“ที่เอ๋ไปเกาหลีมานี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหมดเลยเหรอ” เป็นคำถามที่มีคนถามเราตอนที่กลับมาจากพเนจรในเกาหลีเรียบร้อย เราเองคิดว่าเพื่อนคงสงสัย เพราะติ่งที่ไปเกาหลีคงไปได้หลายแนวทาง ตั้งแต่ตามล่าหาแฟนไซน์ ไปรายการเพลง ช้อปกระจาย ตามรอยรายการหรือละคร หรือไปบางคนไปแค่ดูคอนเสิร์ทหรือร่วมงานอีเวนท์แล้วกลับเลยด้วยเวลาและงบจำกัด เราเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามที่เพื่อนถามยังไง เพราะตามรอยก็ไม่ได้ตั้งใจแต่ดันไปเจอ บางที่ไปเพราะอยากลองกินอาหารไม่ใช่เพราะรายการ ร้านอาหารบางร้านที่ตั้งใจไปกินก็ดันหาไม่เจอแต่ดันฟลุคไปเจอร้านเด็ด บางที่ไปเพราะเหตุผลโง่ๆว่าอยากเห็นแต่ต้องดั้นด้นไปดูซะไกลลิบทั้งๆที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวไปเสียทีเดียว สถานที่ท่องเที่ยวเราก็ไปพวกวัดวังแต่ร้านชานมไข่มุกหรือมหาวิทยาลัยที่จะไปในวันนี้ก็ไม่อย่าจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน เราเลยตอบเพื่อนไปว่า .. ถ้าตัวจะนับมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็ใช่ เราไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว
สำหรับการเดินทางในวันนี้เราต้องเตือนเล็กน้อยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับมักเน่ตัวโต ซอฮยอนของเรามากถึงมากที่สุด (และอาจจะคยูฮยอนบ้างเล็กน้อย) จนน่าจะเรียกได้ว่าตามรอยเลยล่ะถ้าอยากจะนิยามว่าอย่างนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบซอฮยอนเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยในการอ่านตอนนี้นะคะ
Day 9 : O’sulloc Tea House, Dongguk University, Kyunghee University, School Food, Cheonggyecheon
O’sulloc Tea House
How to go: O’sulloc มีหลายสาขา แต่สาขาที่จะไปวันนี้คือที่มยองดง เดินทางโดยรถไฟฟ้าสาย 4 ไปลงที่ Myeongdong Station, Exit 6 ออกจากสถานีก็เลี้ยวซ้ายเข้า Myeongdong 8-gil ประมาณสี่ร้อยเมตรจะเจอ O´sulloc Tea House อยู่ขวามือ
Operating hours : 09:00 – 22:30 (Friday & Saturday: 09:00 – 23:00)
Price : KRW 8,000+
O’sulloc Tea House เป็นคาเฟ่ที่ขายชาเกาหลีแท้ดั้งเดิม โดยที่ขึ้นชื่อก็จะเป็นชาเขียว แต่ถึงอย่างนั้น O’sulloc มีขายตั้งแต่น้ำผลไม้ สมูทตี้ ไอศกรีม และขนมหวาน บรรยากาศของร้านสบายๆ ตกแต่งด้วยไม้สีอ่อนดูโปร่งสว่างตา ใครไปก็สามารถนั่งชิมบรรยากาศพร้อมๆกับจิบชารสดั้งเดิม ภายในร้านยังมีผลิตภัณฑ์ให้ซื้อกลับได้ด้วย เผื่อใครอยากจะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากก็ได้
นอกจากร้านนี้จะเป็นร้านชาร้านดังแล้ว ได้ยินว่ายังเป็นชาเขียวร้านโปรดของซอฮยอน ก็เลยทำให้เรารู้สึกอยากจะมาลอง .. ชาโปรดแต่เห็นเธอถือแต่แก้ว Tom Tom อะไรของเธอ -__-;
หลังจากที่ลองเรียบร้อย เราว่าเราแนะนำร้านนี้สำหรับคนที่ชอบชาเขียวควรมานะคะ อาหารเช้าที่เราทานเป็น Ice green tea latte กับโรลชาเขียว หอมและอร่อยทีเดียว ลาเต้เค้าไม่หวานเกินไปด้วย ถ้ามีเวลาจากการเที่ยวตะลุยเมืองแล้วมาพักขาที่ร้านชาเย็นๆชิวๆก็ดีไม่น้อย O’sulloc Tea House เค้ามีสาขาอยู่ที่มยองดง อับกุจอง อินซาดง และแทฮักโร แต่วันนี้เราเลือกมาสาขามยองดงเพราะว่าจะแวะมาซื้อ CD ที่เพื่อนเพิ่งจะฝากซื้อทีหลังและมยองดงยังใกล้กับสถานที่แรกที่เราจะไปด้วย .. มหาวิทยาลัยดงกุก
Dongguk University
How to go: การเดินทางไปมหาวิทยาลัยดงกุกนั้นเดินทางง่ายๆ ถ้าเดินทางโดย subway จะไปได้สองสถานีคือ Chungmuro Station และ Dongguk University Station 1) ถ้าลงที่สถานี Dongguk University ให้ออก Exit 3 หากจะเข้าทาง Hyehwa Gate สามารถขึ้นบันไดเลื่อนข้างๆ Tourist Information ได้ หากต้องการเข้าประตูหน้าให้เดินผ่าน Tourist Information เข้าไปในสวน มหาวิทยาลัยจะอยู่ขวามือ 2) ถ้าลงที่สถานี Chungmuro ต้องออก Exit 3, 4 แล้วเข้าทางประตูหลังของมหาวิทยาลัย
การวางแผนเดินทางของเราวันนี้เป็นวันที่ง่ายที่สุด เพราะเป็นที่ที่เราอยากไปมากที่สุดทั้งนั้น บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นบ้าอะไร ทำไมถึงได้อยากไปมหาวิทยาลัยขึ้นมา จะไปเรียนต่อก็ไม่ใช่ ในฐานะโซวอนเมนซอฮยอนที่เฝ้าติดตามเธอมาก็หลายปี การได้เห็นเธอทำงานที่เธอรักนั้นถือเป็นสิ่งที่มีค่าและทำให้พลังชีวิตเราเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน แต่นอกจากการที่ซอฮยอนจะเป็นซอฮยอนของแฟนๆแล้ว เธอยังใส่หมวกอีกใบเป็นซอ จูฮยอน นักศึกษาที่กำลังพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเหมือนกัน ที่ที่เป็นชีวิตประจำวันของเธอนอกจากบริษัท สถานที่ทำงานอย่างสถานีวิทยุโทรทัศน์ บ้าน หอพัก อีกที่ที่เธอไปคงจะเป็นมหาวิทยาลัย เราเลยอยากเห็นว่าเธอเรียนยังไง อยู่ยังไง
เนื่องจาก SNSD เป็นศิลปินที่มีงานเกือบทั้งปี แม้ไม่ได้มุ่งทำงานเพลงอัลบั้มหลักตลอดปีและมีที่แยกไปทำงานเดี่ยวที่ตนสนใจบ้าง แต่เราก็ยังเห็นภาพซอฮยอนไปมหาวิทยาลัยเป็นระยะๆ เธอเป็นไอดอลเพียงไม่กี่คนมั้งคะที่ไม่ละความพยายามด้านการเรียน เมื่อสี่ปีที่แล้วเธอพยายามยังไง ตอนนี้เธอก็ยังเป็นอย่างนั้น .. เด็กหญิงที่บอกว่าเห็นเพื่อนๆทำได้ ชั้นก็ต้องทำได้ .. สาวน้อยที่บอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะมาเรียน ถึงโดนภาคทัณฑ์หรือติด F ยังไงก็ต้องมาเรียน .. นั่นทำให้มหาวิทยาลัยดงกุกเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเราจริงๆ ตั้งแต่เราวางแผนเที่ยวเกาหลีมหาวิทยาลัยดงกุกก็อยู่ในรายการสถานที่แรกๆที่เราตั้งใจจะไป อาจจะมาก่อนวัดวังเสียอีก
หลังจากอาหารเช้าแบบเบาๆ ซื้อ CD ที่ตกค้างสิริรวมหนึ่งแผ่น เราก็จัดการย้ายร่างไปมหาวิทยาลัยดงกุก จากมยองดง ถ้าไปสถานี Chungmuro แล้วดูใกล้กว่าเพียงแค่หนึ่งสถานี แต่เหมือนจะเดินไกลกว่าหน่อย เราเลยตัดสินใจเดินจาก O’sulloc ขึ้นไปทางเหนือของมยองดงเพื่อไปขึ้นรถไฟสาย 3 จาก Euljiro 3(Sam)-ga รถไปลงที่สถานี Dongguk University แทน ฝนยังคงตกอยู่ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่มยองดงจนถึงดงกุก โชคดีที่ไม่ได้ตกหนักมากยังพอถูไถ เราหย่อน CD และโปสเตอร์ที่ห่อพลาสติกไว้ในกระเป๋าเป้แล้วก็เดินตามปกติ
ตอนที่เราเดินมาถึงสถานี Dongguk University และออกมาที่ Exit 3 ตามข้อมูลที่หามา เราหยิบมือถือมาดูแผนที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย .. ถึงวันนี้เราได้ปลดระวางแพดและหนังสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะแบกมาหลายวันรู้สึกว่าไม่ไหวค่ะ หนักและพะรุงพะรังมาก เอาทุกอย่างรวมในมือถือดีที่สุด อีกอย่างถ้าอยู่ในโซลเราเองก็พอจะคุ้นเคยบ้างแล้ว เลยรู้สึกว่าอยู่ได้แม้ไม่มีมัน .. ด้วยความที่ดงกุกไม่ใช่สถานที่ที่ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นวิธีการเดินทางไปมหาวิทยาลัยเราเลยหาได้จากในเว็บไซท์ ซึ่งแผนที่ไม่โดนใจเอาซะเลย แถม Campus Map ก็ไม่มีภาษาอังกฤษด้วย ต้องมาเปิดๆเทียบหลายๆเวอร์ชั่นเอาเอง เราเองยืนละล้าละลังว่าจะไปซ้ายหรือขวา เพราะเห็นแผนที่ว่ามีประตู Hyehwa ที่ใกล้ๆแต่มันอยู่ไหน หาไม่เจอ เห็นแต่บันไดเลื่อนยาวๆและมีธงแถวๆนั้นว่า Dongguk University เลยเดาเอาว่าคงเป็นทางเข้ามหาวิทยาลัยละมั้ง ก็เลยลองเดินขึ้นไป แล้วมันก็พาไปที่มหาวิทยาลัยได้จริงๆด้วยค่ะ ตื่นเต้นมาก~
มหาวิทยาลัยดงกุกเป็นมหาลัยที่ไม่ใหญ่มากนัก(หมายถึงขนาด) ตั้งอยู่ทางเหนือของนัมซาน คือจริงๆแล้วใกล้มยองดงมากเลยค่ะ แค่อยู่คนละเชิงเขาเท่านั้นเอง ภายในมหาวิทยาลัยมีทางเชื่อมต่อกับ Numsan Tracking ด้วย เอาสิตอนที่เราเห็นยังคิดอยู่ในใจว่าน้องซอจะมีเวลาไปเดินเล่นบ้างไหมน้า เด็กมิติที่สี่ขนาดนั้น เอาจริงๆเธออาจจะไปเดินเล่นกับเพื่อก็ได้ อาคารในมหาวิทยาลัยดงกุกเป็นอาคารเรียนปกติ ไม่หรูหราฟูฟ่าค่ะ และแม้จะเป็นวันเสาร์ เราก็ยังเห็นนักศึกษาเดินกันเป็นระยะๆ ตลอดทางเดินจะมีบางทีที่คุ้นตาเราบ้างเพราะซอฮยอนเองก็เคยถ่ายรายการ SNSD and Dangerous Boys ที่นี่ พอเวลาเดินผ่านที่เหล่านั้นอยู่ดีๆเราก็จะยิ้มเหมือนคนเป็นบ้าอีกแล้วค่ะ
ที่หลักๆที่เราไปเดินผ่านมาก็เป็นพวกโรงอาหาร ห้องสมุด และตึกเรียนที่เดาว่าน่าจะเป็นตึกเรียนของน้องนาง ก่อนจะเดินไปเกือบทั่ว ไม่ได้ไปส่วนที่อยู่ด้านหลังๆของมหาวิทยาลัยอย่างคณะนิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์และหอพักนักกีฬา เดินวนมหาวิทยาลัยไปซะหนึ่งรอบ ดงกุกร่มรื่นและเพราะพื้นที่เดิมเป็นเขาเลยยังมีทางลาดกับบันไดชันๆน่าตกให้เดินบ้างแต่คนที่นี่เดินกันเป็นปกติสุข เราเองก็เดินแบบมีความสุขผิดปกติเช่นเดียวกัน เราใช้เวลาไม่นานนักที่นี่ บอกตรงๆว่ากล้าเดินชมมาหาวิทยาลัยแต่ยังไม่กล้าเข้าไปในอาคารหรอกนะคะ ถึงอย่างนั้นก็นับว่าเป็นเวลาคุณภาพมากๆสำหรับเราเลยทีเดียว
Kyunghee University
How to go: รถไฟฟ้าสาย 1 ไปลงที่ Hoegi Station, Exit 1 ออกจากสถานีเดินไปตามป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัยคยองฮี ไกลพอสมควรเลยค่ะ ประมาณว่าแยกที่สองเลี้ยวขวา เดินตามคนเยอะๆแล้วจะดีเอง ^^”
จากมหาวิทยาลัยดงกุก เราต้องนั่งรถไฟอยู่นานพอดูเพื่อจะไปมหาวิทยาลัยคยองฮี คือหันมาดูวิวอีกทีรถไฟก็วิ่งบนดินแทนที่จะเป็นใต้ดินแล้ว แถมยังหน้าตาเหมือนออกนอกเมืองไปไกลลิบ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ระลึกได้ว่ามหาวิทยาลัยนี้มันไกลเนอะ .. รู้ตัวช้าได้อีก
มหาวิทยาลัยคยองฮีเป็นมหาลัยที่ขึ้นชื่อทั้งด้านความสวย ค่าเรียนแพง ดาราเรียนเยอะ .. เหวออออ ไม่ใช่ค่า .. จริงๆแล้วเรื่องนั้นเป็นความจริง แต่มหาวิทยาลัยเค้าไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องนั้น คยองฮีถือเป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของเกาหลีในหลายด้าน ทั้งแพทย์ เศรษฐศาสต่์ พาณิชยศาสตร์ ศิลปะและดนตรีจะเห็นได้จากที่ศิลปินจำนวนมากต่างก็มาเรียนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคยูฮยอน ชางมิน ยงฮวา แดซอง จีดราก้อน สาวๆ Fin.K.L อย่างอค จูฮยอน เจ้ฮโยริ เป็นต้น
ด้วยความสวยจนเป็นที่เลื่องลือของมหาวิทยาลัยคยองฮี ทำให้เราอยากจะมาเห็นด้วยตาจริงๆค่ะว่าจะขนาดไหน คยองฮีตั้งอยู่ในสิ่งที่เราจะขอเรียกว่าเนินเขาชัน ตลอดทางเดินคือการตะกายขึ้นเขาดีๆนี่เอง เนินเตี้ยบ้างชันบ้างและทางลาดบ้างสลับกันไป เรางี้อยากจะเขวี้ยงแผนที่ในมือทิ้งถ้าทำได้ แต่ทำไม่ได้ค่ะเพราะอยู่ในมือถือ ถ้าถามว่าทำไมอยากเขวี้ยงทิ้งนัก ขอบอกได้คำเดียวว่า .. แผนที่ไม่ระบุความสูงจากระดับน้ำทะเลค่ะ ทุกอย่างดูแบนราบ เหมือนจะเดินชิวและใกล้ ไปพอไปจริงแล้วมันไม่ใช่นี่สิ หลอกกันทำไม ㅠㅠㅠㅠ
สิ่งที่จะสามารถเห็นได้ก่อนเข้าไปด้านในมหาวิทยาลัยคยองฮีก็คือ Kyunghee Medical Center หากไปวันที่อากาศดีๆก็จะเห็นผู้ป่วยมานั่งรับลมอยู่แถวหน้าโรงพยาบาลด้วย ภายในมหาวิทยาลัยคยองฮีจะมีธงประจำสถาบันประดับอยู่ระหว่างทางเดิน ตลอดทางเดินในคยองฮีเต็มไปด้วยต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ค่ะ ร่มรื่นแบบที่คิดว่าเป็นสวนหรือป่ามากกว่ามหาวิทยาลัย
เราตัดสินใจเดินไปดูทางอาคารที่คิดว่าเป็น College of Music ทั้งๆที่เป็นวันเสาร์ เราเองก็คิดว่าจะคนน้อย แต่กลับกลายเป็นว่าน่าจะมีงาน ผู้ปกครองและเด็กเต็มไปหมดเลย เราเลยขอลา..จากไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนไม่ถูกโรคกับเด็ก
ในคยองฮีนั้นมีทั้งรูปปั้นตกแต่งเต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่ในสวน ซึ่งถ้าเราเรียนที่นี่แล้วเดินผ่านตอนกลางคืนคงตกใจพิลึก เราเดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์เลยค่ะ นอกจากอาคารสวยแล้วยังร่มรื่นอีกต่างหาก แต่เดินเพลินๆมารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าเราตะกายขึ้นเนินโค้งๆอยู่ และในขณะที่เรากำลังตะกาย สาวน้อยข้างหน้าเราใส่ส้นสูงเดินชิวมาก นับว่าเป็นสกิลขั้นสุดในการใส่ส้นสูงจริงๆ เรายอมรับล่ะค่ะว่าสกิลเด็กคอนเวิร์สอย่างเราคงไม่พัฒนาไปถึงขั้นนั้นแน่ ตะกายเนินอยู่ครู่นึงพอเห็นอาคารตรงหน้าก็หายเหนื่อยทันตาเพราะมองเห็นตึกสไตล์ยุโรปสวยมาก อย่างกับวิหาร Notre Dame ในกรุงปารีสเลย
เราลงจากเนินเขาในคยองฮีแล้วเดินต่ออีกเล็กน้อย ต้องบอกว่าเราเดินชมคยองฮีไม่ทั่วอีกแล้ว ขาดคณะด้านในที่เป็นพวกคณะนิติศาสตร์ บริหาร รัฐศาสตร์อะไรเทือกนั้น
เสร็จจากการปีนมหาวิทยาลัยคยองฮี เราก็มุ่งหน้าไปเติมพลัง เพราะรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้ทำอะไรเต็มที่ พรุ่งนี้เราคงสามารถเที่ยวได้แค่ใกล้ๆบ้านเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราเลยตัดสินใจไปร้านอาหารที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปกินตอนไปอีแดแต่ไปถึงแล้วเป็นร้านนั้นกลับเปลี่ยนเป็นร้านอื่น พอดีเราเห็นสาขาที่อินซาดงเลยว่่าจะไปเก็บ RC ก่อนจะไปเดินทางไกลที่ริมคลองน้ำใส ไม่อย่างนั้นคงจะรู้สึกผิดกับตัวเองไปตลอดชีวิต
School Food
How to go: School Food มีหลายสาขามากค่ะ สาขาอินซาดงเดินทางโดย ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 6 เดินไปทางทิศตะวันตก (ทางอินซาดง) ร้านอยู่ตึกตรงข้าม GS25 หน้าซอยอินซาดง ชั้นสอง
Operating hours : 11:00 – 22:00
Price : KRW 8,000+
School Food คือร้านอาหารเกาหลีแนวฟิวชั่น ซึ่งเรายังไม่เคยเห็นอาหารแนวนี้ในเมืองไทยเท่าไร เห็นก็แต่อาหารญี่ปุ่นฟิวชั่นที่ On The Table ดังนั้น School Food เลยเย้ายวนใจเรามาก แถมยิ่งไปครั้งแรกแล้วกินแห้วแทนอาหารเกาหลีฟิวชั่นแล้วบอกตามตรงว่าอยากจะตามหาร้านกินให้ได้ เพราะฉะนั้นเราเลยดั้นด้นมาแง้บๆที่อินซาดงก่อนจะเดินย้อนไปเดินทนริมคลองน้ำใส
เมนูอาหารใน School Food แสนจะยั่วยวนใจ คิดแล้วเสียดายน่าจะชวนเพื่อนๆมากินด้วยหลายๆคน (หะ…) เราสั่งอาหารมาสองอย่างทั้งๆที่รู้ว่าคงกินไม่หมดแต่ก็อยากลองมากกว่าหนึ่งอย่างนี่คะ เราไม่มีทางเลือก สองอย่างที่สั่งมาคือ Squid Ink Mari กับ Topokki with Cheese .. มาริอร่อยมากๆเลยค่ะ กล่ินหอมออกทะเลๆและรสชาติก็กลมกล่อม แต่ต๊อกเผ็ดไปหน่อยสำหรับเรา ㅠㅠㅠㅠ แล้วก็กินไม่หมดนะคะ เราสละต๊อกไปแต่เอามาริกลับบ้านค่ะ อร่อยเกินจะทิ้งจริงๆ
มาทางอาหารที่ร้าน School Food แล้วเรายังทำเรื่องน่าจดจำไว้ด้วย เป็นเรื่องห้องน้ำค่ะ เรื่องของเรื่องคือเราอยากจะเข้าห้องน้ำซึ่งมันมีห้องเดียว ไม่ได้แยกหญิงชาย พอเราเข้าไปพยายามจะลงกลอนแล้วลองเปิดดูมันดันเปิดออกตลอดๆ คิดว่าเป็นเพราะเราเปิดจากด้านในก็เลยเปิดได้ แต่ ณ ตอนนั้น .. ไม่ได้ค่ะ .. หวาดระแวง แล้วห้องน้ำก็ใหญ่แบบเอาอะไรยันไว้ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจเดินไปถามพนักงานว่ามันจะล็อคได้ยังไง แต่พนักงานคนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยต้องใช้ภาษาสากลหรือเรียกอีกอย่างว่า “ภาษามือ” พนักงานคนนั้นบอกห้องน้ำอยู่นั้น ให้ล็อคอย่างงี้ๆ แต่เราไม่ยอม ในใจคิดว่าถ้าอธิบายแค่นั้นแล้วโอเค กรุเรียบร้อยไปนานแล้ว สุดท้ายเราเลยลากพนักงานมาแสดงให้ดูในห้องน้ำว่าจะล็อคได้ยังไง ที่สำคัญคือพนักงานคนนั้นเป็นผู้ชาย ㅠㅠㅠㅠ แถมก่อนเค้าจะปล่อยให้เราเป็นเด็กมีปัญหาเผชิญกลอนห้องน้ำเพียงลำพัง น้องพนักงานชายคนนั้นสั่งเสียไว้ว่า “ผมจะนั่งอยู่ใกล้ๆตรงนี้ มีอะไรก็มาเรียกแล้วกัน”
แค่นี้นะ พี่ยอมเข้าห้องน้ำแต่โดยดีก็ได้ค่ะน้อง ขอโทษที่เป็นผู้ใหญ่มีปัญหากับห้องน้ำจนสร้างความลำบากมากมาย .. แต่ก็ขอบคุณจริงๆ
Cheonggyecheon
How to go: ขึ้นรถไฟไปลงได้หลายจุดตลอดแนวสองข้างคลองเลย
Operating hour :เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
Admission fee : Free
คลอง Cheonggyecheon เป็นคลองที่มีมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งเป็นคลองที่ไหลผ่านกลางโซล แต่ภายหลังที่ความเจริญเข้ามามากขึ้นคลอง Cheonggyecheon ก็กลายสภาพเป็นคลองเน่าเสียและแหล่งเสื่อมโทรม จนเมื่อผู้ว่าการกรุงโซลท่านนึงได้เสนอโครงการฟื้นฟูคลอง Cheonggyecheon โดยการรื้อทั้งหมดตั้งแต่ทางด่วน ถนนรอบๆ เวนคืนที่จำนวนมาก แรกเริ่มโครงการนี้มีแต่เสียงต่อต้าน แต่สุดท้ายก็สำเร็จลงด้วยดี แถมยังกลายเป็นผลงานสร้างชื่อของผู้ว่าการท่านนั้นไปเลย ในวันนี้คลอง Cheonggyecheon กลับคืนเป็นคลองน้ำใสที่มีทัศนียภาพสองฝั่งคลองสวยงาม นับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับชาวโซลอีกแห่งนึงเลยทีเดียว
คลอง Cheonggyecheon ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนึงในโซลค่ะ ทัวร์ไทยส่วนใหญ่ก็จะพาเดินจุบจิบๆที่ริมคลองแห่งนี้ นอกจากนั้นที่นี่ยังเคยเป็นสถานที่นึงที่ใช้ในการถ่ายทำ MV โปรโมทการท่องเที่ยวเกาหลีเมื่อปลายปี 2009 ถ้าใครเป็นแฟน Super Junior และ Girls’ Generation คงพอจำเพลง SEOUL ได้
คลอง Cheonggyecheon ในสายตาเราเหมือนเป็นสายน้ำที่ผูกพันกับชาวเมืองมากเลยค่ะ ตลอดทางที่เราค่อยๆเดินก้าวขาทีละก้าวเรารู้สึกอบอุ่นที่ได้เห็นความสัมพันธ์ของคนเมือง เราสามารถเห็นหนุ่มๆสาวๆเดินกันกระหนุงกระหนิง คู่รักวัยทำงาน ไปจนถึงคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาจนแก่เฒ่า เพื่อนสนิทในวัยเด็ก เพื่อนพูดคุยยามแก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน .. คลองน้ำใสแห่งนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นสำหรับบางคน อาจจะเป็นทางเดินสำหรับบางคน และไม่แน่อาจจะเป็นทางที่สิ้นสุดสำหรับบางคนเช่นเดียวกัน
ถึงจะแค่เดินเฉยๆเราก็รู้สึกดีแล้วแต่จริงๆคลองแห่งนี้มีอะไรให้น่าสัมผัสอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามคลองกว่ายี่สิบแห่งที่ออกแบบไม่ซ้ำกัน น้ำพุ งานศิลปะริมกำแพง ลานซักผ้าโบราณ Wall of Hope บางครั้งก็มีกิจกรรมหรือดนตรีให้ชมกันอีกด้วย สำหรับเราแล้วที่นี่เป็นที่ที่ให้แรงบันดาลใจมากจริงๆค่ะ
เราใช้เวลาเดินริมคลองน้ำใสอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อยแต่ก็รู้สึกอยากเดินไปเรื่อยๆเพื่อใช้เวลาให้นานที่สุด จนเมื่อเจ้าดวงอาทิตย์เริ่มเล่นซ่อนแอบกับเราตามมุมตึกเราก็รู้สึกว่าควรจะกลับเสียทีเพราะเริ่มจะดึกและเราก็เดินมาไกลมากแล้ว แต่พอคิดทีไรว่าจะต้องกลับเมืองไทยแล้วใจเราหายมากทีเดียว
คืนสุดท้ายที่เกาหลี เราหลับสนิทที่สุด ได้ทำในสิ่งไปอยากทำ ไปในที่ที่อยากไป วันรุ่งขึ้นที่เหลืออยู่ เราไปทานอาหารเช้าเบาๆที่ Kona Beans อีกครั้ง ทิ้งข้อความไว้ให้หนุ่มๆในฐานะโซวอนที่เป็นแฟนเพลง Super Junior ด้วยก่อนจะลาโซลจริงๆเสียที
เราโบกมือบ้ายบายโซลด้วยความรู้สึกประหลาด คือทั้งอิ่มเอมและใจหายในเวลาเดียวกัน เวลาเก้าวันนิดๆบนพื้นแผ่นดินเกาหลีกับการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกให้อะไรเรามากกว่าที่คิดไว้มาก แล้วยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เราอีกด้วย ต้องขอบคุณแรงฮึดของตัวเองที่ทำให้กล้าตัดสินใจเดินทางคนเดียวและยังต้องขอบคุณครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่ที่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวออกมาเดินท่อมๆไกลบ้านไกลเมืองอย่างนี้
ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางกับเราอย่างอดทน และขอบคุณคนที่อ่านไดอารี่ทั้งเก้าวันนี้ด้วยความอดทนกว่า เพราะใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละวัน แล้วเราคงได้พบกันใหม่นะคะ สุดท้ายคงต้องบอกลาเกาหลีจริงๆเสียที
บ้ายบาย โซล .. เมืองที่ทำให้นาฬิกาหมุนช้าแต่หัวใจเต้นเร็ว