เมื่อวานเหนื่อยเดินจนขาจะหลุด กลับมานอนปอดแปดอยู่ที่ที่พัก ไอ่เราก็นึกว่ากายหยาบคงจะไม่ไหวแล้ว ที่ไหนได้ตื่นมาอีกวันเราก็ยังขยับตัวได้อยู่อย่างน่ามหัศจรรย์ วันนี้ตามแผนเราก็ยังจะไปเยี่ยมชมสารพัดวังอีก ขนาดเมื่อวานไปแบบงงๆแล้วก็ยังไม่รู้จักเข็ด ยังยืนยันว่าจะงงอยู่ต่อไป ไหนๆก็ไหนๆ ซื้อบัตร Integrated Ticket มาแล้วนี่ ไม่ไปก็ยังไงๆอยู่ ต้องไปค่ะ .. อ่อ แต่หลังจากเดินเยอะๆเข้า ตอนนี้เริ่มสละสิ่งโดยการโยนหนังสือทิ้ง เหลือไว้แค่น้องแพดกับน้องไอแล้วค่ะ ขนาดแค่นี้สะพายนานๆยังหนักเลย .. นอกเรื่องนานแล้ว เราเริ่มเดินกันอีกดีไหมคะ
Day 7 : Kona Beans (Apgujeong Branch), Unhyeonggung Palace, Changdeokgung Palace and Bewon Secret Garden, Changgyeonggung Palace, Insadong, Garosugil
Kona Beans (Apgujeong Branch)
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Apgujeong Station, Exit 2 แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาทีจากสถานี หรือถ้าเมื่อยก็ออก Exit 1 นั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟไปลงที่ป้าย 23-157 Apgujeong 2(i)dong Community Service Center แล้วเดินข้ามถนนมาเข้าซอยข้างๆ Black Smith Cafe เดินไปอีกนิดก็ถึงค่ะ
Operating Hours: 07:00 – 23:00 hrs
Price : KRW 700+
ก่อนเริ่มวันใหม่เราก็ต้องทานอาหารเช้าใช่ไหมคะ .. 55 เกริ่นได้ห่วยแตกมาก .. เพราะจริงๆแล้วเป็นคนติดอาหารเช้ามาก การมาเที่ยวเกาหลีแล้วไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานสำหรับเราสุดๆ แต่ถ้าได้ทานอะไรรองท้องซักหน่อยจะใช้ชีวิตได้อีกยาวนาน และถ้าได้ทานมากๆชีวิตจะมีสุข
ด้วยความที่ที่พักที่ใหม่ไปอยู่แถมจัมซิล โซลใต้ ซึ่งประมาณ 15-20 นาทีโดยรถเมล์จากแถบอับกุจอง เพราะงั้นเลยตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรต้องได้กิน ยังไงซะก็จะลองมาดูว่า Kona Beans ร้านกาแฟของคุณแม่หนุ่มๆนั้นจะคนซาพร้อมรับการมาเยือนของเรารึเปล่า บอกตรงๆว่าโฉบไปทีไรคนแน่นทุกทีจนคิดว่าจะไม่ได้กินซะแล้วค่ะ .. แต่วันนี้โชคเป็นของเรา Kona Beans คนโล่งงงงงเชียว มานึกอีกที คงเพราะห่างจากช่วงคอนเสิร์ตไปแล้ว แล้วก็หนุ่มเค้าเดินทางไปงานที่ญี่ปุ่น แฟนๆก็เลยซาๆไปอย่างที่เห็น ไม่ใช่เพราะเราโชคดีแต่อย่างใด -__-:;
ในความรู้สึกของเราภายใน Kona Beans ตกแต่งแบบให้ความรู้สึกอุ่นๆ ทั้งพื้น ผนัง กำแพงที่เป็นไม้ ไฟโทนส้มๆ อุ่นๆเหมาะกับเป็นร้านกาแฟเลยค่ะ ข้างในร้านมีของจากแฟนคลับวางอยู่เป็นส่วนๆไป น่ารักดี ยิ่งเจ้าตรงเคาท์เตอร์น่ะมีรูปการ์ตูนตากี้(คยูฮยอน)บอกว่า”อย่าถ่ายรูปตรงเคาท์เตอร์”แล้วก็ตากี้ขายไวน์ตั้งอยู่อย่างน่ารัก เราเดินไปสั่งกาแฟกับเบเกิลอาหารโปรดแล้วก็มานั่งชิมสบายใจ
ปกติเป็นคนไม่กินกาแฟนะคะ เพราะกินแล้วจะใจสั่น แต่นี่ทุ่มทุนมากเพื่อน้องกี้ที่รักยิ่ง .. เปล่าหรอกค่ะ อยากรู้มากกว่าว่ากาแฟเค้าอร่อยไหม .. กาแฟโอเคนะคะ เพราะกินไม่ใส่น้ำตาลก็ใช้ได้ ส่วนเบเกิลนิ่มเชียว Texture ผิดคาดไปหน่อย เพราะงั้นมันจะย่อยเร็วมากที่เดียว ฮาาา
แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละค่ะ อาหารตรงหน้าก็หมดเรียบ! ( ‘ ‘)y เติมพลังแล้วเราก็พร้อมเดินทางแล้วค่าาา RC แรกของวันนี้ พระราชวัง Unhyeonggung
Unhyeongung Palace
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4 แล้วเดินต่อประมาณ 50 เมตรจากสถานี หรือขึ้นรถไฟสาย 5 ลงที่ Jongno 3-ga Station, Exit 4 แล้วเดินต่อประมาณ 300 เมตรจากสถานี
Operating Hours:
November – March 09:00-18:00
April – October 09:00-19:00
Closed on Mondays
Admission fee : KRW 700
พระราชวัง Unhyeonggung หรือ พระราชวังเล็ก แต่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของชายหนุ่มที่ชื่อว่าโกจงซึ่งต่อมากลายเป็นจักรพรรดิในช่วงราชวงศ์โชซอน พระราชวังนี้ก็เลยแตกต่างจากพระราชวังอื่นเล็กน้อย เพราะเป็นบ้านพักมาก่อนนั่นเอง Unhyeonggung ในปัจจุบันนี้มีขนาดเล็กลงกว่าที่เคยเป็นในอดีตที่ผ่านมา
ด้วยความที่เป็นพระราชวังขนาดเล็ก Unhyeonggung จึงเงียบสงบให้ความรู้สึกแตกต่างจากวังอื่นๆ แถมที่นี่ยังเป็นวังเดียวมั้งคะที่ไม่ได้ทาสีเขียวๆแดงๆเหมือนวังอื่นทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ดูแปลกตาไปอีกแบบ ภายในพระราชวัง Unhyeonggung ยังมีหุ่นจำลองแสดงให้เห็นความสำคัญของห้องต่างๆในอดีตทำให้คนอ่อนด้อยประวัติศาสตร์แถมยังไม่ดูหนังประวัติศาสตร์อย่างเราเห็นภาพชัดเจนขึ้นทีเดียว
Changdeokgung Palace and Secret Garden
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 15:30
Admission fee : Adult 3,000 KRW / Child 1,500 KRW (7-18 years old)
Secret Garden Admission Fee : Adult 5,000 KRW / Child 2,500 KRW แต่เพราะเราซื้อบัตรแบบ Intergrated Ticket มาเลยเข้าเลยค่าาา ทั้ง Changdeokgung และ Secret Garden ก็รวมอยู่ในนั้นแล้ว
เอ๊ะ อะไรกัน เห็นชื่อสถานที่ที่จะไปก็เกาหัวแกรก ไหงพระราชวัง Changdoekgung กับสวนลับพีวอนมาอีกแล้วววว ก็เพราะว่าเจ้าบัตร Integrated Ticket ของเรามันรวมทั้งวังและสวนลับพีวอน เราก็เลยตัดสินใจมาอีกครั้งนึงให้จุใจ มาคราวนี้ต่างจากคราวที่แล้ว ก็เพราะว่าคราวนี้มามึนคนเดียว ไม่มีเพื่อนร่วมทางสองคนมาด้วย .. และอีกอย่างคือมาวันนี้แดดดีมากเลยค่ะ
…ดีใจปานได้โล่ ㅠㅠ
สองวันดี สี่วันฝนสุดๆแบบนี้ เราว่าเราโชคดีได้อีกที่ได้เจอแดดออก ถ่ายภาพไม่ขมุกขมัวอีกต่อไปแล้วค่ะ .. เพราะมีบัตรเราก็เลยจัดการยื่นมันให้คุณลุงที่อยู่หน้าประตู แล้วคุณลุงก็พูดอะไรซักอย่างเป็นภาษาเกาหลีใส่เรา สุดท้ายพอจะเดาได้ว่าคุณลุงจะบอกว่าบัตรนี้รวมพีวอนนะ ให้ไปทางด้านขวาเลย เราก็เลยพยักหน้าหงึกๆพร้อมกับเอ่ยขอบคุณคุณลุง .. แต่เราก็ยังไม่ได้ไปที่สวนลับพีวอนเลยหรอกนะคะ คราวนี้เราตัดสินใจค่อยๆเดินชมตัวพระราชวัง Changdeokgung ก่อน
พระราชวัง Changdeokgung หรือ พระราชวัง Changdeok สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โจชอน เมื่อปี 1405 แม้ในตอนแรกพระราชวัง Changdeokgung ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังรองจากพระราชวัง Gyeongbokgung แต่ภายหลังถูกใช้เป็นพระราชวังหลักของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์โจชอนหลายสมัยและกลายเป็นพระราชวังหลักในที่สุด หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นรุกราน ทั้ง Gyeongbokgung Changdeokgung และพระราชวังอื่นๆถูกเผาทำลายลง แต่พระราชวัง Changdeokgung ได้รับการบูรณะและใช้เป็นพระราชวังหลักมากว่า 270 ปีจนเมื่อการบูรณะพระราชวัง Gyeongbokgung เสร็จสิ้น
ว่ากันว่าหากในอนาคตสถาบันจักรพรรดิเกาหลีถูกฟื้นขึ้นในฐานะสัญลักษณ์แห่งรัฐ เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นประมุข พระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ใช้ในการประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อการขึ้นเสวยราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิค่ะ
พระราชวัง Changdeokgung ประกอบไปด้วยพื้นที่สาธารณะภายในวัง พระตำหนักของกษัตริย์และราชวงศ์และก็สวนลับพีวอน อย่างที่ทราบแหละค่ะว่าสวนลับเป็นที่พักผ่อนของเจ้านายและเชื้อพระวงศ์ เจ้าสวนลับนี้ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย บางต้นอายุกว่า 300 ปี สระน้ำและก็ตำหนักย่อยๆในนั้น
การเข้าชมสวนลับพีวอนนั้นต้องมีไกด์นำชม โดยจะจัดเป็นรอบๆตามภาษา คราวที่แล้วเราไปทันรอบภาษาอังกฤษพอดี แต่คราวนี้เดินเปะปะไป พอไปถึงด้านหน้าทางเข้าก็มีกลุ่มนึงเพิ่งเดินเข้าไป เราเลยบอกคุณลุงหน้าทางเข้าสวนลับว่าจะไปด้วยค้าาาา คุณลุงก็ส่งภาษา ประมาณว่าจะไปไหน จะเข้าไปกับไกด์ภาษาอะไร เราเลยบอกว่าเอาภาษานั้นแหละกลุ่มนั้นที่เข้าไปน่ะ ลุงเลยถามว่าภาษาจีน? คนฮ่องกงเหรอ? เราก็เลยพนักหน้ารับไป
…เมื่อวานเป็นยุโรป วันนี้เป็นสาวฮ่องกงค่า
สวนลับพี่วอนนั้นก่อนหน้านี้มีชื่อว่า บุควอน และก็ กึมวอน แต่สุดท้ายเมื่อพระเจ้าโกจงครองราชย์ก็ถวายนามให้ใหม่เป็นพีวอนมาถึงปัจจุบันนี้้ล่ะค่ะ บริเวณที่เป็นน้ำตกหิน ในอดีตเหล่าเจ้านายจะสังสรรค์กันโดยการลอยแก้วเหล้าไปตามน้ำ หากว่าลอยไปทางใครคนนั้นก็จะต้องดื่มให้หมดและแต่งโคลงกลอน หากแต่งไม่ได้จะต้องดื่มเหล้าสามแก้วเป็นการทำโทษ เป็นการพักผ่อนที่น่ารื่นรมณ์จริงๆ ^^
การเดินทางของเราในวันนี้ แรกๆก็ซ้ำทางเดิมอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่พอเดินเข้าไปลึกขึ้นก็เริ่มแปลกตา ตอนแรกน่ะเราไม่คิดจริงๆว่าจะเป็นป่าสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ แม้ภายนอกจะมีแดดแต่ในสวนลับแห่งนี้อากาศเย็นสบายมากเลยล่ะค่ะ พีวอนสำหรับเราใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าสวนลับ ควรจะเรียกว่าป่าหรือภูเขาที่ราชวงศ์มาสร้างตำหนักอยู่ในนั้นมากกว่า เราเองพอเดินชมไปเรื่อยก็ไม่แปลกใจเท่าไรนะคะว่าทำไมต้องมีไกด์นำชมในพีวอน เพราะถ้าเดินเองแล้วอาจจะเดินสะเปะสะปะไปจนหลงสวน(ป่า)ก็ได้ เดินไปครบรอบก็มาโผล่ตรงทางเข้าวังพอดีเลย
…โอ่~ มาแบบไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ดูต้นไม้ต้นโตๆ
สวนลับพีวอนนั้นถือเป็นที่โปรดอีกที่นึงของเราเลยค่ะ ถ้าสังเกตจะเห็นเราพูดบ่อยๆเกี่ยวกับเกาหลีคือพื้นที่สีเขียว ต้นไม้และภูเขา เพราะเราชอบที่คนอยู่อาศัยกันอย่างประนีประนอมกับธรรมชาติแบบนั้น พีวอนเองได้รับการออกแบบปลูกสร้างให้เข้ากับภูมิประเทศโดยรอบที่เป็นป่าและเนินเขามากกว่าที่จะถางทำลายเพื่อมาทำพระราชวังและตำหนักเพื่อพักอาศัย นอกจากนั้นยังเป็นที่เงียบสงบร่มรื่นจนเหมือนหยุดเวลาไว้เลยค่ะ เราว่าคนเกาหลีน่าอิจฉาที่ในเมืองหลวงก็มีป่ามีต้นไม้มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ แต่ประเทศไทยขนาดไปต่างจังหวัดยังเห็นแต่ภูเขาหัวโล้นเลย
…แต่ก็นะ เราไม่เคยไปต่างจังหวัดเกาหลีเลยยังบอกไม่ได้ว่ามีภูเขาหัวโล้นรึเปล่า
เดินพีวอนจนสุดเราก็มาเดินชมวังต่ออีกนิดก่อนจะไปพระราชวังแห่งที่สามของวันนี้
Changgyeonggung Palace
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, Apr – Oct 09:00 – 18:30 hrs
Admission fee : Adult 1,000 KRW พระราชวังนี้รวมอยู่ใน Intergrated Ticket นะคะ ^^
พระราชวัง Changgyeonggung เป็นพระราชที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซองจงเพื่อเป็นที่ประทับเของเจ้าจอมมารดา พระราชวังนี้ก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากพระราชวังอื่นเท่าใดนัก ในช่วงที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานก็ได้ถูกเผาทำลายลงและได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง หลังจากนั้นก็ยังเกิดไฟไหม้และได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้ง จนเมื่อเกาหลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก Changgyeonggung (พระราชวังชางเกียง) เป็น Changgyeongwon (สวนชางเกียง) เพื่อทำลายความยิ่งใหญ่และอำนาจของราชวงศ์เกาหลี ต่อมาพระราชวังนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ในช่วงที่เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น จนเมื่อรัฐบาลเกาหลีได้ย้ายสวนสัตว์ออกไปแล้วบูรณะให้เป็นพระราชวัง Changgyeonggung ดังเดิม
พระราชวัง Changgyeonggung นั้นสามารถเดินต่อมาจากพระราชวัง Changdeokgung ได้เลย แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเราตัดสินใจเดินจากด้านนอก คือ ออกทางประตูหน้าแล้วเดินเตาะแตะริมถนน เราเองดันนึกว่าประตูของ Changgyeonggung จะใกล้ด้วย แต่ดันไกลกว่าที่คิด .. ทำเอาเมื่อยตั้งแต่ยังไม่เข้าวังเลยค่ะ
เดินสำรวจวังไป อย่างที่หนังสือบอกไว้จริงๆว่าวังนี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ของเกาหลี เพราะมีบางส่วนของวังที่เป็นเพียงสนามหญ้าหรือทางเดินในสวนแต่มีแผ่นป้ายอธิบายไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนนี้ๆของวังมาก่อนก่อนที่จะถูกทำลายลงไป เห็นภาพวาดวังเก่าแล้วน่าเสียดายความยิ่งใหญ่นะคะ คงคล้ายๆกับเวลาที่เห็นโบราณสถานในบ้านเราที่เหลือแต่ซากปรักหักพังไว้ ที่นี่เองก็เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าบางส่วน
ตอนแรกน่ะเราเองจะเดินออกมาแล้วแต่เพราะอะไรซักอย่างทำให้อยากดู greenhouse ด้านในสุดของวังทั้งๆที่ก็ไม่รู้หรอกว่าหน้าตาเป็นยังไง ระหว่างทางที่จะเดินไปถึง greenhouse เราพบกับสระน้ำสระเบ้อเริ่มก่อนเลยค่ะ สวยมากจริงๆ สระน้ำนี้มีสองสระคือสระใหญ่และสระเล็ก เจ้าสระเล็กเนี่ยเป็นสระออริจิตั้งแต่สมัยโจชอน ส่วนเจ้าสระใหญ่นั้นคือที่นาที่กษัตริย์ทำการเพาะปลูก ซึ่งเวลาที่ไถนาข้าวเหล่านั้นก็จะภาวนาให้การเพาะปลูกของประเทศดี อะไรประมาณนั้น (ขอโทษที่ราชาศัพท์ไม่ได้นะคะ อ่อนด้อยจริงๆด้านนี้ ㅠㅠ) แต่พอตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นเท่านั้น ที่น่าเหล่านั้นก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสระน้ำขนาดใหญ่แทนเพื่อให้คนทั่วไปได้ใช้ในการสันทนาการ .. ถึงบอกไงคะว่าวังนี้เป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ของเกาหลีโดยแท้ .. แล้วเราก็เดินมาถึงอาคารกระจกสีขาว สวยมากเลยค่ะ โชคดีที่เดินมาเป็นเวลาที่มีฟ้ามีแดด ถ่ายรูปออกมาสวยจริงๆ ด้านใน greenhouse ยังคงมีพืชพันธุ์ต่างๆมากมายเลย เราเดินชมเล็กน้อยแล้วก็ลากขาตัวเองออกมา
อย่างนึงที่เราชอบเวลาเดินเที่ยววังในเกาหลีคงเป็นเพราะเรามักจะเห็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่พาเด็กๆมาชมวังพร้อมกับเล่าประวัติให้เด็กสมัยใหม่ได้รู้เรื่องราวของชาติในอดีต เราได้เห็นชาวเกาหลีหนุ่มสาวเป็นระยะๆ .. บางทีเค้าอาจจะมาเดท แต่เลือกเดทในวัดวัง เก๋ชะมัดเลยค่ะ เด็กวัยรุ่นไทยไปเดทตามห้าง ไม่เห็นเดทตามวังบ้างเลย .. นอกจากนั้นเรายังได้เห็นคนแก่มาเดินชมวังด้วย ไม่รู้ทำไม แต่เห็นแล้วรู้สึกดีที่คนในประเทศเค้าใส่ใจกับประวัติศาสตร์บ้านเกิด ประวัติศาสตร์เหล่านี้เราว่าสำคัญนะคะ แน่นอนว่าถ้าศึกษาประวัติศาสตร์แต่ละประเทศนั้นมักจะไม่ตรงกันเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ควรรู้ไว้ เพราะถ้าคนเราไม่มีอดีตก็คงไม่มีปัจจุบันอย่างทุกวันนี้ใช่ไหมคะ
…เขียนไปก็เหมือนกับบอกตัวเองเอาไว้ว่าต่อไปนี้จะสนใจประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นนี่เอง
Insadong
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4 5
Jongmyo Shrine เป็นศาลบรรพชนของพระราชวงศ์โชชอน เราเลยแอบสนใจ ในวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ Jongmyo Shrine จะมีการประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณของกษัตริย์กันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่ดั้งเดิม เราเองยังคิดเลยว่าหากมีโอกาสได้ไปเกาหลีช่วงนั้นพอดีจะขอไปชมพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นขวัญตาซะหน่อย รู้สึกว่าเกาหลีจะเป็นประเทศเดียวแล้วมั้งคะถ้าเราจำไม่ผิดที่ยังคงสืบสานประเพณีนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน
เพราะความที่อ่านประวัติ Jongmyo Shrine ด้านบนเลยทำให้เรารู้สึกอยากไป ยิ่งแค่เดินข้ามจากพระราขวัง Changgyeonggung มาก็ถึงแบบนี้ยิ่งปรารถนาใหญ่เลย เราสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าฝั่งตรงข้ามถนนที่เดินทำไมกลายเป็นกำแพงไม้ปิดเอาไว้เหมือนเป็นเขตก่อสร้างทั้งๆที่ควรจะเป็นทางเข้า Jongmyo Shrine สู้อุตส่าห์เดินวนไปดูก็หาทางเข้าไม่เจอ รู้แหละค่ะว่ามันจะเดินทะลุไปถนนอีกฝั่งเพราะงั้นจะเสี่ยงเดินไปดูอีกประตูก็ได้ แต่ก็ต้องย้อนไปเดินชมด้านในอีก และก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเปิดรึเปล่า กายหยาบของเราตอนนี้ประท้วงใหญ่ว่าไม่ไหวแล้ว ต้องการอาหารใส่ท้องแบบด่วนจี๋ ขาเริ่มหนักอึ้ง ก็เลยตัดใจไปอินซาดงเลยดีกว่า ทด Jongmyo Shrine ไว้ก่อน แมชหน้าค่อยว่ากันนะคะ ㅠㅠ
จากแถวๆ Jongmyo Shrine เดินมาไม่ไกลมากก็ถึงสวนทับกลซึ่งจะสามารถเดินทะลุไปแล้วไปป๊ะอินซาดงได้พอดี เราเลยเลือกเดินในสวนค่ะ ภายในสวนทับกลเราจะสามารถเห็นผู้เฒ่าผู้แก่มานั่งชิวกันเป็นปกติ มีคุณตาคนนึงใจดีมากๆเลยค่ะ เค้ายืนหล่ออยู่ที่หอระฆัง เราเองกะว่าจะถ่ายภาพคุณตากับระฆังไว้ซะหน่อย แต่คุณตากลับเดินออกมาให้เราถ่ายภาพเฉยเลย .. รู้สึกผิดบวกขอบคุณในใจยังไงไม่รู้
สวนทับกลเป็นที่ประกาศอิสรภาพของชาวเกาหลี เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กๆและเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัดในศาสนาพุทธชื่อว่า “Wongaksa” ซึ่งถูกทำลายไปเนื่องจากนโยบายการปราบปรามทางพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันยังคงมีการเก็บรักษาเจดีย์ wongak ซึ่งเป็นเจดีย์หินสูง 10 ชั้นไว้ในครอบแก้วอยู่
จากสวนทับกลไปไม่ไกลก็ถึงอินซาดงแล้วค่ะ แค่เดินมาถึงก็ครื้นเครงเลยค่ะ ตรงลานทางเข้าอินซาดงนั้นมีการแสดงอะไรซักอย่าง เราเห็นคนตั้งแต่นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ขาวเกาหลียืนชมกันใหญ่เลย แถมมีคุณลุงคุณป้าชาวเกาหลีไปร่วมเฮฮากับนักแสดงซะด้วย เดินไปอีกนิดก็เจอหนุ่มสาวกำลังนั่งเป็นแบบให้จิตรกรวาดรูปอยู่ริมถนน ได้อารมณ์ดีจริงๆ
ครั้งนึงอินซาดงเคยเป็นตลาดค้าของเก่าและพวกงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีค่ะ ประวัติของอินซาดงจริงๆแล้วนั้นในสมัยโจชอนแล้วเป็นถนนที่เป็นที่เรียนศิลปะ เพราะฉะนั้นบริเวณแห่งนี้เลยเป็นเหมือนศูนย์กลางงานศิลป์ตั้งแต่พวกภาพวาด งานฝีมือ อะไรอย่างนั้น ท่ามกลางย่านศิลปะแบบที่มีกลิ่นไปของความดั้งเดิม มีตึกนึงค่ะที่เป็นตึกอาร์ตตัวแม่แบบสมัยใหม่ คือ Ssamziegil
Ssamziegil เป็นตึกที่มีร้านค้าแบบโคตรอาร์ต ตกแต่งแบบน่าถ่ายรูปไปซะทุกซอกทุกหลืบ ในตึกมีตั้งแต่ร้านขายของจุกจิก ร้านเสื้อผ้า ไปจนถึงร้านอาหาร (ถ้าใครเคยดู MV เพลง Seoul ที่เป็นเพลงโปรโมทการท่องเที่ยวเกาหลี อาจจะเคยเห็นที่นี่แว่บๆก็ได้ค่ะ เราเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ไปแล้วกลับมาดู MV เหมือนกัน)
เราน่ะเป็นพวกแปลกประหลาด เห็นป้ายชี้เข้าไปในหลืบเล็กๆว่าเป็นทางไป Ssamziegil เลยเลี้ยวเข้าไปเลย ก็เดินผ่านร้านอาหาร เห็นมีเกี๊ยวทอดดูน่ากินมากเลยตั้งใจไว้ว่าจะเดินกลับมา เราเดินนั่นนี่เรื่อยเปื่อยไปโผล่อีกทีชั้น 4 ของ Ssamziegil เหมือนเดินสวนทางกับชาวบ้านยังไงไม่รู้ค่ะ เราเดินเล่นใน Ssamziegil ไปเรื่อยจนไปเจอประตูทางเข้าที่ใหญ่กว่า แทนที่จะเดินออกไป ไม่เอาล่ะกลัวหาร้านอาหารน่ากินนั้นไม่เจอ ยอมเดินย้อนกลับมาทางเดิมซึ่งมารู้ทีหลังว่าอ้อมมาก คือแค่เดินประตูหน้าเดินย้อนมานิดก็ถึงแล้ว จะเดินสี่ชั้นลงมาตามทางเดิมทำไมกันค้าาาาา ไม่เข้าใจตัวเอง ㅠㅠㅠㅠ
แต่ชั่วโมงนั้นไม่สนใจอะไรนอกจากขอให้ไปถึงร้านเกี๊ยวทอดนั้นให้ได้ เพราะตัดสินใจแล้ว เนื่องจากว่าเราถูกชะตากับเกี๊ยวทอดที่ส่งวิ้งค์มาให้เราตอนเดินผ่านไปครั้งแรก พอมาถึงเห็นว่ามีเมนูเป็นบะหมี่ด้วยเลยเดินเข้าไปนั่งดีกว่า เราสั่งเกี๊ยวกับบะหมี่ที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ชี้ๆไปเพราะร้าน local เหลือบรรยาย จนชาวเกาหลีที่นั่งข้างๆถามเราเป็นภาษาอังกฤษค่ะว่ากินอะไร เกี๊ยวอย่างเดียวเหรอ พอเราบอกไปว่ากินเกี๊ยวแล้วก็บะหมี่ด้วย อนนี่แสนสวยก็จัดการสั่งให้ค่ะ เพราะพนักงานใจดีเข้าใจว่าเราสั่งแค่เกี๊ยวทอดอย่างเดียว
ระหว่างมื้ออาหารอนนี่แสนสวยชวยเราคุยตลอดเลย เราก็เพิ่งรู้ตอนที่เค้าเอามาบะหมี่เรามาเสิร์ฟแล้วอนนี่คนสวยบอกเราว่ามันคือแนงมยอน บะหมี่เย็น แถมอนนี่ยังคอยสอนวิธีการกินให้เราด้วย ใจดีมากๆเลย >;<; อนนี่บอกเราอีกว่าร้านนี้เป็นร้านดังที่ออกรายการโทรทัศน์ และเมนูดังก็คือเจ้าเกี๊ยวน่าตาดีนี่แหละค่ะ เห็นไหมว่าเราสัญชาตญาณด้านอาหารดีอย่างไม่น่าให้อภัย เรากินไปคุยกับอนนี่แสนสวยไปจนอิ่ม แต่ยังเหลือเกี๊ยวอยู่อีกสองตัว .. มัวแต่ไปกินแนงมยอนเลยอิ่มตื้อ ไม่เหลือที่ให้เกี๊ยวเลย .. อนนี่แสนสวยของเราเลยช่วยบอกกับคุณพนักงานใจดีให้เก็บเงินแล้วห่อกลับบ้านให้เราด้วย คุณพนักงานใจดีก็เอามาให้พร้อมกับพูดอะไรกับอนนี่เป็นภาษาเกาหลีที่อนนี่แปลให้ฟังว่า "เค้าบอกว่าคุณสวย ตาโตน่ารัก แล้วเค้าก็แถมเกี๊ยวให้คุณมาอีกหนึ่งตัว"
จุดนี้ทั้งดีใจทั้งโคตรเขินเลยค่ะ เจอคนเกาหลีชมเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าสวย แถมได้เกี๊ยวฟรีมาด้วย กรี๊ดดดดดดด~
เราแยกกับอนนี่คนสวยน่าอินซาดงก่อนกลับบ้าน เราขอบคุณอนนี่แสนสวยนับครั้งไม่ถ้วนเลยล่ะค่ะที่ทำให้เราสนุกมากขึ้นในการเที่ยววันนี้จากการมีเพื่อนกินข้าวที่ถูกใจ
…ขอบคุณนะคะอนนี่สำหรับความทรงจำดีๆที่อนนี่ได้สร้างไว้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ขอบคุณจริงๆค่ะ
…ถ้ามีโอกาส หวังว่าเราคงได้พบกันใหม่นะคะ
Garosugil
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Sinsa Station, Exit 8 หรือ ลงที่ Apgujeong Station, Exit 5 แต่เดินจาก Apgujeong Station จะเดินไกลกว่าหน่อยนึงค่ะ
ค่ำนั้นไม่รู้อิท่าไหนตกลงใจไปเดินเล่น Garosugil ต่ออีกนิดหน่อยได้ของติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย(อีกแล้วก่อนจะกลับบ้าน) .. Garosugil นั้นแปลว่าถนนที่มีต้นไม้เต็มสองข้างทางซึ่งก็คือต้นแปะก๊วย Garosugil นั้นเชื่อมระหว่างถนน Dosan-daero กับถนน Apgujeongro สามารถมาได้จากทั้งสองทาง ถ้าเข้าจากทาง Dosan-daero ก็จะเป็นDosan-daero 13-gil แต่ถ้ามาจาก Apgujeong ก็เป็น Apgujeong-ro 12-gil รับรองว่าถ้าเดินไปยังไงก็ไม่หลงแค่เดินตามหนุ่มๆสาวๆไปเดี๋ยวก็เจอค่ะ
Garosugil นั้นไม่ยาวเท่าไรแต่เต็มไปด้วยร้านค้าพวก Private Brand เต็มไปหมด ราคาเสื้อผ้าลดราคาบางตัวที่เราจับได้มาก็ประมาณ 300 บาทไทยนับว่าถูกมากวำหรับเสื้อผ้าที่เกาหลีไปจนถึงหลักหลายพัน นอกจากนั้นร้านอาหารต่างๆก็น่านั่ง ถ้าเดินไปถนนสายนี้ก็จะเจอเด็กวัยรุ่นเต็มไปหมดเลย เหมือนเดินสยามแบบสั้นๆในซอยเดียวยังไงอย่างงั้น
ช้อปๆอย่างรวดเร็ว เงินเราหายวับไปเลย ㅠㅠ สุดท้ายวันนี้เรากลับบ้านแบบกินข้าวน้อยช้อปหนักค่ะ ปรบมือให้ตัวเองรัวๆหน่อย ㅠㅠ แต่ขอบอกเลยนะคะ ไปคราวหน้าเราจะไปเสียเงินที่นี่อีก เสื้อที่สอยมาถูกใจที่สุดในโลกหล้า ไปคราวหน้าโดนอีกเห็นๆ