฮยอน ยิ่งใกล้ก็ยิ่งบีบหัวใจเหลือเกิน เธอคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าแล้วพูดอะไรบางอย่างที่ซอฮยอนได้ยินไม่ถนัด

คริส… สาหัส .. เราช่วยจนถึงที่สุดแล้ว .. ไม่ทำงาน .. จากไป .. ซอฮยอนไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินได้ถนัดนัก ราวกับว่าสมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ ความรู้สึกเจ็บปวดไหลปรี่ขึ้นมาจนเธอเจ็บไปหมดทั้งหน้าอก ยิ่งกว่ามีใครเอาหัวใจของเธอออกมาทั้งเป็น เรือนร่างบอบบางในชุดนอนสีขาวทรุดลงทั้งยืนจนหญิงสาวอีกคนที่ตัวเล็กกว่าต้องช่วยประคอง

“แทยอน แท… คริส… เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ” ซอฮยอนถามอีกฝ่ายขาดๆหายๆด้วยแรงสะอื้น หยาดน้ำใสแข่งกันไหลรินลงมาตามนวลแก้ม ใบหน้าหวานสวยตอนนี้ซีดยิ่งกว่ากระดาษขาว ดวงตากลมโตที่เคยส่องประกายวาวระยับกลับว่างเปล่า

“เขาไปแล้วซอฮยอน คริส… เสียแล้ว” แทยอนเจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องเป็นคนแจ้งข่าวร้ายให้กับคนรักของเพื่อนสนิท ยิ่งได้เห็นดวงหน้าที่เปื้อนเปรอะไปด้วยน้ำตาโดยที่เธอไม่อาจะช่วยอะไรได้เธอก็ยิ่งเสียใจ คุณหมอสาวโอบประคองคนที่กำลังร้องไห้อย่างต้องการเป็นที่พึ่งแทนอีกคนที่จากไป

…แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรโดยไม่มีเธอ

หญิงสาวตัดสินใจจัดงานศพของคริสเงียบๆ คริสไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากคุณป้าที่อาศัยอยู่ที่แคนาดา นางเดินทางมาร่วมพิธีศพหลานชายคนเดียวก่อนที่จะเดินทางกลับไปแคนาดาดังเดิม หญิงสาวตัดสินใจหยุดงานประพันธ์ไว้ชั่วคราวเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัด ที่ที่เธอและคริสมักจะไปเสมอๆเมื่อคราวที่เขายังมีชีวิตอยู่ เธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากแทยอนโดยบอกแค่เพียงว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอรู้ร่างกายของเธอกำลังอ่อนแอเช่นเดียวกับจิตใจที่แสนเปราะบาง ซอฮยอนตั้งใจไว้ในทีแรกว่าจะไม่ไปปรึกษาแพทย์เรื่องอาการป่วยของตนเอง แต่เมื่อคิดถึงคำที่อีกคนคอยบ่นเสมอก็ทำให้เธอพาตัวเองมาที่โรงพยาบาลเล็กๆในเขตต่างจังหวัด

“คุณกำลังตั้งครรภ์…” คำพูดแสดงความยินดีที่คุณหมอพูดตามปกติกลับไม่ปกติสำหรับเธอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่าสั้นๆง่ายๆนั้น หญิงสาวยังสับสนจนต้องถามซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ “คุณตั้งครรภ์ได้ 10 สัปดาห์แล้วนะครับ หมอขอแสดงความยินดีด้วย”

เหมือนเสียงอื้ออึงดังอยู่เต็มหัว เธอเห็นภาพคริสยิ้มตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กๆ ภาพคริสมากอดเธออย่างอบอุ่น ภาพคริสเดินอวดใครๆว่ากำลังจะได้เป็นพ่อคน ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาได้จากไปแล้ว อยู่ๆคำถามมากมายต่างก็พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากสวย

“ฉันท้องเหรอคะ ฉันท้องได้ยังไงกัน”

“ฉันเพิ่งแท้งไปเองนะคะ เมื่อสองเดือนที่แล้ว เพิ่งขูดมดลูกมาด้วยซ้ำ คุณหมอแน่ใจแล้วเหรอคะ”

“แล้วลูกของฉันจะเป็นอะไรไหมคะ เขาจะปลอดภัยไหมคะ จะแข็งแรงเป็นปกติไหม”

นายแพทย์อารมณ์ดีหัวเราะขันที่ได้ฟังคำถามจากว่าที่คุณแม่ เขาขอตรวจสุขภาพของมารดาและความสมบูรณ์ของครรภ์ก่อนแล้วจึงค่อยๆอธิบายให้เธอฟังอย่างคนใจเย็น “ผลการตรวจออกมาว่าคุณกำลังตั้งครรภ์จริงๆ เด็กในครรภ์แข็งแรงสมบูรณ์เท่าที่เด็กอายุ 10 สัปดาห์ควรเป็น ที่อัลตร้าซาวด์เมื่อครู่คุณคงได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้น อาการผิดปกติของคุณตลอดระยะเวลาสองเดือนนั่นคงเป็นอาการแพ้ท้องของคุณ ซึ่งคุณแม่แต่ละคนจะมีอาการแพ้ท้องแตกต่างกันไป”

หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่านี่มันใช่เรื่องจริงหรือเปล่า มือเล็กๆที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปให้เธอรู้สึกเจ็บคงเป็นสิ่งเดียวที่บอกว่าเธอไม่ได้ฝัน หูของเธอไม่ได้ฝาด สมองของเธอไม่ได้เลอะเลือนเพราะคิดถึงเขามากเกินไป ที่ผ่านมาที่เธอคิดว่าตัวเองป่วยแท้จริงแล้วเธอกำลังตั้งครรภ์

“เป็นไปได้ว่าไข่ใบนี้ได้รับการผสมและอาจจะเจริญเติบโตช้ากว่าแล้วก็ไปฝังตัวอยู่ในมดลูกตามปกติ ปาฏิหาริย์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างน่าตกใจใช่ไหมคุณซอฮยอน”

…ปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ ถ้าเพียงแต่เขาได้มีส่วนร่วมในปาฏิหาริย์ของเธอก็คงดี

ซอฮยอนเฝ้าดูแลทนุถนอมทารกในครรภ์น้อยๆ หญิงสาวมีความสุขที่ได้อุ้มท้องลูกที่เกิดจากความรักของทั้งเขาและเธอแม้คริสจะไม่มีโอกาสได้ร่วมยินดี แต่เธอมั่นใจว่าเขาจะยังคงมองเธอ เฝ้าดูแลเธอและลูกจากบนฟ้าไกล รอยยิ้มของเธอกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ใจร้ายกับเธอจนเกินไปนัก พระองค์ยังใจดีพอที่จะประทานความสุขเล็กๆหล่อเลี้ยงจิตใจเธอ

3.

“เธอย้ายไปอยู่กับพี่ดีไหมซอฮยอน”

ยุนโฮแทบจะกัดลิ้นตัวเองทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกไปจากปาก เขาเห็นดวงตากลมโตฉายแววประหลาดใจ หญิงสาวทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ยั้งไว้ได้ทัน คุณหมอหนุ่มอยากจะเขกศรีษะตัวเองแรงๆที่มัวแต่มองคุณแม่ลูกอ่อนเห่กล่อมลูกน้อยที่กำลังหลับไหลจนเผลอหลุดอะไรแปลกๆออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทุกๆวันเขามักจะมาเยี่ยมสองแม่ลูกเสมอจนเพื่อนร่วมงานต่างก็ประหลาดใจกับพฤติกรรมใหม่นี้ ถ้าพูดกันตามจริงแล้วเขาก็ยังแปลกใจตัวเอง แม้จะเหนื่อยล้าจากการตรวจคนไข้แค่ไหน เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องของเธอและลูก ความเหน็ดเหนื่อยกายใจกลับมลายหายไปเสียสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความสบายใจ

แน่นอนว่าซอฮยอนปฏิเสธไม่รับความปรารถนาดีจากเขา ผู้หญิงที่ตั้งท้องคนเดียวอย่างเด็ดเดี่ยวทั้งๆที่เพิ่งเสียพ่อของลูกไปอย่างเธอไม่มีทางรับความช่วยเหลือจากใครได้ง่ายๆแม้จะเป็นความช่วยเหลือจากรุ่นพี่สมัยเรียน เพียงไม่ถึงสัปดาห์ซอฮยอนและลูกชายก็แข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาล หญิงสาวกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านที่เธอและคริสเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เธอทั้งดูแลลูกอ่อนด้วยตัวคนเดียวและยังต้องทำงานหนักโดยแทบจะไม่ได้พักบวกกับความเครียดที่ถาโถม กายที่อ่อนล้าจึงประท้วง ซอฮยอนล้มป่วยจนทรุดป่วยหนักจนเธอต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากทั้งยุนโฮและแทยอนให้มาช่วยดูแลลูกน้อย

แทยอนมองหญิงสาวที่นอนซมไข้ตรงหน้า ร่างระหงผอมบางผิดจากหญิงแรกคลอดทั่วไป ใบหน้าขาวไร้สีเลือดแลดูซีดเผือดอย่างน่าตกใจ แต่คนที่นอนอยู่กลับไม่รู้ถึงสภาพอันน่าเป็นห่วงของตัวเอง ยังคงพยายามจะลุกขึ้นมาทำงานทั้งๆที่ลุกขึ้นเองยังไม่ไหว กระทั่งแทยอนเองทนไม่ไหว เอื้อมมือไปจับคนตรงหน้าให้นอนนิ่งๆเสียที

“นอนไปเถอะน่าซอฮยอน อย่าดื้อนักเลย เธอคิดบ้างไหมว่าถ้าเธอเป็นอะไรไปอีกคนแล้วลูกจะอยู่ยังไง” คำพูดของแทยอนเหมือนกับตบหน้าเธอแรงๆให้เธอรู้สึกตัวว่าเธอทั้งดื้อทั้งบ้าแค่ไหนที่ทำอย่างนี้ ฝืนทำทุกอย่างทั้งๆที่ตัวเองไม่ไหว “ย้ายไปอยู่กับพี่ยุนโฮเถอะนะซอ ฉันจะได้สบายใจ คริสก็จะได้สบายใจ”

แทยอนพูดกับคนรักของเพื่อนอย่างเห็นว่าเป็นเพื่อนของเธออีกคน ถ้าเป็นไปได้เธออีกก็อยากจะช่วยซอฮยอนได้มากกว่านี้ หากว่าครอบครัวของเธอมีคนน้อยกว่านี้ซักเท่านึงเธอคงทำได้ แต่ในความเป็นจริงบ้านของเธอคือสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะในการเลี้ยงดูเด็ก ทั้งพ่อแม่ที่ทะเลาะกันทุกวันจนแก่ ลูกชายคนโตที่วันๆเอาแต่กินกับนอนไม่เอาถ่าน ไหนจะน้องสาวคนเล็กที่แสนเอาแต่ใจ แทยอนจึงไม่กล้าแม้แต่จะเสนอความช่วยเหลือ เมื่อรู้ว่ายุนโฮรุ่นพี่คนสนิทพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เธอจึงรับอาสามาเกลี้ยกล่อมอีกแรง

“พอปิดต้นฉบับเล่มนี้เธอก็หยุดโหมงานซักพัก ไปพักกับพี่ยุนโฮ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหมดเอง แถมคุณป้าแม่บ้านก็ยังช่วยเลี้ยงเด็กได้ด้วย อยู่ไปก่อนเถอะนะซอฮยอนแล้วค่อยๆคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

คนป่วยซมไข้ได้แต่นอนนิ่งราวกับตุ๊กตา มีเพียงหยาดน้ำที่รินไหลออกมาเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเธอมีชีวิต เธอรู้ว่าการเป็นคุณแม่ลูกอ่อนนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะการดูแลคนเดียวโดยที่ไม่มีใครช่วยแบ่งเบา เธอรู้ทั้งหมดเพียงแต่คิดว่าจะสามารถทำมันได้ ถ้าเพียงแค่เธอสามารถส่งต้นฉบับบทประพันธ์เรื่องนี้ได้ทันแล้วทุกอย่างก็คงจะคลี่คลาย แต่อะไรๆมันก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด หญิงสาวต้องตื่นมาให้นมลูกน้อยที่ตื่นมาร้องทุกๆสี่ชั่วโมง บางครั้งก็ร้องโยเยแบบที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจนสุดท้ายคนเป็นแม่ก็ร้องไห้ไปพร้อมๆกัน เวลาเพียงน้อยนิดที่ว่างจากการดูแลลูกเธอก็ต้องทำงาน ต้นฉบับที่ถูกส่งกลับมาให้แก้ครั้งแล้วครั้งเล่า คงถึงเวลาที่เธอต้องยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง ดวงตากลมโตปิดลงอย่างช้าๆทั้งที่น้ำตากำลังไหล มันคงไม่ผิดอะไรใช่ไหมที่ฉันจะตัดสินใจแบบนี้

“แล้วชิน…” จู่ๆหญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมาถามถึงลูกชายตัวน้อย เธอตั้งชื่อเขาว่าชิน .. ชิน วู .. ชินที่แปลว่าศรัทธา และความเชื่อ เหมือนที่พ่อและแม่ของเขาเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นจริงๆราวกับฝัน

“อยู่กับพี่ยุนโฮน่ะ ขานั้นรักเด็ก แค่อุ้มก็เงียบกริบเลย ถ้าไม่รู้ฉันคงนึกว่าเขาเคยมีลูกมาก่อน” แทยอนตอบ เธอไม่ได้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบใดจากซอฮยอนต่อไป แม้ไม่มีคำตอบใดแต่เธอก็รู้ดีว่าคนตรงหน้าตัดสินใจยอมรับความช่วยเหลือแล้ว

ซอฮยอนย้ายมาพักอยู่ที่บ้านของยุนโฮ ไม่ไกลนักจากโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ชายหนุ่มจัดห้องให้เธอและลูกแยกออกมาแบบเป็นส่วนตัว ข้าวของเครื่องใช้มากมายถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่จัดตกแต่งอยู่ภายในห้องเล็กโปร่งสบายสมกับเป็นห้องเด็กอ่อน เพียงแค่ไม่นานที่เธอย้ายเข้ามา นายแพทย์หนุ่มก็มีกิจวัตรใหม่ ยุนโฮกลายเป็นคนตื่นเช้า เขาตื่นมารับประทานอาหารเช้าที่เธอทำ เลิกงานแล้วตรงกลับบ้านทันที ไม่แวะไปสังสรรค์ที่ไหน เขาปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าสุขใจแค่ไหนที่มีเธออยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน สิ่งที่ชายหนุ่มที่มีดีกรีเป็นถึงนายแพทย์ไม่เคยเข้าใจคืออะไรบางอย่างในตัวเธอดึงดูดเขา ทำให้เขามองเธอได้ไม่รู้เบื่อ ซ้ำร้ายยังเผลอยิ้มตามอยู่เสมอ

เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ชินอารมณ์ดีและเลี้ยงง่าย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเด็กน้อยรับรู้อารมณ์ได้จากคนเป็นแม่ เด็กชายชินติดคุณลุงยุนโฮที่สุด แค่ได้ยินเสียงทุ้มอบอุ่นของคุณลุง ชินก็แทบจะถลาไปให้อุ้ม ซอฮยอนเองก็เริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นเนื่องจากมีคนแบ่งเบาภาระ แม้ว่าในตอนแรกเธอจะอึดอัดด้วยไม่เคยใกล้ชิดขนาดอยู่ร่วมชายคากับชายใดนอกเหนือไปจากคริส แต่เพราะยุนโฮเข้ากับคนง่าย ไม่นานหญิงสาวก็คุ้นเคยกับการมีเขาเคียงข้างทุกวันจนเธอรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว

“พี่ยุนโฮ ซอจะพาชินไปซื้อของที่ห้างนะคะ” เสียงหวานปลุกเขาให้ตื่นทั้งๆที่เพิ่งนอนไม่ไปไม่กี่ชั่วโมง ชายหนุ่มลืมตาช้าๆก่อนจะเห็นหญิงสาวยืนอยู่หน้าประตูแต่งตัวพร้อมที่จะออกไปข้างนอก สองแขนเรียวเล็กอุ้มทารกน้อยในชุดหล่ออย่างชำนาญ

“ไปไหนกันคะแม่ลูก” เขาถามด้วยความสงสัย

“ซอต้องไปซื้อของใช้ของชินน่ะค่ะ อาจจะต้องซื้อชุดฤดูหนาวไว้ซักหน่อยด้วย อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวลูกจะป่วย” หญิงสาวบอกเขาถึงแผนการในวันนี้

“พี่ไปด้วย รอพี่แป๊บนึงสิ” ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากที่นอนทันทีที่พูดจบก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินหวือเข้าห้องน้ำไปไม่ทันให้อีกคนได้ทัดทาน

ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุงโซล ผู้คนมากมายต่างเดินกันขวักไขว่ ซอฮยอนเดินเข้าร้านออกร้านนี้โดยมียุนโฮอุ้มชินเดินตามอยู่ไม่ห่าง ภาพชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยแก้มยุ้ยหน้าตาน่ารักน่าชังนั้นทำให้คนเดินผ่านไปมองอย่างทั้งเสียดายปนอิจฉา

“พี่ยุนมาทำไมก็ไม่รู้ เพิ่งได้นอนไปแค่แป๊บเดียวเอง ซอกับชินมาเองก็ได้” เธอบ่นพลางเลือกของไปพลาง มือเรียวบางเอื้อมหยิบหมวกใบน้อยขึ้นมาสวมใส่ให้กับเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนเขา

“ซอฮยอน! คริส! มาทำอะไรในร้านเสื้อผ้าเด็กจ๊ะเนี่ย” เสียงเรียกคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของยุนโฮ “ฉันเกือบจะเดินผ่านไปแล้วนะเนี่ย มองอยู่ตั้งนานว่าเป็นเธอหรือเปล่า”

“ฮวานฮี กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” หญิงสาวทักขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเรียก ฮวานฮีเพื่่อนรักสมัยวิทยาลัยที่ห่างเหินกันไปเพราะอีกฝ่ายต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ

“อ้าว นี่ไม่ใช่…” ฮวานฮีเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงชัดๆ ด้วยส่วนสูง ลักษณะท่าทาง ช่างเหมือนอีกคนเหลือเกิน แต่กลับไม่ใช่

“นี่พี่ยุนโฮ เอ่อ.. รุ่นพี่ของคริสน่ะ”

“แล้ว…”

“ส่วนนี่ลูกชายของฉัน” ร่างระหงถูกเพื่อนสาวดึงออกไปจากตรงนั้นแทบจะทันที ฮวานฮีโค้งให้กับชายหนุ่มน้อยๆอย่างขออนุญาต มือก็ทั้งลากทั้งถูพาเพื่อนสาวไปหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนักจากยุนโฮ

“มันเกิดอะไรกันขึ้นซอฮยอน” ดวงตาเรียวเล็กที่มักจะเต็มไปด้วยประกายยิ้มมองอีกคนเครียดขึ้ง “ที่ฉันรู้เธอย้ายไปอยู่กับคริสและก็กำลังวางแผนอนาคตกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“คริสเสียได้ปีกว่าแล้วฮวานฮี” ซอฮยอนตอบเสียงเรียบ ปีกว่าแล้วที่เขาจากไป ภายใต้ท่าทางปกตินั้นหัวใจเธอยังกระตุกทุกทีที่นึกถึงคืนนั้น ความทรงจำอันแสนปวดร้าวที่สุดในชีวิตเธอ

“โธ่ ซอ แล้วชิน…?”

“ชินเป็นลูกคริส ฮวานฮี ลูกชายที่คริสเฝ้าฝันอยากจะมี โชคดีที่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากพี่ยุนโฮ ไม่งั้นเราสองแม่ลูกคงแย่ ฉันพยายามโทรหาเธอเพื่อจะบอกข่าวแต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย..” หญิงสาวอธิบายให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนรักที่ห่างหายใช้เวลาคุยกันชั่วครู่ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายไปทำธุระที่ค้างอยู่ ฮวานฮีไม่ลืมที่จะขอทั้งที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของซอฮยอน คราวนี้เธอสัญญาว่าจะไม่ทิ้งให้เพื่อนต้องผ่านช่วงเวลาโหดร้ายลำพังอย่างแน่นอน ฮวานฮีจากไปโดยทิ้งคำถามมากมายไว้ให้กับคนสองคนโดยที่เธอไม่รู้ตัว

ทั้งยุนโฮและซอฮยอนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายแพทย์หนุ่มสลัดเสื้อกาวน์ทำหน้าที่เป็นคุณพ่อบ้านดูแลคุณแม่และลูกน้อยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนเมื่อถึงเวลาที่ต่างคนต่างอยู่ลำพัง

ภายในห้องนอนอันมืดมิด เสียงเพลงจากโมบายที่ถูกเปิดทิ้งไว้กล่อมเด็กชายดังอยู่ก่อนจะค่อยๆดับลง ร่างบางระหงยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ใจหวนกลับไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน .. พี่ยุนโฮเหมือนกับคริสขนากนั้นเลยหรือ .. ในตอนแรกซอฮยอนเองยอมรับว่าคล้าย ไม่ใช่เพียงคล้ายแค่ภายนอก มันมากไปกว่านั้น การที่มียุนโฮอยู่ใกล้คอยดูแลเธอทำให้เธอรู้สึกเช่นเดียวกับที่เธอได้รับจากคริส แต่เมื่อนานไปเธอเริ่มมั่นใจว่ามันแตกต่าง สำหรับเธอคริสเป็นรักแรก คือความทรงจำที่จะอยู่ในใจของเธอเสมอ ส่วนยุนโฮคือปัจจุบัน คือความอบอุ่นปลอดภัย คือหัวไหล่ให้เธอพังพิง หัวใจของเธอสงบอย่างน่าประหลาดเวลาที่อยู่กับเขา

…นี่ฉันรักพี่ยุนโฮอย่างนั้นหรือ

ซอฮยอนเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น เธอรักเขา แน่ล่ะใครจะไม่รักผู้ชายแสนดีอย่างนั้น แต่เธอไม่ดีพอสำหรับนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกลที่แสนเพียบพร้อมอย่างเขา นักประพันธ์เงินเดือนเพียงแค่ครึ่งของเงินเดือนหมอ พ่อแม่ก็สิ้นไปแล้วทั้งสองท่าน มีเพียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน .. แต่นั่นมันข้อดีตรงไหนกัน

ตั้งแต่นั้นหญิงสาวก็รักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าเขาก็รู้สึก ยุนโฮเฝ้าสังเกตเธอ หลายครั้งที่ซอฮยอนปฏิเสธไม่ยอมทำบางอย่างที่เคยทำร่วมกัน ไม่ว่าจะไปซื้อของ ทานอาหาร หรือแม้แต่ดูรายการภาพยนต์ที่บ้าน จนเขาชักจะน้อยใจแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา ชายหนุ่มกลัวแสนกลัวว่าถ้าพูดอะไรไปเธอจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปพร้อมกับลูกชาย หากเป็นอย่างนั้นเขาคงทำใจไม่ได้ อย่างน้อยการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันคงดีกว่าการสูญเสียเธอไปอย่างไม่มีโอกาสแม้แต่จะเฝ้ามอง

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มมองออกไปที่นอกหน้าต่าง หิมะโปรยปรายอยู่ด้านนอกทำให้โซลอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขของเทศกาลคริสต์มาสที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน แขนแกร่งกอดเด็กชายที่ขยับตัวยุกยิกไม่เป็นสุขราวกับว่าหงุดหงิดอยากจะออกจากอ้อมกอดเขาเสียเต็มที แขนเล็กป้อมไขว่คว้าเปะปะพร้อมกับร้องเรียก “ม่ะ มัมมัมมา อมมะ” คำแรกและคำเดียวที่เรียกได้ในตอนนี้

“จะหาแม่อีกแล้วนะชิน ไม่เห็นร้องหาพ่อบ้างเลย .. อัปป้า .. พูดได้ไหมชิน อัป-ป้า” ชายหนุ่มมองหน้าทารกตัวจ้อยหวังว่าจะได้ยินคำเรียกอย่างที่หวัง ถึงเขาจะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ก็เลี้ยงดูกันมาจนทั้งรักและผูกพันเสมือนเลือดเนื้อเชื้อไข

“มัมมัมม่ะ อมมะ!” เด็กชายตัวน้อยร้องเรียกมารดา มือเล็กๆตีเข้าเบาๆที่แก้มสาก

ร่างบางระหงเดินออกมาจากพร้อมกับชามข้าวใบเล็กๆในมือ ดวงตาอ่อนโยนมองลูกชายตัวน้อยที่อยู่ในแขนแกร่งนั้น รอยยิ้มบางๆเคลือบอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมหัวใจเธอเมื่อได้เห็นยุนโฮกับชินเข้ากันได้ดี แต่อีกใจนึงก็นึกหวั่น ถ้าวันที่เราไม่ได้อยู่ร่วมกันมันจะเป็นอย่างไร ซอฮยอนไล่ความคิดต่างๆออกไปจากหัว หญิงสาวนั่งลงที่ใกล้ๆก้มลงหยอกเย้าเด็กน้อย

“หิวล่ะสิ ไม่ได้คิดถึงแม่หรอกใช่ไหมคะชิน” เสียงหวานถาม มือยังคงคนอาหารเด็กที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน

“มะ ม่ำๆๆๆๆ มัมม่า!” เด็กน้อยพูดพร้อมกับตบมือชอบใจ ตัวกลมเล็กไต่ออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มสูงใหญ่แล้วจึงปีนป่ายไปนั่งที่ตักมารดา ซอฮยอนหัวเราะคิกกับท่าทางของเด็กน้อย ชินฉลาดเกินวัยสำหรับเด็กอายุขวบปี มือหนาที่ว่างจากการอุ้มเด็กชายเอื้อมมารับชามอาหารลายการ์ตูนจากมือของซอฮยอน เขาใช้ช้อนตักอาหารเพียงนิดก่อนจะยื่นไปป้อนเด็กชาย

“หม่ำมาเร็วครับชิน”

ชินอ้าปากว้างเพื่อรับอาหารไปเคี้ยวจ๊อบแจ๊บอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะอ้าปากรออีกครั้งจนผู้ใหญ่ทั้งสองขันนัก เด็กคนอื่นมีเลือกกิน เบื่ออาหารทานไม่ได้ แต่ชินเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง เด็กน้อยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

“ม่ำมะ .. อะอะ .. อะปะ ม่ำๆๆๆ อัป..ปะ..!” ดวงตาคบกริมเบิกกว้างอย่างตกใจที่ได้ยินคำเรียกที่เขาพยายามสอนมาตลอดตั้งแต่เด็กน้อยเริ่มพูดคำแรก

“อัปปะ”

เด็กทารกน้อยยังคงเรียกอยู่อย่างนั้น มือเล็กป้อมชี้มาที่ชามอาหารราวกับจะบอกว่าให้ป้อนคำต่อไปได้แล้ว ชินเอียงคอมองคนตัวโตตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ทั้งที่ปกติจะคอยป้อนเขาไม่ขาดและยังคะยั้นคะยอให้เขาเรียกว่า “อัปป้า” แต่พอเรียกแล้วไหงนิ่งไปอย่างนั้น เด็กชายหันหลังมองมารดาที่มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มตั้งสติเพียงชั่วครู่ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี มือหนาค่อยๆตักอาหารป้อนเด็กชายทีละน้อยๆ ดวงตากลมโตเฝ้ามองภาพตรงหน้าอย่างที่เธอเองก็บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ตื้นตัน .. แต่ความรู้สึกละอายที่ท่วมท้นอยู่นี่ล่ะ เธอควรจะได้รับกับสิ่งเหล่านี้แล้วอย่างนั้นหรือ เธอไม่ดีพอขนาดนั้น เธอจะให้คุณหมอหนุ่มอนาคตไกลมาหยุดที่การเป็นพ่อของลูกที่เกิดจากผู้หญิงหม้ายหนึ่งคนได้อย่างไรกัน ลำพังแค่ความช่วยเหลือช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาก็มากจนเธอไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร แล้วนี่ยังชิน..

กลางดึกคืนนั้นหลังจากที่ซอฮยอนพาชินเข้านอน เธอนอนไม่หลับ หลังจากที่คิดเรื่องราวมากมาย สุดท้ายหญิงสาวตัดสินใจเดินไปหายุนโฮที่ห้องนอนของเขา เธอเรียกเขาออกมาคุยที่ห้องรับแขกด้านนอกอย่างทุกครั้ง ร่างระหงเดินออกมาจากหห้องครัวพร้อมด้วยโกโก้อุ่นๆกรุ่นควันฉุย เธอยื่นมันมาให้กับเขาก่อนจะนั่งลงที่โซฟาอีกตัว

“พี่ยุนโฮคะ ซอขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่ดูแลเราสองแม่ลูกเป็นอย่างดีมาตลอดเวลาเกือบปีนี้” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ยุนโฮตั้งท่าจะพูดบางอย่างแต่กลับถูกเธอหยุดไว้ ท่าทีแปลกๆของเธอทำให้เขาต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ มือหนาเอื้อมวางแก้วโกโก้ที่เพิ่งดื่มไปเพียงจิบเดียวก่อนจะมองนิ่งที่ดวงหน้าหวานใส “ซอขอบคุณพี่ยุน แต่ซอก็ไม่อยากรบกวนพี่ยุนมากไปกว่านี้ ชินเริ่มโตขึ้นทุกวัน ซอกลัว…ว่าเราสองคนแม่ลูกจะสร้างความลำบากให้กับพี่ยุน ซอเลยตัดสินใจว่าจะย้ายออก”

“พี่ไปบอกซอตอนไหนงั้นหรือว่าพี่ลำบาก” เขาถามอย่างคนที่สติหลุดลอย ซอฮยอนพูดในสิ่งที่เขากลัว หัวใจที่ผลิบานด้วยความยินดีจากเสียงเรียกเล็กๆของเด็กชายที่เรียกเขาว่าพ่อแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อเธอบอกว่าจะไป .. ออกไปจากชีวิตของเขา

“พี่ยุนไม่เคยบอก แต่ซอแค่คิดว่าซอควรจะทำสิ่งที่ถูกต้องเสียที มีซอกับลูกอย่างนี้ พี่ยุนจะมีครอบครัวของตัวเองได้ยังไงกันล่ะคะ”

“ขอให้เธอรู้ไว้ว่า .. สำหรับพี่ ซอและลูกคือครอบครัว” เขาตอบ ชายหนุ่มกลืนก้อนฝืดๆลงไปในลำคอก่อนที่จะพูดต่อ “พี่จะไม่ห้ามซอไม่ว่าซอจะทำอะไร ขอให้ซอตัดสินใจให้ดี แต่พี่ขออย่างนึงก่อนจะเธอจะไป เธอย้ายออกหลังวันคริสต์มาสได้ไหม คุณพ่อคุณแม่ของพี่ท่านอยากพบเธอกับลูก ตามที่เราสัญญากันไว้ว่าเราจะพาชินไปพบท่านแล้วก็ฉลองคริสต์มาสด้วยกัน”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหม่นวูบ ยุนโฮหลุบสายตาลงมองที่พื้นตรงหน้า เขาไม่กล้าสบตาคู่นั้น ไม่กล้าแม้แต่จะมองเสี้ยวหนึ่งของดวงหน้าหวานซึ้งด้วยกลัวใจตัวเอง หากเขามอง เขาคงไม่อาจปล่อยเธอไป ชายหนุ่มคงต้องผิดคำพูดที่บอกเธอไว้เมื่อครู่ “ถ้าหลังจากที่ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่แล้วเธอตัดสินใจได้อย่างไร พี่จะเคารพการตัดสินใจของเธอ ได้ไหมซอฮยอน อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง”

ร่างสูงกล่าวทิ้งไว้ก่อนจะเกินเข้าห้องนอนทิ้งเธอไว้ให้อยู่ลำพังท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว

เวลาแค่เพียงไม่กี่วันกลับเหมือนนานนับปีสำหรับเขา ยุนโฮพาสองแม่ลูกไปยังกวางจูบัานเกิดของเขาเพื่อพบกับบิดามารดาตั้งแต่วันคริสต์มาสอีฟ ทุกเวลาทุกนาทีชายหนุ่มแทบจะไม่ปล่อยให้เด็กชายห่างกายด้วยอาจจะซึบซับทุกอย่างไว้ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร เขาคงได้แต่ยอมรับ เขาเพียงแต่เสียใจและเสียดายที่ไม่อาจอยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้มากกว่านั้น การปล่อยเธอจากไปโดยไม่มีสิทธิ์แม้จะรั้งไว้ ที่ทำได้คือรอวันนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกักขังเขาไว้เพื่อรอเวลาประหาร

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปที่หญิงสาวสองวัยที่กำลังคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ซอฮยอนเข้ากับมารดาของเขาได้ดีอย่างน่าหนักใจ การเป็นแพทย์ทำงานในเมืองหลวงจะทำให้ยุนโฮต้องทำงานไกลบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงติดต่อกับที่บ้านอย่างสม่ำเสมอไม่มีขาด ชายหนุ่มมักจะเล่าเรื่องของสองแม่ลูกที่เขาอาศัยอยู่ด้วยให้มารดาฟังเสมอจนท่านอยากพบ เขาเคยเปรยกับท่านด้วยซ้ำเรื่องของซอฮยอน อย่างน้อยเขาก็อยากให้ครอบครัวยอมรับหากเขาจะเลือกเธอเป็นภรรยาโชคดีที่บิดามารดาของเขาทันสมัยพอดีที่ยอมรับเรื่องราวเหล่านี้ได้ โชคร้ายก็ตรงที่ซอฮยอนไม่ได้เลือกเขา .. แล้วเขาจะบอกแม่ได้อย่างไรกันว่าแม่จะชวดทั้งลูกสะใภ้และหลานชายหน้าตาน่าเอ็นดู

“เหนื่อยไหมลูก ซอ” คุณนายจองถามหญิงสาวที่ลูกชายคนเดียวพามาอย่างเอ็นดู

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะคุณนายจอง พี่ยุนโฮเหนื่อยกว่าซอเยอะเลยค่ะ ขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง” ซอฮยอนตอบ ดวงตาทอประกายมองไปที่ลูกชายคนเดียวที่กำลังจะครบขวบปีในอีกไม่ถึงวัน ชินเล่นกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากโดยมีประมุขแห่งบ้านตระกูลจองนั่งมองอยู่อย่างยินดี

“ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอกลูก เรียกว่าแม่เถอะซอฮยอน” หญิงสูงวัยกว่าพูดพลางแตะที่ไหล่กลมมนของอีกคนอย่างเอ็นดู

“ค่ะคุณแม่”

คุณนายจองและซอฮยอนใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบทั้งวันจนคุณจองกระเซ้าว่าเธอได้ลูกสาวคนใหม่จนลืมลูกชาย ซอฮยอนทั้งน่ารักแสนดี เธอคิดไว้แล้วไม่ผิดว่าลูกชายของเธอตาแหลม ยุนโฮพ่อลูกชายของเธอมักจะโทรมาเล่าเรื่องราวของสองแม่ลูกคู่นี้จนเธออยากจะพบหน้าคนที่สามารถทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนไปได้ ยุนโฮเคยบ้างาน ทำงานข้ามวันข้ามคืน ทั้งตรวจคนไข้และทำงานวิจัยอย่างไม่ว่างเว้น ช่วงหลังเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกชายคนเดียวที่แทบจะกลับจากขั้วโลกเหนือเป็นขั้วโลกใต้ ยุนโฮอ่อนโยนมากขึ้น ใส่ใจครอบครัวและคนรอบข้างมากขึ้น ที่สำคัญดูแลตัวเองมากขึ้นโดยชายหนุ่มให้เหตุผลว่าเขามีคนอีกสองคนต้องดูแล อย่างนี้จะให้เธอตั้งแง่กับหญิงสาวที่เปลี่ยนลูกชายเธอให้จากนายแพทย์หนุ่มสมบูรณ์แบบเป็นผู้ชายธรรมดาหนึ่งคนได้อย่างไรกัน และจากที่เธอเจอวันนี้เธอก็ไม่ผิดหวัง กลับประทับใจเกินกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ

“แหม พ่อก็ ก็แม่ดีใจนี่ที่พ่อยุนพาสาวมาให้แม่ดูตัวซะที แม่น่ะรอมานานจนคิดว่าจะต้องรอเก้อเสียแล้ว” คุณนายซอพูดแก้เก้อกับคำหยอกเย้าของสามีที่กลางโต๊ะอาหาร ครอบครัวจองและแขกคนสำคัญกำลังรับประทานอาหารมื้อพิเศษในคืนวันคริสต์มาสอีฟร่วมกัน

“พี่ยุนไม่เคยพาผู้หญิงมาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักเหรอคะ” หญิงสาวถาม เธอลอบมองชายหนุ่มเจ้าของเรื่องโดยไม่ให้เขารู้ตัวก่อนเสมาตักอาหารให้คุณนายจอง

“ก็มีซอนี่แหละ คนแรก แล้วก็…คนเดียว” ยุนโฮตอบ

“อ่าวเฮ้ย เจ้ายุน! แกจะมาจีบน้องต่อหน้าพ่อทำไม ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี มดขึ้นหมดแล้ว” คุณจองกล่าวด้วยน้ำเสียงดังกังวาล หากแต่ข้อความหยอกเย้าลูกชายอย่างคนอารมณ์ดี “กินข้าวก่อนไปแล้วค่อยไปจีบกันต่อ เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูหลานให้เอง”

สองสามีภรรยาหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้หนุ่มถามที่ถูกแซวนั่งหน้าแดงราวกับสตรอว์เบอร์รี่จนในที่สุดคุณนายจองต้องพูดขึ้น “พ่อนี่ก็ ไปแซวลูกทำไม ทานข้าวไปยุนโฮ ซอฮยอน อย่าไปฟังพ่อขี้แกล้งของเรามากนักเลย”

กลางดึกคืนคริสต์มาสอีฟ หลังจากที่สมาชิกครอบครัวจองและสองแม่ลูกแลกของขวัญกันตามทำเนียม คุณนายจองได้แต่ปิติยินดีที่ได้รับผ้าพันคอเนื้อดีจากซอฮยอนเช่นเดียวกับคุณจองที่เห่อเนคไทใหม่ไม่เลิก จนยุนโฮบ่นอุบว่าของขวัญของเขาไม่ได้รับการเหลียวแล ซอฮยอนได้รับสร้อยคอพร้อมจี้กับหนังสือจิตวิทยาของอริสโตเติลเล่มหนาที่ลูกชายบอกว่าหญิงสาวชอบอ่าน สำหรับยุนโฮ คุณนายจองเตรียมแหวนเก่าเอาไว้ให้โดยไม่ได้เอ่ยอะไรนอกเหนือไปจากนั้นและเขายังได้รับนาฬิกาเรือนหรูจากบิดา ส่วนชินเด็กชายที่ควรจะเข้านอนกลับนั่นเล่นของเล่นสารพัดที่ได้จากทั้งครอบครัวของยุนโฮและคุณแม่ของเขา เด็กน้อยปรบมือหัวเราะร่าอย่างยินดีแทบจะตลอดเวลาที่เห็นความรื่นเริงของทุกคนในบ้าน

หลังจากแลกของขวัญเสร็จสิ้นทุกคนในครอบครัวต่างก็แยกย้าย ยุนโฮชวนซอฮยอนออกมาเดินเล่นโดยมีคุณและคุณนายจองรับอาสาทำหน้าที่พาเด็กชายตัวน้อยเข้านอน ที่สวนหลังบ้านประดับประดาด้วยไฟระยิบ ตุ๊กตาเด็กในโรงนาเป็นสัญลักษณ์การเกิดของพระเยซูได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามท่ามกลางสวนกว้าง ในที่สุดเขาก็มีเวลาได้คุยกับเธออย่างลำพังเสียที ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะพูดกับเธอให้รู้เรื่องวันนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร

“ให้พี่ดูแลซอต่อไปได้ไหม อย่าเห็นพี่เป็นแค่เงาของคริสได้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างต้องการไออุ่น ถึงกวางจูจะอยู่ในตอนใต้ของเกาหลี แต่อากาศในตอนกลางคืนของฤดูหนาวก็ยังคงหนาวนัก

“ซอไม่เคยเห็นพี่ยุนเป็นตัวแทนของคริสเลยนะคะ ถึงจะเหมือนกันแค่ไหนแต่มันก็แค่ภายนอก คริสก็คือคริส พี่ยุนก็คือพี่ยุน คริสคือคนรักคนแรกที่ไม่มีใครแทนได้ เขาเป็นความทรงจำที่ดี ซอมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะคริส…”

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้อธิบายมากไปกว่านั้น เขาก็ถามขึ้นมาต่ออย่างอดรนทนไม่ไหว “แล้วสำหรับซอพี่เป็นอะไร”

“พี่ยุนเป็นซานต้า” ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบมองหน้าคนตัวโตกว่าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“หะ” เขาร้องถามอย่างฉงนนัก ซานตาคลอสอะไรกัน เขา..ไม่เข้าใจเอาซะเลย

“ซานต้าพี่ยุน” เสียงหวานใสยังคงหยอกเย้า รอยยิ้มขี้เล่นฉายอยู่เต็มใบหน้าจนเขาชักจะอ่อนใจ ตั้งใจว่าจะคุยเป็นเรื่องเป็นราวกลับโดนแกล้งเสียนี่

“โถ่ซอ” ชายหนุ่มร้องโอดโอย นายแพทย์หนุ่มแนวหน้าของเกาหลีเสียท่าให้กับหญิงสาวหน้าหวาน รู้ไหนถึงไหนคงอายไปถึงนั่น

“แหม ถ้าใส่ชุดแดงหน่อยละใช่เลยนะคะเนี่ย” เธอตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานไปให้ “ในชีวิตซอ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชิน ต้องขอบคุณซานต้าใจดีที่มอบชีวิตให้กับเขาเพื่อเป็นของขวัญให้กับซอ พ่อที่ตามสายเลือดของชินคือคริส แต่คนที่ให้ชีวิตกับเขา สองมือแรกที่อุ้มเขาคือพี่ ขอบคุณมากนะคะ .. ซานต้าของฉัน”

ยุนโฮมองสบดวงตาโตแน่นิ่ง ราวกับตกอยู่ในภวังค์ฝัน “แล้วเธอรักซานต้าบ้างไหมซอ” เขายังคงตั้งคำถาม

“ซอรักซานต้าไม่ได้หรอกค่ะ อ้วนก็อ้วน แก่ก็แก่ แถมยังใจดีกับทุกคน” รอยยิ้มและน้ำเสียงขี้่นกลับมาอีกครั้งจนคราวนี้เขาชักจะอ่อนใจขึ้นมาจริงๆ ซอฮยอนไม่เปิดโอกาสให้เขาได้โรแมนติกบ้างเลยแม้แต่น้อย

“แล้วซานต้าคนนี้ล่ะ เธอไม่รักซานต้าพี่ยุนคนนี้หน่อยเหรอซอ” เขาถาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองเข้าไปในดวงตากลมโตที่ส่องประกายใสแจ๋ว เขาถ่ายทอดทุกคำพูดทุกความรู้สึกผ่านทางแววตาคู่นั้นไปจนหมดสิ้น

“อัปป้า! อัปปะๆๆๆ” เสียงเด็กชายดังขึ้น สายตาทั้งสองคู่หันไปมองที่ต้นเสียง เด็กชายควรจะหลับไปแล้วไม่ใช่หรือ

“ขอโทษทีลูก เที่ยงคืนกว่าแล้วชินยังไม่ยอมนอน พอตั้งเริ่มตั้งไข่ได้ละเอาใหญ่เลย แม่เลยพาออกมารับลม นี่แม่นึกว่าเราไปอยู่แถวเรือนต้นไม้เสียอีก .. คุยกันไปต่อเถอะสองคน เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูหลานให้เอง” คุณนายจองที่กำลังอุ้มเด็กชายตัวน้อยเอ่ยขึ้น เพราะเธอแท้ๆที่ทำลายบรรยากาศดีๆของคู่รัก เธอตั้งใจจะพาหลานมาเล่านิทานก่อนนอนที่ในสวนก่อนด้วยคิดว่าลูกชายคงพาหญิงสาวไปคุยกันที่เรือนต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปมากกว่า เมื่อเธอเห็นว่าทั้งสองอยู่ในสวนแทนที่จะเป็นเรือนต้นไม้อย่างที่คิดไว้ชินก็ร้องเรียกขึ้นมาทันที เธอจะทำให้หลานเงียบก็ไม่ได้

“อมมะ อมมะ” เด็กชายร้องเรียกมารดาก่อนที่คุณนายจองจะทันได้พากลับเข้าไปในบ้าน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ สงสัยชินจะตื่นเต้นที่โตเป็นหนุ่มครบขวบนึงแล้ว .. เดี๋ยวซอดูเองค่ะ” หญิงสาวตอบ ร่างระหงเดินไปรับเด็กชายมาอุ้มไว้แนบอก “ขอบคุณมากนะคะคุณแม่”

“อย่าดึกนักนะลูก น้ำค้างเริ่มลงแล้วจะเป็นหวัดเอากัน” หญิงสูงวัยกว่ากล่าวก่อนจะเดินลับตาไปโดยไม่ลืมยื่นผ้าผืนหนาที่ติดมือมาให้กับลูกชายด้วย บางทีปล่อยให้อยู่กันสามคนอย่างนี้อาจจะดีก็ได้ เผื่อว่ายุนโฮจะต้องการความช่วยเหลือจากชิน เด็กน้อยเรียก”อัปป้าๆ”คงช่วยทำให้มารดาใจอ่อนได้ไม่ยาก คุณนายจองคิดพลางเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี

หญิงสาวอุ้มบุตรชายไปนั่งที่ชิงช้าไม้เล็กๆภายในสวน เรือนร่างบอบบางออกแรงไกวชิงช้าเบาๆ ปากก็ร้องเพลงกล่อมลูกน้อย หากแต่เพลงวันนี้แตกต่างไปจากทุกวันหญิงสาวร้องเพลงวันเกิดให้กับเจ้าตัวน้อยแทนเพลงเด็กก่อนนอน

생일 축하합니다
생일 축하합니다
사랑하는 우리신
생일 축하합니다
Happy birthday to you
Happy birthday to you
Happy birthday, our Shin
Happy birthday to you

ทารกน้อยที่แสนซนของคุณนายจองหลับนิ่งเพียงแค่ได้ยินเสียงเพลงกล่อมจากมารดา หญิงสาวบรรจงจูบที่กระหม่อมบางของลูกชายพร้อมกับพูดเบาๆ “สุขสันต์วันเกิดนะชินลูกรัก แม่รักลูกนะครับ”

“อัปป้าก็รักชินนะครับ” เสียงทุ้มพูดขึ้น หญิงสาวรู้สึกถึงผ้าห่มผืนหนาที่ห่มกายเธอโอบไปถึงลูกน้อย วงแขนแกร่งโอบกระชับเรือนร่างบอบบางก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ตรงหน้า .. แหวนเก่าที่คุณนายจองมอบให้เมื่อค่ำ

“แหวนที่คุณแม่มอบให้เป็นแหวนประจำตระกูลที่คุณพ่อกับคุณแม่ได้มา ท่านใช้เป็นแหวนแต่งงานจนถึงวันนี้ที่ท่านมอบให้กับพี่เพื่อนำไปให้คำผู้หญิงที่พี่คิดว่าจะแต่งงานด้วย .. เป็นพี่ได้ไหมซอฮยอน ให้พี่ได้ดูแลเธอไปตลอดชีวิตเถอะนะ” ดวงตาคมกล้าฉายแววตาแห่งความรักอย่างสัตย์จริง ไม่มีความรู้สึกไหนที่เขาจะมั่นใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งได้เห็นเธอกับครอบครัวของเขาวันนี้ เขายิ่งมั่นใจ

ดวงตาหวานรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความยินดี ความรักที่อุ่นไปทั้งหัวใจ ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถตอบแทนเขาได้มากไปกว่า…

“ขอบคุณนะคะซานต้า ขอบคุณนะคะชินอัปป้า”

ฟิคฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
แต่รีบโพสก่อนเพราะกลัวโลกแตกแล้วจะไม่ได้อ่านกัน หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ
ขอให้มีความสุขน้า~ Merry Christmas & Happy New Year ค่ะ 😀

That’s something never changed
The more memorable time we had, the more I feel miserable

“นี่! หยุดเดียวนี้เลยนะลี ดงเฮ” ยูริโวยวายเสียงดังลั่น เมื่อเห็นดงเฮพยายามจะฉวยโอกาสที่เธอมองไม่เห็นหนีออกจากห้องประชุม ไม่อยากเล่นละครเวทีเด็กๆ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงอันดังของยูริก็ต้องชะงัก

“เธอสัญญาแล้วนะว่าเธอจะทำละครเวทีกับฉัน เธอจะผิดสัญญางั้นเหรอ” ยูริถามจ้องเข้าไปในตาสีน้ำตาลตรงหน้านิ่ง ไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดออกมาจากริมฝีปากสวยนั้น ดงเฮมองหญิงสาวตรงหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นสิ่งที่เขารู้คือเขาทำได้แต่พยักหน้าเบาๆแล้วเดินตามเธอไป แพ้ทางจริงๆเวลาที่เธอพูดเรื่องสัญญา และนั่นเป็นการเริ่มต้นของทุกสิ่ง

เขารู้จักกับยูริและคยูฮยอนตอนมัธยมปลาย ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียน เขา คยูฮยอน ยูริ และซอฮยอนน้องสาวของเธออยู่ด้วยกันเสมอ ยิ้มและหัวเราะไปพร้อมๆกัน ยูริเป็นดาวของโรงเรียน เธอทั้งสวย เก่ง ร่าเริงและเป็นมิตร เพราะความเปิดเผยของเธอทำให้เธอมีเพื่อนมากมาย ส่วยคยูฮยอนก็เป็นหนุ่มที่สาวๆหมายปอง เขาเรียนเก่ง เป็นถึงแชมป์คณิตศาสตร์โอลิมปิก เขารักดนตรีและเล่นดนตรีเก่ง หน้าตาดีจนติดอันดับออลจังของโรงเรียน ไม่แปลกนักที่ในที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงคบหากันภายใต้การสนับสนุนของซอฮยอน

จนเมื่อเขาและเธอเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไปเมื่อต่างคนแยกย้ายไปเรียนตามที่ตนเองต้องการ คยูฮยอนเลือกเรียนด้านการบริหารการตลาดเพราะต้องสืบทอดกิจการของครอบครัวบวกกับความชอบส่วนตัว ในขณะที่ยูริเลือกเรียนด้านการแสดงเช่นเดียวกับเขา ยูริเป็นเจ้าแม่กิจกรรม และก็ไม่พ้นที่จะชักชวนแกมบังคับให้ดงเฮซึ่งมีเวลาว่างตรงกับเธอมากที่สุดให้ร่วมกิจกรรมร่วมกับเธอทุกครั้งไป

“เธอเนี่ยนะ ทำไมไม่ไปบังคับให้แฟนเธอมันมาเล่นละครเวทีนี่บ้าง” ดงเฮบ่นงึม และทุกครั้งที่เขาบ่นเธอก็มักจะยักไหล่ตอบกลับมาหน้าตาเฉย

“ก็คยูฮยอนกับฉันเวลาไม่ตรงกัน อีกอย่างเขาก็ไม่ว่างด้วย”

“เธอควรจะบอกมันให้มาดูแลเธอบ้าง” ดงเฮยังคงไม่เลิกบ่น ทั้งหมดก็เพราะความเป็นห่วงคำเดียวเท่านั้น ละครเวทีต้องซ้อมหนัก เลิกก็ดึก ครั้นเขาจะไปส่งเธอทุกวันก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายในอีกฐานะนึงยูริถือว่าเป็นแฟนเพื่อนสนิท จะทำอะไรเขาต้องคิดไม่น้อยเกรงว่าจะทำอะไรไปกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ยิ่งพวกเขาสำคัญมากเท่าไรเขายิ่งต้องคคิดมากขึ้นเท่านั้น

“เราไม่ได้คบกันแบบนั้น และฉันก็ดูแลตัวเองได้” ยูริสวนเกือบจะทันทีเมื่อได้ยินดงเฮพูด ไม่รู้ทำไมเธอหงุดหงิดเสมอเมื่อมีคนพูดถึงเธอกับคยูฮยอนแบบนั้น ราวกับว่าคบกันแล้วเธอเป็นเจ้าหญิงแล้วจะดูแลตัวเองไม่ได้ “ถ้าเธอเบื่อที่จะอยู่กับฉัน ก็ไปซะ ฉันไปชวนคนอื่นก็ได้”

ดงเฮมองยูริที่เดินหนีไป เขารู้ว่าเธองอน แต่เธอจะรู้บ้างไหมว่าที่พูดน่ะเพราะเป็นห่วง ไม่ใช่เพราะเบื่ออย่างที่เธอพูดออกมา ดงเฮถอนลมหายใจหนักอึ้งก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆเดินตามเธอไป

…ต้องง้ออีกตามเคยสินะ

ยูริได้รับเลือกเป็นนางเอกละครเรื่องแรกที่ทั้งคู่ร่วมเล่น ส่วนดงเฮก็จับพลัดจับผลูได้เป็นพระรองอย่างไม่รู้ตัว แต่เพราะละครเรื่องนั้นทำให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้น และทำให้เขาเห็นหลายๆมุมของเธอ ยูริกับภาพลักษณ์ที่แสนจะเก่งและห้าวหาญ สาวสวยเซ็กซี่ประจำภาควิชาการแสดง จริงๆแล้วเธอเป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่งที่อ่อนไหว ภายนอกยูริจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่จิตใจของเธอเหมือนจะตรงกันข้าม และเขาก็กลายเป็นคนที่เคียงข้างเธอเสมอ

“ไม่ไหวเอาซะเลย จะทำของขวัญให้พ่อกับแม่เองก็ไม่ได้ ต้องให้เธอช่วยทุกที” เธอบ่นตัวเองครั้งที่พยายามจะถักผ้าพันคอคู่ให้คุณและคุณนายซอตามที่ตกลงไว้กับซอฮยอน โดยซอฮยอนจะถักให้คุณพ่อ ส่วนเธอจะถักให้คุณแม่ แต่สุดท้ายกลายเป็นดงเฮต้องมาช่วยถักจนเสร็จดี เขาได้แต่หัวเราะเบาๆพร้อมกับบอกเธอว่าเขายินดี

“ฉันเป็นพี่ที่ไม่เอาไหน ดูแลน้องเองก็ไม่ได้” เธอบ่นกับเขาเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนต้องกลายเป็นคนติวหนังสือให้กับซอฮยอนแทนที่จะเป็นเธอ พี่สาวแท้ๆ ดงเฮได้แต่จับหัวเล็กๆนั้นโยกไปเบาๆ พร้อมกับคำปลอบใจ ใช่ทุกคนจะถนัดในสิ่งเดียวกัน สำหรับซอฮยอนเธอเป็นพี่สาวที่วิเศษที่สุดแล้ว

“ฉันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เล่นละครไม่เอาไหน แล้วยังจะมาเป็นนางเอก” เธอพูดเสียงอู้อี้เมื่อพักฝึกซ้อมละครเวที เธอโดนผู้กำกับตำหนิเรื่องที่เธอไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของนางเอกที่มีความรักได้ ดงเฮได้แต่โอบกอดเธอไว้เบาๆเพื่อปลอบใจ .. เธอไม่ใช่คนใจแข็งที่ไร้ความรัก เธอแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้น

ในห้องประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยสถานที่ที่ใช้จัดละครเวที คณะนักแสดงยังคงซ้อมละครเวทีเป็นปกติแม้เวลาจะผ่านไปร่วมค่อนคืน บางคนเริ่มง่วงแต่ก็ยังฝืนที่จะทำต่อให้เสร็จด้วยรู้ว่าคนอื่นๆก็กำลังตั้งใจทำงานเช่นกัน จะเสียเวลาไม่ได้แม้ซักวินาที ยูริกำลังซ้อมบทอยู่กลางเวทีกับพระเอกละครและดงเฮ หญิงสาวกำลังมุ่งสมาธิไปที่บทละครจนไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว พลันหางตาของดงเฮเหลือไปเห็นเพื่อนร่วมชั้นที่ถือกำลังจัดไฟดูหมิ่นเหม่คล้ายจะหล่นลงมา เขามองพร้อมกับคิดเบาๆ “อย่าได้ตกลงมาเชียว” แต่ไม่ทันไรสิ่งที่เขาคิดก็เกิดขึ้นจริงๆ ไวกว่าความคิด ดงเฮกระโดดเข้าไปผลักยูริให้พ้นทาง

โครม!

เสียงดังสนั่นปนกับเสียงหวีดร้อง ร่างกายของดงเฮถูกขาตั้งไฟทับจนหมดสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ยูริได้แต่ยืนสั่นพร้อมจะทรุดลงไปทุกเมื่อ น้ำตาที่ไหลยากเย็นกลับไหลรินลงมาตามแก้มเนียนโดยที่เธอไม่รู้ตัว

“ดงเฮ” เธอครางเบาๆ อยากจะหยุดหายใจให้ได้เมื่อเห็นสภาพเขา “อย่าเป็นอะไรนะดงเฮ”

ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาช้าๆ เขากระพริบตาปริบๆก่อนจะมองขึ้นไปที่เพดานขาว เขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่เพื่อจะรับรู้ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่โรงพยาบาล ร่างหนาพยายามขยับตัว หากแต่แขนซ้ายของเขากลับไร้ความรู้สึก .. หนักเกินไป ขยับไม่ได้ .. สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือพิการ แต่อย่างไรซะเขาก็ต้องลุก เขาต้องไปดูยูริ เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ป่านนี้เธอคงร้องไห้ไม่หยุดเพราะมัวแต่โทษตัวเองว่าทำให้เขาเจ็บตัว ก่อนที่ดงเฮจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น น้ำเสียงงัวเงียก็ดังขึ้นมาจากข้างเตียง

“เธอตื่นแล้ว ฉันตกใจแทบแย่” ยูริเอ่ยเสียงงัวเงียพร้อมกับยกมือเรียวบางขึ้นมาขยี้ตาเพื่อขจัดความง่วง ดงเฮมองไปยังต้นเสียงเมื่อเห็นเธอขยับตัวให้นั่งถนัดขึ้น .. ขยับได้เสียที เพราะยูริแท้ๆทีเดียว มานอนทับแขนจนชาไปหมด .. ดงเฮค่อยๆเลื่อนมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า

ดวงตาคมมองใบหน้าสวยของเพื่อนสนิทที่บัดนี้ซีดกว่าที่เคยเป็น ตาคมสวยบวมแดงผิดไปจากที่เคยเห็น

“ฉันแย่ที่สุดเลย ทำให้เธอต้องเจ็บตัว” เธอเอ่ยขึ้น โทษตัวเองอีกครั้ง

ดงเฮเอื้อมมือหนาไปเช็ดน้ำตาให้กับเธอ เขาเดาเธอไว้ไม่ผิดจริงๆว่าเธอต้องโทษตัวเองแบบนี้ “ไม่ใช่เพราะเธอซักหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุ”

“ฉันขอโทษนะ และก็ขอบคุณจริงๆ” หญิงสาวพูด น้ำตายังไหลไม่ขาดสาย

“ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะร้องไห้บ้างล่ะนะยูริ .. เธอก็รู้ฉันร้องไห้เก่งขนาดไหน” ยูริหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยิน เธอเลื่อนมือมาจับที่มือเขาและกุมมันไว้อย่างนั้น

…ขอบคุณที่ปกป้องฉัน ลี ดงเฮ

จากวันนั้นดงเฮบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องดูแลเธอให้ดี ดีที่สุดเท่าที่จะดูแลเธอได้ ทั้งคู่เรียนรู้กันและกัน แบ่งปันความรู้สึก ดงเฮเป็นผู้ที่เข้าใจอารมณ์อ่อนไหวของยูริได้ดีที่สุด เขาจะกุมมือเธอเสมอ เช่นเดียวกับที่ยูริเข้าใจเขามากที่สุด เธอทำให้คนที่ร้องไห้ง่ายอย่างเขาแข็งแกร่งขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอนำเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาให้กับเขา แต่ไม่เคยมีคำพูดใดออกมาจากทั้งสองคน แค่รู้สึกดีก็เพียงพอแล้ว แค่ได้ดูแลเธอก็เพียงพอแล้ว

ละครเรื่องแล้วเรื่องเล่าผ่านไปพร้อมความสัมพันธ์ที่งอกงามขึ้นโดยที่ทั้งคู่เองก็ไม่คาดคิด สามปีแล้วที่เขาเฝ้าดูแลยูริ .. และอยู่เคียงข้างเธออย่างนั้น

“ยูริ มีคนมาหา” เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นคยูฮยอนเข้ามาในหอประชุมในระหว่างที่กำลังมีการซ้อมละครเวที

“พาแฟนใหม่มาอวดแกด้วย” อีกเสียงนึงตะโกนขึ้นอย่างหยอกเย้าเมื่อเห็นว่าเขาเดินมากับสาวน้อยหน้าหวานราวกับตุ๊กตาเคลือบ

“นี่น้องสาวของยูริเว้ย! ฉันกับยูริยังรักกันดี อย่ามายุเลยน่า” คยูฮยอนตะโกนตอบกลับไปอย่างขำๆโดยไม่ทันได้สังเกตอะไร ดงเฮได้ยินคำพูดดังกล่าวได้ยินนิ่งอึ้งไป หัวใจของเขาชาหนึบ เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาได้ยินคยูฮยอนพูดชัดเจนขนาดนี้ ชัดเจนจนเขาเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่เขาบอกได้คือตอนนี้เขารู้หัวใจตัวเองแล้วหลังจากที่เขาใช้เวลาหลังจากที่คยูฮยอนและซอฮยอนกลับไปทบทวนบางอย่าง เขารักยูริ ความผูกพันธ์มันก่อตัวกลายเป็นความรักต้องแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เคยคิดจะโกหกหัวใจตัวเอง .. เวลาก่อให้เกิดความรักขึ้นมาเงียบๆแต่หนักแน่นเหลือเกิน

…ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เธอฉันคงต้องบอกเธอ

ค่ำแล้วการซ้อมละครเวทีจบลง ดงเฮเดินมาส่งยูริเหมือนทุกๆวัน เขาและเธอใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่ร่วมกันอย่างคุ้มค่า ดงเฮเฝ้าคิดมาตลอดทางว่าเขาจะบอกเธอยังไงดี จะเริ่มยังไง จะพูดแบบไหน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ทุกอย่างมันดูใช่ไปหมดในความรู้สึกเขา ไม่ทันที่เขาจะเริ่มพูดมือเรียวบางก็เอื้อมมาจับเขา

“ดงเฮ ฉันมีอะไรจะบอกเธอ”

ร่างสูงหยุดนิ่งก่อนจะหันมามองสาวผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้า ดวงตาคมสวยคู่นั้นไม่ได้ปิดบังความรู้สึกใด ชัดเจนราวกับเธอกำลังบอกอะไรเขาอยู่ .. แต่ไม่ใช่ตอนที่กำลังดึงแขนอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่แบบนี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น

“เดี๋ยวก่อน ยูริ”

“ฉันไม่หยุด เธอสิต้องหยุดและฟังฉันพูด .. ฉันคิดว่า”

“ยูริ!” ร่างสูงแทบจะกระโดดไปปิดปากคนที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ยอมหยุดพูดตามที่เขาบอก

“ไม่หยุด ก็ฉันจะพูดนี่นา” ยูริค้าน ไม่ว่าอย่างไรเสียเธอก็ไม่หยุด เธอพูดในสิ่งที่เธอคิดเสมอและคราวนี้ก็เช่นกัน นี่ล่ะยูริของแท้ ไม่เคยฟังอะไร ไม่ยอมใครหน้าไหน ปกติทุกครั้งดงเฮจะต้องยอมเธอ แต่ครั้งนี้คงต้องเป็นข้อยกเว้น

ยูริดิ้นอย่างแรงเมื่อรู้สึกถึงมือหยาบที่ปิดเข้าที่ปากเธอ ร่างสูงโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู “ฉันเองก็คิดเหมือนเธอนั่นแหละ”

แก้มนวลใสขึ้นสีแดงจัด มือเรียวบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งเขินอาย ตกใจ ระคนดีใจ ดงเฮมองมองหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศนั้นพร้อมกับยิ้มเบาๆ .. อายกับเขาก็เป็นนี่นา ปกติเห็นมีแต่ทำซ่าก๋ากั่นเวลามีชายหนุ่มมาบอกรัก

“ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งพูด เรื่องอย่างนี้ให้ผู้หญิงพูดก่อนได้ยังไงเล่า” ดงเฮยกมือปัดผมตัวเองแบบเก้อๆ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทรู้ใจมานาน แต่พอบอกความจริงที่ต่างคนต่างซ่อนไว้ก็พาลเขินไม่น้อย

ยูริหัวเราะคิกเมื่อได้ยินชายตรงหน้าพูด ดงเฮเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักจะทำให้เธอหัวเราะโดยไม่รู้ตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่เขาบอกรัก

“หัวเราะอะไรเล่า” คนถูกขำได้แต่ยืนทำหน้างอจนยูริต้องดึงแขนของเขาเพื่อนำทางไป

สองคนเดินเคียงข้างกันอย่างอบอุ่น ทุกก้าวย่างที่เดินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะมีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นเขาทั้งสองก็ยังมีเรื่องให้คิด .. คยูฮยอน แฟนของยูริ เพื่อนสนิทของเขา .. เขาจะทำอย่างไร ในเมื่อทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นและได้รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง สำหรับเธอแล้วความรู้สึกที่เธอมีให้ดงเฮช่างแตกต่าง ทั้งอ่อนหวาน อ่อนไหว ไม่มั่นใจ แต่สบายใจในเวลาเดียวกัน เขาทำให้น้ำตาของเธอหายไป เธอรักเวลาที่เธอรู้สึกอย่างนั้น และสำหรับดงเฮแล้วเธอคือคนที่เขาต้องการจะดูแลไปตลอดชีวิต เธอคือโลกทั้งใบสำหรับเขา

…เธอสำคัญขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

มือน้อยกระตุกแขนแกร่งให้หยุดเดินก่อนที่จะถึงหน้าประตูบ้าน “ดงเฮ .. ฉันจะบอกคยูฮยอนยังไงดี”

“บอกตามความจริง ฉันคิดว่าคยูฮยอนเข้าใจ” ดงเฮตอบพลางคิดถึงเพื่อนสนิท เขารู้มันคงลำบากสำหรับทั้งสามคน แต่นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็คงดีกว่าการโกหกกัน

แน่นอนว่าคนอย่างโจว คยูฮยอน ไม่มีทางหายโกรธได้ง่ายๆ เขาแทบจะไม่มองหน้าดงเฮและยูริหลังจากที่ยูริบอกเขาเรื่องความสัมพันธ์ของเธอและดงเฮ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ดงเฮมองมือเล็กที่เขากุมอยู่ จะปล่อยมือนี้ไปได้ยังไงกัน ในเมื่อรักขนาดนี้ เขาได้แต่หวังว่าเวลาจะทำให้คยูฮยอนเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นและให้อภัยพวกเขาได้ในที่สุด

ดงเฮเดินไปมาอยู่หน้ากระจก ตื่นเต้นจนนั่งแทบไม่ติด จนเมื่อมีเด็กน้อยยื่นจดหมายซองเล็กๆให้กับเขา

– ฉันมีธุระจะคุยกับพี่ ช่วยมาพบฉันที่สวนหลังโบสถ์ด้วยนะคะ .. ซอฮยอน –

คิ้วหนาขมวดนิ่วอย่างสงสัย ซอฮยอนอยากคุยกับเขาเรื่องอะไรกัน หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เขารู้ว่ามันฉุกละหุกแต่เพราะเป็นซอฮยอนเขาจึงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันคงสำคัญไม่น้อยถึงได้เรียกมาก่อนพิธีเริ่มเพียงไม่กี่นาทีอย่างนี้ร่างสันทัดในชุดทักสิโดรีบสาวเท้าออกไปยังที่นัดหมายเพียงเพื่อพบกับความว่างเปล่า ซอฮยอนยังไม่มา เขายกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมองอย่างกังวล .. ใกล้เวลาพิธีแล้ว เธอจะทำอะไรกันแน่ซอฮยอน

เสียงฝีเท้าเดินมาเบาๆ ร่างสูงหันมาเกือบจะทันทีที่รู้ถึงการเคลื่อนไหว

“มีอะไรหรือ ซอฮยอน” เขาถาม

“สัญญานะคะว่าพี่จะดูแลพี่สาวฉันอย่างดี อย่าทำให้พี่ยูริเสียใจนะคะนะคะ .. ไม่งั้นพี่ตายแน่” ซอฮยอนพูดแกมขู่ เสียงหวานๆของเธอไม่เหมาะกับท่าทางอย่างนี้จริงๆ แต่พอคิดว่าเป็นเรื่องของยูริแล้ว เขาเชื่อว่าเธอทำได้อย่างที่พูด

“ที่ผ่านมายังไม่พิสูจน์อะไรได้อีกเหรอ” ดงเฮถามกลับ เขารู้ว่าเธอเองรู้ดีว่าเธอไว้ใจเขาได้ แต่เธอแค่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง เขารู้พี่น้องคู่นี้ผูกพันกันมากกว่าคู่ไหนๆ ยูริและซอฮยอนทำให้เขาเชื่อในคำว่า ‘Sister Bond’

“ไม่รู้ล่ะค่ะ ถ้าเธอร้องไห้แม้แต่นิดเดียว พี่ตายแน่ .. ฉันจะไปจัดการพี่ด้วยมือของฉันเอง” ซอฮยอนขู่สำทับอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แมวน้อยของยูริกลายร่างเป็นนางเสือพร้อมจะตะปบเขาได้ทุกเมื่อหากไม่รักษาสัญญา ดงเฮหัวเราะเบาๆเมื่อคิดว่าวันนี้เป็นวันที่เขารอคอยมาแสนนาน วันแต่งงานของเขากับยูริ เขารักและรอวันที่เธอจะได้ดูแลเธออย่างสมบูรณ์แบบมานานขนาดนี้ ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะทำเธอให้เสียใจ

ประตูโบสถ์เปิดขึ้นพร้อมกับร่างบางระหงอยู่ในชุดเปิดไหล่ประดับเลื่อมระยับชายยาวระพื้น ยูริค่อยๆเดินไปตามพรมแดงที่โรยไว้ด้วยกลีบดอกไม้สีขาว ดงเฮเกือบจะหยุดหายใจเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เธอสวยราวกับนางฟ้าจนเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้สักวินาที วินาทีนั้นเขารู้ตัวแค่เพียงว่าเขากล่าวคำว่า “ผมรับ” ก่อนจะประทับปากลงที่กลีบสวยนั้นไว้อย่างไม่อาจถอน

…ฉันรักเธอ ซอ ยูริ

หลังจากแต่งงาน ยูริและดงเฮอาศัยย้ายไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางในกรุงลอนดอน ไม่ไกลนักจากที่พักของซอฮยอน ทั้งคู่เคยชวนให้ซอฮยอนมาอาศัยอยู่ร่วมกันโดยจะซื้อหาที่พักที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้พอเหมาะกับขนาดครอบครัว แต่ซอฮยอนปฏิเสธ เธอบอกว่าคู่แต่งงานควรจะใช้เวลาช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ให้เต็มที่

“ฉันจะได้มีหลานไวๆไงคะ” ซอฮยอนพูดยิ้มกว้างก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไม่สนใจยูริที่หน้าขึ้นสีจากคำพูดของน้องสาว เธอตีเขาที่แขนแกร่งเบาๆเมื่อเห็นเขาไม่ว่าอะไร

“อะไรกัน” เขาเอ็ด มือลูบแขนที่ถูกเธอตีป้อยๆ “ตีฉันทำไม ตีซอฮยอนสิ นั่นซอฮยอนเป็นคนพูดนะ”

“ก็เพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันโดนล้อ” ยูริค้านหน้าแดงก่ำ .. อายจนไม่รู้จะพูดยังไง ก็เพราะเขานั่นแหละแสดงความรักประเจิดประเจ้อจนน้องเห็นแล้วเอามาล้อเธอได้ ซอฮยอนก็อีกคน มาแซวเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน แถมยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้เล่นเอายูริอยากจะจับน้องสาวที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตรงหน้ามาตีซะให้เข็ด ดงเฮไม่ฟังคำที่สาวเจ้าบ่นว่าแม้แต่น้อย เขาคว้าตัวเธอมากอดแนบอกแกร่งก่อนที่จะกระซิบข้างหูเบาๆ

“ซอฮยอนนี่รู้ใจฉันจริงๆ”

เขาตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้อง ดงเฮขยับตัวมองนาฬิกาที่อยู่หัวเตียง เจ็ดโมงเช้า เขาเหลือบมองร่างบางที่ยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เธอหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นทั้งๆที่ปกติเธอจะตื่นมาทำอาหานเช้าให้เขาทาน เธอคงเหนื่อย ดงเฮคิด .. แปลกจริง เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเธอซักหน่อย ออกจะนุ่มนวลอ่อนโยนแท้ๆ ดงเฮคิดตามแบบคนขี้เล่น ถ้ายูริล่วงรู้ถึงความคิดเขาคงโวยวายหาว่าเขาทะลึ่งอีกแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจัดการธุระส่วนตัวก่อนจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า

ควันกาแฟหอมกรุ่นปลุกยูริขึ้นมา เธอเดินมาโอบกอดดงเฮจากด้านหลังก่อนมองอาหารที่เขากำลังปรุงอยู่ หญิงสาวทำท่าพะอืดพะอมเมื่อได้กลิ่นอาหารที่หอมชวนทานแล้วจึงวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำก่อนจะมานอนซมหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงไม่ต่างจากเมื่อเช้า ดวงหน้าคมสวยบัดนี้ซีดไร้สีเลือดจนดงเฮตกใจ

“ไปหาหมอเถอะนะยูริ” ดงเฮลูบศรีษะเธอเบาๆ แววตาบ่งชัดว่าเป็นห่วง เป็นขนาดนี้แล้วเธอยังจะดื้ออยู่อีก “เธอเป็นอย่างนี้แล้วฉันจะไปทำงานได้ยังไงกัน”

“รอดูซักวันนะดงเฮ เธอไปทำงานเถอะ ฉันจะเรียกจูฮยอนมาอยู่เป็นเพื่อน” ยูริยังคงปฏิเสธอย่างอ่อนแรง

“เย็นนี้ถ้าไม่ดีขึ้นเธอต้องไปหาหมอ” เขากล่าวเสียงจริงจังก่อนประทับปากลงที่กลางหน้าผาก ก่อนเลื่อนมาที่แก้ม แล้วจึงหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบาง

“ฉันป่วยอยู่นะ” ยูริพูดเสียงเบาเมื่อดงเฮถอนจูบ

“เพราะเธอป่วย ฉันถึงต้องให้กำลังใจไง” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกไปทำงาน

ยูริโทรหาซอฮยอนทันทีที่ลับตา เธอบอกให้น้องสาวรีบมาหาเพราะมีเรื่องสำคัญระดับชาติ หญิงสาวบอกน้องว่าเธอตั้งครรภ์ได้สองเดือนเศษ ซอฮยอนดีใจจนตัวโยน แต่เธอมองน้องสาวแววตาบอกถึงความลังเล ยูริรู้ดีว่าตอนนี้เธอและดงเฮไม่พร้อมที่จะมีลูก ดงเฮต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูเด็กที่จะเติบโตในต่างประเทศ เธอจะทำมันได้อย่างไร ซอฮยอนโอบกอดพี่สาว หญิงสาวรู้ดีว่ายูริหนักใจแค่ไหน แต่เธอยังย้ำกับยูริว่าเธอควรจะปรึกษาดงเฮให้ดีๆก่อนจะตัดสินอะไรไป ลูกคือของขวัญ​ .. มันควรจะเป็นอย่างนั้น

ดงเฮวางข้าวของอุปกรณ์ถ่ายภาพเมื่อกลับมาถึงบ้าน ยูริที่เดินกระสับกระส่ายหันมองมาทางเขาจนเกือบจะทันที เธอคิดถึงคำพูดของซอฮยอนวนไปวนมา ลูกคือของขวัญงั้นหรือ

“เป็นอะไรเหรอยูริ” ดงเฮถาม

“ถ้าเรามีลูกจะดีไหมดงเฮ” เธอตอบเขาด้วยคำถาม คำพูดสวยงามที่ตั้งใจเรียบเรียงเอาไว้ในหัวถูกลืมไปเสียสิ้นเหลือแค่เพียงคำถามห้วนๆสั้นๆ

ดงเฮแทบหูอื้อเมื่อได้ยิน .. ลูก .. สิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝัน ดงเฮคิดถึงมือน้อยๆที่เขาจับจูงให้ก้าวเดินทีละก้าว เสียงเด็กน้อยที่เรียกเขาว่าพ่อ ดงเฮกำพร้าพ่อ พ่อเสียตั้งแต่เขาอยู่มัธยม นับตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็คิดว่าเสมอจะต้องสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและได้เป็นพ่อที่ดีอย่างพ่อของเขา น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอด้วยความยินดีจนพูดไม่ออก ในที่สุดพระเจ้าก็เห็นใจให้โอกาสเขาได้เป็นพ่อ

“นี่! ลี ดงเฮ .. ฉันกำลังจะมีลูก นายกำลังจะเป็นพ่อคนจะมานั่งร้องไห้ไม่ได้นะ” ยูริร้องโวยเมื่อเห็นชายหนุ่มเริ่มออกอาการขี้แย

สิ้นคำเสียงหัวเราะประสานกันแทบจะทันที ดงเฮกอดยูริแน่น แม้พวกเขาจะยังไม่พร้อม แต่ถ้ามีเธอเคียงข้างเขามั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ยูริให้กำเนิดลูกสาว “ยูมี” ทั้งคู่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักจากทั้งพ่อและแม่ ยูริเสียเลือดมากจากการคลอด และตกเลือดหลังคลอดเป็นจำนวนมากจนเกือบเสียชีวิต วินาทีที่แพทย์แจ้งอาการเธอ หัวใจของเขาเกือบหยุดเต้นเมื่อคิดว่าต้องเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป ยูริต้องเธอเผชิญกับภาวะโลหิตจาง เป็นผลทำให้ภูมิต้านทานต่ำและร่างกายอ่อนแอ เธอป่วยกระเสาะกระแสะบ่อยจนไม่สามารถดูแลลูกน้อยได้ด้วยตนเองไหว ซอฮยอนจึงช่วยดูแลยูมีแทนเวลาเธอป่วย โดยที่เขาใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการดูแลเธอ “เธอเหนื่อยไหม” เธอมักจะถามเขาเสมอ

“ฉันไม่เคยเหนื่อยที่ได้ดูแลเธอและลูก การอยู่เคียงข้างเธอทำให้ฉันมีความสุข” นั่นคือคำตอบที่เขาพร่ำบอกเธอเสมอ

จนเมื่อยูริทรุดหนัก เธอมีภาวะปอดติดเชื้อเฉียบพลัน ในบรรยากาศห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลเงียบสงบ ลมหนาวเริ่มพัดมาอ่อนๆแม้จะยังไม่เข้าฤดูหนาว “ถ้าหิมะยังไม่ตกก็แสดงว่ายังไม่ใช่ฤดูหนาว” เธอชอบบอกเขาอย่างนั้น ยูริรักหิมะ มันทำให้เธอคิดถึงตอนเด็ก ตอนนั้นทุกอย่างช่างง่ายดายมีเพียงความบริสุทธิ์สดใส เธอชอบเดินกอดแขนดงเฮเสมอเวลาหิมะโปรย ไออุ่นของเขาทำให้เธออบอุ่น ดวงตาคมมองซอฮยอนขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆยูริราวกับว่าเธอเป็นเด็กน้อย สองพี่น้องกระซิบกันเบาๆในสิ่งที่เขาไม่ได้รับรู้ ดงเฮเบือนหน้าหนี เขายืนสะกดอารมณ์นิ่ง กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น ไม่อาจเอ่ยคำใดเพราะรู้ดีว่าคงระงับเสียงไม่ได้สั่นไม่ได้

…ร้องไห้ไม่ได้ ยูริจะเป็นห่วง

ซอฮยอนขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อปล่อยให้เขาอยู่กันสองคน เขารู้เธอออกไปเพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ ไม่ต่างอะไรกับเขา เขาได้ยินเสียงเรียกของเธอที่เบาหวิวราวกับลมในฤดูหนาว

“ช่วยฉันหน่อยสิ ฉันอยากไปมองท้องฟ้ากับเธอ”

ดงเฮช้อนอุ้มตัวเธออย่างง่ายดาย ตัวเธอเบาราวกันนุ่น ยูริผ่ายผอมลงมากตั้งแต่เธอป่วยออดๆแอดๆ แต่ใบหน้าสวยหวานยังคงมีรอยยิ้มเสมอ เขาพาเธอมานั่งที่ริมหน้าต่างตามที่เธอขอ ลมเย็นๆที่พัดผ่านมาทางหน้าต่าง ภาพพระอาทิตย์กำลังจะลับตาอยู่เบื้องหน้าสวยจนเขาอยากจะหยุดเวลาไว้

“สัญญากับฉันนะว่าเธอจะมีความสุข ดูแลลูกสาวของเราให้ดีให้สมกับที่เขาเป็นของขวัญแต่งงานของเรา” ยูริกระซิบที่ข้างหูเขา ดงเฮกระชับกอดแน่นน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อายให้กับคำพูดของภรรยารัก

“อย่าร้องไห้สิ ทุกเวลาทุกนาทีที่ฉันอยู่กับเธอเป็นเวลาที่น่าจดจำ เธอไม่คิดอย่างนั้นเหรอดงเฮ” เสียงหวานของเธอเอ่ยเบาๆราวกับสายลมที่พัดผ่าน

…ดงเฮ ได้โปรดใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขแทนฉันด้วย

ยูริจากไปพร้อมกับหิมะแรกของปี เหมือนโลกทั้งโลกของเขาหยุดหมุน ดวงตาของเขาเห็นแต่สีขาวดำ เขาหมดแรงพลังจะก้าวเดินแม้จะบอกตัวเองเสมอว่าต้องเข้งแข็งเพื่อยูมี ตัวแทนแห่งความรักของทั้งคู่ .. ของขวัญแต่งงานของเขาและยูริ .. แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูกสาวก็มักจะมีภาพของเธอซ้อนขึ้นมาเสมอ เด็กน้อยเหมือนภรรยาของเขาเสียเหลือเกิน เขารักลูกแต่เขาเองก็เจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดลงกลางใจ ดงเฮเลือกทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อลืมเธอและทิ้งลูกน้อยไว้ให้ซอฮยอนดูแล แม้รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ยูริต้องการ

ภาพของยูริยังคงชัดเจนในความทรงจำของเขา ภาพเธอยิ้ม ภาพเธอหัวเราะ ภาพเธอเดินกอดแขนเขาในวันหิมะตก ภาพเธอเล่นกับซอฮยอน ภาพเธอโอบกอดยูมี แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่มีเธอ

…ยิ่งความทรงจำของเรางดงามแค่ไหน ฉันยิ่งเสียใจที่ต้องก้าวเดิน

…ฉันจะอยู่ในหัวใจของเธอตลอดไป รู้สึกไหมว่าความรักของฉันอยู่รอบตัวเธอ

อีกหนึ่ง Special Chapter ที่ดึงมากจากมหากาพย์ฟิคกาก Loving You ที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เรื่องนี้รีไรท์ไม่เยอะเท่าไรเพราะไม่รู้จะเขียนยังไงค่ะ แถมเขียนไว้นานแล้วอีก เอาเป็นว่า….อ่านดูพัฒนาการคนเขียนแล้วกันนะคะ ㅠㅠ