Archive

Monthly Archives: ตุลาคม 2012

“ที่เอ๋ไปเกาหลีมานี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหมดเลยเหรอ” เป็นคำถามที่มีคนถามเราตอนที่กลับมาจากพเนจรในเกาหลีเรียบร้อย เราเองคิดว่าเพื่อนคงสงสัย เพราะติ่งที่ไปเกาหลีคงไปได้หลายแนวทาง ตั้งแต่ตามล่าหาแฟนไซน์ ไปรายการเพลง ช้อปกระจาย ตามรอยรายการหรือละคร หรือไปบางคนไปแค่ดูคอนเสิร์ทหรือร่วมงานอีเวนท์แล้วกลับเลยด้วยเวลาและงบจำกัด เราเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามที่เพื่อนถามยังไง เพราะตามรอยก็ไม่ได้ตั้งใจแต่ดันไปเจอ บางที่ไปเพราะอยากลองกินอาหารไม่ใช่เพราะรายการ ร้านอาหารบางร้านที่ตั้งใจไปกินก็ดันหาไม่เจอแต่ดันฟลุคไปเจอร้านเด็ด บางที่ไปเพราะเหตุผลโง่ๆว่าอยากเห็นแต่ต้องดั้นด้นไปดูซะไกลลิบทั้งๆที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวไปเสียทีเดียว สถานที่ท่องเที่ยวเราก็ไปพวกวัดวังแต่ร้านชานมไข่มุกหรือมหาวิทยาลัยที่จะไปในวันนี้ก็ไม่อย่าจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน เราเลยตอบเพื่อนไปว่า .. ถ้าตัวจะนับมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็ใช่ เราไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว

สำหรับการเดินทางในวันนี้เราต้องเตือนเล็กน้อยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับมักเน่ตัวโต ซอฮยอนของเรามากถึงมากที่สุด (และอาจจะคยูฮยอนบ้างเล็กน้อย) จนน่าจะเรียกได้ว่าตามรอยเลยล่ะถ้าอยากจะนิยามว่าอย่างนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบซอฮยอนเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยในการอ่านตอนนี้นะคะ

Day 9 : O’sulloc Tea House, Dongguk University, Kyunghee University, School Food, Cheonggyecheon

O’sulloc Tea House
How to go: O’sulloc มีหลายสาขา แต่สาขาที่จะไปวันนี้คือที่มยองดง เดินทางโดยรถไฟฟ้าสาย 4 ไปลงที่ Myeongdong Station, Exit 6 ออกจากสถานีก็เลี้ยวซ้ายเข้า Myeongdong 8-gil ประมาณสี่ร้อยเมตรจะเจอ O´sulloc Tea House อยู่ขวามือ
Operating hours : 09:00 – 22:30 (Friday & Saturday: 09:00 – 23:00)
Price : KRW 8,000+

O’sulloc Tea House เป็นคาเฟ่ที่ขายชาเกาหลีแท้ดั้งเดิม โดยที่ขึ้นชื่อก็จะเป็นชาเขียว แต่ถึงอย่างนั้น O’sulloc มีขายตั้งแต่น้ำผลไม้ สมูทตี้ ไอศกรีม และขนมหวาน บรรยากาศของร้านสบายๆ ตกแต่งด้วยไม้สีอ่อนดูโปร่งสว่างตา ใครไปก็สามารถนั่งชิมบรรยากาศพร้อมๆกับจิบชารสดั้งเดิม ภายในร้านยังมีผลิตภัณฑ์ให้ซื้อกลับได้ด้วย เผื่อใครอยากจะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากก็ได้

นอกจากร้านนี้จะเป็นร้านชาร้านดังแล้ว ได้ยินว่ายังเป็นชาเขียวร้านโปรดของซอฮยอน ก็เลยทำให้เรารู้สึกอยากจะมาลอง .. ชาโปรดแต่เห็นเธอถือแต่แก้ว Tom Tom อะไรของเธอ -__-;

20121030-222848.jpg

หลังจากที่ลองเรียบร้อย เราว่าเราแนะนำร้านนี้สำหรับคนที่ชอบชาเขียวควรมานะคะ อาหารเช้าที่เราทานเป็น Ice green tea latte กับโรลชาเขียว หอมและอร่อยทีเดียว ลาเต้เค้าไม่หวานเกินไปด้วย ถ้ามีเวลาจากการเที่ยวตะลุยเมืองแล้วมาพักขาที่ร้านชาเย็นๆชิวๆก็ดีไม่น้อย O’sulloc Tea House เค้ามีสาขาอยู่ที่มยองดง อับกุจอง อินซาดง และแทฮักโร แต่วันนี้เราเลือกมาสาขามยองดงเพราะว่าจะแวะมาซื้อ CD ที่เพื่อนเพิ่งจะฝากซื้อทีหลังและมยองดงยังใกล้กับสถานที่แรกที่เราจะไปด้วย .. มหาวิทยาลัยดงกุก

Dongguk University
How to go: การเดินทางไปมหาวิทยาลัยดงกุกนั้นเดินทางง่ายๆ ถ้าเดินทางโดย subway จะไปได้สองสถานีคือ Chungmuro Station และ Dongguk University Station 1) ถ้าลงที่สถานี Dongguk University ให้ออก Exit 3 หากจะเข้าทาง Hyehwa Gate สามารถขึ้นบันไดเลื่อนข้างๆ Tourist Information ได้ หากต้องการเข้าประตูหน้าให้เดินผ่าน Tourist Information เข้าไปในสวน มหาวิทยาลัยจะอยู่ขวามือ 2) ถ้าลงที่สถานี Chungmuro ต้องออก Exit 3, 4 แล้วเข้าทางประตูหลังของมหาวิทยาลัย

การวางแผนเดินทางของเราวันนี้เป็นวันที่ง่ายที่สุด เพราะเป็นที่ที่เราอยากไปมากที่สุดทั้งนั้น บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นบ้าอะไร ทำไมถึงได้อยากไปมหาวิทยาลัยขึ้นมา จะไปเรียนต่อก็ไม่ใช่ ในฐานะโซวอนเมนซอฮยอนที่เฝ้าติดตามเธอมาก็หลายปี การได้เห็นเธอทำงานที่เธอรักนั้นถือเป็นสิ่งที่มีค่าและทำให้พลังชีวิตเราเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน แต่นอกจากการที่ซอฮยอนจะเป็นซอฮยอนของแฟนๆแล้ว เธอยังใส่หมวกอีกใบเป็นซอ จูฮยอน นักศึกษาที่กำลังพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเหมือนกัน ที่ที่เป็นชีวิตประจำวันของเธอนอกจากบริษัท สถานที่ทำงานอย่างสถานีวิทยุโทรทัศน์ บ้าน หอพัก อีกที่ที่เธอไปคงจะเป็นมหาวิทยาลัย เราเลยอยากเห็นว่าเธอเรียนยังไง อยู่ยังไง

เนื่องจาก SNSD เป็นศิลปินที่มีงานเกือบทั้งปี แม้ไม่ได้มุ่งทำงานเพลงอัลบั้มหลักตลอดปีและมีที่แยกไปทำงานเดี่ยวที่ตนสนใจบ้าง แต่เราก็ยังเห็นภาพซอฮยอนไปมหาวิทยาลัยเป็นระยะๆ เธอเป็นไอดอลเพียงไม่กี่คนมั้งคะที่ไม่ละความพยายามด้านการเรียน เมื่อสี่ปีที่แล้วเธอพยายามยังไง ตอนนี้เธอก็ยังเป็นอย่างนั้น .. เด็กหญิงที่บอกว่าเห็นเพื่อนๆทำได้ ชั้นก็ต้องทำได้ .. สาวน้อยที่บอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะมาเรียน ถึงโดนภาคทัณฑ์หรือติด F ยังไงก็ต้องมาเรียน .. นั่นทำให้มหาวิทยาลัยดงกุกเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเราจริงๆ ตั้งแต่เราวางแผนเที่ยวเกาหลีมหาวิทยาลัยดงกุกก็อยู่ในรายการสถานที่แรกๆที่เราตั้งใจจะไป อาจจะมาก่อนวัดวังเสียอีก

หลังจากอาหารเช้าแบบเบาๆ ซื้อ CD ที่ตกค้างสิริรวมหนึ่งแผ่น เราก็จัดการย้ายร่างไปมหาวิทยาลัยดงกุก จากมยองดง ถ้าไปสถานี Chungmuro แล้วดูใกล้กว่าเพียงแค่หนึ่งสถานี แต่เหมือนจะเดินไกลกว่าหน่อย เราเลยตัดสินใจเดินจาก O’sulloc ขึ้นไปทางเหนือของมยองดงเพื่อไปขึ้นรถไฟสาย 3 จาก Euljiro 3(Sam)-ga รถไปลงที่สถานี Dongguk University แทน ฝนยังคงตกอยู่ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่มยองดงจนถึงดงกุก โชคดีที่ไม่ได้ตกหนักมากยังพอถูไถ เราหย่อน CD และโปสเตอร์ที่ห่อพลาสติกไว้ในกระเป๋าเป้แล้วก็เดินตามปกติ

ตอนที่เราเดินมาถึงสถานี Dongguk University และออกมาที่ Exit 3 ตามข้อมูลที่หามา เราหยิบมือถือมาดูแผนที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย .. ถึงวันนี้เราได้ปลดระวางแพดและหนังสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะแบกมาหลายวันรู้สึกว่าไม่ไหวค่ะ หนักและพะรุงพะรังมาก เอาทุกอย่างรวมในมือถือดีที่สุด อีกอย่างถ้าอยู่ในโซลเราเองก็พอจะคุ้นเคยบ้างแล้ว เลยรู้สึกว่าอยู่ได้แม้ไม่มีมัน .. ด้วยความที่ดงกุกไม่ใช่สถานที่ที่ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นวิธีการเดินทางไปมหาวิทยาลัยเราเลยหาได้จากในเว็บไซท์ ซึ่งแผนที่ไม่โดนใจเอาซะเลย แถม Campus Map ก็ไม่มีภาษาอังกฤษด้วย ต้องมาเปิดๆเทียบหลายๆเวอร์ชั่นเอาเอง เราเองยืนละล้าละลังว่าจะไปซ้ายหรือขวา เพราะเห็นแผนที่ว่ามีประตู Hyehwa ที่ใกล้ๆแต่มันอยู่ไหน หาไม่เจอ เห็นแต่บันไดเลื่อนยาวๆและมีธงแถวๆนั้นว่า Dongguk University เลยเดาเอาว่าคงเป็นทางเข้ามหาวิทยาลัยละมั้ง ก็เลยลองเดินขึ้นไป แล้วมันก็พาไปที่มหาวิทยาลัยได้จริงๆด้วยค่ะ ตื่นเต้นมาก~

มหาวิทยาลัยดงกุกเป็นมหาลัยที่ไม่ใหญ่มากนัก(หมายถึงขนาด) ตั้งอยู่ทางเหนือของนัมซาน คือจริงๆแล้วใกล้มยองดงมากเลยค่ะ แค่อยู่คนละเชิงเขาเท่านั้นเอง ภายในมหาวิทยาลัยมีทางเชื่อมต่อกับ Numsan Tracking ด้วย เอาสิตอนที่เราเห็นยังคิดอยู่ในใจว่าน้องซอจะมีเวลาไปเดินเล่นบ้างไหมน้า เด็กมิติที่สี่ขนาดนั้น เอาจริงๆเธออาจจะไปเดินเล่นกับเพื่อก็ได้ อาคารในมหาวิทยาลัยดงกุกเป็นอาคารเรียนปกติ ไม่หรูหราฟูฟ่าค่ะ และแม้จะเป็นวันเสาร์ เราก็ยังเห็นนักศึกษาเดินกันเป็นระยะๆ ตลอดทางเดินจะมีบางทีที่คุ้นตาเราบ้างเพราะซอฮยอนเองก็เคยถ่ายรายการ SNSD and Dangerous Boys ที่นี่ พอเวลาเดินผ่านที่เหล่านั้นอยู่ดีๆเราก็จะยิ้มเหมือนคนเป็นบ้าอีกแล้วค่ะ

20121030-213211.jpg

20121030-213237.jpg

20121030-213318.jpg

20121030-213520.jpg

20121030-213545.jpg

20121030-214206.jpg

20121030-214233.jpg

20121030-214338.jpg

ที่หลักๆที่เราไปเดินผ่านมาก็เป็นพวกโรงอาหาร ห้องสมุด และตึกเรียนที่เดาว่าน่าจะเป็นตึกเรียนของน้องนาง ก่อนจะเดินไปเกือบทั่ว ไม่ได้ไปส่วนที่อยู่ด้านหลังๆของมหาวิทยาลัยอย่างคณะนิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์และหอพักนักกีฬา เดินวนมหาวิทยาลัยไปซะหนึ่งรอบ ดงกุกร่มรื่นและเพราะพื้นที่เดิมเป็นเขาเลยยังมีทางลาดกับบันไดชันๆน่าตกให้เดินบ้างแต่คนที่นี่เดินกันเป็นปกติสุข เราเองก็เดินแบบมีความสุขผิดปกติเช่นเดียวกัน เราใช้เวลาไม่นานนักที่นี่ บอกตรงๆว่ากล้าเดินชมมาหาวิทยาลัยแต่ยังไม่กล้าเข้าไปในอาคารหรอกนะคะ ถึงอย่างนั้นก็นับว่าเป็นเวลาคุณภาพมากๆสำหรับเราเลยทีเดียว

20121030-214446.jpg

20121030-214523.jpg

20121030-214551.jpg

20121030-214615.jpg

20121030-214721.jpg

20121030-214759.jpg

20121030-214853.jpg

Kyunghee University
How to go: รถไฟฟ้าสาย 1 ไปลงที่ Hoegi Station, Exit 1 ออกจากสถานีเดินไปตามป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัยคยองฮี ไกลพอสมควรเลยค่ะ ประมาณว่าแยกที่สองเลี้ยวขวา เดินตามคนเยอะๆแล้วจะดีเอง ^^”

จากมหาวิทยาลัยดงกุก เราต้องนั่งรถไฟอยู่นานพอดูเพื่อจะไปมหาวิทยาลัยคยองฮี คือหันมาดูวิวอีกทีรถไฟก็วิ่งบนดินแทนที่จะเป็นใต้ดินแล้ว แถมยังหน้าตาเหมือนออกนอกเมืองไปไกลลิบ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ระลึกได้ว่ามหาวิทยาลัยนี้มันไกลเนอะ .. รู้ตัวช้าได้อีก

มหาวิทยาลัยคยองฮีเป็นมหาลัยที่ขึ้นชื่อทั้งด้านความสวย ค่าเรียนแพง ดาราเรียนเยอะ .. เหวออออ ไม่ใช่ค่า .. จริงๆแล้วเรื่องนั้นเป็นความจริง แต่มหาวิทยาลัยเค้าไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องนั้น คยองฮีถือเป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของเกาหลีในหลายด้าน ทั้งแพทย์ เศรษฐศาสต่์ พาณิชยศาสตร์ ศิลปะและดนตรีจะเห็นได้จากที่ศิลปินจำนวนมากต่างก็มาเรียนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคยูฮยอน ชางมิน ยงฮวา แดซอง จีดราก้อน สาวๆ Fin.K.L อย่างอค จูฮยอน เจ้ฮโยริ เป็นต้น

ด้วยความสวยจนเป็นที่เลื่องลือของมหาวิทยาลัยคยองฮี ทำให้เราอยากจะมาเห็นด้วยตาจริงๆค่ะว่าจะขนาดไหน คยองฮีตั้งอยู่ในสิ่งที่เราจะขอเรียกว่าเนินเขาชัน ตลอดทางเดินคือการตะกายขึ้นเขาดีๆนี่เอง เนินเตี้ยบ้างชันบ้างและทางลาดบ้างสลับกันไป เรางี้อยากจะเขวี้ยงแผนที่ในมือทิ้งถ้าทำได้ แต่ทำไม่ได้ค่ะเพราะอยู่ในมือถือ ถ้าถามว่าทำไมอยากเขวี้ยงทิ้งนัก ขอบอกได้คำเดียวว่า .. แผนที่ไม่ระบุความสูงจากระดับน้ำทะเลค่ะ ทุกอย่างดูแบนราบ เหมือนจะเดินชิวและใกล้ ไปพอไปจริงแล้วมันไม่ใช่นี่สิ หลอกกันทำไม ㅠㅠㅠㅠ

สิ่งที่จะสามารถเห็นได้ก่อนเข้าไปด้านในมหาวิทยาลัยคยองฮีก็คือ Kyunghee Medical Center หากไปวันที่อากาศดีๆก็จะเห็นผู้ป่วยมานั่งรับลมอยู่แถวหน้าโรงพยาบาลด้วย ภายในมหาวิทยาลัยคยองฮีจะมีธงประจำสถาบันประดับอยู่ระหว่างทางเดิน ตลอดทางเดินในคยองฮีเต็มไปด้วยต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ค่ะ ร่มรื่นแบบที่คิดว่าเป็นสวนหรือป่ามากกว่ามหาวิทยาลัย

20121030-215107.jpg

20121030-215428.jpg

20121030-215505.jpg

20121030-215743.jpg

20121030-215821.jpg

20121030-215953.jpg

เราตัดสินใจเดินไปดูทางอาคารที่คิดว่าเป็น College of Music ทั้งๆที่เป็นวันเสาร์ เราเองก็คิดว่าจะคนน้อย แต่กลับกลายเป็นว่าน่าจะมีงาน ผู้ปกครองและเด็กเต็มไปหมดเลย เราเลยขอลา..จากไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนไม่ถูกโรคกับเด็ก

ในคยองฮีนั้นมีทั้งรูปปั้นตกแต่งเต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่ในสวน ซึ่งถ้าเราเรียนที่นี่แล้วเดินผ่านตอนกลางคืนคงตกใจพิลึก เราเดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์เลยค่ะ นอกจากอาคารสวยแล้วยังร่มรื่นอีกต่างหาก แต่เดินเพลินๆมารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าเราตะกายขึ้นเนินโค้งๆอยู่ และในขณะที่เรากำลังตะกาย สาวน้อยข้างหน้าเราใส่ส้นสูงเดินชิวมาก นับว่าเป็นสกิลขั้นสุดในการใส่ส้นสูงจริงๆ เรายอมรับล่ะค่ะว่าสกิลเด็กคอนเวิร์สอย่างเราคงไม่พัฒนาไปถึงขั้นนั้นแน่ ตะกายเนินอยู่ครู่นึงพอเห็นอาคารตรงหน้าก็หายเหนื่อยทันตาเพราะมองเห็นตึกสไตล์ยุโรปสวยมาก อย่างกับวิหาร Notre Dame ในกรุงปารีสเลย

20121030-220127.jpg

20121030-220203.jpg

20121030-220241.jpg

20121030-220325.jpg

20121030-220400.jpg

20121030-220431.jpg

20121030-220500.jpg

เราลงจากเนินเขาในคยองฮีแล้วเดินต่ออีกเล็กน้อย ต้องบอกว่าเราเดินชมคยองฮีไม่ทั่วอีกแล้ว ขาดคณะด้านในที่เป็นพวกคณะนิติศาสตร์ บริหาร รัฐศาสตร์อะไรเทือกนั้น

เสร็จจากการปีนมหาวิทยาลัยคยองฮี เราก็มุ่งหน้าไปเติมพลัง เพราะรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้ทำอะไรเต็มที่ พรุ่งนี้เราคงสามารถเที่ยวได้แค่ใกล้ๆบ้านเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราเลยตัดสินใจไปร้านอาหารที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปกินตอนไปอีแดแต่ไปถึงแล้วเป็นร้านนั้นกลับเปลี่ยนเป็นร้านอื่น พอดีเราเห็นสาขาที่อินซาดงเลยว่่าจะไปเก็บ RC ก่อนจะไปเดินทางไกลที่ริมคลองน้ำใส ไม่อย่างนั้นคงจะรู้สึกผิดกับตัวเองไปตลอดชีวิต

20121030-220620.jpg

20121030-220640.jpg

20121030-220710.jpg

School Food
How to go: School Food มีหลายสาขามากค่ะ สาขาอินซาดงเดินทางโดย ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 6 เดินไปทางทิศตะวันตก (ทางอินซาดง) ร้านอยู่ตึกตรงข้าม GS25 หน้าซอยอินซาดง ชั้นสอง
Operating hours : 11:00 – 22:00
Price : KRW 8,000+

School Food คือร้านอาหารเกาหลีแนวฟิวชั่น ซึ่งเรายังไม่เคยเห็นอาหารแนวนี้ในเมืองไทยเท่าไร เห็นก็แต่อาหารญี่ปุ่นฟิวชั่นที่ On The Table ดังนั้น School Food เลยเย้ายวนใจเรามาก แถมยิ่งไปครั้งแรกแล้วกินแห้วแทนอาหารเกาหลีฟิวชั่นแล้วบอกตามตรงว่าอยากจะตามหาร้านกินให้ได้ เพราะฉะนั้นเราเลยดั้นด้นมาแง้บๆที่อินซาดงก่อนจะเดินย้อนไปเดินทนริมคลองน้ำใส

เมนูอาหารใน School Food แสนจะยั่วยวนใจ คิดแล้วเสียดายน่าจะชวนเพื่อนๆมากินด้วยหลายๆคน (หะ…) เราสั่งอาหารมาสองอย่างทั้งๆที่รู้ว่าคงกินไม่หมดแต่ก็อยากลองมากกว่าหนึ่งอย่างนี่คะ เราไม่มีทางเลือก สองอย่างที่สั่งมาคือ Squid Ink Mari กับ Topokki with Cheese .. มาริอร่อยมากๆเลยค่ะ กล่ินหอมออกทะเลๆและรสชาติก็กลมกล่อม แต่ต๊อกเผ็ดไปหน่อยสำหรับเรา ㅠㅠㅠㅠ แล้วก็กินไม่หมดนะคะ เราสละต๊อกไปแต่เอามาริกลับบ้านค่ะ อร่อยเกินจะทิ้งจริงๆ

20121030-220942.jpg

20121030-221024.jpg

มาทางอาหารที่ร้าน School Food แล้วเรายังทำเรื่องน่าจดจำไว้ด้วย เป็นเรื่องห้องน้ำค่ะ เรื่องของเรื่องคือเราอยากจะเข้าห้องน้ำซึ่งมันมีห้องเดียว ไม่ได้แยกหญิงชาย พอเราเข้าไปพยายามจะลงกลอนแล้วลองเปิดดูมันดันเปิดออกตลอดๆ คิดว่าเป็นเพราะเราเปิดจากด้านในก็เลยเปิดได้ แต่ ณ ตอนนั้น .. ไม่ได้ค่ะ .. หวาดระแวง แล้วห้องน้ำก็ใหญ่แบบเอาอะไรยันไว้ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจเดินไปถามพนักงานว่ามันจะล็อคได้ยังไง แต่พนักงานคนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยต้องใช้ภาษาสากลหรือเรียกอีกอย่างว่า “ภาษามือ” พนักงานคนนั้นบอกห้องน้ำอยู่นั้น ให้ล็อคอย่างงี้ๆ แต่เราไม่ยอม ในใจคิดว่าถ้าอธิบายแค่นั้นแล้วโอเค กรุเรียบร้อยไปนานแล้ว สุดท้ายเราเลยลากพนักงานมาแสดงให้ดูในห้องน้ำว่าจะล็อคได้ยังไง ที่สำคัญคือพนักงานคนนั้นเป็นผู้ชาย ㅠㅠㅠㅠ แถมก่อนเค้าจะปล่อยให้เราเป็นเด็กมีปัญหาเผชิญกลอนห้องน้ำเพียงลำพัง น้องพนักงานชายคนนั้นสั่งเสียไว้ว่า “ผมจะนั่งอยู่ใกล้ๆตรงนี้ มีอะไรก็มาเรียกแล้วกัน”

แค่นี้นะ พี่ยอมเข้าห้องน้ำแต่โดยดีก็ได้ค่ะน้อง ขอโทษที่เป็นผู้ใหญ่มีปัญหากับห้องน้ำจนสร้างความลำบากมากมาย .. แต่ก็ขอบคุณจริงๆ

Cheonggyecheon
How to go: ขึ้นรถไฟไปลงได้หลายจุดตลอดแนวสองข้างคลองเลย
Operating hour :เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
Admission fee : Free

คลอง Cheonggyecheon เป็นคลองที่มีมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งเป็นคลองที่ไหลผ่านกลางโซล แต่ภายหลังที่ความเจริญเข้ามามากขึ้นคลอง Cheonggyecheon ก็กลายสภาพเป็นคลองเน่าเสียและแหล่งเสื่อมโทรม จนเมื่อผู้ว่าการกรุงโซลท่านนึงได้เสนอโครงการฟื้นฟูคลอง Cheonggyecheon โดยการรื้อทั้งหมดตั้งแต่ทางด่วน ถนนรอบๆ เวนคืนที่จำนวนมาก แรกเริ่มโครงการนี้มีแต่เสียงต่อต้าน แต่สุดท้ายก็สำเร็จลงด้วยดี แถมยังกลายเป็นผลงานสร้างชื่อของผู้ว่าการท่านนั้นไปเลย ในวันนี้คลอง Cheonggyecheon กลับคืนเป็นคลองน้ำใสที่มีทัศนียภาพสองฝั่งคลองสวยงาม นับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับชาวโซลอีกแห่งนึงเลยทีเดียว

20121030-221315.jpg

20121030-221402.jpg

20121030-221433.jpg

20121030-221505.jpg

คลอง Cheonggyecheon ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนึงในโซลค่ะ ทัวร์ไทยส่วนใหญ่ก็จะพาเดินจุบจิบๆที่ริมคลองแห่งนี้ นอกจากนั้นที่นี่ยังเคยเป็นสถานที่นึงที่ใช้ในการถ่ายทำ MV โปรโมทการท่องเที่ยวเกาหลีเมื่อปลายปี 2009 ถ้าใครเป็นแฟน Super Junior และ Girls’ Generation คงพอจำเพลง SEOUL ได้

คลอง Cheonggyecheon ในสายตาเราเหมือนเป็นสายน้ำที่ผูกพันกับชาวเมืองมากเลยค่ะ ตลอดทางที่เราค่อยๆเดินก้าวขาทีละก้าวเรารู้สึกอบอุ่นที่ได้เห็นความสัมพันธ์ของคนเมือง เราสามารถเห็นหนุ่มๆสาวๆเดินกันกระหนุงกระหนิง คู่รักวัยทำงาน ไปจนถึงคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาจนแก่เฒ่า เพื่อนสนิทในวัยเด็ก เพื่อนพูดคุยยามแก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน .. คลองน้ำใสแห่งนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นสำหรับบางคน อาจจะเป็นทางเดินสำหรับบางคน และไม่แน่อาจจะเป็นทางที่สิ้นสุดสำหรับบางคนเช่นเดียวกัน

20121030-221712.jpg

20121030-221753.jpg

20121030-221834.jpg

20121030-221911.jpg

20121030-221943.jpg

20121030-222013.jpg

20121030-222047.jpg

20121030-222155.jpg

ถึงจะแค่เดินเฉยๆเราก็รู้สึกดีแล้วแต่จริงๆคลองแห่งนี้มีอะไรให้น่าสัมผัสอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามคลองกว่ายี่สิบแห่งที่ออกแบบไม่ซ้ำกัน น้ำพุ งานศิลปะริมกำแพง ลานซักผ้าโบราณ Wall of Hope บางครั้งก็มีกิจกรรมหรือดนตรีให้ชมกันอีกด้วย สำหรับเราแล้วที่นี่เป็นที่ที่ให้แรงบันดาลใจมากจริงๆค่ะ

20121030-222419.jpg

20121030-222438.jpg

20121030-222457.jpg

20121030-222536.jpg

20121030-222621.jpg

20121030-222639.jpg

20121030-222659.jpg

เราใช้เวลาเดินริมคลองน้ำใสอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อยแต่ก็รู้สึกอยากเดินไปเรื่อยๆเพื่อใช้เวลาให้นานที่สุด จนเมื่อเจ้าดวงอาทิตย์เริ่มเล่นซ่อนแอบกับเราตามมุมตึกเราก็รู้สึกว่าควรจะกลับเสียทีเพราะเริ่มจะดึกและเราก็เดินมาไกลมากแล้ว แต่พอคิดทีไรว่าจะต้องกลับเมืองไทยแล้วใจเราหายมากทีเดียว

คืนสุดท้ายที่เกาหลี เราหลับสนิทที่สุด ได้ทำในสิ่งไปอยากทำ ไปในที่ที่อยากไป วันรุ่งขึ้นที่เหลืออยู่ เราไปทานอาหารเช้าเบาๆที่ Kona Beans อีกครั้ง ทิ้งข้อความไว้ให้หนุ่มๆในฐานะโซวอนที่เป็นแฟนเพลง Super Junior ด้วยก่อนจะลาโซลจริงๆเสียที

เราโบกมือบ้ายบายโซลด้วยความรู้สึกประหลาด คือทั้งอิ่มเอมและใจหายในเวลาเดียวกัน เวลาเก้าวันนิดๆบนพื้นแผ่นดินเกาหลีกับการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกให้อะไรเรามากกว่าที่คิดไว้มาก แล้วยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เราอีกด้วย ต้องขอบคุณแรงฮึดของตัวเองที่ทำให้กล้าตัดสินใจเดินทางคนเดียวและยังต้องขอบคุณครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่ที่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวออกมาเดินท่อมๆไกลบ้านไกลเมืองอย่างนี้

ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางกับเราอย่างอดทน และขอบคุณคนที่อ่านไดอารี่ทั้งเก้าวันนี้ด้วยความอดทนกว่า เพราะใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละวัน แล้วเราคงได้พบกันใหม่นะคะ สุดท้ายคงต้องบอกลาเกาหลีจริงๆเสียที

บ้ายบาย โซล .. เมืองที่ทำให้นาฬิกาหมุนช้าแต่หัวใจเต้นเร็ว

หลังจากที่ลุ้นอยู่นานว่าสาวๆจะไปเป็น MC ในรายการ Music Core หรือเปล่า หรือว่าจะไปงานที่ยอซูเย็นวันเสาร์แบบที่เราไปไม่ได้ เพราะจะกลับมาไม่ทันเดินทางกลับกรุงเทพ สุดท้าย Music Core ก็ประกาศ Special MC วันเสาร์ที่จะต้องไปต่อคิวเข้าชมรายการก็เลยว่างซะ เราเลยเลื่อนวันที่จะไปเดินเล่นมหาวิทยาลัยดงกุกและคยองฮีเป็นวันเสาร์คนจะได้น้อยๆ ส่วนวันนี้(วันศุกร์ตามเวลาในอดีต)เราก็จะไป Haneul Park กับ Paju English Village แทน

Day 8 : Haneul Park, Paju English Village, Heyri Art Village, Cheonggyecheon

Miss Lee Cafe
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 6 เดินไปทางทิศตะวันตก (ทางอินซาดง) ผ่านอินซาดงไปจนถึงแยกจะมีร้าน GS25 Miss Lee Cafe อยู่ชั้นสอง
Operating hours :
Price : KRW 8,000+

ก่อนเริ่มวันวันนี้เราเริ่มจากอาหารเช้าที่ร้าน Miss Lee Cafe ค่ะ เป็นร้านที่น้องหนูซอกับเจ้ายุนเคยมาถ่ายรายการ ร้านเดียวกันแต่คนละรายการ หลังจากที่เดินโฉบสาขาอินซาดงไปซะหลายรอบ คราวนี้แหละค่ะๆๆๆๆ..เราได้มาลองชิมซักที อันที่จริง Miss Lee Cafe มีสามสาขา แต่รู้สึกว่าสาขาที่น้องซอมาถ่ายทำรายการคือสาขาอิซาดงที่นี่แหละ ส่วนเจ้ายุนนั้นเราไม่แน่ใจ

เราสั่งอาหารเช้าเป็นข้าวกล่องแห่งความฝันที่ต้องเขย่าๆก่อนกินนั่น แล้วก็ Citron Tea จากนั้นก็ไปเดินดูรอบๆหาที่ถ่ายรูปนั่นนี่ ไม่นานนักอาหารเช้าก็มา เราเขย่าๆก่อนกินจริงๆนะคะ ผลคือเลอะเทอะไปหมดตอนเปิดกล่องมา เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดยันแก่ ㅠㅠㅠㅠ เราว่าข้าวกล่องที่นี่รสชาติใช้ได้ทีเดียว อร่อยแบบเด็กๆ ที่ถูกใจที่สุดของมื้อนี้คือส่วนเครื่องดื่ม เราเคยดื่มชาที่คล้ายๆกันแบบนี้ตอนไปฮ่องกงแล้วก็ชอบมาก ไปทีไรก็ขอให้ได้ดื่มทุกที ไม่รู้ว่าที่นี่มี Citron Tea ที่คล้ายๆกันเลย ดื่มชาทีแฮปปี้ไปสามโลกเลยค่ะ :’)

หลังจากที่สำเร็จโทษอาหารเช้าอย่างรวดเร็วก็ออกเดินทางไป Haneul Park กันเสียทีหลังจากโอ้เอ้อยู่นาน

20121026-095200.jpg20121026-095308.jpg20121026-095334.jpg20121026-095357.jpg

Haneul Park
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 6 ลงที่ World Cup Stadium Station, Exit 1 แล้วเดินต่อเตรียมใจเดินขึ้นเขาไว้ด้วยนะคะ
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 21:00 hrs
Admission fee : Free

จริงๆแล้วเราเองก็ประมวลผลอยู่นานมากว่าควรจะไปไหน อะไรยังไงดี เห็นภาพร้าน Coffee on the Mountain ก็อยากไป Haneul Park กับ English Village ก็อยากไป ตัดสินใจยากอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ถ้าแค่ยัยหนูอัด Music Core แล้วเราไปดูยังตัดสินใจง่ายกว่าเนอะ สุดท้ายเราก็เลือกไป Haneul Park ด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลเอาซะเลย .. เราอยากเห็นอะไรอย่างที่หน้าตาเหมือนอัฒจรรย์ แค่เท่านั้นเอง ㅠㅠ

Haneul Park เป็นสวนนึงที่อยู่ใน World Cup Parks และเพื่อความไม่งงเราจะเล่าเรื่อง World Cup Parks ที่ตามล่าหาข้อมูลจนเจอให้ฟัง World Cup Parks คือสวนสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึง FIFA World Cup ครั้งที่ 17 ค่ะโดยที่สวนนี้ในอดีตเคยเป็นพื้นทิ้งขยะอยู่นับสิบปีโดยที่มีขยะกว่า 92 ล้านตันอยู่ ต้องใช้เวลาถึง 6 ปีในการกำจัดขยะเหล่านั้นและอีกหนึ่งปีในการสร้างสวนสาธารณะแห่งนี้ขึ้นมา เจ้าสวน World Cup Parks นั้นประกอบไปด้วยสวนเล็กๆ 5 สวนภายใน ซึ่งก็คือ Pyeonghwa (ความสงบ) Park, Haneul (ท้องฟ้า) Park, Noeul (ตะวันตก) Park, Nanjicheon Park, Nanji Hangang Park วันนี้เป้าหมายของเราคือขึ้นไปบนท้องฟ้าค่ะ .. Haneul Park

การเดินทางไป Haneul Park นั้นไม่ยากเลย แค่นั่งรถไฟไปลงที่ World Cup Stadium Station เดินออกทางออกที่หนึ่งแล้วข้ามถนนมาจะเจอ Pyeonghwa Park ก่อน จากนั้นเลี้ยวขวาเดินไปเรื่อยๆจะเห็นภูเขาลูกโตๆมีบันไดชึ้บชั้บๆ นั่นแหละค่ะ ไต่บันไดนั้นขึ้นไปก็จะพบกับ Haneul Park แล้ว

…ทางเทคนิคแล้วเหมือนจะง่าย แค่เหมือนจะน่ะค่ะ

ทางเดินจาก World Cup Stadium เหมือนจะง่ายแต่ดัน…งงแหลก ตอนที่ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็มีคนบอกว่าออกผิดทางเพราะหาทางออก 1 ไม่เจอ ส่วนเราเก่งค่ะ หาทางออก 1 ภูมิใจมากๆ แต่ทะลึ่งหาทางข้ามถนนไม่เจอ -__-:; ทั้งหมดเป็นเพราะเซนส์ด้านทิศทางอันดีเยี่ยมแต่ความกล้าเสี่ยงกลับติดลบ เรื่องของเรื่องคือเราเดินเลาะด้านนอกของสนามไปจนเห็นทางออกก็คิดว่าควรจะเดินลงออกไปซะก่อนที่จะไม่มีประตูให้เดินออก ไม่อยากจะเสี่ยง กลัวต้องเดินย้อนไปออกทางประตูเดิม กลับกลายเป็นว่าไปเจอ dilemma ซะอย่างนั้น ทางข้ามถนนไม่มี มองหาทางเดินไปข้างหน้าก็งงๆเหมือนจะไม่มีทางไป เห็นสะพานที่ทอดระหว่าง Seoul World Cup Stadium ไปสวน Pyeonghwa อยู่ทนโท่บนหัวเลยแต่หาทางขึ้นไม่ได้ หันไปส่วนที่เป็นสนามก็เหมือนเป็นที่ออกกำลังกาย แถมชั้นสองดันเป็นห้าง .. โอยยย ไมเกรนจับทั้งๆที่ไม่เคยเป็น .. เราหาทางพาตัวเองไปห้างในสนามกีฬาอยู่นานเพราะเดาว่ามันต้องพายังสะพานให้เราเดินข้ามไปถึงสวนแน่ๆ และน่าจะดีกว่าการเดินย้อนกลับไปจากประตูที่เราออกมา

แล้วก็หาเจอจนได้นะคะ หลังจากที่เกือบเดินเข้าฟิสเนสเค้าไป สุดท้ายก็เจอทางเข้าห้างแล้วออกไปยังสะพาน มองกลับมาจากสะพานข้ามนั้นสนามกีฬาดูยิ่งใหญ่และสวยมากจริงๆ ธงสีแดงๆที่ติดอยู่ริมโบกสะบัดไปตามแรงลม พอมองไปข้างหน้าก็เห็น Pyeonghwa Park สวนแรกของ World Cup Parks แล้วค่ะ

20121026-095734.jpg20121026-095757.jpg20121026-095813.jpg

ภาพที่เห็นได้ทั่วไปของสวนสาธารณะในเกาหลีคือครอบครัว ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชรา ออกมากใช้ผ่อนคลายกัน เรายืนมองคุณตาจูงหลานตัวเล็กๆเดินเล่นริมสระน้ำ เห็นแล้วชอบมากๆเลย รู้สึกอบอุ่นจนคิดถึงคุณตาของตัวเองที่เคยจูงมือเราตอนเด็กๆอย่างนี้เหมือนกัน เราเดินเอื่อยได้ไม่นานเท่าไรหรอก เพราะวันนี้เราเดินทางออกจากโซลแล้วเดี๋ยวจะไปพาจูอีก แต่ดันตื่นสาย เพราะงั้นเอื่อยได้ตามเวลาที่เหมาะสม ไม่งั้นเราจะกลับถึงโซลค่ำมืด ยังไงเสียถ้าจะมือขอให้มืดในโซลค่ะเพราะคุ้นเคยมากกว่าแถบนอกเมือง

20121026-095928.jpg20121026-095951.jpg

เราเดินเลาะๆไปทางทิศที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกโตสีเขียวๆ มั่นใจสุดๆว่าต้องใช่แน่ๆ เพราะยิ่งเดินใกล้ยิ่งเห็นบันไดที่จะพาเราขึ้นไปถึง Haneul Park บันไดไม้พาดเป็นฟันปลาอยู่กลางภูเขา มองไกลๆมันสวยทีเดียวค่ะแต่ก็ทำเอาท้อได้ง่ายๆเวลาที่คิดว่าเดี๋ยวเราจะต้องไปตะกายอยู่บนนั้น

จาก Pyeonghwa Park ไปปุ้บปั๊บ ข้ามสะพานสีฟ้าสดตัดกับดอกไม้ที่ประดับอยู่ ครู่เดียวเราก็มาโผล่ที่ทางขึ้นไป Haneul Park แล้วค่ะ ณ ตอนที่ยืนอยู่ตรงเชิงบันไดนั่นยอมรับว่าแอบสองจิตสองใจจริงๆ แต่ก็คิดว่าไหนๆก็มาแล้ว ไม่ขึ้นได้ยังไง แล้วร่างพร้อมความเตี้ย 156 เซนติเมตรก็เดินก้าวทีละก้าวขึ้นบันไดตรงหน้าด้วยความเร็วคงที่ เจ้าบันไดที่ว่ามีทั้งสิ้น 291 ขั้นค่ะ ใช้เวลาไม่นานมากก็ถึงสุดยอดแล้ว ตอนใกล้ๆถึงขั้นบนสุดเราเริ่มแฮ่กประกอบกับด้านหลังเป็นวิวสนามกีฬาและสะพานข้ามแม่น้ำสวยเชียวเลยหันไปชื่นชมแก้เหนื่อยก่อนจะเริ่มเดินต่อกๆต่อไป จนบันไดขั้นสุดท้ายที่มีป้ายติดไว้ว่า 1 เรางี้แสนจะฟินหยั่งกับถึงจุดหมายแล้ว .. แต่ความจริงมันยังไม่ถึงค่ะ -__-:;

20121026-100158.jpg20121026-100228.jpg20121026-100302.jpg20121026-100321.jpg

จากตรงนั้นยังต้องเดินไปอีก ไอ้เราก็เดินดี๊ด๊าถ่ายรูปตามประสานักท่องเที่ยว แล้วก็มีคนที่มาออกกำลังแสนใจดีบอกว่าถ่ายภาพตรงนั้นสิ ตรงนี้สิ สวยมากเลย แน่นอนว่าเป็นภาษาเกาหลี เราเดาเอาเองล้วนๆแต่ก็ไม่ยากนักเพราะคุณผู้บ่าวภาษามือมาเต็มเลยทีเดียว เราแชะไปเดินไปเรื่อยๆแบบไม่รีบค่ะ เดินแรกๆก็มีป้ายอยู่ดีๆให้อุ่นใจ แต่ไปๆมาๆป้ายเป้ยหายสาบสูญ เป็นลักษณะร่วมของป้ายที่เกาหลีจริงๆ ตอนไป Coex ก็มึนแบบนี้ไม่มีผิด เราเดินไปจนถึงสุดทางที่ต้องเลือกค่ะว่าจะเดินไปตามคนที่วิ่งไป เดินออกไปเลียบถนน หรือเดินย้อน .. ก็ป้ายมันหาย .. ยืนมองๆนักปั่นจักรยานที่คงมองเราอย่างสงสารแต่ไม่รู้จะช่วยอะไรอยู่สองวินาทีแล้วจากนั้นเราก็เดินไปตามสัญชาตญาณ เลาะริมถนนมุ่งหน้าต่อไป

…ใครจะเชื่อว่ามันถูกคะ ฮาาา

แว่บแรกที่เห็นรูปปั้นแมลงกับรูปปั้นเด็กหน้าทางเข้างี้ดีใจอย่างกับได้โล่ เราเดินเข้าไปในสวนเขียวขจี สวยแบบสวนในหน้าฝนค่ะ เขียวๆสบายตา ถ้ามาในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูหนาวก็จะเป็นอีกแบบนึงไปเลย น่าจะเหลืองๆสวยไม่แพ้กัน เราเห็นเจ้าจุดหมายปลายทางของเราอยู่ตรงหน้าลิบๆแบบต้องแหวกทุ่งไปหน่อย เจ้าสิ่งประหลาดหน้าตาคล้ายอัฒจรรย์ เวลามาอยู่แบบนี้แล้วสวยแปลกตาดีจริงๆ แถมอยู่โดยที่มีเจ้ากังหันปั่นไฟ 5 ตัวอยู่รอบๆซะด้วย เป็นส่วนผสมที่ประหลาดแท้ แต่เราชอบมาก

ตามประสาคนชอบปีนๆ เราเดินเข้าไปในนั้นแล้วก็เดินขึ้นไปจนสุด ชมวิวรอบๆสวน Haneul Park เดินวนด้านบนซะหนึ่งรอบ(พูดซะใหญ่)เพียงเพื่อได้รู้ว่าถ้าจะอยู่เกาหลีให้ทำใจ..ไปไหนเจ้าจะเจอกับกุญแจคู่แขวนใจเรื่อยไป ฉะนี้แล

20121026-100535.jpg20121026-100601.jpg20121026-100714.jpg20121026-100838.jpg20121026-100902.jpg20121026-100924.jpg20121026-100945.jpg

เรามองไปฝั่งตรงข้ามแล้วก็เห็นอะไรหน้าตาแปลกๆเรียกร้องให้ไปดู เป็นอะไรซักอย่างจริงๆค่ะ เหมือนตั้งไว้แบบอินดี้ๆท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว กับมองไปสุดๆนั่นก็จะมีปล่องไฟ เราก็เดินเตาะแตะไปถ่ายภาพสบายใจไป เราชมนกชมไม้ชั่วครู่ก็เดินออกมาค่ะ โดยที่เราเลือกเดินด้านนอกเพราะดูจะเดินง่ายกว่าเหมาะกับคนซุ่มซ่ามอย่างเราๆ แต่พลันตาเหลือบไปเห็นบ้านนกหลังเล็กๆ(เรียกอย่างนั้นได้ใช่ไหม)ที่เค้าวางประดับแต่งสวนไว้ น่ารักมากจนอยากจะวิ่งไปถ่ายรูป เพื่อจะเดินไปถ่ายภาพ เราต้องเดินแหวกหญ้าเยอะพอดู คันใช้ได้เลยค่ะ เพราะความแพ้หญ้าเป็นทุนเดิม แค่โดนนิดเดียวเราคันจะบ้า มือเลยรีบกดชัตเตอร์รัวๆแล้วรีบออกมา ได้ภาพมาเท่าที่เห็นนี่ล่ะค่ะ ㅠㅠㅠㅠ

20121026-101054.jpg20121026-101257.jpg20121026-101320.jpg20121026-101406.jpg

หลังจากที่เราเดินเล่นใน Haneul Park เรียบร้อยถือว่าภารกิจแรกเสร็จสิ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ ขากลับจากสวนคราวนี้เลยเดินสบายๆไม่มีให้หลงทาง แถมทางลงเขา เดินยังไงก็ชิวๆเนอะ แต่ที่น่าเจ็บใจเบาๆคือตอนลงมาเราเห็นรถซาฟารีด้วยค่ะ คับคล้ายคับคลาว่าเห็นรถหน้าตาแบบนี้วิ่งขึ้นไปบนเขาเลยเดาว่าน่าจะเป็นรถพาขึ้นไปด้านบนนั่นแหละ แล้วเราจะตะกายเพื่อ…….?

Paju English Village
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Hapjeong Station, Exit 2 แล้วนั่งรถเมล์สาย 200, 2200 (สีแดง) ประมาณ 50 นาทีไปลงที่ English Village (31-030 경모공원앞 Gyeongmogong-won)
Operating hours : Seasonal, August 09:30 – 22:00 hrs
Price : KRW 2,000

English Village, Paju Camp เป็นสถานที่ที่อยากจะไปเหลือเกิน เพราะอย่างนั้นมันเลยมาบรรจุอยู่ในตารางการเดินทางในวันนี้ แรงบันดาลใจในการไปก็คงไม่พ้น 1) สวย 2) สาวๆที่รักของเราเคยไปวิ่งไล่จับที่นี่มา เพราะฉะนั้นมองซ้ายมองขวาเวลาเดินเล่นมันต้องสนุกแน่ๆค่ะ ได้อารมณ์ว่าคอยมองหาว่าตรงไหนน้าที่น้องซอของพี่จัดการอนนี่ไปได้ทีละคนสองคน >;;;///<;;; ด้วยสองเหตุผลเราเลยนั่งรถมาพาจูอีกแล้วหลังจากที่นั่งไปรอบแรกเมื่อวันที่ไป DMZ ถ้ายังจำกันได้

English Village นั้นเป็นสถานที่ที่ให้คนได้ไปสัมผัสกับภาษาอังกฤษ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่พูดภาษาอังกฤษเท่านั้น ว่าง่ายๆก็คือเป็นค่ายฝึกภาษา พ่อแม่ที่อยากจะให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองส่งไปต่างประเทศให้เงินทองรั่วไหล ภายในก็จะมีคลาสต่างๆให้เด็กๆได้เข้าไปเรียนหรือทำกิจกรรม พนักงานที่ทำงานในนี้ก็จะเป็นชาวต่างชาติหรือชาวเกาหลีที่ภาษาอังกฤษดีๆ ในที่สุดเราก็มาอยู่ในถิ่นของเราแล้วค่ะ อยู่ในที่ที่เราจะสื่อสารกับชาวบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้งหลังจากที่ต้องนั่งท่องคำว่า "ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ภาษาเกาหลี" มาหลายรอบ ^^

English Village ในเกาหลีนั้นมีหลายที่ ไม่ได้มีแค่ที่พาจูที่เดียว ที่แรกเลยคือที่อันซาน (Ansan) อีกที่คือที่ยางพยอน (Yangpyeon) ที่นี่เป็นที่ที่ใช้ถ่ายซีรี่ส์เรื่อง Boys Over Flowers ถ้าใครพอจะจำกึม จันดีและกู จุนพโยได้ โรงเรียนในเรื่องคือที่นี่แหละค่ะ ส่วนอีกที่ก็คือที่พาจู (Paju) ที่ที่เราจะกันในวันนี้

การสร้าง English Village ขึ้นมาทำให้เราเห็นถึงความฉลาดของคนเกาหลีอีกแล้ว เพราะแม้จุดมุ่งหมายหลักของ English Village จะเป็นเพื่อการสร้างเสริมทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลแต่การที่ทำสิ่งแวดล้อมดีๆ อาคารสวยๆก็ทำให้สถานที่นั้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ แถมพ่วงด้วยการแพร่ไวรัส (ตามที่คุณคันฉัตรในหนังสือ "Sorry Sorry ขอโทษทีผมเป็นติ่ง" ว่าไว้) คือเอามันมาถ่ายละครถ่ายรายการซะแล้วจากนั้นแฟนๆก็จะตามมา อย่างเช่นแฟนๆ Boy Over Flower แฟนน้องจุงจ๋า หรือแม้แต่เราเองก็ติดไวรัสนั้นเข้าไปด้วย ตกเป็นเหยื่อการตลาดระดับประเทศค่ะ ㅠㅠㅠㅠ

สำหรับเราการไป English Village นั้นไม่ยากเท่าไร ป้ายรถที่ยืนรอก็แสนจะชัดเจน มันนอยนิดๆด้วยกลัวว่าจะเลยป้าย แต่ app ในมือถือช่วยได้เยอะจริงๆค่ะ ช่วยในการสร้างความมั่นใจว่าเราลงถูกป้ายแน่ๆ ป้าย English Village นั้นสังเกตไม่ยาก เลย Provence Village และ Heyri ไปนิดนึงก็ถึงแล้ว คิดว่ายังไงถ้าสังเกตตัวอาคารที่ออกแนวตะวันตกไว้ยังไงก็ไม่หลง

แม้จะศึกษามาอย่างดีว่าให้เข้าประตู 1 เพราะถึงเดินไปประตู 2 เค้าก็จะไล่ให้ไปเข้าที่ประตู 1 แต่เราก็ยังคงสับสน เพราะไม่รู้ว่าอันไหนคือประตู 1 อันไหนคือประตู 2 เราก็เดินไปประตูที่ใกล้ที่สุดแล้วก็พบว่ามันคือประตู 2 ค่ะ -__-:; เราเลยค่อยๆลากขาเดินไปประตู 1 เพื่่อซื้อตั๋วเข้า English Village วิธีสังเกตเจ้าประตูหนึ่งว่าคืออันไหน ก็คือที่ที่มี Stonehedge ตั้งอยู่ด้านหน้านั่นเอง ส่วนประตู 2 คือประตูที่มีสำนักงาน UNICEF และป้อมยาม

20121026-101939.jpg20121026-102008.jpg20121026-102036.jpg

20121026-102404.jpg

หลังจากที่ซื้อตั๋ว หยิบแผนที่ใน Village มาเรียบร้อยเราก็ทำการผ่าน Gate และศุลกากรเพื่อเข้าเมือง เก๋ไก๋ใช่ไหมล่ะ ตอนที่เราไปนั้นเราเดินตามพ่อลูกคู่นึงค่ะ ถ้าจำไม่ผิดลูกชายน่าจะอายุไม่เกิน 5-6 ขวบ คุณพ่อเค้าเห็นเรามาเที่ยวก็เลยชวนคุยซะเลย เค้าบอกว่าวันนี้เค้าลางานพาลูกชายมาที่นี่เพราะเมื่อวานลูกชายพูดว่าอยากไปอเมริกา แต่ว่าลูกขายยังไม่ได้ภาษาเลยพามาให้ดูว่าถ้าไปอังกฤษหรืออเมริกาก็จะพบกับสิ่งแวดล้อมประมาณนี้ จะต้องพูดภาษาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นน้องจะต้องเตรียมตัวถ้าเค้าอยากจะไป คุณพ่อถึงกับลงทุนลางานขับรถมาจากโซลมาเพื่อคุณลูกชายเลย น่ารักมาก

ระหว่างที่คุย คุณพ่อก็พยายามสนับสนุนให้น้องพูดภาษาอังกฤษ ตรงกับวัตถุประสงค์ของ English Village สุดๆ ส่วนเราเองก็ได้ความรู้เยอะเหมือนกันจากคุณพ่อ เช่นว่าการศึกษาในเกาหลีแข่งขันสูงแค่ไหน คุณพ่อเองเสียดายที่ตอนเด็กๆไม่ตั้งใจเรียนภาษาเท่าไร แต่ก็นับว่ายังสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว อีกเรื่องที่น่าสนใจคือคุณพ่อบอกเราว่าคำว่า ซออึล (서울) หรือที่คนไทยเรียกว่าโซลนั้นจริงๆแล้วแปลว่าเมืองหลวงหรือ capital city ดังนั้นถ้าเราจะบอกว่า “ซออึล”ของประเทศไทยก็คือกรุงเทพมหานคร หรือ “ซออึล”ของสหรัฐอเมริกาคือ Washington DC ก็ไม่ผิดอะไร สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนภาษาเกาหลีอย่างเรามันเป็นความรู้ใหม่มากเลยค่ะ

เราเดินไปรอบๆกับเพื่อนตัวน้อยและคุณพ่อก่อนจะแยกไป ระหว่างที่เดินร่วมทางกันเราก็เล็งซ้ายเล็งขวามุมที่คุ้นๆจาก Running Man ไว้กะว่าพอแยกกันแล้วจะไปเก็บรายละเอียด ก่อนแยกกันคุณพ่อใจดียังคอยชี้ให้เราดูจุดท็อปฮิตว่ามาที่นี่แล้วต้องถ่ายรูปด้วยก็คือจุดที่เป็น backdrop รูปปีก อย่าลืมไปถ่ายซะนะ แล้วเค้าก็ปล่อยเราไปตามทางของเรา ฮาาา .. ทีนี้เราได้เวลาสำรวจแล้วค่ะ มุมด้านในนี้คุ้นมากๆ คือเดินไปแล้วเดาได้ว่าตรงนี้คือที่ที่ซอฮยอนจัดการฮโยยอนและคุณลุงจมูกโต ตรงนี้คุ้นเหมือนเป็นที่ที่ซอฮยอนจัดการคิมกุกจงกับแทยอนวินาทีสุดท้าย มุมนี้เป็นมุมที่ซอฮยอนจัดการเจ้าเหม่งและโดนเข่าไป มุมเจสสิก้าฮ่าฮ่าที่เน่าพิกล หอคอยที่ดูเน่าๆนั้นที่เจ้ายูลกวางซูไปหลบกันนั้นเน่าจริงๆ ทุกอย่างเป็นอะไรที่เราเห็นแล้วยิ้มค่ะ คนติดไวรัสจะเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเราชักสงสัย

20121026-102458.jpg

20121026-102523.jpg

20121026-102634.jpg

20121026-102824.jpg

20121026-102842.jpg

20121026-102919.jpg

20121026-102947.jpg

20121026-103015.jpg

เดินจนทั่วไปครึ่งนึงแล้วเราก็เจอกับคุณพ่อคุณลูกอีกครั้ง คราวนี้มีคุณครูด้วยค่ะ คุณครูสำเนียงอเมริกันจ๋ามาเลย ฟังเพลินมาก คุยง่ายและคุยสนุก .. เราเจอที่ที่ใช่สำหรับเราแล้วจริงๆ .. เด็กน้อยกำลังจะลงเรียนคลาสนี้กับคุณครูคนนี้นี่แต่ยังไม่ถึงเวลาเรียน เค้าก็เลยมาคุยกันก่อนด้านนอก แล้วเราก็มาเจอก็เลยได้คุยกันเล็กน้อย ตอนแรกคุณครูนึกว่าเราเป็นคุณแม่ของเด็กน้อย เราถึงกับร้องจ๊ากเลยค่ะ อยู่ดีๆมีลูกไม่รู้ตัว =[]= คุณครูกับบอกเราว่าเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์เลยคนน้อย ซึ่งเราตอบกลับไปว่าเราชอบ เราไม่ชอบที่คนเยอะ พอคุณครูรู้ว่าเรามาจากกรุงเทพถึงกับขำ ประมาณว่าอยู่กรุงเทพแล้วไม่ชอบคนเยอะเนี่ยนะ!?! เราเลยบอกว่าอาจจะเพราะเราอยู่กรุงเทพนี่แหละ เราเลยไม่ชอบคนเยอะ ว่าแล้วคุณครูใจดีก็แนะนำเราให้ไป Heyri หมู่บ้านศิลปะซึ่งอยู่ในแผนการของเราหลังจากนี้ เราคุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วเราก็ปล่อยให้เค้าเริ่มเรียนกัน ส่วนเราก็ออกมาเตาะแตะคนเดียวต่อไปจนทั่ว ก่อนที่จะมุ่งหน้าจุดหมายต่อไปของเราในวันนี้คือ Heyri Village ค่ะ

20121026-103125.jpg

20121026-103151.jpg

20121026-103220.jpg

20121026-103242.jpg

20121026-103313.jpg

20121026-103347.jpg

20121026-103418.jpg

Heyri Art Village
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Hapjeong Station, Exit 2 แล้วนั่งรถเมล์สาย 200, 2200 (สีแดง) ประมาณ 50 นาทีไปลงที่ Heyri ลงได้หลายป้ายเลย แล้วแต่จะอยากเข้าจากฝั่งไหน แต่ไปจาก English Village ออกประตู 2 แล้วเดินข้ามไปก็ถึงแล้ว
Operating hour : เปิดตลอด 24 ชั่วโมงแต่ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ด้านในนั้นจะเปิดตั้งแต่ 10:00 – 19:00 โดยประมาณ
Admission fee : Free แต่ถ้านั่งในร้านหรือเข้าพิพิธภัณฑ์นั้นก็แล้วแต่ค่ะ

Heyri นั้นเป็นหมู่บ้านของนักศิลปะ ตั้งแต่จิตกร ช่างภาพ ช่างปั้น นักดนตรี นักเขียนอยู่ร่วมกันและสร้างสรรงานร่วมกัน ในตอนแรกนั้น Heyri Art Village รู้จักกันในฐานะว่าเป็นหมู่บ้านหนังสือเพราะใกล้กับ Paju Publishing Town (หรือ Paju Book City) แต่จากนั้นก็เริ่มเติบโตขึ้นโดยมีนักศิลปะจากแขนงต่างๆเข้ามาร่วมในโครงการจนกลายเป็น Cultural Art Village อย่างทุกวันนี้

ภายใน Heyri มีทั้งที่พักอาศัย ห้องทำงาน แกลอรี่และพิพิธภัณฑ์ นักศิลปะส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการเปิดงานจัดแสดงผลงานหรือขายงานศิลปะ ปัจจุบันนี้มีพิพิธภัณฑ์ สถานที่จัดแสดงงาน สถานที่จัดคอนเสิร์ท ร้านหนังสือประมาณ 40 ที่ใน Heyri และยังมีที่กำลังจะเปิดอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีคาเฟ่และร้านอาหารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาเยือนอย่างเราๆ

ชื่อว่า Heyri นั้นมาจากเพลงเกี่ยวข้าวของชาวเกาหลี “The Sound of Heyri” แนวความคิดในการสร้างหมู่บ้านก็ใช้แนวคิดแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นเราจะเห็นอาคารตั้งอยู่กลางสีเขียวๆ จะยังเห็นคลองหรือสระน้ำตามธรรมชาติอยู่ อาคารที่สร้างใน Heyri ก็จะไม่สูงเกินไปกว่าสามชั้น แต่แน่นอนว่าเนื่องจากอยู่ในหมู่บ้านนักศิลป์ อาคารแต่ละอาคารก็จะเก๋ไก๋ต่างกันไป

เราออกจาก English Village และก็เดินเข้า Heyri ไปทาง Gate 9 แบบมึนๆ แผนที่เป็นภาษาเกาหลี -__-; แต่ก็อาศัยคลำๆทางเอา เราเดินไม่เยอะมากค่ะ แค่เลาะๆขอบๆของ Heyri เพื่อให้ออกไปขึ้นรถเมล์ได้ง่ายเพราะกลัวจะถึงโซลค่ำ อีกอย่างคือเราเมื่อยเพราะเดินโหดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้เห็นถึงสีเขียวๆ อาคาร และงานศิลป์เช่นพวกรูปปั้นที่ไปวางอยู่กลางทุ่งหญ้า ตอนที่เรากลับเราเองก็เสียดายเหมือนกันที่น่าจะมีเวลาและกำลังมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ถึงตัดสินใจจะอยู่แต่ก็ไม่มีแรงจะเดิน อาจจะสิ้นชีพอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ได้

20121026-103709.jpg

20121026-103737.jpg

20121026-103805.jpg

20121026-103854.jpg

20121026-103914.jpg

20121026-103930.jpg

เคยมีหลายๆคนว่าไว้ว่าเกาหลีไม่ค่อยมีอะไร เค้าเลยต้องสร้างมันขึ้นมาเพื่อดึงดูดให้คนไปท่องเที่ยว แตกต่างจากเมืองไทยที่มีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวล้นหลาม ในความคิดของเรานั้นมันไม่ผิดถ้าสิ่งที่สร้างน่าสนใจและไม่ทำลายองค์รวม เช่น Heyri ไม่ได้ทำลายผืนป่าแต่หาทางอยู่ร่วมอย่างเหมาะสม สิ่งที่สร้างขึ้นไม่ได้มุ่งหวังให้การท่องเที่ยวเป็นวัตถุประสงค์หลักแต่เป็นผลพลอยได้ เราว่าเค้าฉลาด การสนับสนุนการท่องเที่ยวของเค้าที่สนับสนุนกันจริงๆจัง ผ่านทาง KTO ทางผลิตภัณฑ์ส่งออกชื่อดังอย่าง K-pop หรือละครเกาหลี รวมกับบ้านเมืองที่พัฒนาแล้วทำให้เกาหลีเป็นประเทศท่องเที่ยวจริงๆ คือเที่ยวง่ายแม้จะคนในประเทศจะใช้ภาษาบ้านเกิดตัวเองมากกว่าภาษาอังกฤษ ประเทศไทยของเราซะอีกที่ประกาศเป็นเมืองท่องเที่ยว ถึงตอนนี้สิ่งอำนวยความสำดวกให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือคนไทยที่จะเที่ยวเมืองไทยด้วยกันเองนั้นน้อยเหลือเกิน แค่ดูจากการเดินทางไปมาระหว่างแอร์พอร์ทกับตัวเมืองก็พอจะรู้แล้ว เมืองไทยมีแอร์พอร์ทลิงค์ที่นานๆมาที Taxi และพึ่งพาอาศัยญาติโยม ส่วนเกาหลีมาเต็ม มีครบจนเกิน ทั้งรถไฟ Airport Express จากอินชอนไปถึงกลางเมืองหลวง Seoul Station รถประจำทาง หรือรถแอร์พอร์ทลีมูซีน แค่รถแอร์พอร์ทลีมูซีนสารพัดสายก็ไปทั่วโซลแล้ว ถ้าหาเมืองไทยพัฒนาได้ขนาดนั้น เราน่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากเลยล่ะค่ะ

Cheonggyecheon
How to go: ขึ้นรถไฟไปลงได้หลายจุดตลอดแนวสองข้างคลองเลย
Operating hour :เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
Admission fee : Free

การเดินทางขากลับของเราใช้เวลามากกว่าขาไปพอควร น่าจะเป็นช่วงเวลาเย็นที่คนเลิกงานกันแล้ว รถบนถนนเลยดูหนาแน่นกว่าเมื่อกลางวัน เราหลับๆตื่นๆระหว่างที่อยู่บนรถเมล์ขากลับจาก Heyri หลายรอบก็ยังไม่ถึงสถานี Hapjeong

วันนี้ผู้มีอุปการคุณเอื้อเฟื้อที่พักชวนไปทานเนื้อย่าง นัดกันตอนสองทุ่มแถวๆอับกุจอง เรามองนาฬิกาจากมือถือ(ไม่ใช้นาฬิกาข้อมือมีไรป่ะ #กวน)แล้วว่ายังพอมีเวลานิดหน่อยเลยตัดสินใจไปเดินเล่นที่คลอง Cheonggyecheon ก่อนทั้งๆที่เป็นแผนการที่วางไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ แต่ขอมาลองเดินช่วงสั้นๆนิดนึง เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเล่าเรื่องคลองน้ำใสนี่อีกครั้งนึงในไดอารี่วันถัดไปนะคะ

20121026-104322.jpg

20121026-104343.jpg

20121026-104357.jpg

20121026-104413.jpg

20121026-104440.jpg

คลอง Cheonggyecheon ตอนกลางคืนที่มีไฟเปิดสวยมากจนอย่างจะยืนชมอยู่อย่างนั้นนานๆเลยล่ะค่ะ แต่เพราะกลัวผิดเวลานัดเลยรีบเกาะรถไฟไปอับกุจองเพื่อพบว่าฝนตก เรากับผู้มีอุปการคุณเลยตัดสินใจแยกย้ายไปหาอะไรกินเองเพื่อความสะดวกและเปียกน้อย เราได้มีโอกาสเดินเล่นอับกุจองอีกนิดหน่อยก่อนจะไปจบที่ร้านอาหารใกล้บ้าน

ระหว่างเดินเล่นอับกุจองมีช่วงที่ฝนตกหนักๆแล้วเราไม่ไหวก็เลยรีบวิ่งเข้าไปในร้านชานมไข่มุกหนึ่งร้าน ซึ่งเห็นลายเซ็นต์เต็มไปหมดแต่ยังไม่ได้นึกอะไรจนกระทั่งตาไล่มาเห็นลายเซ็นต์ทิฟฟานี่และก็ของสาวๆ นึกในใจว่านี่เจอ RC โดยบังเอิญอีกแล้วสินะ ทั้งร้านนี่เต็มไปด้วยลายเซ็นต์ ลายเซ็นต์ และลายเซ็นต์ เยอะจนเราตกใจ ลายเซ็นต์ของหนุ่มๆ Exo ติดอยู่นู่นค่ะ .. ประตู .. แล้วนี่ถ้ามีวงน้องใหม่เดบิวต์อีกจะไปติดตรงไหนกันคะเนี่ย

ร้านชานมไข่มุกร้านนี้ไม่ใหญ่มาก ใครเคยไปคงรู้ มีโต๊ะแค่ประมาณสามโต๊ะเล็กๆกับเคาท์เตอร์เท่านั้นเอง แต่มีลูกค้ามาซื้อเป็นระยะๆเลยค่ะ น่าจะเป็นทั้งแฟนคลับเองและก็เด็กๆแถวนั้นด้วย ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ร้านมักจะซื้อไปทานข้างนอกมากกว่าชมบรรยากาศในร้าน แต่อย่างที่บอกว่าเราหลบฝนและพักเหนื่อย เราก็เลยนั่งกินชาจนหมดอย่างไม่แคร์สื่อ จนพอดูท่าว่าน่าจะเดินต่อได้แล้วก็สละที่ให้คนอื่นนั่งต่อ

20121026-163157.jpg

20121026-163333.jpg

ไดอารี่ของเราใกล้จบเต็มที่แล้ว เหลืออีกแค่วันครึ่งเท่านั้นเอง การเดินทางเที่ยวคนเดียว(แต่อาศัยกับคนอื่นบ้าง)จะหมดลง วันพรุ่งนี้เราจะไปตะลุยมหาวิทยาลัยกัน 😀

นี่ผมรู้สึกอยากตายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

 

ความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับคำถามมายมากในหัวที่ยังคงไม่มีคำตอบ ร่างสันทัดของชายหนุ่มนอนแผ่อยู่บนเตียงแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว ราวกับว่าเขาไม่ได้หายใจเลยด้วยซ้ำ

…หากหยุดหายใจได้ก็คงดี เขาอาจจะผ่านเวลาอย่างนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก

สุดท้ายไม่ว่าจะคิดไปเรื่องไหน บทสรุปก็กลับมาแบบเดิมๆทุกครั้ง ถ้าเขาตายไปอะไรๆคงดีกว่านี้ น้ำตาที่คลออยู่ตรงหางตากลับไม่ไหลหล่นลงมาเหมือนทุกครั้ง ผู้ชายอ่อนแอและร้องไห้ง่ายอย่างเขาร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วนเพราะคนคนเดียว เธอ .. อิม ยุนอา

ท่ามกลางข่าวลือมากมาย แรงสนับสนุน และแน่นอนแรงต่อต้าน ความรักของเขาและเธอกลับค่อยๆงอกงามเหมือนกับต้นไม้ต้นเล็กๆที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ในขณะที่ผู้ชายอย่างเขาเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหวขัดกับรูปร่างหน้าตา ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเข้าใจมอบให้ผู้ชายอย่างเขา ทุกๆวันเขาเฝ้ามองความรักที่ผลิบานทีละน้อยด้วยความสุข หากเพียงแค่มันไม่ได้สุขอย่างนั้นได้ตลอดไป

เขาไม่เคยเข้าใจกฎข้อห้ามการคบกันภายในบริษัท เหตุผลที่ว่า “ถ้าเลิกกันไปจะทำงานด้วยกันลำบาก” สำหรับเขามันเป็นเหตุผลที่งี่เง่าสิ้นดี ในเมื่อคนรักกันแล้วจะคิดไปถึงวันที่เลิกกันเพื่ออะไร จนมาวันนี้เขาถึงเข้าใจได้ดี อาจจะเข้าใจดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ

 

เขาและยุนอาเคยเป็นคู่ที่รักกันหวานเลี่ยนจนเป็นที่ยอมรับในค่าย คำน้ำเน่าของชายหนุ่มมักจะเรียกเสียงโห่จากเพื่อนๆและรอยยิ้มกว้างจากเธอได้เสมอ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่สิ่งเหล่านั้นกลับถูกทดแทนด้วยการทะเลาะและหยาดน้ำตา ด้วยตารางงานที่แน่นเอี้ยดจนแทบขยับตัวไม่ได้กันทั้งคู่ ผู้ชายที่ต้องการความรักอย่างเขากลับเรียกร้องต้องการเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างโหยหา คนที่ควรจะเข้าใจเธอที่สุดอย่างเขา..กลับไม่เข้าใจอะไรเลย คำถามที่เขาเฝ้าถามอีกฝ่ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักทั้งๆที่รู้ว่ามันจะสร้างปัญหาตามมาแต่เขายังเฝ้าเพียรถามซ้ำ ทำไมมาเจอกันไม่ได้ ทำไมคุยโทรศัพท์ไม่ได้ เขาในตอนนั้นคิดน้อยใจทุกอย่างโดยที่ลืมไปว่าเขาเองต่างหากที่อยู่ห่างไปไกลกว่าพันไมล์

ในเมื่อความห่างไกลไม่ได้มีผลแค่ระยะทาง มันมีผลต่อความสัมพันธ์ด้วย ความรักที่เขาคิดว่าเป็นตลอดกาลจบสิ้น เพราะความงี่เง่าของเขา ทุกอย่างเป็นเพราะเขาคนเดียว รอยยิ้มกว้างและดวงตากวางที่เคยเป็นประกายหม่นลงก็เพราะเขา เขาเสียใจ เพียงแค่คิดถึงน้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขายังยืนอยู่ได้ อย่างน้อยก็ในตอนนั้น

ต่างคนต่างอยู่คนละแผ่นดินเพื่อทำงาน ต่างคนต่างหน้าที่ ต่างความรับผิดชอบ เขาโหมงานหนักเพื่อลืมเธอ งานโหดๆอย่างการถ่ายละครในต่างแดนช่วยเขาได้มาก ถึงอย่างนั้นคนเราก็ไม่สามารถหนีความจริงได้ทุกวัน เขาเองก็หนีความจริงที่ว่าเขาไม่มีเธออีกต่อไปแล้วไม่ได้เช่นเดียวกัน

ดวงตาคมจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีภาพถ่ายแสนหวานตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมจนแน่นไปทั้งหน้าอกคือ…คิดถึง ยิ่งใกล้วันเกิดเธอก็ยิ่งคิดถึง เพียงแค่เขาสัมผัสนิ้วไปที่ปุ่มโทรออก เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กสาววัยรุ่นก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตู

“พี่ทงเฮ” เธอเรียกเขาเป็นภาษาจีนแมนดารินใสแจ๋ว สาวน้อยตัวเล็กใบหน้าคล้ายไปทางจีน หากแต่ดวงตาโตใส ผมยาวถูกรวบสูงที่กลางหลังสะบัดไปมาตามแรงเหวี่ยง

“ว่ายังไงวิทนี่ย์ เฮนรี่ล่ะ” ทงเฮถามถึงน้องเล็กใน Super Junior M ผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเด็กสาวรุ่นตรงหน้านิ้วหนากดปุ่มเพื่อวางสายและปิดหน้าจอทันที ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาคิดถึงเธออีกแล้ว

“ไม่ทราบสิคะ ฉันมาหาพี่ ไม่ได้มาหาพี่เฮนรี่ซักหน่อย” หญิงสาวตอบอย่างฉะฉานตามประสานักเรียนนอก

“มาหาพี่? มีธุระอะไรเหรอ” เสียงทุ้มถามกลับไปอย่างสงสัย เขาก้มลงมองเด็กสาวตัวเล็กกว่าที่ยืนเกาะแขนอยู่อย่างถือวิสาสะ ในใจไพล่คิดไปถึงผู้หญิงอีกคน หากเป็นเธอคนนั้นเขาคงแทบไม่ต้องก้ม แค่ยืนตรงๆก็สามารถมองสบไปที่ดวงตากวางของเธอได้

“ก็ฉันคิดถึงนี่คะ อยากเจอมายทงเฮ” สาวน้อยตอบอย่างจริงใจกับความรู้สึกของตัวเอง แขนเรียวเล็กกระชับแน่น ศรีษะน้อยเอนมาซบที่ตรงไหล่ ก่อนที่หนุ่มน้อยหน้าใสผู้เป็นพี่ชายเดินมาคว้าตัวน้องสาวออกไปเพื่ออบรม เฮนรี่เอ่ยขอโทษในความวุ่นวายของน้องสาวแล้วเริ่มอบรมยาวยืด เสียงดุๆของน้องเล็ก Super Junior M ดังสลับกับเสียงโอดโอยของสาวน้อยเป็นระยะ ใครเล่าจะรู้ว่าความรู้สึกของอี ทงเฮในตอนนี้เป็นอย่างไร

วันรุ่งขึ้นทงเฮตัดสินใจขอให้ผู้จัดการช่วยจัดตารางงานให้ใหม่เพื่อให้เขาสามารถบินกลับไปเกาหลี ชายหนุ่มต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อชดเชย แต่ในที่สุดวันที่ 30 พฤษภาคมเขาก็ได้มายืนอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์หรู มือหนาเอื้อมไปกดกริ่ง เพียงไม่นานประตูห้องก็เปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แบบที่ชอบใส่เสมอเวลาไม่มีงาน

“ทงเฮอปป้า” เธอนิ่งไปเพียงอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ยุนอาอนนี่ไม่อยู่หรอกนะคะ”

“แล้ว….” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบเสียงหวานใสก็พูดต่อราวกับรู้ว่าเขาจะถามว่าอะไร “เห็นบอกว่าจะไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะน่ะค่ะ”

“แล้วเธอล่ะจะไปไหน” เขาถามขึ้นอีกเมื่อมองไปเห็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ในมือของน้องเล็กคนสวยแห่ง Girls’ Generation

“ฉันมีซ้อมดูเอทกับคยูฮยอนอปป้าค่ะ .. ขอตัวก่อนนะคะอปป้า” เธอค้อมตัวเล็กๆก่อนจะบอกลา เพียงแค่เดินไปไม่กี่ก้าวเท่านั้นรุ่นน้องสาวก็หยุดหันกลับมาพูดบางอย่างกับเขา “ง้อให้สำเร็จแล้วอย่าทำแบบนี้อีกนะคะอปป้า”

หญิงสาวกล่าวสั้นๆไว้อย่างนั้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งเขาไว้อยู่ตรงหน้าประตูที่ปิดลงอย่างนั้น สมองของชายหนุ่มค่อยๆประมวลผลเพียงชั่วครู่ก็พอจะรับรู้ได้ถึงความหมายที่ซ่อนไว้ของรุ่นน้องสาว เขายังมีหวังที่จะกลับไปเริ่มต้นอีกครั้งกับเธออย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเขารั้งเธอกลับมา เธอจะกลับมาหาคนทึ่มๆบ้าๆอย่างเขาไหม คนที่คอยแต่บ่นเธอ คนที่ครั้งนึงเคยบอกเธอว่า “ถ้ามันจะเป็นอย่างนี้ เราอย่ารู้จักกันเลยจะดีกว่า”

…เขาควรจะได้รับโอกาสนั้นไหม

ขาของเขาก้าวยาวๆไปยังสถานที่ที่คุ้นเคย สวนสาธารณะเล็กๆริมแม่น้ำฮัน ที่ที่พวกเขาเคยมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเสมอสายตาแหลมคมเหลือบไปเห็นร่างผอมบอบบางที่แสนจะคุ้นตา นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาไม่ได้มองเธอแบบนี้ เขาหยุดยืนมองเธออยู่ครู่นึงก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ เขาเดินไปซ้อนด้านหลังของหญิงสาวที่ยืนเหม่อลอยราวกับคนไม่รู้ตัว มือหนาค่อยๆโอบเธอจากด้านหลังพร้อมกับค่อยๆกระซิบเบาๆที่ข้างหู “สุขสันต์วันเกิดนะคะกวางน้อยของพี่”

หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เธอเฝ้ารอมาตลอด เธอหันหลังขวับเพียงเพื่อมาพบว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของใครบางคน ใบหน้าที่เกือบชิดจนแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตากวางเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เห็นคนตรงหน้าก่อนที่จะนึกได้ .. เราเลิกกันแล้ว .. ยุนอาขยับตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมกอดนั้น ทำเอาเขาใจเสียไม่น้อย หากแต่ว่าเขาตั้งใจไว้แล้วว่ามาไกลขนาดนี้ ยังไงเสียวันนี้จะต้องง้อเธอให้ถึงที่สุด

“อปป้าขอโทษที่ทำตัวแย่ๆใส่เธอ ยกโทษให้คนโง่ๆคนนึงได้ไหม เขาสำนึกผิดแล้ว” เสียงทุ้มๆที่แสนอ่อนหวานกระซิบที่ข้างใบหูเล็กของหญิงสาว

ยุนอามองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไปไม่ว่านานแค่ไหน สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเข้าใจ ในที่สุดเธอก็พูดอะไรออกมาหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเกาะกินอยู่พักใหญ่ “ทำไมอปป้าช้านักละคะ เค้ารอมาตั้งนานนะ”

“เค้าน่ะ รอมาตั้งเกือบครึ่งปีแล้ว ทำไมเพิ่งมาหาเขา” น้ำตาใสๆที่คลอหน่วยหยดลงมาตามแก้มใสไม่ขาดสาย คนที่มักจะมีแต่รอยยิ้มและหัวเราะเสียงใสๆอย่างอิม ยุนอา เมื่อถึงเวลาร้องไห้ก็ร้องหนักเสียจนเขาทำอะไรไม่ถูก ทงเฮรั้งร่างบอบบางมาแนบอกแล้วกอดแน่น มือหนาลูบหลังเธอเบาๆอย่างต้องการจะปลอบโยน

“อปป้ามาแล้ว อปป้ามาแล้ว .. ขอโทษนะที่ปล่อยให้เธอรอนานอย่างนี้”

ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนถึงค่ำ เวลาผ่านไปราวกับติดปีกบิน บทสนทนาเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ผลัดกันพูดคุยเพื่อชดเชยเวลาที่หายไป จนเมื่อฟ้าเริ่มมืดลงเขาจึงเห็นว่าควรกลับเสียที เพราะเวลาที่มีอยู่ด้วยกันแสนน้อยนิด ทงเฮจึงตัดสินใจชวนเธอไปนั่งทานอาหารต่อที่อพาร์ทเมนท์ของเขา

เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปในห้องพักที่แสนคุ้นตา เสียงผู้หญิงใสแจ๋วก็ดังขึ้น “มายทงเฮ” ร่างเล็กกระทัดรัดโผเข้ามาหาเขาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เธอกอดเขาแน่นจนแทบกระดุกกระดิกไม่ได้ เขาหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มที่เขาเพียรสร้างมาตลอดทั้งวันกลับหายไปเหลือเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ความผิดหวังเสียใจฉายชัดเจนในแววตา .. แน่ล่ะ ยังไม่ทันที่แผลเก่าจะหายดี อยู่ดีๆเธอก็ต้องเห็นภาพเขากอดกับผู้หญิงคนใหม่ในห้องส่วนตัว!

ร่างบองบางหมุนตัวกลับทันทีเมื่อตั้งสติได้ ยุนอาวิ่งแทบจะสุดกำลังเพื่อที่จะออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด .. เสียดายที่เฝ้ารอ เสียใจที่เฝ้ารัก

“วิทนี่ย์!” เสียงชายหนุ่มสองคนประสานกันดังลั่นแทบทั้งทงเฮและเฮนรี่ ในที่สุดทงเฮก็เป็นอิสระจากสาวน้อย ดวงตาคมมองไปตามทางเดินที่บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของยุนอา เขาคงหมดแล้ว .. ไม่เหลือแม้เพียงโอกาสได้เป็นคนรู้จักของเธอด้วยซ้ำไป

ทงเฮพาร่างที่อยู่ดีๆก็หนักอึ้งเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้วลงกลอนดังลั่น ปล่อยสองพี่น้องไว้ให้อยู่ลำพัง ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้เสียแล้ว ยุนอาคงโกรธเขาจนไม่น่าที่จะยกโทษให้ ทั้งๆที่เหมือนทุกอย่างจะไปได้ดีแต่เขากลับมีผู้หญิงอื่นอยู่ในห้อง..ในวันเกิดเธอ

…เป็นใครก็ต้องโกรธ

...แต่ใครจะรู้ว่าเขาคิดกับวิทนีย์แค่น้องสาว ไม่มีได้รักแบบหญิงสาวเหมือนที่เขารักยุนอา

วันแต่ละวันของเขาดำเนินไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าใครบางคนกำลังหมุนเข็มนาฬิกาให้ช้าลง ยิ่งใกล้งานที่จะต้องทำด้วยกันเขายิ่งทรมาน ไม่เคยซักครั้งที่เขาจะมีความสุขจนสามารถยิ้มหัวเราะได้ดังเดิม หากเขายังคบกับเธออยู่เขาคงนับถอยหลังที่จะได้ทำงานร่วมกัน แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างนี้แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรได้

ท่ามกลางความวุ่ยวายที่หลังเวทีคอนเสิร์ท SM Town Live in Paris ทงเฮยืนมองตัวต้นเหตุของความหมองหม่นของตัวเองที่ตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับคู่รักมักเน่ตรงหน้า คยูฮยอนกับซอฮยอนที่แรกเริ่มมีแต่ความเคอะเขินขนาดที่จับมือยังเกี่ยวกันแค่นิ้วก้อย วันนี้สองคนกับคุยเล่นกันอย่างสบายใจ ช่างแตกต่างจากเขาที่ถอยหลังลงคลอง .. จากคนรักกลายเป็นคนที่ไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำไป

ตั้งแต่ซ้อมเต้นจนรันทรู ไม่รู้กี่ครั้งที่เขาต้องลอบถอนใจด้วยความอึดอัด ไม่รู้กี่ครั้งที่เขาพยายามหักห้ามใจไม่ได้ไปทัก และไม่รู้อีกกี่ครั้งที่เขาต้องกลั้นน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรการแสดงต้องดำเนินต่อไปทั้งๆที่หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้น เขาเลือกที่จะไม่มองดวงหน้าเล็กที่มักจะแสดงออกถึงความซุกซนเพียงเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาเพื่อประจานตนบนเวที

นี่ใช่ไหมที่ว่ากันว่า “ถ้าเลิกกันไปจะทำงานด้วยกันลำบาก” ตอนนี้เขาเข้าใจมันดีทีเดียว

ชายหนุ่มพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนกลับมาที่ห้องพักในโรงแรมก่อนจะทิ้งตัวหนาๆลงไปบนเตียงที่ใกล้ที่สุด Dance Battle ครั้งนี้ทำเขาแทบหมดพลังไร้เรี่ยวแรงจะยืน ไม่ใช่เพราะเหนื่อยจาก Dance Routine ที่แสนโหด หากแต่เพราะเหนื่อยใจ ทุกอย่างเลยหนักหนาไปหมด เขาเดินหนีจากงานเลี้ยงหลังคอนเสิร์ทที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพื่อขอเวลา..พัก

มือหนาลูบใบหน้าคมสันแรงๆ วันนี้น้ำตาที่มักจะไหลออกมาอย่างง่ายดายหายไป ไม่ใช่เพราะเข้มแข็ง หากแต่หมดจนไม่เหลือแล้วต่างหาก บางครั้งการที่ไม่มีน้ำตามันกลับเจ็บยิ่งกว่า หัวใจของเขาชาหนึบจนเหมือนจะเต้นต่อไปอีกไม่ไหว ตั้งแต่เมื่อไรที่รักทำให้เหนื่อยล้าได้ขนาดนี้

 

너를 울린 건 내가 바보라서
ที่ทำเธอร้องไห้ ก็เพราะว่าฉันมันโ ง่เอง
너를 보낸 건 내가 부족해서 널
ที่ปล่อยให้เธอไป ก็เพราะว่าฉันมันยังไม่ดีพอ
지우려 했던 그런 나를 용서해 [All] 줘 날
ที่พยายามลืม เธอจะยกโทษให้ฉัน ได้ไหม
제발 다시 숨을 쉴 수 있게
ได้โปรด ช่วยทำให้ฉันหายใจได้อีกครั้งเถอะ

 

 

Happy Birthday, Lee Donghae มีความสุขมากๆนะเจ้าปลาน้อยของพี่
ขอโทษที่แต่งของขวัญวันเกิดให้เป็นดราม่าแบบนี้ แต่หลังจากเรื่อวราวร้ายๆมักจะมีสิ่งสวยงามเสมอ
ขอให้ชีวิตจริงของปลาน้อยสวยงามตรงข้ามกับเรื่องนี้ .. และขอให้รักษาสิ่งดีๆไว้ตลอดไปนะคะ

ปล. ฟิคเรื่องแรกเป็นของขวัญให้ทงเฮและไพโร .. ขอบคุณน้องอูที่ให้ทั้งโจทย์ยากและแรงบันดาลใจ ^^
ขอโทษนะคะถ้าเกิดเขียนได้ไม่ดี ไว้มีโอกาสจะเขียน First Love น้าาา~

Oh! My Goddess
Artist: TRAX
Korean lyrics : Daum music
English translated: http://kakakcashier.blogspot.com/2010/09/trax-oh-my-goddess.html
Thai translation: Cheri Merci, The Sweet Potato Couple thread @ http://wgm.pantipmember.com/

 

so ONE 하던 TWO my girl
หนึ่งเดียวที่ผมปรารถนาถึง สอง ผู้หญิงของผม
THREE 눈이 부신 로렐라이 oh
สาม โอ้ ลอเรไลผู้เจิดจ้า
hey lady FOUR my love FIVE 5분만 만나줄래?
เฮ้ สาวสวย สี่ ที่รักของผม, ห้า คุณจะเจอผมสักห้านาทีได้ไหม

지겨웠던 이별 상처 눈물 모두 Stop
หยาดน้ำตา บาดแผล การเลิกราที่น่าเบื่อและซ้ำซาก ทุกอย่างจบสิ้น
너 원한다면 어디든지 I will go
ผมจะไปทุกที่ที่คุณอยากให้ผมไป
Uh! 널 바래 널 원해 나 Wanna Wanna 원해 널
อ่า ผมต้องการคุณ ผมต้องการคุณ ผมอยากจะมีคุณ

ร่างสูงเดินอย่างช้าๆเข้ามาในที่แห่งความทรงจำ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆแล้วค่อยๆปล่อยตัวเองให้กลับไปสู่อดีต..อดีตอันแสนหวาน ภาพเขาและเธอค่อยๆหลั่งไหลมาทีละภาพ ทีละภาพ ก่อนจะจบลงที่เธอจากเขาไป ทิ้งเขาไว้กับสิ่งบันทึกเรื่องราวทั้งหมดที่เคยมีร่วมกัน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่เธอจากเขาไป เขาคิดเสมอว่าความรักของเขาและเธอมันช่างสวยงามราวกับเทพนิยายและมันจะต้องลงท้ายด้วยคำว่าครองสุขร่วมกันตลอดไป แต่ใครเล่าจะรู้อนาคต หากเพียงเขารู้เขาจะดูแลเธอให้ดีขึ้นในทุกๆวัน เขาจะได้ไม่เสียใจอย่างนี้

ชายหนุ่มพาตัวเองเดินเข้าไปในมุมเล็กๆของสวนอย่างช้าๆ ณ ที่แห่งนี้ในวันนี้เมื่อหลายปีที่แล้ว เขาเคยยืนอยู่กับเธอ หายใจร่วมกับเธอ เอ่ยขอความรักเธอ และตั้งแต่วันนั้นมุมเล็กๆในมหาวิทยาลัยดงกุกอันกว้างใหญ่ก็กลายเป็นสถานที่สำคัญของเขาและเธอ นั่นคือเรื่องก่อนที่ความรักดั่งเทพนิยายจะกลายเป็นโศกนาตกรรมที่พระเอกตายตอนจบ

ตั้งแต่วันที่เธอจากเขาไปทิ้งไว้เพียงข้อความสั้นๆว่า ‘ขอโทษค่ะ ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยรักกัน’ ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่เคยคิดจะเริ่มต้นใหม่กับใคร ไม่ใช่เขาไม่พร้อม แต่เขาไม่ต้องการต่างหาก เขาไม่ต้องการใครอีกแล้วนอกจากซอฮยอน .. ซอ จูฮยอน

눈이 눈이 너만 바라보게 하는 Girl
ดวงตา ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้ผมมองเพียงแค่คุณ
내 맘이 맘이 너를 가득 채워버린 걸
หัวใจ หัวใจของผมมีแต่คุณอยู่เต็มไปหมดแล้ว
받아줘 내 맘 애타게 널 Waiting Baby
ยอมรับหัวใจของผมไปเถอะ หัวใจของผมอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ที่รัก
눈이 눈이 너만 바라보고 있는 Boy
ดวงตาของผู้ชายคนนี้ ดวงตาที่มองเพียงแค่คุณ
내 맘이 맘이 그녀 마음 뺏어버린 Boy
ผู้ชายที่ขโมยหัวใจไป หัวใจของเธอ
Oh 제발 난 더 지치는 건 No More Baby
โอ้ อย่าให้ผมต้องเหนื่อยอีกเลย ที่รัก
오! 나의 여신
โอ้ เทพธิดาของผม

ซอฮยอนจากไปทั้งๆที่ความทรงจำยังไม่กลับคืน .. เธอบอกอย่างนั้น .. แต่ในวันที่เป็นวันแห่งความทรงจำแบบนี้ ในสถานที่แห่งความทรงจำอย่างนี้ ที่ที่เขารู้ว่ามีเพียงเขาและเธอเท่านั้นที่รู้ เธอมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเขาราวกับปาฏิหาริย์

…บางที แค่บางที เธออาจจะจำเขาได้

…คนเรามีสิทธิ์หวังไม่ใช่หรือ

…ไม่ใช่สิ เชาไม่หวัง เขารู้เลยต่างหาก

I keep waiting I keep calling 왜 말이 말이 없는 걸까
ผมได้แต่คอย ผมได้แต่โทรหา ทำไมถึงไม่มีการตอบกลับมาเลย
모든 걸 다 준대도 부족한 Girl
ผมเคยพูดว่าผมจะให้ได้ทุกอย่างแต่มันไม่พอ

기다리던 너의 전화 대답 모두 Stop
เสียงโทรศัพท์จากคุณที่ผมรอคอย การตอบรับ ทุกอย่างจบสิ้น
날 두근두근 애태우던 심장마저 Stop
แม้แต่หัวใจผมที่เต้นแรง ก็หยุดลง
시계도 시간도 널 조마조마 기다려
แม้แต่นาฬิกาและวันเวลาก็เฝ้ารอคุณอย่างอดทน

“อ๊ะ คยู” เสียงร้องอย่างประหลาดใจของเธอปลุกเขาขึ้นมาจากภวังค์ ดูเธอเองก็แปลกใจไม่น้อยที่พบเขาที่นี่ อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่เรียนจบเขาก็แทบจะไม่ได้มาที่นี่เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าเธอจะชวนซักกี่ครั้งเขาก็มักจะมีข้ออ้างเสมอ

“อย่าเพิ่งไปสิซอฮยอน” เขาห้ามเมื่อเห็นเธอทำท่าจะเดินหนีเขาไป เขามองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้นที่ตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาก่อนที่เธอจะหลบสายตาเขา วินาทีนั้นเขามั่นใจในทันทีว่าเธอจำได้ ดวงตาของเธอบอกอย่างนั้น และเขารู้ว่าเธอก็รู้ว่าไม่อาจปิดบังเขาได้อีกต่อไป

“ที่ผ่านมาผมอาจจะเป็นแฟนที่ไม่ดีนัก ดีแต่ละเลย จนทำให้คุณเสียใจ และสุดท้ายผมเองก็ต้องเสียใจ .. เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้ไหม ให้ผมได้ดูแลคุณอย่างที่ผมให้ผมได้ดูแลคุณอย่างที่ผมอยากดูแล”

“ฉัน……”

“คุณยังไม่ต้องให้คำตอบผมตอนนี้ก็ได้ ผมยินดีที่จะรอ” ถึงจะตอบไปแบบนั้นแต่ในใจเขายังคาดหวังว่าจะให้เธอเห็นใจเขาแม้ซักนิด

“ถ้าคุณแค่รู้สึกผิด ฉันว่ามันไม่จำเป็น” เธอตอบง่ายๆแบบนั้น

มือหนาคว้าแขนเธอพร้อมกับดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากสีชมพู เขาลิ้มรสกลิ่นเบอร์รี่หอมหวานจากลิปกลอสของเธอ คยูฮยอนจำใจถอนจูบทั้งๆที่ยังอยากลิ้มรสริมฝีปากหวานอยู่อย่างนั้น

“ย่าห์ ซอ จูฮยอน เธอนึกว่าคนอย่างโจว คยูฮยอนจะคบใครซักคนเพราะแค่รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ” เขาถาม ดวงตาบ่งถึงความรู้สึกชัดเจน “รักน่ะ เข้าใจไหม” เขาบอกสั้นๆ

…แค่คำสั้นๆแต่กลับมีความหมายมากเหลือเกิน

น้ำใสๆหยดลงมาตามแก้มใสอย่างไม่อาจห้าม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รอ ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ต้องการโอกาส เธอเองก็ต้องการมัน หากแต่รู้สึกผิดกับเขาจนไม่กล้ากลับมาต่างหาก

“ย่าห์! มาร้องไห้อย่างนี้ได้ยังไง คนที่โดนทิ้งน่ะคยูต่างหากนะ!” เขาร้องโวยเมื่อเห็นคนตัวเล็กกว่าร้องไห้อย่างกับเด็กๆ มือหนากรีดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน “คยูคิดว่ามีใครบางคนติดคำขอโทษคยูอยู่นะ”

“เค้าขอโทษ”

เพียงสิ้นคำร่างบางก็ตกอยู่ในวงแขนของเขา คยูฮยอนกอดกระชับเธอแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นเธอเองก็ไม่ได้ต้องการจากออกจากอ้อมแขนนี้ไปไหน เธอจะไม่ไปจากเขาอีกแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

내 눈이 눈이 너만 바라보게 하는 Girl
ดวงตา ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้ผมมองเพียงแค่คุณ
내 맘이 맘이 너를 가득 채워버린 걸
หัวใจ หัวใจของผมมีแต่คุณอยู่เต็มไปหมดแล้ว
받아줘 내 맘 애타게 널 Waiting Baby
ยอมรับหัวใจของผมไปเถอะ หัวใจของผมอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ที่รัก
눈이 눈이 너만 바라보고 있는 Boy
ดวงตาของผู้ชายคนนี้ ดวงตาที่มองเพียงแค่คุณ
내 맘이 맘이 그녀 마음 뺏어버린 Boy
ผู้ชายที่ขโมยหัวใจไป หัวใจของเธอ
Oh 제발 난 더 지치는 건 No More Baby
โอ้ อย่าให้ผมต้องเหนื่อยอีกเลย ที่รัก
오! 나의 여신
โอ้ เทพธิดาของผม

“ซอจำได้ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ตอนที่เค้าไป”

“ทำไมซอถึงทิ้งคยูอย่างนั้นล่ะ” เขาถามคนในอ้อมกอดอย่างสงสัย

“เค้าอยากให้คยูแสนดีอยู่กับเค้าตลอดไป เค้ากลัวว่าถ้าคยูรู้ว่าเค้าจำทุกอย่างได้คยูจะกลับไปเป็นแบบเดิม .. แต่ถ้าเค้าโกหกคยูต่อไป คยูก็จะรู้สึกผิดใช่ไหม เค้าไม่อยากให้คยูอยู่กับเค้าเพราะความรู้สึกผิด” เธอตอบตามความจริง

“คยูรู้สึกผิดจริง คยูรู้สึกผิดที่ทำให้ซอเจ็บ อันนั้นคยูขอโทษจากใจ” เขากระชับวงแขนแน่นเมื่อเธอดิ้นหลังจากที่ได้ยินคำตอบ “แต่ที่คยูรู้สึกผิดมากกว่าคือคยูรู้สึกว่าคยูดูแลซอยังไม่ดีพอ ที่คยูดูแลซอก็เพราะว่าคยูรักซอ คยูสัญญาว่าต่อไปจะดูแลซอให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ดูแลจนซอเบื่อเลยดีไหม”

“ดี” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มกระจ่างมาให้เขา

หยาดน้ำตา บาดแผล ความเจ็บปวด ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว คยูฮยอนได้เทพธิดาของเขากลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง ต่อจากนี้เทพนิยายที่สวยงามจะเริ่มใหม่และเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าจะจบลงด้วยคำว่า happily ever after .. ครองสุขร่วมกันตลอดไป

Baby Baby 내 맘 모두 알아버린 Girl
ที่รัก คุณรู้ใจผมอยู่แล้ว
I love you love you 내 맘 모두 가져버린 걸
ผมรักคุณ รักคุณ คุณขโมยใจผมไปครอบครองแล้ว
내 품에 널 꼭 영원히 안을게 Oh
ผมจะโอบกอดคุณไว้ในอ้อมแขนตลอดไป โอ้
Baby Baby 세상모두 가진 너의 Boy
ที่รัก ผมคือผู้ชายของคุณที่มีพร้อมทุกอย่าง
나 너를 너를 영원토록 지켜주는 Boy
ผมคือผู้ชายของคุณที่จะปกป้องคุณจากทุกอย่าง
Only One 너만 바라볼게 Love You Venus
ผมเฝ้ามองแต่คุณ แค่คุณคนเดียว, ผมรักคุณ วีนัส
오! 나의 여신
โอ้ เทพธิดาของผม

NOTE:
* Song Fic แต่งยากมากๆค่ะ เหมือนถูกบังคับเนื้อเรื่องด้วยเพลง ยิ่งเอาเพลงมาต่อกันยิ่งยากใหญ่ (บ่นตลอด) ยิ่งไปตีความ blind แบบเป็นเรื่องความจำเสื่อม พล็อตเลยมีให้เลือกไม่เยอะเท่าไร น่าจะตีความเพลงแล้วเขียนใหม่อีกซักทีดีไหมเนี่ย -_-”
* รู้สึกว่ายิ่งอ่านเยอะยิ่งดีกับตัวเองด้านวิธีการเขียน แต่ไปๆมาๆบางทีเราก็เขียนได้ไปซ้ำทางเรื่องที่เราอ่านบ่อยๆ มันมีอิทธิพลจริงๆนะ
* Song Fic สามเรื่องนี้เขียนออกมาแล้วยังไม่ค่อยพอใจเลยค่ะ บอกตามตรง .. แงๆๆๆๆ แต่เขียนสุดแล้วจริงๆนะ สาบาน .. ยิ่งสุดท้ายมันตลกมากตรงที่ว่าเพลงนี้ Oh, my goddess ควรจะออกมาแนวลั้นลาหน่อยเพราะอารมณ์เพลงสนุกเชียว จากจังหวะและทุกอย่าง ตอนแรกว่าจะเอาไว้ตอนเค้าจีบกันตอนแรกเลย ไปๆมาๆเอามาใส่ทั้งสุดตอนเค้าดีกันซะงั้นน่ะ! อารมณ์ตอนเริ่มฟิคเลยยังอึน ขัดกะเพลงเชียวแต่ความหมายพอถูไถ
* บ่นพอแล้วค่ะ ขอไปหงิดกับตัวเองอีกรอบก่อน ><“

Time Machine
Artist: Girls’ Generation
Japanese lyrics: based on http://dafttaengk.tistory.com/211
Thai Translated: tonkun @SoshiFanclub.com

 

いつもより少し広い部屋ただ一人
อยู่คนเดียวกับห้องที่กว้างขึ้นเล็กน้อยกว่าแต่ก่อน
It’s over, guess it’s over
มันจบลงแล้ว ฉันคิดว่ามันจบลงแล้ว
2人で創り上げたストーリーも虚しく
เรื่องราวที่สองเราร่วมกันสร้างขึ้นจะหมดความหมายไป
こんなに簡単に崩れてしまうなんて
จะพังทลายไปง่ายๆ อย่างนี้ไปได้จริงๆ เหรอ
One mistake, got a one regret
ความผิดพลาดครั้งนึงคือความเสียใจครั้งนึง
誰も完璧じゃないって
“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก”
そう言い聞かせてみても
ถึงจะพยายามพูดให้ฟังอย่างนั้น
何をしても傷は癒せなくて
ถึงจะทำอะไร รอยแผลก็ไม่ได้บรรเทาลงไป

ความรักของเธอเริ่มต้นอย่างสวยงามราวกับเทพนิยายและจบลงด้วยคราบน้ำตา เธอหวัง..หวังมาตลอดว่าความรักของเธอและเขาจะจบด้วยคำว่า ‘happily ever after ครองสุขร่วมกันตลอดไป’ แต่ชีวิตไม่ใช่เทพนิยาย มันไม่ได้สวยงามอย่างนั้น ดวงตากลมโตมองไดอารี่สีขาวในมือนึกย้อนไปถึงวันที่เขามอบมันให้กับเธอวันที่ตื่นมาแล้วพบว่าความทรงจำที่มีเกี่ยวกับผู้ชายชื่อโจว คยูฮยอนหายไปอย่างหมดสิ้น

“คุณชอบเขียนไดอารี่ด้วย แต่ผมหาไม่เจอว่ามันอยู่ไหน ใช้นี่เขียนแทนไดอารี่ของคุณไปก่อนที่จะเจอนะ หมอบอกว่าการขีดๆเขียนๆอาจจะช่วยให้ความทรงจำของคุณกลับมาเร็วขึ้น”

ร่างกายทำหน้าที่ของมันได้อย่างน่าประหลาด ถึงมันจะมีบางอย่างที่เธอลืมไปแต่ความรู้สึกอบอุ่นผูกพัน ความรู้สึก..รักยังคงอยู่ คล้ายกับว่าสมองอาจจะอยากเล่นตลกกับเธอ เธอลืมเขาแต่หัวใจยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี

今タイムマシーンに乗り込んで
ตอนนี้ถ้าชั้นได้ขึ้นไทม์แมชชีน
あなたに逢いに行くことが出来たなら
ให้ชั้นไปเจอเธอได้ละก็
もう何も願わない
ชั้นก็จะไม่ร้องขออะไรอีกแล้ว
儚くて遠い記憶になる前に・・・
ก่อนจะกลายเป็นความทรงจำที่ห่างไกลและสูญหายไป
I need a time machine
ฉันต้องการไทม์แมชชีน
I need a time machine
ฉันต้องการไทม์แมชชีน

มือเรียวบางเปิดไดอารี่สีขาวทีละหน้าทีละหน้า ความทรงจำที่เธอมีเกี่ยวกับเขาอยู่ในนั้น จากแรกเริ่มมันมีเพียงน้อยนิด ข้อความสั้นๆและเต็มไปด้วยความสับสนเหินห่าง แต่ยิ่งเปิดไปกลับกลายเป็นข้อความที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

…ฉันตัดสิินใจผิดไปใช่ไหม

ตั้งแต่คบกันเธอก็เป็นฝ่ายดูแลเขาในทุกๆด้าน แต่เขาก็มองข้ามสิ่งต่างๆเหล่านั้น อาหารเช้าที่เธอทำถูกวางทิ้งไว้เพราะเขาต้องรีบไปสอน ดูแลเสื้อผ้าหรือแม้แต่ถักผ้าพันคอให้ แต่เขาก็ทำมันหาย ของขวัญในหน้าเทศกาลที่เธอให้ถูกวางทิ้งไว้ไร้การเหลียวแลบอกแค่ว่าเดี๋ยวกลับมาดู หัวใจของเธอเหมือนถูกทิ่มแทงทุกครั้งที่เขาทำตัวเหินห่าง แต่คยูฮยอนก็คือคยูฮยอน เขาทำให้เธอลืมว่าเธอเคยน้อยใจและกลับมารักเขาได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร เขาเปลี่ยนไปวันที่เขารู้ว่าเธอความจำเสื่อม ใครจะเชื่อว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นผู้ชายที่ชื่อโจว คยูฮยอนทำอาหาร ซักผ้ารีดผ้า ดูแลบ้าน และดูแลเธอ ไม่ว่าเธอจะพร่ำบอกกี่ครั้งว่าเธอไม่ต้องการแต่เขาก็ยังดูแลเธอ

เธอมองเขาที่พยายามทำทุกทุกอย่างที่ไม่เคยทำ เป็นอะไรที่ไม่เคยเป็น สุดท้ายเธอได้แต่ปล่อยอาหารที่เขาทำไว้บนโต๊ะอย่างนั้น มันสวยงามดูน่าทาน แต่เธอไม่ต้องการมัน .. ทั้งอาหารและดอกกุหลาบที่วางอยู่ข้างกันนั่นแหละ

“ซอฮยอน คุณควรจะทานอาหารเสียบ้าง”

“ฉันไม่หิวค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นคุณก็ควรจะกินบ้าง..”

“ฉันไม่อยากกิน” เธอตัดบทหันกลับไปอ่านหนังสือที่อยู่ในมือเสียอย่างนั้น ไม่ใส่ใจคนที่ยืนนิ่งอยู่่อีกต่อไป .. เธอไม่อยากกิน สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้เกิดจากความรัก หากแต่เกิดจากความรับผิดชอบและความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจเขาต่างหาก

…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าทำให้กันเลยดีกว่า

เธอรู้ว่าเขาเจ็บ ไม่ต่างจากที่เธอเคยเจ็บ และเขาคงเจ็บมากกว่าเธอหลายเท่า หญิงสาวลอบมองไปยังร่างสูงที่ยืนคอตกดวงตาสีน้ำตาลฉายแววโศกเศร้า เธอบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องตัดสินใจเสียที

一人で過ごす時間は遅すぎて
เวลาที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังมันเนิ่นนานเกินไปแล้ว
過ちの罰はあまりにも重く
การลงทัณฑ์ในความผิดพลาดของชั้นมันช่างหนักหนาสาหัสยิ่งนัก
あなたが最後に残したwords
คำพูดสุดท้ายของเธอที่เหลืออยู่นั้น
今でもずっとリフレイン止まらない
จนถึงตอนนี้ชั้นยังคงได้ยินมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดสักที
まだ胸が痛む
ยังคงเจ็บปวดอยู่ในใจ
Just one mistake, just one regret
แค่ความผิดพลาดครั้งหนึ่ง แค่ความเสียใจครั้งหนึ่ง
わがままも今は愛しくて
ถึงจะดูเห็นแก่ตัวก็เถอะ แต่ตอนนี้ก็ยังรักเธออยู่

น้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาสวยหลั่งไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ทั้งๆที่จากมาไกลขนาดนี้ ทั้งๆที่มันผ่านมานานขนาดนี้ สมองที่เคยทำให้เธอลืมกลับ”จำ”เขาได้ทั้งๆที่ในวันนี้เธออยากลืม

ในวันที่เธอจากมา เธอตัดสินใจครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเธอก็เลือกจะทำมันแม้นึกอยากจะเปลี่ยนใจอยู่หลายครั้ง เธอมองสมุดภาพของเขาที่เขาให้เธอมาพร้อมๆกับไดอารี่เล่มใหม่สีขาว สมุดภาพที่เขาใช้ขอความรักเธอ เธอไม่คิดว่าเขาจะเก็บมันอยู่และเธอยิ่งตกใจเมื่อเห็นว่ามันมีหน้าใหม่ๆเพิ่มมาโดยที่เธอไม่รู้ ทุกอย่างคือความทรงจำของเธอกับเขา..ของเรา เขาคงคาดหวังว่ามันจะทำให้เธอฟื้นคืนความจำได้ ดวงตากลมโตมองนิ่งอยู่บนกระดาษโน๊ตลายมือเธอที่ติดอยู่กับสมุด ‘ขอโทษค่ะ ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยรักกัน’ เธอหยิบไดอารี่สีชมพูอ่อนขึ้นมาวางไว้ข้างๆ ไดอารี่ของเธอที่เขาบอกว่าหายไป แท้จริงแล้วมันอยู่กับเธอเอง ไดอารี่ที่เธอเขียนทุกอย่างลงไปในนั้นก่อนที่เธอจะลืมความทรงจำเกี่ยวกับเขา

เธอจำได้ทุกอย่าง .. ถูกแล้ว การฟื้นฟูความทรงจำได้ผล เธอได้รับความทรงจำกลับมาเพียงไม่นานหลังจากนั้น แต่เธอก็เลือกจะจากเขาไป เธอตัดสินใจเพราะเธอไม่อยากให้ความรักและการดูแลที่ได้อย่างวันนี้หายไป คยูฮยอนจะกลับไปเป็นคนเดิม..ผู้ชายละเลยคนนั้น แต่จะบอกเขาว่าเธอยังฟื้นความทรงจำไม่ได้ เธอต่อไปก็รู้สึกผิดจนเกินจะทน เหมือนกักขังเขาให้รู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้เธอสูญเสียความจำ ความคิดย้ำเตือนเธออยู่บ่อยครั้งทุกครั้งที่เขาทำสิ่งดีๆให้ว่าเธอไม่ควรได้รับมัน

…ถ้าบอกความจริง คยูก็อาจจะดูแลฉันต่อไปเพราะความรู้สึกผิดมากกว่าความรัก

‘ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยรักกัน’ ข้อความที่เธอเขียนเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ เธอไม่ได้โกหกเขา เธอนึกย้อนกลับไปก่อนอุบัติเหตุ เธอจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยรักกัน เธอจำได้แค่เพียงว่าเธอเคยรักเขาเท่านั้นเอง ที่เธอทิ้งของทุกอย่างไว้ไม่ได้เอามาด้วยเพราะไม่ใช่เพราะเธออยากลบเขาออกไปจากหัวใจ แต่เพราะเธอจดจำทุกความทรงจำเกี่ยวกับเขาไว้ด้วยหัวใจต่างหาก

今タイムマシーンに乗り込んで
ตอนนี้ถ้าชั้นได้ขึ้นไทม์แมชชีน
あなたに逢いに行くことが出来たなら
ให้ชั้นไปเจอเธอได้ละก็
もう何も願わない
ชั้นก็จะไม่ร้องขออะไรอีกแล้ว
儚くて遠い記憶になる前に・・・
ก่อนจะกลายเป็นความทรงจำที่ห่างไกลและสูญหายไป
I need a time machine

การจากมาของเธอคงทำให้เขาสบายใจขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยดูแลกัน ไม่ต้องรู้สึกผิดเวลาที่มองเห็นกัน และมันก็จะไม่เจ็บอีกต่อไป มันควรจะเป็นอย่างนั้น .. แต่เธอยังคงคิดถึง หากจะพูดให้ถูกคือเธอไม่เคยหยุดคิดถึงเขาต่างหาก ความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหายไปตามการเวลา

ถ้าเพียงแต่คนเราสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าเพียงแต่เธอสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะไม่จากเขามาอย่างนี้ เธอขอเลือกอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน การได้ดูแลคยูฮยอนที่ละเลยดีกว่่าไม่ได้อยู่ร่วมกันเลย

ลมพัดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดกว้าง กระดาษที่ถูกขีดเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเปิดจากหน้าสุดท้ายที่เธอเปิดค้างไว้ย้อนกลับไป ทุกๆหน้าที่เธอเขียนลงท้ายเหมือนๆกัน .. ฉันรักคุณ โจว คยูฮยอน

時空飛び越えてあなたに逢えたら
ถ้าทะยานไปในห้วงกาลเวลาแล้วได้เจอกับเธอ
例え同じ結末迎えたとしても
แม้ต้องเจอผลสุดท้ายแบบเดิมก็ตาม
きっと悔いは残らない筈だから
ชั้นแน่ใจจะไม่เสียใจภายหลังแน่ๆ เพราะฉะนั้น
今タイムマシーンに乗り込んで
ตอนนี้ถ้าชั้นได้ขึ้นไทม์แมชชีน
あなたに逢いに行くことが出来たなら
ให้ชั้นไปเจอเธอได้ละก็
もう何も願わない
ชั้นก็จะไม่ร้องขออะไรอีกแล้ว
儚くて遠い記憶になる前に・・・
ก่อนจะกลายเป็นความทรงจำที่ห่างไกลและสูญหายไป
Yeah 人の想い出忘れてしまう前に・・・
ก่อนที่จะลืมความทรงจำของสองเราไป

Blind
Artist: TRAX
Korean lyrics: music.duam
Thai Romanization & Translated: @CASSandELF4ever

 

나에게 머릴 기대고 물끄러미
ถึงแม้ว่าคุณจะหันหนีผมไป
바라보아도 모르죠
และมองข้ามผมไปด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
두 팔을 열어 보이면 시원하다
ผมกางแขนของผมออก และบอกว่าผมหนาว
말하면서도 모르죠
แต่ยังไงคุณก็ยังไม่รู้

ความรักของเขาเริ่มต้นอย่างสวยงามราวกับเทพนิยายและเขาก็อยากให้มันดำเนินต่อไปอย่างสวยงาม แต่มันเป็นเพียงความหวังของเขาเท่านั้น เขามองหญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาล เขาจ้องใบหน้าซูบซีดไร้สีสันของเธออยู่อย่างนั้น ดวงตาสีน้ำตาลมองเลื่อนไปที่ผ้าพันแผลรอบศรีษะเธอก่อนมองพิจารณาร่างผอม เธอดูบอบบางเหมือนกับจะแตกหักได้แค่เพียงเขารุนแรงกับเธอเพียงเล็กน้อย

…เมื่อไรกันนะที่เธอผ่ายผอมลงไปขนาดนี้

คยูฮยอนพบเธอครั้งแรกด้วยความบังเอิญ .. หรือเรียกว่าพรหมลิขิตดีนะ .. วันนั้นเขากำลังอยู่ระหว่างทางไปมหาวิทยาล้ย ภายในรถไฟใต้ดินที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ เขากลับสังเกตเห็นเธอ ผู้หญิงธรรมดาๆที่แต่งตัวเรียบง่ายด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์แต่กลับดึงดูดสายตาเขา อาจจะเป็นเพราะข้าวของพะรุงพะรังที่เธอหอบมานั่นก็เป็นได้ หญิงสาวเดินมาอย่างทุลักทะเลก่อนจะสะดุดเท้าตัวเองเสียหลัก เขาแทบจะถลาไปรับตัวเธอไว้ไม่ให้ล้ม เขามองคนตัวเล็กกว่าที่ยืนหลับตาปี๋อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างขำๆ เธอบ่นพึมพำเบาๆว่าไม่ล้มหรือนี่ ก่อนจะนึกได้ว่่าตัวเองเหมือนกับจะอยู่ในอ้อมอกอุ่นของชายหนุ่มตรงหน้า วงแขนหนายังคงโอบเธอไว้หลังจากที่ประคองทั้งตัวเธอและข้าวของกองเกือบเท่าศรีษะไม่ให้ล้ม จนเมื่อรู้สึกตัวนั่นล่ะ คยูฮยอนจึงยอมปล่อยแต่ก็เสนอตัวช่วยเธอ ความรู้สึกประหลาดไหลแล่นมาตามร่างกายเมื่อมือหนาสัมผัสเธอโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่เขาตัดสินใจยกข้าวของทั้งหมดนั้นมาจากมือเธอ

“คุณจะไปที่ไหนครับ”

“มหาวิทยาลัยดงกุกค่ะ”

“ผมก็เรียนที่นั่น เราไปทางเดียวกัน ให้ผมช่วยเถอะครับ .. ส่วนคุณก็ช่วยถือกระเป๋าใบนี้ให้ผมหน่อยก็แล้วกันฮะ มันไม่หนักหรอก” เขาบอกยืดยาว พร้อมกับยกถุงที่อยู่ปลายมืออย่างทุลักทุเล ของก็เต็มอุ้มเขายกยังลำบาก จะทนมองเธอยกอยู่คนเดียวได้ยังไงกันในเมื่อปลายทางอยู่ที่เดียวกัน คยูฮยอนบอกตัวเองในวันนั้นว่าที่เขาช่วยเธอก็เพราะมีมนุษยธรรมประจำใจ ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอซักหน่อย แต่นั่นคือการเริ่มต้นของทุกสิ่ง

투명한 나이지만 네 앞에 서있잖아
ผมมองไม่เห็น แต่ก็ยังยืนอยู่หน้าคุณ
네 눈은 날 너머 쳐다볼 뿐이야
แต่ดวงตาของคุณกลับมองข้ามผมไป

단 한 번만 한 번만 날 찾아봐 제발
แค่ครั้งเดียว ครั้งเดียว ได้โปรดมองมาที่ผมหน่อย
흐느끼면 더욱 흐느낄수록
มากกว่าความรู้สึกของคุณ มันมากกว่านั้น
투명해져만 가는데
ผมค่อยๆมองไม่เห็นมากขึ้นและมากขึ้น
죽을 만큼 간절한 내 기도의 끝에
เมื่อถึงตอนจบของการภาวนาที่สิ้นหวังของผม
내 품에 가질 수 있게
ผมสามารถโอบกอดคุณไว้ในอ้อมแขน
오직 너만이 찾아준다면
เพียงแค่คุณตามหาผมก็พอ

ดวงตาไร้ประกายเจิดจ้ามองมาที่เขาทำเอาเขาหัวใจกระตุก ดวงตาคู่นั้นเคยมีประกายใสแจ๋วและเปี่ยมไปด้วยความรักเวลามองมาที่เขา แต่มันกลับหายไป ดวงหน้าซีดเซียวผินไปมองที่นอกหน้าต่าง ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

…ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเอง

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เด็กคณิตศาสตร์อย่างเขาจะไม่รู้จักเด็กศิลปะอย่างเธอ ซอฮยอนเรียนการละคร สิ่งที่ทำให้เธอและเขาต้องหอบกันจนดูเหมือนยัยเพิ้งนั้นเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากที่จะใช้ในการแสดง ของที่ดูไร้ราคาในสายตาคนอื่นๆเป็นของที่มีค่ายิ่งในสายตาเธอ

เขาจีบดาวดวงเด่นของภาควิชาการละครโดยไม่สนใครๆ สุดท้ายเขาก็ได้เธอมาแนบกาย ทั้งคู่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ร่วมกันทันทีที่เรียนจบ คยูฮยอนยังคงเรียนต่อและเขาได้ทุนศึกษาต่อจนถึงปริญญาเอกโดยต้องทำงานเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเพื่อใช้ทุน ในขณะซอฮยอนได้รับเลือกให้ได้รับบทในละครเวทีในที่สุดหลังจากที่พยายามไปแคสงานนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งคู่ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆเสมอแต่ไม่เคยซักครั้งที่จะทะเลาะกันรุนแรง ไม่เคยจริงๆ .. จนกระทั่งครั้งหลังสุด

“ทำไมต้องมีบทแบบนี้ด้วยซอฮยอน” เขาโวยวายขึ้นทันทีที่เห็นบทละครในมือเธอ บทจูบอย่างนั้นหรือ ใครจะยอมให้แฟนตัวเองไปจูบกับชายอื่น ยอมก็บ้าแล้ว

“มันก็แค่งานนี่คะ ใช่ว่าจะต้องจูบจริงซะหน่อย ที่คยูทำงานเค้ายังไม่เคยว่าเลย”

“ก็งานของคยูมันไม่ต้องจูบกับคนอื่นนี่” เขาตอบอย่างหัวเสีย

“แต่งานของคยูทำให้คยูไม่มีเวลา! คยูได้คุยกับเค้าวันละกี่คำกันแน่ทั้งๆที่อยู่ร่วมบ้านกันแบบนี้!” ซอฮยอนโต้เสียงดังไม่แพ้กัน

“นั่นมันงานของผม! ถ้าผมไม่มีงานนี้ เราคงไม่มีบ้านแบบนี้อยู่ ไม่มีอาหารสุขภาพให้คุณกิน” เขาตบโต๊ะปังด้วยบันดาลโทสะ โกรธถึงขีดสุด สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปจากทุกครั้ง

“นี่มันก็งานของฉันเหมือนกัน! ถึงมันจะไม่ได้ทำเงินมากอย่างคุณ แต่มันเป็นงานแรกของฉัน คุณควรจะให้กำลังใจมากกว่ามาพูดจาทำร้ายจิตใจกันแบบนี้” หญิงสาวตอบทั้งน้ำตา เธอเองก็โกรธมากไม่ต่างกัน “ยังไงฉันก็จะทำ!”

เธอลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เขาตั้งสติวิ่งตามเธออกไป มือหนาคว้าเธอไว้ได้ที่หน้าบันได เขาตั้งใจจะปลอบเธอหากแต่เธอไม่ฟัง เธอดิ้นจนหลุดจากมือเขาแต่กลับเสียหลัก .. ซอฮยอนตกบันไดไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่เขาพยายามจะเอื้อมมือคว้าแต่ก็สุดมือ

희뿌연 겨울 서리에 내 마음을
ถึงแม้ว่าผมพยายามจะวาดหัวใจของตัวเองท่ามกลางฤดูหนาวน้ำค้างแข็งที่มืดสลัว
그려 보여도 모르죠
แต่ยังไงคุณก็ยังไม่รู้
흩뿌린 빗방울 모아 눈물 대신
ถึงแม้ว่าผมจะเก็บเม็ดฝนที่กระจายกระจาย ปล่อยให้มันไหลออกไปเหมือนน้ำตาของผม
흘려 보아도 모르죠
คุณก็ยังไม่รู้อยู่ดี

차가운 나이지만 널 향해 흐르잖아
ถึงแม้ว่าผมจะหนาว แต่ผมก็ยังพยายามปล่อยให้มันไหลไปหาคุณ
네모난 날 항상 원망할 뿐이야
คุณก็ยังโทษผมเสมอ ขังผมไว้ในตารางของความผิดนั้น

“ขอโทษนะคะ ฉันจำคุณไม่ได้จริงๆ” เธอบอกกับเขาแบบนั้นหลังจากที่เธอฟื้น ระหว่างที่เธอหมดสติไปเขาได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้เธออย่าเป็นอะไรสาหัส มาถึงตอนนี้เขาคิดจริงๆว่าน่าจะขอพระเจ้ามากกว่านั้น เขาน่าจะขออย่าให้เธอเป็นอะไรเลย ให้เธอเป็นปกติเหมือนก่อนที่จะทะเลาะกัน ถ้าขออย่างนั้นพระเจ้าจะให้โอกาสเขาไหม

คำพูดธรรมดาที่บอกว่าจำไม่ได้ หากมาจากปากของคนทั่วไปเขาคงไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะมันมาจากปากของเธอ

…จำไม่ได้งั้นเหรอ ผมทำผิดมากสินะถึงได้ลืมผมแบบนี้

คยูฮยอนพาเธอกลับบ้านหลังจากที่คุณหมออนุญาติ เธอนั่งเงียบกริบ ซอฮยอนเป็นอย่างนี้เสมอทุกครั้งที่อยู่กับคนไม่รู้จัก เขากลายเป็นคนไม่รู้จักของเธอไปแล้วสินะ แต่อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าคนไม่รู้จักมาหน่อยตรงที่เธอเชื่อเขา ยอมกลับมาที่บ้านที่ทั้ังสองคนอยู่ร่วมกันทั้งๆที่ในตอนแรกเธอบอกจะกลับบ้านของบิดามารดา

ร่างสูงเดินนำเธอมาหยุดที่หน้าประตู มือหนาเอื้อมกดรหัสก่อนจะเผยให้คนตัวเล็กกว่าได้เห็นอพาร์ทเมนต์ขนาดใหญ่แบบสองชั้นเล่นระดับ บันไดนั่นที่เธอพลาดตกลงมาจนเจ็บตัว หลังจากทุกครั้งที่เห็นบันได เขาอยากจะรื้อมันออกไปจากห้องทุกที ก่อนที่จะยับยั้งความคิดวู่วามของตนเองได้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของบันได .. ทั้งหมดนั่น มันเป็นความผิดของเขาเอง เขาแต่เพียงผู้เดียว

เขามองเธอที่เดินมานั่งลงที่โซฟาหน้ากลางห้อง ดวงตาว่างเปล่าจนเขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือต้องการอะไร เขาเดินไปหยิบสมุดภาพขนาดเล็กยืนให้กับเธอ สมุดภาพของเขาและเธอที่คยูฮยอนบรรจงทำมันตั้งแต่พบเธอครั้งแรกและใช้มันเป็นสิ่งของบอกรักเธอ มันเหมือนเป็นความทรงจำของเขาที่มีต่อเธอ เขาเฝ้ามองเธอทำตาลุกโตด้วยประหลาดใจสลับกับแววตาสงสัยทุกๆครั้งที่เปลี่ยนหน้าถัดไป

“คุณชอบเขียนไดอารี่ด้วย แต่ผมหาไม่เจอว่ามันอยู่ไหน ใช้นี่เขียนแทนไดอารี่ของคุณไปก่อนที่จะเจอนะ หมอบอกว่าการขีดๆเขียนๆอาจจะช่วยให้ความทรงจำของคุณกลับมาเร็วขึ้น” เขาเอ่ยพร้อมกับยื่นไดอารี่สีขาวให้กับเธอ

금이 가 베이고 내 심장이 다 깨지고
หัวใจของผมแตกละเอียด และแตกสลายไป
거칠게 날이 선 끝에 Oh
ในตอนจบของวันที่แสนโหดร้ายนี้ โอ้
조각조각 부서진
หัวใจของผม แตกสลายออกเป็นชิ้นๆ
그땐 날 보게 될텐데
สุดท้ายแล้ว คุณอาจจะเห็นผมแล้ว

คยูฮยอนเฝ้าดูแลเธอ เขาทำอาหารเช้าให้เธอทาน เขาดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้กับเธอ เขาทำให้เธอได้แม้กระทั่งผูกเชือกรองเท้าให้ ชายหนุ่มดูแลเธออย่างกับเธอเป็นเด็กตัวเล็กๆจนเธอบอกเขาว่าเธอดูแลตัวเองได้ .. แต่เขาก็ไม่ฟัง

…ผมก็แค่อยากทำให้คุณบ้าง

ตั้งแต่คบกันซอฮยอนก็เป็นฝ่ายดูแลเขาในทุกๆด้าน แต่เขาก็มองข้ามสิ่งต่างๆเหล่านั้น อาหารเช้าที่เธอทำถูกวางทิ้งไว้เพราะเขาต้องรีบไปสอน ดูแลเสื้อผ้าหรือแม้แต่ถักผ้าพันคอให้ แต่เขาก็ทำมันหาย ของขวัญในหน้าเทศกาลที่เธอให้ถูกวางทิ้งไว้ไร้การเหลียวแลบอกแค่ว่าเดี๋ยวกลับมาดู ในตอนนั้นเขามองมันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไร้สาระต่างจากสิ่งที่เขาทำ เขาต้องเหนื่อยทำงานหนักเพื่อจะให้สามารถดูแลเธอได้เป็นอย่างดีนี่สิของจริง นี่สิคือวิธีการแสดงความรักของเขา .. วันนี้เขาได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เธอทำมันมีค่ามากแค่ไหน เขารู้แล้วว่าเธอต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกับการรักคนอย่างโจว คยูฮยอน

เขามองอาหารที่แทบจะไม่ได้รับการแตะต้อง เธอไม่ยอมทานข้าวอีกแล้ว ดอกกุหลาบสีขาวที่วางอยู่ข้างๆก็ดูโรยราเมื่อขาดคนสนใจ

“ซอฮยอน คุณควรจะทานอาหารเสียบ้าง”

“ฉันไม่หิวค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นคุณก็ควรจะกินบ้าง..”

“ฉันไม่อยากกิน” เธอตัดบทหันกลับไปอ่านหนังสือที่อยู่ในมือเสียอย่างนั้น ไม่ใส่ใจคนที่ยืนนิ่งอยู่่อีกต่อไป

ต้องบอกว่าคำพูดนั้นทำเขาจุก คงเป็นแบบนี้สินะเวลาที่เขาทำตัวแย่ๆใส่เธอ คงรู้สึกแบบนี้เวลาที่เขามองข้ามสิ่งที่เธอทำ ตอนนี้เป็นเขาเสียเองที่ทำทุกสิ่งอย่างเพียงเพื่อให้ได้เห็นรอยยิ้มของเธอที่หายไป

안보이니 이렇게 널 사랑하잖아
คุณไม่เห็นหรอว่าผมรักคุณมากขนาดไหน
한구석에 남은 너의 지문도
แม้แต่ลายนิ้วมือของคุณตรงมุมนั้น
지독히 아로새긴 채
ผมก็จดจำและตราตรึงมันไว้ในหัวใจ

เขามองของที่วางไว้บนโต๊ะด้วยใจหวาดหวั่น สมุดภาพของเขา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองนิ่งอยู่บนกระดาษโน๊ตที่ติดอยู่กับสมุด ‘ขอโทษค่ะ ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยรักกัน’ มือหนาเอื้อมไปหยิบไดอารี่สีชมพูอ่อนที่วางไว้ข้างๆขึ้นมา ไดอารี่ของเธอ ไดอารี่ที่เธอเขียนทุกอย่างลงไปในนั้นก่อนที่เธอจะลืมความทรงจำเกี่ยวกับเขา เธอเลือกแล้วที่จะทิ้งความทรงจำในอดีต ไม่ไขว่คว้าที่จะจดจำเขาและเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยปราศจากเขา หัวใจเขาเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาช้าๆอย่างไม่อาย .. วันพรุ่งนี้ เขาจะมีชีวิตต่อไปอย่างไรโดยที่ไม่มีเธอ

죽을 만큼 까맣게 멍든 가슴속을
หัวใจที่มืดมนบอบช้ำและตายไปแล้วของผม
꺼내 다 보여줬는데
ผมจะเอามันออกมาให้คุณดู
그저 창 밖이 칠흑 같단 너
แต่คุณคงจะแค่พูดว่า มันมืดมนแค่ภายนอกเท่านั้น
안보이니 그저 창 밖이 칠흑 같단 너
ที่คุณพูดว่ามันมืดมนแค่ภายนอกก็เพราะคุณมองไม่เห็น
하염없이 그저 창 밖만 바라보는 너
คุณแค่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่ว่างเปล่าไร้จุดหมาย

 

NOTE:
*เขียนไปเขียนมาขโมย MV น้องว่านมาเลย ง่ะ! -__-” จำได้ว่่าเป็น MV สิ่งที่ยังเหลือเป็น MV ที่ทำให้คิดว่าข้อความของตาลตอนจบหมายความว่ายังไงกันแน่ และแน่นอนมันเหมาะกับเรื่องนี้มากๆ “จำไม่ได้จริงๆว่าเคยรักกัน” กับ “จำไม่ได้” มันต่างกันเนอะ ว่าไหม สรุปตาลความจำเสื่อมอยู่หรือจำได้แล้วกันแน่นะ .. แล้วน้องซอล่ะ

การเดินทางไป Kona Beans ง่ายมากถึงมากที่สุด ไปตาม ลายแทงง่ายๆนี้นะคะ

image

รถไฟสาย 3 ลงที่ Apgujeong Station

จาก Apgujeong Station มีสองทางให้เลือกคือเดินหรือนั่งรถ เอา Kona Beans อยู่ครึ่งทางระหว่าง Apgujeong Station กับ SM Entertainment เพราะฉะนั้นถ้าจะเดินจริงๆก็ไม่ไกลมาก เท่าไร เพราะถ้านั่งรถเมล์ก็ต้องเดินย้อนมาข้ามถนนอยู่ดี (แต่ไป SM แนะนำให้นั่งรถเมล์ค่ะ เมื่อย 55)

– By Walk : Exit 2 แล้วเดินไปทางทิศตะวันออก ถ้างงคือเดินให้ ออกไปจากสี่แยก เจอสี่แยกที่เป็นปั๊มน้ำมันก็ข้ามถนนไปจนเจอ Cafe Black Smith ค่ะ

– By Bus : Exit 1 แล้วเดินมาขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ ลงที่ป้าย 23-157 (ป้ายเดียวนั่นแหละ) แล้วเดินข้ามถนนมา

จากนั้นเลี้ยวเข้าไปในซอยข้าง Cafe Black Smith

20121010-200010.jpg

พอเข้าซอยก็จะเจอกับ Jindo แล้วก็ Angle in Us

20121010-200046.jpg

Kona Beans ของเราอยู่ติดกับ Angle in Us สาขา Apgujeong เลยค่า

20121010-200308.jpg

สำหรับคนที่อยากไป SM ต้องลงรถเมล์ที่ Galleria หรืออีกป้าย 23-165 โรงเรียนประถมชองดัม (Cheongdam Elementary Shool) นะค้า เลยจาก Galleria ข้ามสี่แยกไปป้ายแรกเลย กระซิบบอกว่าป้าย Cheongdam เดินใกล้กว่าล่ะ 😀

เมื่อวานเหนื่อยเดินจนขาจะหลุด กลับมานอนปอดแปดอยู่ที่ที่พัก ไอ่เราก็นึกว่ากายหยาบคงจะไม่ไหวแล้ว ที่ไหนได้ตื่นมาอีกวันเราก็ยังขยับตัวได้อยู่อย่างน่ามหัศจรรย์ วันนี้ตามแผนเราก็ยังจะไปเยี่ยมชมสารพัดวังอีก ขนาดเมื่อวานไปแบบงงๆแล้วก็ยังไม่รู้จักเข็ด ยังยืนยันว่าจะงงอยู่ต่อไป ไหนๆก็ไหนๆ ซื้อบัตร Integrated Ticket มาแล้วนี่ ไม่ไปก็ยังไงๆอยู่ ต้องไปค่ะ .. อ่อ แต่หลังจากเดินเยอะๆเข้า ตอนนี้เริ่มสละสิ่งโดยการโยนหนังสือทิ้ง เหลือไว้แค่น้องแพดกับน้องไอแล้วค่ะ ขนาดแค่นี้สะพายนานๆยังหนักเลย .. นอกเรื่องนานแล้ว เราเริ่มเดินกันอีกดีไหมคะ

Day 7 : Kona Beans (Apgujeong Branch), Unhyeonggung Palace, Changdeokgung Palace and Bewon Secret Garden, Changgyeonggung Palace, Insadong, Garosugil

Kona Beans (Apgujeong Branch)
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Apgujeong Station, Exit 2 แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาทีจากสถานี หรือถ้าเมื่อยก็ออก Exit 1 นั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟไปลงที่ป้าย 23-157 Apgujeong 2(i)dong Community Service Center แล้วเดินข้ามถนนมาเข้าซอยข้างๆ Black Smith Cafe เดินไปอีกนิดก็ถึงค่ะ
Operating Hours: 07:00 – 23:00 hrs
Price : KRW 700+

ก่อนเริ่มวันใหม่เราก็ต้องทานอาหารเช้าใช่ไหมคะ .. 55 เกริ่นได้ห่วยแตกมาก .. เพราะจริงๆแล้วเป็นคนติดอาหารเช้ามาก การมาเที่ยวเกาหลีแล้วไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานสำหรับเราสุดๆ แต่ถ้าได้ทานอะไรรองท้องซักหน่อยจะใช้ชีวิตได้อีกยาวนาน และถ้าได้ทานมากๆชีวิตจะมีสุข

ด้วยความที่ที่พักที่ใหม่ไปอยู่แถมจัมซิล โซลใต้ ซึ่งประมาณ 15-20 นาทีโดยรถเมล์จากแถบอับกุจอง เพราะงั้นเลยตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรต้องได้กิน ยังไงซะก็จะลองมาดูว่า Kona Beans ร้านกาแฟของคุณแม่หนุ่มๆนั้นจะคนซาพร้อมรับการมาเยือนของเรารึเปล่า บอกตรงๆว่าโฉบไปทีไรคนแน่นทุกทีจนคิดว่าจะไม่ได้กินซะแล้วค่ะ .. แต่วันนี้โชคเป็นของเรา Kona Beans คนโล่งงงงงเชียว มานึกอีกที คงเพราะห่างจากช่วงคอนเสิร์ตไปแล้ว แล้วก็หนุ่มเค้าเดินทางไปงานที่ญี่ปุ่น แฟนๆก็เลยซาๆไปอย่างที่เห็น ไม่ใช่เพราะเราโชคดีแต่อย่างใด -__-:;

ในความรู้สึกของเราภายใน Kona Beans ตกแต่งแบบให้ความรู้สึกอุ่นๆ ทั้งพื้น ผนัง กำแพงที่เป็นไม้ ไฟโทนส้มๆ อุ่นๆเหมาะกับเป็นร้านกาแฟเลยค่ะ ข้างในร้านมีของจากแฟนคลับวางอยู่เป็นส่วนๆไป น่ารักดี ยิ่งเจ้าตรงเคาท์เตอร์น่ะมีรูปการ์ตูนตากี้(คยูฮยอน)บอกว่า”อย่าถ่ายรูปตรงเคาท์เตอร์”แล้วก็ตากี้ขายไวน์ตั้งอยู่อย่างน่ารัก เราเดินไปสั่งกาแฟกับเบเกิลอาหารโปรดแล้วก็มานั่งชิมสบายใจ

20121009-210153.jpg

20121009-210012.jpg

20121009-210043.jpg

20121009-210107.jpg

20121009-210130.jpg

20121009-210303.jpg

ปกติเป็นคนไม่กินกาแฟนะคะ เพราะกินแล้วจะใจสั่น แต่นี่ทุ่มทุนมากเพื่อน้องกี้ที่รักยิ่ง .. เปล่าหรอกค่ะ อยากรู้มากกว่าว่ากาแฟเค้าอร่อยไหม .. กาแฟโอเคนะคะ เพราะกินไม่ใส่น้ำตาลก็ใช้ได้ ส่วนเบเกิลนิ่มเชียว Texture ผิดคาดไปหน่อย เพราะงั้นมันจะย่อยเร็วมากที่เดียว ฮาาา

20121009-210514.jpg

แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละค่ะ อาหารตรงหน้าก็หมดเรียบ! ( ‘ ‘)y เติมพลังแล้วเราก็พร้อมเดินทางแล้วค่าาา RC แรกของวันนี้ พระราชวัง Unhyeonggung

Unhyeongung Palace
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4 แล้วเดินต่อประมาณ 50 เมตรจากสถานี หรือขึ้นรถไฟสาย 5 ลงที่ Jongno 3-ga Station, Exit 4 แล้วเดินต่อประมาณ 300 เมตรจากสถานี
Operating Hours:
November – March 09:00-18:00
April – October 09:00-19:00
Closed on Mondays
Admission fee : KRW 700

พระราชวัง Unhyeonggung หรือ พระราชวังเล็ก แต่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของชายหนุ่มที่ชื่อว่าโกจงซึ่งต่อมากลายเป็นจักรพรรดิในช่วงราชวงศ์โชซอน พระราชวังนี้ก็เลยแตกต่างจากพระราชวังอื่นเล็กน้อย เพราะเป็นบ้านพักมาก่อนนั่นเอง Unhyeonggung ในปัจจุบันนี้มีขนาดเล็กลงกว่าที่เคยเป็นในอดีตที่ผ่านมา

ด้วยความที่เป็นพระราชวังขนาดเล็ก Unhyeonggung จึงเงียบสงบให้ความรู้สึกแตกต่างจากวังอื่นๆ แถมที่นี่ยังเป็นวังเดียวมั้งคะที่ไม่ได้ทาสีเขียวๆแดงๆเหมือนวังอื่นทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ดูแปลกตาไปอีกแบบ ภายในพระราชวัง Unhyeonggung ยังมีหุ่นจำลองแสดงให้เห็นความสำคัญของห้องต่างๆในอดีตทำให้คนอ่อนด้อยประวัติศาสตร์แถมยังไม่ดูหนังประวัติศาสตร์อย่างเราเห็นภาพชัดเจนขึ้นทีเดียว

20121009-210710.jpg

20121009-210748.jpg

20121009-210906.jpg

20121009-210925.jpg

20121009-211009.jpg

20121009-211050.jpg

20121009-211332.jpg

20121009-211442.jpg

20121009-211526.jpg

Changdeokgung Palace and Secret Garden
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 15:30
Admission fee : Adult 3,000 KRW / Child 1,500 KRW (7-18 years old)
Secret Garden Admission Fee : Adult 5,000 KRW / Child 2,500 KRW แต่เพราะเราซื้อบัตรแบบ Intergrated Ticket มาเลยเข้าเลยค่าาา ทั้ง Changdeokgung และ Secret Garden ก็รวมอยู่ในนั้นแล้ว

เอ๊ะ อะไรกัน เห็นชื่อสถานที่ที่จะไปก็เกาหัวแกรก ไหงพระราชวัง Changdoekgung กับสวนลับพีวอนมาอีกแล้วววว ก็เพราะว่าเจ้าบัตร Integrated Ticket ของเรามันรวมทั้งวังและสวนลับพีวอน เราก็เลยตัดสินใจมาอีกครั้งนึงให้จุใจ มาคราวนี้ต่างจากคราวที่แล้ว ก็เพราะว่าคราวนี้มามึนคนเดียว ไม่มีเพื่อนร่วมทางสองคนมาด้วย .. และอีกอย่างคือมาวันนี้แดดดีมากเลยค่ะ

…ดีใจปานได้โล่ ㅠㅠ

สองวันดี สี่วันฝนสุดๆแบบนี้ เราว่าเราโชคดีได้อีกที่ได้เจอแดดออก ถ่ายภาพไม่ขมุกขมัวอีกต่อไปแล้วค่ะ .. เพราะมีบัตรเราก็เลยจัดการยื่นมันให้คุณลุงที่อยู่หน้าประตู แล้วคุณลุงก็พูดอะไรซักอย่างเป็นภาษาเกาหลีใส่เรา สุดท้ายพอจะเดาได้ว่าคุณลุงจะบอกว่าบัตรนี้รวมพีวอนนะ ให้ไปทางด้านขวาเลย เราก็เลยพยักหน้าหงึกๆพร้อมกับเอ่ยขอบคุณคุณลุง .. แต่เราก็ยังไม่ได้ไปที่สวนลับพีวอนเลยหรอกนะคะ คราวนี้เราตัดสินใจค่อยๆเดินชมตัวพระราชวัง Changdeokgung ก่อน

พระราชวัง Changdeokgung หรือ พระราชวัง Changdeok สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โจชอน เมื่อปี 1405 แม้ในตอนแรกพระราชวัง Changdeokgung ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังรองจากพระราชวัง Gyeongbokgung แต่ภายหลังถูกใช้เป็นพระราชวังหลักของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์โจชอนหลายสมัยและกลายเป็นพระราชวังหลักในที่สุด หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นรุกราน ทั้ง Gyeongbokgung Changdeokgung และพระราชวังอื่นๆถูกเผาทำลายลง แต่พระราชวัง Changdeokgung ได้รับการบูรณะและใช้เป็นพระราชวังหลักมากว่า 270 ปีจนเมื่อการบูรณะพระราชวัง Gyeongbokgung เสร็จสิ้น

ว่ากันว่าหากในอนาคตสถาบันจักรพรรดิเกาหลีถูกฟื้นขึ้นในฐานะสัญลักษณ์แห่งรัฐ เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นประมุข พระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ใช้ในการประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อการขึ้นเสวยราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิค่ะ

20121009-211647.jpg

20121009-211933.jpg

20121009-212006.jpg

20121009-212030.jpg

20121009-212100.jpg

20121009-212218.jpg

20121009-212317.jpg

20121009-212423.jpg

20121009-212503.jpg

พระราชวัง Changdeokgung ประกอบไปด้วยพื้นที่สาธารณะภายในวัง พระตำหนักของกษัตริย์และราชวงศ์และก็สวนลับพีวอน อย่างที่ทราบแหละค่ะว่าสวนลับเป็นที่พักผ่อนของเจ้านายและเชื้อพระวงศ์ เจ้าสวนลับนี้ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย บางต้นอายุกว่า 300 ปี สระน้ำและก็ตำหนักย่อยๆในนั้น

การเข้าชมสวนลับพีวอนนั้นต้องมีไกด์นำชม โดยจะจัดเป็นรอบๆตามภาษา คราวที่แล้วเราไปทันรอบภาษาอังกฤษพอดี แต่คราวนี้เดินเปะปะไป พอไปถึงด้านหน้าทางเข้าก็มีกลุ่มนึงเพิ่งเดินเข้าไป เราเลยบอกคุณลุงหน้าทางเข้าสวนลับว่าจะไปด้วยค้าาาา คุณลุงก็ส่งภาษา ประมาณว่าจะไปไหน จะเข้าไปกับไกด์ภาษาอะไร เราเลยบอกว่าเอาภาษานั้นแหละกลุ่มนั้นที่เข้าไปน่ะ ลุงเลยถามว่าภาษาจีน? คนฮ่องกงเหรอ? เราก็เลยพนักหน้ารับไป

…เมื่อวานเป็นยุโรป วันนี้เป็นสาวฮ่องกงค่า

สวนลับพี่วอนนั้นก่อนหน้านี้มีชื่อว่า บุควอน และก็ กึมวอน แต่สุดท้ายเมื่อพระเจ้าโกจงครองราชย์ก็ถวายนามให้ใหม่เป็นพีวอนมาถึงปัจจุบันนี้้ล่ะค่ะ บริเวณที่เป็นน้ำตกหิน ในอดีตเหล่าเจ้านายจะสังสรรค์กันโดยการลอยแก้วเหล้าไปตามน้ำ หากว่าลอยไปทางใครคนนั้นก็จะต้องดื่มให้หมดและแต่งโคลงกลอน หากแต่งไม่ได้จะต้องดื่มเหล้าสามแก้วเป็นการทำโทษ เป็นการพักผ่อนที่น่ารื่นรมณ์จริงๆ ^^

การเดินทางของเราในวันนี้ แรกๆก็ซ้ำทางเดิมอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่พอเดินเข้าไปลึกขึ้นก็เริ่มแปลกตา ตอนแรกน่ะเราไม่คิดจริงๆว่าจะเป็นป่าสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ แม้ภายนอกจะมีแดดแต่ในสวนลับแห่งนี้อากาศเย็นสบายมากเลยล่ะค่ะ พีวอนสำหรับเราใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าสวนลับ ควรจะเรียกว่าป่าหรือภูเขาที่ราชวงศ์มาสร้างตำหนักอยู่ในนั้นมากกว่า เราเองพอเดินชมไปเรื่อยก็ไม่แปลกใจเท่าไรนะคะว่าทำไมต้องมีไกด์นำชมในพีวอน เพราะถ้าเดินเองแล้วอาจจะเดินสะเปะสะปะไปจนหลงสวน(ป่า)ก็ได้ เดินไปครบรอบก็มาโผล่ตรงทางเข้าวังพอดีเลย

…โอ่~ มาแบบไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ดูต้นไม้ต้นโตๆ

20121009-212608.jpg

20121009-212755.jpg

20121009-213300.jpg

20121009-213415.jpg

20121009-213512.jpg

20121009-213605.jpg

20121009-213719.jpg

20121009-213812.jpg

20121009-213914.jpg

20121009-214322.jpg

20121009-214457.jpg

20121009-214524.jpg

สวนลับพีวอนนั้นถือเป็นที่โปรดอีกที่นึงของเราเลยค่ะ ถ้าสังเกตจะเห็นเราพูดบ่อยๆเกี่ยวกับเกาหลีคือพื้นที่สีเขียว ต้นไม้และภูเขา เพราะเราชอบที่คนอยู่อาศัยกันอย่างประนีประนอมกับธรรมชาติแบบนั้น พีวอนเองได้รับการออกแบบปลูกสร้างให้เข้ากับภูมิประเทศโดยรอบที่เป็นป่าและเนินเขามากกว่าที่จะถางทำลายเพื่อมาทำพระราชวังและตำหนักเพื่อพักอาศัย นอกจากนั้นยังเป็นที่เงียบสงบร่มรื่นจนเหมือนหยุดเวลาไว้เลยค่ะ เราว่าคนเกาหลีน่าอิจฉาที่ในเมืองหลวงก็มีป่ามีต้นไม้มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ แต่ประเทศไทยขนาดไปต่างจังหวัดยังเห็นแต่ภูเขาหัวโล้นเลย

…แต่ก็นะ เราไม่เคยไปต่างจังหวัดเกาหลีเลยยังบอกไม่ได้ว่ามีภูเขาหัวโล้นรึเปล่า

เดินพีวอนจนสุดเราก็มาเดินชมวังต่ออีกนิดก่อนจะไปพระราชวังแห่งที่สามของวันนี้

20121009-214554.jpg

20121009-214819.jpg

20121009-215148.jpg

20121009-215243.jpg

Changgyeonggung Palace
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, Apr – Oct 09:00 – 18:30 hrs
Admission fee : Adult 1,000 KRW พระราชวังนี้รวมอยู่ใน Intergrated Ticket นะคะ ^^

พระราชวัง Changgyeonggung เป็นพระราชที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซองจงเพื่อเป็นที่ประทับเของเจ้าจอมมารดา พระราชวังนี้ก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากพระราชวังอื่นเท่าใดนัก ในช่วงที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานก็ได้ถูกเผาทำลายลงและได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง หลังจากนั้นก็ยังเกิดไฟไหม้และได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้ง จนเมื่อเกาหลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก Changgyeonggung (พระราชวังชางเกียง) เป็น Changgyeongwon (สวนชางเกียง) เพื่อทำลายความยิ่งใหญ่และอำนาจของราชวงศ์เกาหลี ต่อมาพระราชวังนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ในช่วงที่เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น จนเมื่อรัฐบาลเกาหลีได้ย้ายสวนสัตว์ออกไปแล้วบูรณะให้เป็นพระราชวัง Changgyeonggung ดังเดิม

พระราชวัง Changgyeonggung นั้นสามารถเดินต่อมาจากพระราชวัง Changdeokgung ได้เลย แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเราตัดสินใจเดินจากด้านนอก คือ ออกทางประตูหน้าแล้วเดินเตาะแตะริมถนน เราเองดันนึกว่าประตูของ Changgyeonggung จะใกล้ด้วย แต่ดันไกลกว่าที่คิด .. ทำเอาเมื่อยตั้งแต่ยังไม่เข้าวังเลยค่ะ

เดินสำรวจวังไป อย่างที่หนังสือบอกไว้จริงๆว่าวังนี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ของเกาหลี เพราะมีบางส่วนของวังที่เป็นเพียงสนามหญ้าหรือทางเดินในสวนแต่มีแผ่นป้ายอธิบายไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนนี้ๆของวังมาก่อนก่อนที่จะถูกทำลายลงไป เห็นภาพวาดวังเก่าแล้วน่าเสียดายความยิ่งใหญ่นะคะ คงคล้ายๆกับเวลาที่เห็นโบราณสถานในบ้านเราที่เหลือแต่ซากปรักหักพังไว้ ที่นี่เองก็เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าบางส่วน

20121009-215358.jpg

20121009-215446.jpg

20121009-215634.jpg

20121009-215700.jpg

20121009-215732.jpg

20121009-215830.jpg

20121009-215938.jpg

20121009-220007.jpg

ตอนแรกน่ะเราเองจะเดินออกมาแล้วแต่เพราะอะไรซักอย่างทำให้อยากดู greenhouse ด้านในสุดของวังทั้งๆที่ก็ไม่รู้หรอกว่าหน้าตาเป็นยังไง ระหว่างทางที่จะเดินไปถึง greenhouse เราพบกับสระน้ำสระเบ้อเริ่มก่อนเลยค่ะ สวยมากจริงๆ สระน้ำนี้มีสองสระคือสระใหญ่และสระเล็ก เจ้าสระเล็กเนี่ยเป็นสระออริจิตั้งแต่สมัยโจชอน ส่วนเจ้าสระใหญ่นั้นคือที่นาที่กษัตริย์ทำการเพาะปลูก ซึ่งเวลาที่ไถนาข้าวเหล่านั้นก็จะภาวนาให้การเพาะปลูกของประเทศดี อะไรประมาณนั้น (ขอโทษที่ราชาศัพท์ไม่ได้นะคะ อ่อนด้อยจริงๆด้านนี้ ㅠㅠ) แต่พอตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นเท่านั้น ที่น่าเหล่านั้นก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสระน้ำขนาดใหญ่แทนเพื่อให้คนทั่วไปได้ใช้ในการสันทนาการ .. ถึงบอกไงคะว่าวังนี้เป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ของเกาหลีโดยแท้ .. แล้วเราก็เดินมาถึงอาคารกระจกสีขาว สวยมากเลยค่ะ โชคดีที่เดินมาเป็นเวลาที่มีฟ้ามีแดด ถ่ายรูปออกมาสวยจริงๆ ด้านใน greenhouse ยังคงมีพืชพันธุ์ต่างๆมากมายเลย เราเดินชมเล็กน้อยแล้วก็ลากขาตัวเองออกมา

20121009-220119.jpg

20121009-220148.jpg

20121009-220245.jpg

20121009-220311.jpg

20121009-220556.jpg

20121009-220755.jpg

20121009-220822.jpg

20121009-220847.jpg

อย่างนึงที่เราชอบเวลาเดินเที่ยววังในเกาหลีคงเป็นเพราะเรามักจะเห็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่พาเด็กๆมาชมวังพร้อมกับเล่าประวัติให้เด็กสมัยใหม่ได้รู้เรื่องราวของชาติในอดีต เราได้เห็นชาวเกาหลีหนุ่มสาวเป็นระยะๆ .. บางทีเค้าอาจจะมาเดท แต่เลือกเดทในวัดวัง เก๋ชะมัดเลยค่ะ เด็กวัยรุ่นไทยไปเดทตามห้าง ไม่เห็นเดทตามวังบ้างเลย .. นอกจากนั้นเรายังได้เห็นคนแก่มาเดินชมวังด้วย ไม่รู้ทำไม แต่เห็นแล้วรู้สึกดีที่คนในประเทศเค้าใส่ใจกับประวัติศาสตร์บ้านเกิด ประวัติศาสตร์เหล่านี้เราว่าสำคัญนะคะ แน่นอนว่าถ้าศึกษาประวัติศาสตร์แต่ละประเทศนั้นมักจะไม่ตรงกันเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ควรรู้ไว้ เพราะถ้าคนเราไม่มีอดีตก็คงไม่มีปัจจุบันอย่างทุกวันนี้ใช่ไหมคะ

…เขียนไปก็เหมือนกับบอกตัวเองเอาไว้ว่าต่อไปนี้จะสนใจประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นนี่เอง

Insadong
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4 5

Jongmyo Shrine เป็นศาลบรรพชนของพระราชวงศ์โชชอน เราเลยแอบสนใจ ในวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ Jongmyo Shrine จะมีการประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณของกษัตริย์กันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่ดั้งเดิม เราเองยังคิดเลยว่าหากมีโอกาสได้ไปเกาหลีช่วงนั้นพอดีจะขอไปชมพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นขวัญตาซะหน่อย รู้สึกว่าเกาหลีจะเป็นประเทศเดียวแล้วมั้งคะถ้าเราจำไม่ผิดที่ยังคงสืบสานประเพณีนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน

เพราะความที่อ่านประวัติ Jongmyo Shrine ด้านบนเลยทำให้เรารู้สึกอยากไป ยิ่งแค่เดินข้ามจากพระราขวัง Changgyeonggung มาก็ถึงแบบนี้ยิ่งปรารถนาใหญ่เลย เราสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าฝั่งตรงข้ามถนนที่เดินทำไมกลายเป็นกำแพงไม้ปิดเอาไว้เหมือนเป็นเขตก่อสร้างทั้งๆที่ควรจะเป็นทางเข้า Jongmyo Shrine สู้อุตส่าห์เดินวนไปดูก็หาทางเข้าไม่เจอ รู้แหละค่ะว่ามันจะเดินทะลุไปถนนอีกฝั่งเพราะงั้นจะเสี่ยงเดินไปดูอีกประตูก็ได้ แต่ก็ต้องย้อนไปเดินชมด้านในอีก และก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเปิดรึเปล่า กายหยาบของเราตอนนี้ประท้วงใหญ่ว่าไม่ไหวแล้ว ต้องการอาหารใส่ท้องแบบด่วนจี๋ ขาเริ่มหนักอึ้ง ก็เลยตัดใจไปอินซาดงเลยดีกว่า ทด Jongmyo Shrine ไว้ก่อน แมชหน้าค่อยว่ากันนะคะ ㅠㅠ

จากแถวๆ Jongmyo Shrine เดินมาไม่ไกลมากก็ถึงสวนทับกลซึ่งจะสามารถเดินทะลุไปแล้วไปป๊ะอินซาดงได้พอดี เราเลยเลือกเดินในสวนค่ะ ภายในสวนทับกลเราจะสามารถเห็นผู้เฒ่าผู้แก่มานั่งชิวกันเป็นปกติ มีคุณตาคนนึงใจดีมากๆเลยค่ะ เค้ายืนหล่ออยู่ที่หอระฆัง เราเองกะว่าจะถ่ายภาพคุณตากับระฆังไว้ซะหน่อย แต่คุณตากลับเดินออกมาให้เราถ่ายภาพเฉยเลย .. รู้สึกผิดบวกขอบคุณในใจยังไงไม่รู้

สวนทับกลเป็นที่ประกาศอิสรภาพของชาวเกาหลี เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กๆและเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัดในศาสนาพุทธชื่อว่า “Wongaksa” ซึ่งถูกทำลายไปเนื่องจากนโยบายการปราบปรามทางพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันยังคงมีการเก็บรักษาเจดีย์ wongak ซึ่งเป็นเจดีย์หินสูง 10 ชั้นไว้ในครอบแก้วอยู่

20121009-221103.jpg

20121009-221127.jpg

20121009-221709.jpg

20121009-222048.jpg

จากสวนทับกลไปไม่ไกลก็ถึงอินซาดงแล้วค่ะ แค่เดินมาถึงก็ครื้นเครงเลยค่ะ ตรงลานทางเข้าอินซาดงนั้นมีการแสดงอะไรซักอย่าง เราเห็นคนตั้งแต่นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ขาวเกาหลียืนชมกันใหญ่เลย แถมมีคุณลุงคุณป้าชาวเกาหลีไปร่วมเฮฮากับนักแสดงซะด้วย เดินไปอีกนิดก็เจอหนุ่มสาวกำลังนั่งเป็นแบบให้จิตรกรวาดรูปอยู่ริมถนน ได้อารมณ์ดีจริงๆ

20121009-222214.jpg

20121009-222338.jpg

20121009-225227.jpg

20121009-225419.jpg

ครั้งนึงอินซาดงเคยเป็นตลาดค้าของเก่าและพวกงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีค่ะ ประวัติของอินซาดงจริงๆแล้วนั้นในสมัยโจชอนแล้วเป็นถนนที่เป็นที่เรียนศิลปะ เพราะฉะนั้นบริเวณแห่งนี้เลยเป็นเหมือนศูนย์กลางงานศิลป์ตั้งแต่พวกภาพวาด งานฝีมือ อะไรอย่างนั้น ท่ามกลางย่านศิลปะแบบที่มีกลิ่นไปของความดั้งเดิม มีตึกนึงค่ะที่เป็นตึกอาร์ตตัวแม่แบบสมัยใหม่ คือ Ssamziegil

Ssamziegil เป็นตึกที่มีร้านค้าแบบโคตรอาร์ต ตกแต่งแบบน่าถ่ายรูปไปซะทุกซอกทุกหลืบ ในตึกมีตั้งแต่ร้านขายของจุกจิก ร้านเสื้อผ้า ไปจนถึงร้านอาหาร (ถ้าใครเคยดู MV เพลง Seoul ที่เป็นเพลงโปรโมทการท่องเที่ยวเกาหลี อาจจะเคยเห็นที่นี่แว่บๆก็ได้ค่ะ เราเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ไปแล้วกลับมาดู MV เหมือนกัน)

20121009-230440.jpg

20121009-231148.jpg

20121009-231403.jpg

20121009-231537.jpg

20121009-231707.jpg

20121009-231751.jpg

20121009-231905.jpg

20121009-235648.jpg

20121009-235733.jpg

20121009-235800.jpg

20121009-235826.jpg

20121009-235912.jpg

20121009-235940.jpg

20121009-235957.jpg

20121010-000038.jpg

20121010-000106.jpg

20121010-000125.jpg

เราน่ะเป็นพวกแปลกประหลาด เห็นป้ายชี้เข้าไปในหลืบเล็กๆว่าเป็นทางไป Ssamziegil เลยเลี้ยวเข้าไปเลย ก็เดินผ่านร้านอาหาร เห็นมีเกี๊ยวทอดดูน่ากินมากเลยตั้งใจไว้ว่าจะเดินกลับมา เราเดินนั่นนี่เรื่อยเปื่อยไปโผล่อีกทีชั้น 4 ของ Ssamziegil เหมือนเดินสวนทางกับชาวบ้านยังไงไม่รู้ค่ะ เราเดินเล่นใน Ssamziegil ไปเรื่อยจนไปเจอประตูทางเข้าที่ใหญ่กว่า แทนที่จะเดินออกไป ไม่เอาล่ะกลัวหาร้านอาหารน่ากินนั้นไม่เจอ ยอมเดินย้อนกลับมาทางเดิมซึ่งมารู้ทีหลังว่าอ้อมมาก คือแค่เดินประตูหน้าเดินย้อนมานิดก็ถึงแล้ว จะเดินสี่ชั้นลงมาตามทางเดิมทำไมกันค้าาาาา ไม่เข้าใจตัวเอง ㅠㅠㅠㅠ

แต่ชั่วโมงนั้นไม่สนใจอะไรนอกจากขอให้ไปถึงร้านเกี๊ยวทอดนั้นให้ได้ เพราะตัดสินใจแล้ว เนื่องจากว่าเราถูกชะตากับเกี๊ยวทอดที่ส่งวิ้งค์มาให้เราตอนเดินผ่านไปครั้งแรก พอมาถึงเห็นว่ามีเมนูเป็นบะหมี่ด้วยเลยเดินเข้าไปนั่งดีกว่า เราสั่งเกี๊ยวกับบะหมี่ที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ชี้ๆไปเพราะร้าน local เหลือบรรยาย จนชาวเกาหลีที่นั่งข้างๆถามเราเป็นภาษาอังกฤษค่ะว่ากินอะไร เกี๊ยวอย่างเดียวเหรอ พอเราบอกไปว่ากินเกี๊ยวแล้วก็บะหมี่ด้วย อนนี่แสนสวยก็จัดการสั่งให้ค่ะ เพราะพนักงานใจดีเข้าใจว่าเราสั่งแค่เกี๊ยวทอดอย่างเดียว

ระหว่างมื้ออาหารอนนี่แสนสวยชวยเราคุยตลอดเลย เราก็เพิ่งรู้ตอนที่เค้าเอามาบะหมี่เรามาเสิร์ฟแล้วอนนี่คนสวยบอกเราว่ามันคือแนงมยอน บะหมี่เย็น แถมอนนี่ยังคอยสอนวิธีการกินให้เราด้วย ใจดีมากๆเลย >;<; อนนี่บอกเราอีกว่าร้านนี้เป็นร้านดังที่ออกรายการโทรทัศน์ และเมนูดังก็คือเจ้าเกี๊ยวน่าตาดีนี่แหละค่ะ เห็นไหมว่าเราสัญชาตญาณด้านอาหารดีอย่างไม่น่าให้อภัย เรากินไปคุยกับอนนี่แสนสวยไปจนอิ่ม แต่ยังเหลือเกี๊ยวอยู่อีกสองตัว .. มัวแต่ไปกินแนงมยอนเลยอิ่มตื้อ ไม่เหลือที่ให้เกี๊ยวเลย .. อนนี่แสนสวยของเราเลยช่วยบอกกับคุณพนักงานใจดีให้เก็บเงินแล้วห่อกลับบ้านให้เราด้วย คุณพนักงานใจดีก็เอามาให้พร้อมกับพูดอะไรกับอนนี่เป็นภาษาเกาหลีที่อนนี่แปลให้ฟังว่า "เค้าบอกว่าคุณสวย ตาโตน่ารัก แล้วเค้าก็แถมเกี๊ยวให้คุณมาอีกหนึ่งตัว"

จุดนี้ทั้งดีใจทั้งโคตรเขินเลยค่ะ เจอคนเกาหลีชมเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าสวย แถมได้เกี๊ยวฟรีมาด้วย กรี๊ดดดดดดด~

20121010-000424.jpg

เราแยกกับอนนี่คนสวยน่าอินซาดงก่อนกลับบ้าน เราขอบคุณอนนี่แสนสวยนับครั้งไม่ถ้วนเลยล่ะค่ะที่ทำให้เราสนุกมากขึ้นในการเที่ยววันนี้จากการมีเพื่อนกินข้าวที่ถูกใจ

…ขอบคุณนะคะอนนี่สำหรับความทรงจำดีๆที่อนนี่ได้สร้างไว้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ขอบคุณจริงๆค่ะ

…ถ้ามีโอกาส หวังว่าเราคงได้พบกันใหม่นะคะ

Garosugil
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Sinsa Station, Exit 8 หรือ ลงที่ Apgujeong Station, Exit 5 แต่เดินจาก Apgujeong Station จะเดินไกลกว่าหน่อยนึงค่ะ

ค่ำนั้นไม่รู้อิท่าไหนตกลงใจไปเดินเล่น Garosugil ต่ออีกนิดหน่อยได้ของติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย(อีกแล้วก่อนจะกลับบ้าน) .. Garosugil นั้นแปลว่าถนนที่มีต้นไม้เต็มสองข้างทางซึ่งก็คือต้นแปะก๊วย Garosugil นั้นเชื่อมระหว่างถนน Dosan-daero กับถนน Apgujeongro สามารถมาได้จากทั้งสองทาง ถ้าเข้าจากทาง Dosan-daero ก็จะเป็นDosan-daero 13-gil แต่ถ้ามาจาก Apgujeong ก็เป็น Apgujeong-ro 12-gil รับรองว่าถ้าเดินไปยังไงก็ไม่หลงแค่เดินตามหนุ่มๆสาวๆไปเดี๋ยวก็เจอค่ะ

image

Garosugil นั้นไม่ยาวเท่าไรแต่เต็มไปด้วยร้านค้าพวก Private Brand เต็มไปหมด ราคาเสื้อผ้าลดราคาบางตัวที่เราจับได้มาก็ประมาณ 300 บาทไทยนับว่าถูกมากวำหรับเสื้อผ้าที่เกาหลีไปจนถึงหลักหลายพัน นอกจากนั้นร้านอาหารต่างๆก็น่านั่ง ถ้าเดินไปถนนสายนี้ก็จะเจอเด็กวัยรุ่นเต็มไปหมดเลย เหมือนเดินสยามแบบสั้นๆในซอยเดียวยังไงอย่างงั้น

ช้อปๆอย่างรวดเร็ว เงินเราหายวับไปเลย ㅠㅠ สุดท้ายวันนี้เรากลับบ้านแบบกินข้าวน้อยช้อปหนักค่ะ ปรบมือให้ตัวเองรัวๆหน่อย ㅠㅠ แต่ขอบอกเลยนะคะ ไปคราวหน้าเราจะไปเสียเงินที่นี่อีก เสื้อที่สอยมาถูกใจที่สุดในโลกหล้า ไปคราวหน้าโดนอีกเห็นๆ

อ่านตอนนี้ก่อนนะคะ เพื่อความเข้าใจ :’)
The Maknaes Episode … New Year Party

 

 

ภายในห้องสีขาวที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแม้จะเต็มไปด้วยข้าวของแต่ก็ดูสะอาดตา ของส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเสื้อผ้าและรองเท้า และที่สำคัญคือเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องเกมนั้นเจ้าของห้องตกลงใจว่าจะทิ้งไว้ข้างนอกเพื่อให้คนอื่นๆได้เล่นด้วยหากมีเวลาว่าง ในห้องขนาดกะทัดรัดมีเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้น แค่เตียง โต๊ะอ่านหนังสือ แลตู้เสื้อผ้าเท่านั้นตามประสาห้องของผู้ชาย ภายใต้ผ้าห่มสีน้ำเงินเข้มมีร่างเล็กๆของหญิงสาวขดตัวนอนอยู่ที่นอนที่ปูไว้ด้วงผ้าปูเตียงสีเข้ากัน ใบหน้าอ่อนใสและสีหน้าที่ผ่อนคลายจากการพักผ่อนทำให้เธอดูน่ารักเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ชายหนุ่มยืนมองภาพตรงหน้า อยากจะให้เวลาหยุดหมุน

…หากได้เห็นภาพอย่างนี้ทุกวันก็คงดี แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม

คยูฮยอนยืนคิดอยู่นานว่าจะจัดการกับเจ้าหญิงนิทราตรงหน้าอย่างไร จะปล่อยให้เธอหลับต่อหรือปลุกเธอให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวและไปซ้อมการแสดงสำหรับงานปลายปีนี้ดี อีกไม่กี่วันก็จะถึงสิ้นปีพวกเขาศิลปินไอดอลก็มักจะมีงานแสดงคอนเสิร์ตปลายปีของหลายสถานียักษ์ใหญ่ในเกาหลี และในงานคอนเสิร์ตปลายปี SBS Gayo Daejun 2011 ของสถานีโทรทัศน์ SBS ค่าย SM Entertainment จะจัดการแสดงพิเศษโดยศิลปินในค่ายตั้งแต่ Dance Stage ของเขากับสาวๆรุ่นน้อง SNSD ไปจนถึง SM Orchestra เขาและซอฮยอนต้องมีส่วนร่วมในการแสดงพิเศษทั้งสองโชว์ .. แต่เห็นเธอหลับสนิทอย่างนี้แล้วเขาก็ไม่อยากจะปลุกเธอ โดยเฉพาะยิ่งเมื่อคืนเธอเมาโดยไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นด้วยแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจให้เธอนอนพักอีกซักครู่เมื่อเห็นว่าพอมีเวลา แล้วจึงค่อยปลุกเธอ ส่วนอาหารเช้าที่เขาเตรียมไว้ให้เธอก็ค่อยให้เธอทานบนรถก็แล้วกัน คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็หันกลับหลังเพื่อจะออกไปนอนห้อง แต่เสียงงัวเงียของคนเพิ่งตื่นก็ดังขึ้นหยุดเขา

“อปป้า~” หญิงสาวเรียกเขาก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมานั่งกุมขมับ “ทำไมเค้ามานอนที่ห้องอปป้าได้” ซอฮยอนถามเมื่อดวงตากลมโตสังเกตรอบๆห้อง ความสงสัยแล่นขึ้นมาพร้อมๆกับความปวดหัวจี๊ด .. ไม่ใช่ห้องนอนของเธอกับฮโยยอน แต่เป็นห้องนอนของคยูฮยอนอปป้า!

“เมื่อคืนเธอไปงานปีใหม่กับเพื่อนแล้วเมาไม่ได้สติ” ชายหนุ่มตอบ เขามองคนตรงหน้าแล้วหัวเราะเบาๆเพราะรู้ว่าเธอไม่คุ้นเคยกับอาการเมาเท่าไรนึก มักเน่ผู้เต็มไปด้วยการใช้ชีวิตแบบมีระเบียบแบบแผนไม่ชอบอะไรก็ตามที่บั่นทอนสุขภาพ เหล้าก็เป็นหนึ่งในนั้น หากแต่เธอยอมดื่มไวน์เพราะรู้ว่ามันดีกับสุขภาพและเพื่อเข้าสังคม และอีกอย่างเพราะ…คงเป็นเพราะเขา เขาชอบดื่มไวน์ การดื่มไวน์กับเธอทำให้เขารู้ว่าจริงๆแล้วซอฮยอนคอแข็งมาก เธออาจจะดื่มได้มากพอกับทิฟฟานี่หรือซันนี่เลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อดื่มไวน์แล้วไปดื่มแอลกอฮอล์อย่างอื่นที่เป็นส่วนประสมของพันช์ก็ไม่พ้นเมาเหมือนเมื่อวาน

“ปวดหัวล่ะสิเรา” คยูฮยอนถามเสียงนุ่ม “ดันไปดื่มพันช์เพราะนึกว่าเป็นน้ำผลไม้ แถมยังดื่มไวน์ไปก่อนเลยตีกันยุ่งล่ะสิ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาที่ข้างเตียง มือหนาๆยื่นไปลูบผมคนที่นั่งหน้าตาสับสนอยู่บนเตียง

“แล้ว…” หญิงสาวยังคงถาม ภาพเมื่อคืนเริ่มโผล่เข้ามาให้หัวทีละภาพร้อยเรียงเรื่องราวเมื่อคืนให้แจ่มชัดขึ้น ใบหน้าขาวค่อยๆแดงขึ้นจนเกือบกลายเป็นมะเขือเทศสุกเมื่อเริ่มระลึกได้ว่าเธอเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อคืน

…บ้าจริงซอ จูฮยอน!

“เธอดื้อเล็กน้อยตอนเมา แต่ก็หลับไปบนรถ โชคดีที่พวกชางมินอยู่อปป้าเลยมีคนช่วย ส่วนเสื้อ….เธอลุกขึ้นมาเปลี่ยนเอง” เขาเล่าอย่างขำๆ ซอฮยอนน่ารักไม่เว้นแม้กระทั่งตอนเมา เธอเมาหลับไปบนรถแต่เมื่อถึงห้องเธอกลับตื่นมาทำตาใสแจ๋วจนเขาคิดว่าเธอสร่างเมาแล้ว หญิงสาวจัดการอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเองก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงนอนหลับปุ๋ยเป็นเด็กๆ แถมก่อนอาบน้ำยังมีการร้องหาชุดนอนเสียด้วย เขาจึงต้องคุ้ยหาเสื้อของเขาที่เธอพอจะใส่ได้ให้ไป

“ฮิ้งงงงงงงงงงงงงงงงงง~” เสียงหญิงสาวร้องเสียงประหลาด มือเล็กๆปิดหน้าด้วยความอับอายในสิ่งที่คยูฮยอนเล่า เสียงทุ้มๆของคยูฮยอนที่เล่าเรื่องราวเมื่อคืนด้วยความขบขันเป็นคำบรรยายภาพในหัวเธอเป็นอย่างดีจนบางทีอาจจะดีเกินไป นิ้วเรียวยาวแหวกออกน้อยๆเพื่อมองดูคนที่กำลังหัวเราะขัน

“ไม่เป็นไรซักหน่อย เธอเมาพี่ก็ว่าน่ารักไปอีกแบบ” ชายหนุ่มคว้าตัวเล็กๆของเธอให้เอนเข้ามาหาตัวเขาแต่หญิงสาวกลับขืนตัวออกห่าง

“เค้าเหม็น อปป้าอย่ากอดเค้าเลย” ไม่ทันสิ้นคำร่างนุ่มนิ่มก็ลอยหวือไปอยู่แนบอกชายหนุ่ม คยูฮยอนไม่ใช่คนร่างฉกรรจ์แต่ก็ไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางอย่างที่ใครๆคิด และสำหรับซอฮยอนแล้วมันอบอุ่นกว่าอ้อมอกของชายไหนเธอขยับตัวเล็กน้อยให้เขากอดได้ถนัดขึ้น

คยูฮยอนหัวเราะหึๆเมื่อเห็นร่างบอบบางที่อยู่แนบอกเริ่มจะผ่อนคลายลงก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจนหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่บนเตียงตกใจ .. ตามอารมณ์เขาไม่ทัน

“อปป้าจะไปไหนคะ” เธอถามขึ้นอย่างสับสน เมื่อครู่คยูฮยอนยังทำท่าทางเป็นอปป้าใจดีแต่อยู่ดีๆก็กลับลุกหนีเธอซะอย่างนั้น ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าอย่างเต็มไปด้วยคำถาม

ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าเขา ร่างบอบบางในชุดเสื้อผ้าหลวมโคร่ง เสื้อผ้าขนาดพอดีสำหรับเขากลายเป็นใหญ่ไปสำหรับเธอ กางเกงนอนตัวที่ยาวจนเลยขาปกปิดไปทุกส่วน แต่สำหรับเขากับเห็นเป็นเรือนร่างน่ามอง ผมยุ่งๆกับหน้าตาเพิ่งตื่นนอนแบบที่ร้อยวันพันปีก็คงไม่ได้เห็น ในวันนี้เขาได้เห็นทั้งหมดนั้นและมันสวยจนเขาไม่อยากจะเชื่อสายตา สำหรับคยูฮยอนแล้วยิ่งได้เห็นเธอมากขึ้นเท่าไร ยิ่งได้รู้จักเธอมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งรักเธอมากขึ้นเท่านั้น

“อปป้าจะไปเอาอาหารเช้ามาให้” เขาตอบสั้นๆแบบนั้น คยูฮยอนไม่สามารถเอ่ยความในใจให้เธอรู้มากไปกว่านี้ เขาไม่อาจให้เธอรู้ได้ว่าเธอสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน เขากลัวเธอจะตกใจที่ได้รู้…ว่าต่อไปนี้เขาไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดมือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ทั้งที่ตั้งใจไว้ตอนแรกว่าจะทำอาหารเช้าไว้ทานบนรถระหว่างเดินทางไปบริษัทเพื่อซ้อมการแสดงตามตารางที่ได้รับมอบหมาย แต่เมื่อซอฮยอนตื่นเร็วกว่าเวลาที่เขาตั้งใจไว้แผนการเลยเปลี่ยนกะทันหัน คยูฮยอนทำอาหารเช้าเป็นแซนวิซง่ายๆ ต้องขอบคุณเรียวอุคที่มักจะซื้ออาหารมาตุนไว้เสมอตามประสาคนชอบทำครัวแม้เวลาจะไม่เอื้ออำนวย เขาชงโกโก้ร้อนสำหรับตัวเองและชามะนาวสำหรับเธอ

เขาวางแก้วชามะนาวหอมกรุ่นที่ยังคงมีควันฉุยมาวางตรงหน้าหญิงสาวที่อยู่ในชุดนอนตัวโคร่ง อีกมือถือแก้วโกโก้สำหรับตัวเอง มือหนาจับช้อนคนโกโก้จนเสียงกระทบแก้วดังกรุ้งกริ้ง ซอฮยอนมองอาหารตรงหน้าทั้งแซนวิซ ผลไม้ รวมไปถึงชามะนาวของโปรด แม้ไม่ใช่อาหารเช้าที่เริดหรูแต่นั่นก็มากมายแล้วถ้ามาจากผู้ชายที่ชื่อโจว คยูฮยอน .. คนที่ต้มมาม่าก็ยังไม่อร่อย

“เค้าไม่อยากกินชามะนาว” เสียงหวานเอ่ยขึ้นสร้างความแปลกใจให้กับคนที่ตั้งใจทำทุกอย่างตรงหน้าสุดฝีมือ “เรามาแลกกันนะคะ” ร่างบอบบางโน้มตัวมาใกล้ขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือหยิบแก้วโกโก้ไปจากมือเขา สองมือน้อยค่อยๆประคองโกโก้ร้อนอย่างระมัดระวังก่อนยกขึ้นจิบเบาๆด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างนึกขัน บางครั้งบทซอฮยอนจะเป็นเด็ก เธอก็เป็นเด็กได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาเอื้อมมือหยิบชามะนาวจากตรงหน้าเธอขึ้นมาจิบพร้อมกับเอ่ยขึ้นลอยๆจนเธอขว้างค้อนไปให้แทบไม่ทัน “ซอฮยอนแสนใจดีแต่ชอบแย่งโกโก้คนอื่นกิน”

ครั้นเห็นท่าไม่ค่อยดีจากดวงโตกลมโตที่จ้องอย่างหมายมากว่าจะเอาคืนเขาอย่างไรซักทาง คยูฮยอนก็รีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเพื่อดึงดูดความสนใจของคนตรงหน้า “เดี๋ยววันนี้ไปพร้อมกันนะ พอเธอไปอาบน้ำเสร็จก็ไปเลย”

“ไม่ได้ค่ะ!”

 

 

คยูฮยอนมาถึงห้องซ้อมช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดตามองรอบๆเพื่อสำรวจแต่กลับไม่พบคนที่มองหายังไม่ทันทีคยูฮยอนจะเอ่ยอะไร ประตูห้องซ้อมที่เปิดปิดไปกลับเปิดออกขึ้นมาใหม่พร้อมด้วยเสียงหัวเราะที่แสนจะคุ้นหู

“นี่ไงซอฮยอนนี่ คู่เธอมาพอดี” เขาหันหลังกลับไปเพื่อพบกับหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ยืนอยู่เคียงข้างกับอนนี่คนสนิทของเธอ ฮโยยอน ทั้งสองหอบขวดน้ำมากมายจนเข้าต้องเข้าไปช่วยถือแต่เมื่อแขนทั้งสองสัมผัสกัน ซอฮยอนกลับปล่อยขวดน้ำทั้งหมดลงโดยที่ชายหนุ่มเองก็รับไว้แทบไม่ทัน คยูฮยอนและซอฮยอนช่วยขวดน้ำดื่มมากมายหล่นกระจายอยู่ที่พื้น

“ขอโทษค่ะ..อปป้า” หญิงสาวเอ่ยเพียงเบาๆไม่สบตา

เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่ช่วยเธอเก็บขวดน้ำทั้งหมดที่หล่นอยู่ตามพื้นแล้วแจกจ่ายให้เมมเบอร์ที่อยู่ภายในห้องซ้อม

“คยูฮยอน นายคู่กับซอฮยอนเหมือนเดิม เค้าตกลงกันแล้วว่าคราวนี้จะจับคู่ตามความสูง ทงเฮจะได้ไม่ต้องเสริมส้นมากนัก” อีทึกบอกก่อนที่จะเริ่มซ้อมเต้น routine ใหม่ที่จะใช้ในงาน SBS Gayo Daejun 2011

“ฮะ” ชายหนุ่มรับคำสั้นๆแล้วจึงเริ่มเข้ากลุ่มไปซ้อมเต้นกับพวกพี่ๆ

ทั้งวันคยูฮยอนและซอฮยอนสองมักเน่สายร้องที่หัวไวในการต่อท่าเต้นใหม่ไม่แพ้สายเต้นกลับเต้นผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะเมื่อต้องสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกัน ราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าลัดวงจรจนต้องหยุดนิ่งเพื่อปรับจูนเสียใหม่ก่อนที่จะเต้นท่าต่อไปได้

“วันนี้พวกนายสองคนเป็นอะไรกันหะ เต้นผิดกี่รอบแล้วเนี่ย” อีทึกเริ่มรับบทพี่ใหญ่ควบคุมน้องๆ เขาและเมมเบอร์สังเกตถึงอาการประหลาดของเจ้าสองมักเน่ที่ปกติจะหนุงหนิงหงุงหงิงกันตลอด แต่วันนี้กลับนิ่งๆเงียบๆ ไม่พอยังเหมือนกับคนไม่มีสมาธิในการซ้อม เวลาแยกกันซ้อมก็ดูปกติดี พอซ้อมด้วยกันเมื่อไรนี่ราวกับหายนะมาเยือน

“นั่นสิมักเน่ หรือพวกเธอไปทำอะไรกันมา” แทยอนมองหน้าคยูฮยอนสลับไปมากับซอฮยอน ก่อนจะชี้นิ้วไปที่หน้าอปป้าคนเล็กอย่างคาดคั้น “อปป้า!!!”

“เฮ้ยยย!!!” ไม่ใช่แค่คยูฮยอนที่ตกใจกับท่าทางของแทยอน แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมไปถึงซอฮยอนก็ช็อคไม่ต่างกัน

“เฮ้ยยยย!!! ไม่ใช่อย่างนั้นไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกน่า” ร่างสูงยกมือโบกเพื่อปฏิเสธอย่างแข็งขัน

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงพวกเธอสองคนก็ต้องเต้นให้ได้ก่อนแสดง” อีทึกบอกสั้นๆ

“แต่พวกเราเต้นได้กันแล้วนะฮยอง” ทงเฮค้าน “ให้พวกเราพักก่อนไม่ได้เหรอ”

“โอเค พวกเราเลิกซ้อม .. แต่คยูฮยอน ซอฮยอนซ้อมกันต่อนะ จนกว่าจะได้นั่นแหละ”

 

 

“ไม่ได้ค่ะ!” เสียงหวานใสตอบขึ้นทันทีที่ได้ยินเขาบอกว่าจะนั่งรถไปบริษัทด้วยกัน ราวกับว่าเป็นคำสั่งที่ตั้งไว้อยู่ในหัว แทบจะไม่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรอง หากแต่เป็นไปโดยอัตโนมัติ แล้วหญิงสาวจึงอธิบายต่อเมื่อเห็นท่าทีสงสัยของอีกฝ่าย “ก็แล้วแฟนๆของอปป้า…”

“อปป้าไม่เคยคิดจะปิดเรื่องของเรากับใคร” ชายหนุ่มตอบอย่างสัตย์จริง ดวงตาคมมองที่คนตรงหน้าเพื่อยืนยัน

“เค้ารู้..” ซอฮยอนเสียงอ่อนลงเมื่อได้ยินคำของคนตรงหน้า

“อปป้าอยากให้เราได้ไปไหนอย่างเปิดเผย ไปที่ที่เธออยากไป ทำอะไรที่เธออยากทำ เป็นแค่คู่รักธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่คู่รักไอดอล ไม่ใช่คู่รักมักเน่ .. แต่เป็นคยูฮยอนกับจูฮยอน” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขารู้สึกแบบนี้ การทำงานแบบนี้ทำให้เรื่องธรรมดาๆของหลายคนกลับยากขึ้นเป็นเท่าตัว

“อปป้า….”

“เธออาจจะไม่รู้ .. โจว คยูฮยอนน่ะ เค้าจริงจังกับเธอมากนะ” ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่คยูฮยอนลุกจากโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามมายืนอยู่ที่ตรงหน้าเธอ มือหนาจับที่ไหล่กลมมนแน่นเธอทั้งๆที่เธอยังนั่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะโน้มตัวลงมาหยุดที่ตรงหน้าเพื่อประสานสายตา

“อปป้าอาจจะไม่รู้ .. ซอ จูฮยอนน่ะ เค้าจะจับมือคนนั้นไว้ไม่ว่าจะยังไงเหมือนกัน” หญิงสาวเอ่ยตอบ ดวงตากลมโตใสแจ๋วยังคงมองเขานิ่งอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากบางยิ้มให้คนตรงหน้าในขณะที่มือเรียวบางเอื้อมไปจับมือหนาของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นให้เขาดู

“เธออาจจะไม่รู้ .. โจว คยูฮยอนน่ะ เค้าอยากตีตราจองเธอไว้ หนุ่มๆอื่นจะได้ไม่กล้าจีบ” ชายหนุ่มเอ่ยย้อน ดวงหน้าที่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย คยูฮยอนค่อยๆลดระยะทางจดจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากกลมมนราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

“อปป้าอาจจะไม่รู้ .. ซอ จูฮยอนน่ะ เค้าอยากจะบอกไอดอลหญิงทั้งวงการเหมือนกันว่าอปป้าน่ะของเธอ” เธอตอบกลับพร้อมกับเอียงคอมองเขาอย่างน่ารัก

“หรือเธอไม่มั่นใจในตัวอปป้า .. เมื่อคืนไม่ได้สร้างความมั่นใจให้เธอหรอกหรือว่าไม่ว่าเธอจะสภาพแย่แค่ไหนอปป้าก็รับได้น่ะ” ชายหนุ่มพูดแซวคนตรงหน้าอย่างขำๆแล้วจึงยกมือขึ้นมาบีบที่จมูกเล็กได้รูปของเธอเบาๆ

“อ๊ะ!” เสียงเล็กร้องขึ้นเมื่อโดนแกล้งแถมยังโดนเขาแหย่เรื่องเมื่อคืนเสียด้วย แต่ยังไม่ทันได้ทำร้ายคนตัวโตกว่ากลับให้สมกัน ริมฝีปากเรียวสวยกลับถูกประกบแนบสนิทด้วยริมฝีปากหนา ก่อนที่ลิ้นร้อนจะแทรกเข้ามาทำหน้าที่ของมันอย่างชำนาญ เพียวชั่ววินาทีกลับเหมือนยาวนาน ทุกอย่างรอบตัวช่างนุ่มนวลราวกับมีเสียงดนตรีมาบรรเลงใกล้ๆที่ข้างหูก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลง

“พอ” เขาพูดหลังจากที่ถอนจูบออกมาจากริมฝีปากช่างเจรจา ดวงตามองเธอแน่นิ่งก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวอปป้าไปส่งเธอที่หอ เธอไปพร้อมฮโยยอนได้ไหม แล้วซ้อมเสร็จอปป้าไปส่งบ้าน .. เธอไปอาบน้ำได้แล้วไป”

“แต่มันยังไม่ถึงเวลานี่คะ” สาวน้อยในชุดนอนตัวโคร่งยังคงตั้งคำถาม

“ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ .. เราอาจจะไม่ได้ไปซ้อมแล้วเราอาจจะได้แต่งงานเร็วขึ้น กลายเป็นคู่แต่งงานไอดอลไปเลย” ชายหนุ่มให้เหตุผลแบบกวนๆทั้งที่ใบหน้าเริ่มขึ้นสีเลือดฝาดเบาๆ อาย..ที่ต้องบอกว่าเขาต้องการเธอทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลา ส่วนหญิงสาวเอง ใบหน้าขาวใสก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแปร๊ดทันทีเมื่อได้ฟังเหตุผลก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวตามที่เขาว่า

 

 

“โอเค พวกเราเลิกซ้อม .. แต่คยูฮยอน ซอฮยอนซ้อมกันต่อนะ จนกว่าจะได้นั่นแหละ”

สิ้นคำของอีทึก หนุ่มๆ Super Junior และสาวๆ Girls’ Generation ต่างก็ค่อยๆเดินทยอยๆกันออกมา ทงเฮโบกมือให้กับคยูฮยอนก่อนเดินหน้าชื่นตามยุนอาไป มีความสุขแท้ๆที่ได้มอบโชคให้เจ้ามักเน่ตัวแสบของวง เขารู้คยูฮยอนไม่ได้ลำบากใจอะไรที่ต้องอยู่ซ้อมกับซอฮยอน ออกจะชอบมากกว่าด้วยซ้ำ

ห้องที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวเมื่อครู่ตกอยู่ในความเงียบสงบทันทีที่ประตูห้องปิดลง ซอฮยอนได้แต่มองห้องที่บุผนังเป็นท้องฟ้าราวกับว่าเธอนั่งอยู่บนปุยเมฆ ดวงตากลมโตใสลอบมองคนข้างๆเป็นระยะๆจนในที่สุดคยูฮยอนก็ทนนิ่งอยู่ไม่ไหว

“เลิกเป็นแบบนี้เถอะน่า” ชายหนุ่มโอดโอยพร้อมกับดึงคนตัวเล็กกว่าให้เลื่อนเข้ามาใกล้

“เป็นอะไรคะ” เธอถามกลับ

“แบบนี้ไง” เขาพยายามจะอธิบายหากแต่สุดปัญญา ไม่รู้จะอธิบายความหมายของคำว่าแบบนี้ได้ยังไงกัน สุดท้ายร่างสูงจึงรวบตัวเธอเข้ามากอดแน่นพร้อมกับตั้งคำถาม “ปกติเธอไม่เคยเป็นแบบนี้เวลาอปป้ากอดซักหน่อยไม่ใช่เหรอ”

ดวงหน้าหวานขึ้นสีชมพูแปร้ดยิ่งกว่าทาบรัชออน เมื่อคิดถึงความหมายที่สิ่งที่คนรักพูดขึ้นเมื่อตอนเช้าก่อนมาซ้อมก็พาลเอาเขินทุกทีไป แถมยิ่งเธอออกอาการ เขาก็กลับทำท่าเคอะเขินไม่พูดจา ยิ่งทำให้เธออายหนักขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ซอฮยอนพยายามคิดว่าจะอธิบายอาการแบบนี้ได้อย่างไร เธอไม่ได้รังเกียจ หัวใจของเธอสั่นหวิวเมื่อได้ยินว่าเค้าต้องการเธอ แต่จะให้บอกไปอย่างนั้นน่ะหรือ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วมันจะจบลงที่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่อาจบอกได้

“ก็…”

“ขอแสดงความรักไม่ได้หรือไง” ชายหนุ่มรวบรัดไม่ฟังคำอธิบายใด คยูฮยอนทาบริมฝีปากบางเบาๆพร้อมกับเคลื่อนไหวช้าๆ หัวใจของสาวน้อยเต้นระรัว เวลาเพียงวินาทีกลับยาวนานจนเหมือนตลอดไป หากแต่เธอไม่อยากให้วินาทีนี้สิ้นสุดลงเลย ซอฮยอนในตอนนี้เหมือนมีเขาจับจูงให้เดินบนปุยเมฆขาว เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเป็นนางฟ้าบนสรวงสรรค์

“ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อยนี่คะ” เสียงหญิงสาวตอบแผ่วหวิวเมื่อริมฝีปากบางเป็นอิสระ “ก็แค่ .. อปป้าเขิน เค้าก็เขินไปด้วยน่ะสิ”

ชายหนุ่มหัวเราะหึๆเมื่อได้ยินคำตอบแสนน่ารักนั้น เขารู้ว่าที่เธอเงียบเอาแต่ก้มหน้างุดๆก็เพราะเรื่องนั้น เขาเองไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเขารู้ว่าเธอเองก็ต้องการเวลา เขารักทุกอย่างที่ซอฮยอนเป็นแบบนี้ เขารักทุกอย่างที่มีร่วมกันกับเธอ แน่นอนว่าเขามีความต้องการ เขาแค่บอกให้เธอรู้ว่าเขาเองก็เป็นเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป แต่เขาอยากให้เธอมั่นใจไว้ว่าไม่ว่าจะอย่างไร ผู้ชายอย่างโจว คยูฮยอนจะดูแลทนุถนอมเธออย่างดี ไม่ฉวยโอกาสจากเธอ .. ก่อนเวลาอันควร

 

เขาได้พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่หรือ

ดวงตาสีน้ำตาลเข้าจ้องมองคนที่เยื้องย่างเข้ามาในห้องรับแขกอย่างช้าๆ เรืองร่างบอบบางอุ้มเด็กน้อยจ้ำม่ำในอ้อมกอดอย่างไม่มีทีท่าจะว่าจะหนักแต่อย่างใด หญิงสาวกวาดสายมองไปรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ คยูฮยอนย้ายออกจากบ้านและซื้ออพาร์ทเมนต์น่าอยู่นี้ไว้ที่โซลหลังจากที่ย้ายกลับมา ตลอดเวลาที่เขาเฝ้าเทียวไปเทียวมาระหว่างโซล-ยอซูนั้นเขาพักอยู่ที่นี่แทนบ้าน มันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะซื้ออพาร์ทเมนต์ที่ยอซูจะได้ไม่ต้องเดินทาง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขายังต้องทำงาน ยิ่งเขากลายสภาพเป็นคนตกงานหลังจากหมดสัญญาของโปรเจกต์กับบริษัทในอเมริกา เขาจึงต้องกลับมาทำงานกับบริษัทของครอบครัวในโซล ถึงอย่างนั้นทั้งๆที่ิเขาสามารถกลับมาอยู่บ้านได้แท้ๆ แต่เขาก็ซื้อมันเอาไว้เพราะลึกๆแล้วเขายังคาดหวังว่าเธอจะให้โอกาสเขา กลับมาเป็นครอบครัวที่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง .. และเขาก็มีวันนั้น

แรกเริ่มเดิมทีซอฮยอนยังคงพักอยู่ที่ยอซูกับเจสสิก้าหลังจากที่เขาเกิดอุบัติเหตุ เขาต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองอีกหลายเดือนกว่าเธอจะยอมมาอาศัยอยู่กับเขาที่โซล เหนื่อยแต่ก็คุ้มที่สุด

“ฉันนึกว่าคุณไม่ชอบสีเหลืองเสียอีก” เธอเอ่ยเมื่อเห็นสีผ้าม่านสีเหลืองพาสเทลตัดกับสีขาวของห้อง

“ก็คุณชอบ” เขาตอบสั้นๆ เขาใช้เวลาว่างจากการทำงานและการเฝ้าตื้อพี่ภรรยาให้เห็นใจเขาไปกับการตกแต่งอพาร์ทเมนต์ขนาดสองห้องนอนนี้ และทุกครั้งที่เขาเลือกเขาได้แต่คิดว่าอย่างไหนที่เธอชอบจนกลายเป็นว่าบ้านที่เขาแต่งกลายมาเป็นบ้านสีขาวผ้าม่านสีเหลืองพาสเทลสดใส คยูฮยอนแทบจะไม่ชายตาเครื่องเรือนสีขรึมที่เขาเคยชอบแต่กลับเลือกซื้อที่เป็นสีขาวสบายตา

“อบอุ่นดีนะคะ”

“ใช่ อบอุ่นดี” เขาตอบดวงตาจับจ้องที่เธอจนเธอรู้สึกได้ .. ถูกแล้ว สำหรับเขาไม่ใช่ห้องที่อบอุ่น แต่เพราะมีเธอต่างหากมันเลยอบอุ่น เพราะมีเธอทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว การอยู่ในบ้านที่ไม่มีเธอทำให้เขารู้

“มาดูนี่สิซอฮยอน” เขาแตะหลังเธอเบาๆเพื่อนำทาง

คยูฮยอนเปิดประตูให้เห็นห้องเด็กสีสันสดใส ผนังสีฟ้าวาดลายการ์ตูนดูน่ารัก เตียงเด็กขนาดเล็กสีขาวที่มีโมบายเป็นตัวการ์ตูนสีสันล่อตาตั้งอยู่กลางห้องโดยมีเก้าอี้โยกสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เธอมองไปที่ชั้นเล็กๆที่เต็มไปด้วยข้าวของเด็กเล็ก .. เยอะจนเธอแทบจะไม่ต้องขนมาจากบ้านพักที่ยอซูยังได้ .. คยูฮยอนเอื้อมมือมารับเด็กน้อยไปจากตัวเธอก่อนจะวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล มือเล็กป้อมจับของเล่นชิ้นนั้นชิ้นนี้อย่่างสนใจก่อนจะหยิบเอาบางอย่างเข้าปากไปกัด

“อะไรกัน มาถึงก็ทำลายของเลยนะคยองคยู” เขาลูบศรีษะทุยของลูกน้อยพร้อมหัวเราะเบาๆ ซอฮยอนมองภาพตรงหน้าอย่างยินดี น้ำใสๆเอ่อล้นอยู่ที่ดวงตากลมโต

…ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้อีกครั้ง

…ไม่เคยคิดว่าเธอจะได้เขากลับคืนมา

หญิงสาวหันไปให้ความสนใจกับสิ่งของที่อยู่บนชั้นอีกครั้ง มือเรียวหยิบเสื้อผ้าเด็กชายมาคลี่ออกดู ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับคยองคยู แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เธอหยิบเสื้ออีกตัวจากกองข้างๆขึ้นมาดูก่อน และจากอีกกอง

“คุณเหมาเสื้อมาทั้งห้างเลยหรือเปล่าคะ” เธอถามเขา จะไม่ให้ถามได้อย่างไร ก็ในเมื่อเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นเสื้อสำหรับเด็กหกเดือนขึ้นไป และเท่าที่เธอประเมินด้วยสายตาคยองคยูอาจจะไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าอีกเลยไปจนถึงสองขวบ

“งานอดิเรกของผมน่ะ” เขาตอบก่อนเผยรอยยิ้มเก้อๆ

เธอยิ้มตอบเขาเมื่อได้ยินประโยคนั้น ดวงตากลมโตเปลี่ยนจากมองหน้าเขาไปมองหน้าคนที่เหมือนเขาราวกับถอดกันมา มินิคยูของเธอตอนนี้หาววอดทั้งๆที่เพิ่งเล่นสนุกอยู่เมื่อครู่ น่าแปลกที่คยองคยูอารมณ์ดีขึ้นตั้งแต่เธอให้โอกาสคยูฮยอน เด็กชายหลับง่ายเมื่อบิดาลูบศรีษะน้อยเบาๆ

…คงจะคิดถึงพ่อเหมือนกันสินะ

…แม่ขอโทษนะครับที่คิดจะแยกลูกไปจากพ่อ

…แต่แม่ทำเพราะแม่รักคยองคยูนะครับลูก

ทั้งคู่มองดูลูกชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยความรัก คยูฮยอนเอื้อมมือหนามาโอบเอวเธอไว้หลวมๆ เขาบอกเธอ “ผมชอบมานอนที่ห้องนี้แล้วคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้ามีคุณกับลูกอยู่ด้วย ผมจะจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยว่าเขาจะชอบของเล่นชิ้นไหน เขานอนหลับยังไง .. ขอบคุณมากซอฮยอน”

คยูฮยอนจับจูงมือเธอออกมาจากห้องของเด็กชายก่อนจะพาเธอมายังอีกห้องหนึ่ง ห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวดูอบอุ่น เตียงสีขาวถูกปกคลุมด้วยผ้าปูเตียงและหมอนสีฟ้าที่วางแซมสลับกับสีเหลืองสบายตา เธอหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เขาเอาใจเธอแต่ก็ยังขอตามใจตัวเองบ้างด้วยการเลือกสีที่เขาชอบมาแซมไว้

“ชอบไหม หืม” เขาถามพร้อมกับหันไปมองดวงหน้างาม สังเกตแทบทุกจะอากัปกิริยาของเธอ

ซอฮยอนมองไปทั่วห้องก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าประตูตู้เสื้อผ้าบานโต มือเรียวบางเอื้อมไปเปิดมันออกดู ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นข้าวของที่อยู่ภายใน เสื้อของเขาและเสื้อผู้หญิง .. เสื้อผู้หญิงงั้นเหรอ!

เธอบอกไม่ถูกว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่เห็นเสื้อผ้าของผู้หญิงในห้องนอนของเขา .. ห้องนอนของเรา .. เจ็บจุกล่ะมั้ง เขายังคงไม่เลิกเรื่่องแบบนั้น ทั้งๆที่เธอให้โอกาสเขาครั้งแต่เขาก็ทำมันพัง หญิงสาวหมุนตัวก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เธอต้องออกไปจากที่นี่ ทั้งเธอและคยองคยู!

“เฮ้! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิซอฮยอน” มือหนาคว้าตัวเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอ เขาเชยคางเธอขึ้น หญิงสาวขัดขืนเล็กๆแต่ก็แพ้แรงเขาในที่สุด “นั่นก็งานอดิเรกผม .. ซื้อเสื้อผ้าให้ลูกและก็คุณ”

หญิงสาวหยุดนิ่งทันทีี่ได้ยิน เธอมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นอย่างค้นหา ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีแววตาอย่างอื่นนอกเหนือไปจากความจริงใจและความรักลึกซึ้ง ถึงจะยังไม่มั่นใจนักแต่เธอสัมผัสได้

เขาค่อยๆเคลื่อนตัวไปปิดริมฝีปากบางที่น่าหลงไหล หยาดน้ำใสๆไหลลงมาเปื้อนแก้มใส เขาถอนจูบเมื่อรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ .. นี่เขาทำให้เธอร้องไห้อีกแล้วหรือ คยูฮยอนตกใจจนนแทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาของภรรยารัก

“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้มจางๆก่อนจะมอบจูบอ่อนหวาน..ครั้งนี้เธอเป็นคนเริ่ม

จูบแสนอ่อนหวานที่เธอเริ่มกลับกลายเป็นเรียกร้องและรุนแรง คยูฮยอนไม่ได้มีอะไรกับใครอีกเลยตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านนับตั้งแต่เขาเลิกกับจงฮี ไม่มีแม้กระทั่งกับซอฮยอน เขารู้ทุกอย่างต้องใช้เวลากว่าที่เธอจะไว้ใจและรักเขาได้อย่างเดิมอีกครั้ง เขายินดีที่จะรอ .. แต่เธอกำลังทำให้เขาตบะแตก!

“ซอฮยอน-อาห์ ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ”

เธอเป็นคนเริ่มจูบนั้นและมันก็แสนหวานจนเขาต้องการมากกว่านั้นเสียแล้ว ซอฮยอนเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทรักที่ร้อนแรงและแสนหวานและคยูฮยอนก็แสดงความรักให้เธออย่างเต็มที่ จนเมื่อพายุรักสงบลงทั้งคู่ก็นอนเคียงข้างกันอย่างหมดแรง..แต่สุขสม

“เก่งที่สุดเลยซอฮยอน” ชายหนุ่มพูด มือหนาโอบกระชับร่างบอบบางแน่นขึ้น

“คะ?”

“นั่นคือการทำรักที่ดีที่สุดของผมเลย” เขาตอบพร้อมกับมองหน้าเธออย่างหยอกเย้า ดวงหน้าสวยที่ชื้นไปด้วยเหงื่อแดงระเรื่ออีกครั้งด้วยความเขินอาย เขาเกลี่ยผมสวยที่ยุ่งกระจายให้กับเธอแล้วจึงเอ่ย “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวจะไม่ได้นอนนะครับคุณภรรยา”

เขาประทับจูบหนักๆลงที่หน้าผากกลมมนก่อนจะปล่อยให้เธอได้นอนพัก เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใจชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างการทำรักกับการมีเซ็กส์อย่างแท้จริง ความรู้สึกวาบหวาม รุ่มร้อน แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อิ่มเอมช่างแตกต่างกับความสัมพันธ์ทางร่างกาย เขาเองอาจจะลืมไปหรือมันแต่หลงระเริงไปชั่วครู่ กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ความสัมพันธ์ของเขาเต็มไปด้วยความรักแต่ขาดความตื่นเต้นจนจืดจางไปตามกาลเวลาแท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เพราะซอฮยอน อาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยบอกเธอว่าเขาต้องการอะไร เขาไม่เคยสอนให้เธอลองส่ิงใหม่ๆเองต่างหาก บทรักร้อนแรงเมื่อครู่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี

…พักสักหน่อยนะซอฮยอน ผมใจเย็นพอที่จะสอนคุณไปทีละอย่าง

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากร่างบอบบางที่นอนอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มกอดกระชับเธอแน่นก่อนจะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“ผมรักคุณโจว ซอฮยอน”

 

 

NOTE:

* Epilogue เล็กๆของ What you have done .. แปลกเนอะว่าไม่รู้ทำไมเขียนเรื่องแล้วมีเด็กตลอดเลย ทั้งๆที่ชีวิตไม่ถูกโรคกับเด็กเท่าไรแท้ๆ ^^”
* ตอนนี้ที่ลองเขียนคือพยายามจะไถ nc ทั้งๆที่คิดว่า nc ไม่จำเป็น .. แล้วก็ไถไม่ขึ้น เขียนได้แค่ประมาณ 15+ เท่านั้นล่ะค่ะ แฮ่!