That’s something never changed
The more memorable time we had, the more I feel miserable
“นี่! หยุดเดียวนี้เลยนะลี ดงเฮ” ยูริโวยวายเสียงดังลั่น เมื่อเห็นดงเฮพยายามจะฉวยโอกาสที่เธอมองไม่เห็นหนีออกจากห้องประชุม ไม่อยากเล่นละครเวทีเด็กๆ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงอันดังของยูริก็ต้องชะงัก
“เธอสัญญาแล้วนะว่าเธอจะทำละครเวทีกับฉัน เธอจะผิดสัญญางั้นเหรอ” ยูริถามจ้องเข้าไปในตาสีน้ำตาลตรงหน้านิ่ง ไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดออกมาจากริมฝีปากสวยนั้น ดงเฮมองหญิงสาวตรงหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นสิ่งที่เขารู้คือเขาทำได้แต่พยักหน้าเบาๆแล้วเดินตามเธอไป แพ้ทางจริงๆเวลาที่เธอพูดเรื่องสัญญา และนั่นเป็นการเริ่มต้นของทุกสิ่ง
เขารู้จักกับยูริและคยูฮยอนตอนมัธยมปลาย ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียน เขา คยูฮยอน ยูริ และซอฮยอนน้องสาวของเธออยู่ด้วยกันเสมอ ยิ้มและหัวเราะไปพร้อมๆกัน ยูริเป็นดาวของโรงเรียน เธอทั้งสวย เก่ง ร่าเริงและเป็นมิตร เพราะความเปิดเผยของเธอทำให้เธอมีเพื่อนมากมาย ส่วยคยูฮยอนก็เป็นหนุ่มที่สาวๆหมายปอง เขาเรียนเก่ง เป็นถึงแชมป์คณิตศาสตร์โอลิมปิก เขารักดนตรีและเล่นดนตรีเก่ง หน้าตาดีจนติดอันดับออลจังของโรงเรียน ไม่แปลกนักที่ในที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงคบหากันภายใต้การสนับสนุนของซอฮยอน
จนเมื่อเขาและเธอเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไปเมื่อต่างคนแยกย้ายไปเรียนตามที่ตนเองต้องการ คยูฮยอนเลือกเรียนด้านการบริหารการตลาดเพราะต้องสืบทอดกิจการของครอบครัวบวกกับความชอบส่วนตัว ในขณะที่ยูริเลือกเรียนด้านการแสดงเช่นเดียวกับเขา ยูริเป็นเจ้าแม่กิจกรรม และก็ไม่พ้นที่จะชักชวนแกมบังคับให้ดงเฮซึ่งมีเวลาว่างตรงกับเธอมากที่สุดให้ร่วมกิจกรรมร่วมกับเธอทุกครั้งไป
“เธอเนี่ยนะ ทำไมไม่ไปบังคับให้แฟนเธอมันมาเล่นละครเวทีนี่บ้าง” ดงเฮบ่นงึม และทุกครั้งที่เขาบ่นเธอก็มักจะยักไหล่ตอบกลับมาหน้าตาเฉย
“ก็คยูฮยอนกับฉันเวลาไม่ตรงกัน อีกอย่างเขาก็ไม่ว่างด้วย”
“เธอควรจะบอกมันให้มาดูแลเธอบ้าง” ดงเฮยังคงไม่เลิกบ่น ทั้งหมดก็เพราะความเป็นห่วงคำเดียวเท่านั้น ละครเวทีต้องซ้อมหนัก เลิกก็ดึก ครั้นเขาจะไปส่งเธอทุกวันก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายในอีกฐานะนึงยูริถือว่าเป็นแฟนเพื่อนสนิท จะทำอะไรเขาต้องคิดไม่น้อยเกรงว่าจะทำอะไรไปกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ยิ่งพวกเขาสำคัญมากเท่าไรเขายิ่งต้องคคิดมากขึ้นเท่านั้น
“เราไม่ได้คบกันแบบนั้น และฉันก็ดูแลตัวเองได้” ยูริสวนเกือบจะทันทีเมื่อได้ยินดงเฮพูด ไม่รู้ทำไมเธอหงุดหงิดเสมอเมื่อมีคนพูดถึงเธอกับคยูฮยอนแบบนั้น ราวกับว่าคบกันแล้วเธอเป็นเจ้าหญิงแล้วจะดูแลตัวเองไม่ได้ “ถ้าเธอเบื่อที่จะอยู่กับฉัน ก็ไปซะ ฉันไปชวนคนอื่นก็ได้”
ดงเฮมองยูริที่เดินหนีไป เขารู้ว่าเธองอน แต่เธอจะรู้บ้างไหมว่าที่พูดน่ะเพราะเป็นห่วง ไม่ใช่เพราะเบื่ออย่างที่เธอพูดออกมา ดงเฮถอนลมหายใจหนักอึ้งก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆเดินตามเธอไป
…ต้องง้ออีกตามเคยสินะ
ยูริได้รับเลือกเป็นนางเอกละครเรื่องแรกที่ทั้งคู่ร่วมเล่น ส่วนดงเฮก็จับพลัดจับผลูได้เป็นพระรองอย่างไม่รู้ตัว แต่เพราะละครเรื่องนั้นทำให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้น และทำให้เขาเห็นหลายๆมุมของเธอ ยูริกับภาพลักษณ์ที่แสนจะเก่งและห้าวหาญ สาวสวยเซ็กซี่ประจำภาควิชาการแสดง จริงๆแล้วเธอเป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่งที่อ่อนไหว ภายนอกยูริจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่จิตใจของเธอเหมือนจะตรงกันข้าม และเขาก็กลายเป็นคนที่เคียงข้างเธอเสมอ
“ไม่ไหวเอาซะเลย จะทำของขวัญให้พ่อกับแม่เองก็ไม่ได้ ต้องให้เธอช่วยทุกที” เธอบ่นตัวเองครั้งที่พยายามจะถักผ้าพันคอคู่ให้คุณและคุณนายซอตามที่ตกลงไว้กับซอฮยอน โดยซอฮยอนจะถักให้คุณพ่อ ส่วนเธอจะถักให้คุณแม่ แต่สุดท้ายกลายเป็นดงเฮต้องมาช่วยถักจนเสร็จดี เขาได้แต่หัวเราะเบาๆพร้อมกับบอกเธอว่าเขายินดี
“ฉันเป็นพี่ที่ไม่เอาไหน ดูแลน้องเองก็ไม่ได้” เธอบ่นกับเขาเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนต้องกลายเป็นคนติวหนังสือให้กับซอฮยอนแทนที่จะเป็นเธอ พี่สาวแท้ๆ ดงเฮได้แต่จับหัวเล็กๆนั้นโยกไปเบาๆ พร้อมกับคำปลอบใจ ใช่ทุกคนจะถนัดในสิ่งเดียวกัน สำหรับซอฮยอนเธอเป็นพี่สาวที่วิเศษที่สุดแล้ว
“ฉันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เล่นละครไม่เอาไหน แล้วยังจะมาเป็นนางเอก” เธอพูดเสียงอู้อี้เมื่อพักฝึกซ้อมละครเวที เธอโดนผู้กำกับตำหนิเรื่องที่เธอไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของนางเอกที่มีความรักได้ ดงเฮได้แต่โอบกอดเธอไว้เบาๆเพื่อปลอบใจ .. เธอไม่ใช่คนใจแข็งที่ไร้ความรัก เธอแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้น
ในห้องประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยสถานที่ที่ใช้จัดละครเวที คณะนักแสดงยังคงซ้อมละครเวทีเป็นปกติแม้เวลาจะผ่านไปร่วมค่อนคืน บางคนเริ่มง่วงแต่ก็ยังฝืนที่จะทำต่อให้เสร็จด้วยรู้ว่าคนอื่นๆก็กำลังตั้งใจทำงานเช่นกัน จะเสียเวลาไม่ได้แม้ซักวินาที ยูริกำลังซ้อมบทอยู่กลางเวทีกับพระเอกละครและดงเฮ หญิงสาวกำลังมุ่งสมาธิไปที่บทละครจนไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว พลันหางตาของดงเฮเหลือไปเห็นเพื่อนร่วมชั้นที่ถือกำลังจัดไฟดูหมิ่นเหม่คล้ายจะหล่นลงมา เขามองพร้อมกับคิดเบาๆ “อย่าได้ตกลงมาเชียว” แต่ไม่ทันไรสิ่งที่เขาคิดก็เกิดขึ้นจริงๆ ไวกว่าความคิด ดงเฮกระโดดเข้าไปผลักยูริให้พ้นทาง
โครม!
เสียงดังสนั่นปนกับเสียงหวีดร้อง ร่างกายของดงเฮถูกขาตั้งไฟทับจนหมดสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ยูริได้แต่ยืนสั่นพร้อมจะทรุดลงไปทุกเมื่อ น้ำตาที่ไหลยากเย็นกลับไหลรินลงมาตามแก้มเนียนโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“ดงเฮ” เธอครางเบาๆ อยากจะหยุดหายใจให้ได้เมื่อเห็นสภาพเขา “อย่าเป็นอะไรนะดงเฮ”
ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาช้าๆ เขากระพริบตาปริบๆก่อนจะมองขึ้นไปที่เพดานขาว เขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่เพื่อจะรับรู้ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่โรงพยาบาล ร่างหนาพยายามขยับตัว หากแต่แขนซ้ายของเขากลับไร้ความรู้สึก .. หนักเกินไป ขยับไม่ได้ .. สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือพิการ แต่อย่างไรซะเขาก็ต้องลุก เขาต้องไปดูยูริ เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ป่านนี้เธอคงร้องไห้ไม่หยุดเพราะมัวแต่โทษตัวเองว่าทำให้เขาเจ็บตัว ก่อนที่ดงเฮจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น น้ำเสียงงัวเงียก็ดังขึ้นมาจากข้างเตียง
“เธอตื่นแล้ว ฉันตกใจแทบแย่” ยูริเอ่ยเสียงงัวเงียพร้อมกับยกมือเรียวบางขึ้นมาขยี้ตาเพื่อขจัดความง่วง ดงเฮมองไปยังต้นเสียงเมื่อเห็นเธอขยับตัวให้นั่งถนัดขึ้น .. ขยับได้เสียที เพราะยูริแท้ๆทีเดียว มานอนทับแขนจนชาไปหมด .. ดงเฮค่อยๆเลื่อนมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า
ดวงตาคมมองใบหน้าสวยของเพื่อนสนิทที่บัดนี้ซีดกว่าที่เคยเป็น ตาคมสวยบวมแดงผิดไปจากที่เคยเห็น
“ฉันแย่ที่สุดเลย ทำให้เธอต้องเจ็บตัว” เธอเอ่ยขึ้น โทษตัวเองอีกครั้ง
ดงเฮเอื้อมมือหนาไปเช็ดน้ำตาให้กับเธอ เขาเดาเธอไว้ไม่ผิดจริงๆว่าเธอต้องโทษตัวเองแบบนี้ “ไม่ใช่เพราะเธอซักหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ฉันขอโทษนะ และก็ขอบคุณจริงๆ” หญิงสาวพูด น้ำตายังไหลไม่ขาดสาย
“ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะร้องไห้บ้างล่ะนะยูริ .. เธอก็รู้ฉันร้องไห้เก่งขนาดไหน” ยูริหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยิน เธอเลื่อนมือมาจับที่มือเขาและกุมมันไว้อย่างนั้น
…ขอบคุณที่ปกป้องฉัน ลี ดงเฮ
จากวันนั้นดงเฮบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องดูแลเธอให้ดี ดีที่สุดเท่าที่จะดูแลเธอได้ ทั้งคู่เรียนรู้กันและกัน แบ่งปันความรู้สึก ดงเฮเป็นผู้ที่เข้าใจอารมณ์อ่อนไหวของยูริได้ดีที่สุด เขาจะกุมมือเธอเสมอ เช่นเดียวกับที่ยูริเข้าใจเขามากที่สุด เธอทำให้คนที่ร้องไห้ง่ายอย่างเขาแข็งแกร่งขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอนำเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาให้กับเขา แต่ไม่เคยมีคำพูดใดออกมาจากทั้งสองคน แค่รู้สึกดีก็เพียงพอแล้ว แค่ได้ดูแลเธอก็เพียงพอแล้ว
ละครเรื่องแล้วเรื่องเล่าผ่านไปพร้อมความสัมพันธ์ที่งอกงามขึ้นโดยที่ทั้งคู่เองก็ไม่คาดคิด สามปีแล้วที่เขาเฝ้าดูแลยูริ .. และอยู่เคียงข้างเธออย่างนั้น
“ยูริ มีคนมาหา” เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นคยูฮยอนเข้ามาในหอประชุมในระหว่างที่กำลังมีการซ้อมละครเวที
“พาแฟนใหม่มาอวดแกด้วย” อีกเสียงนึงตะโกนขึ้นอย่างหยอกเย้าเมื่อเห็นว่าเขาเดินมากับสาวน้อยหน้าหวานราวกับตุ๊กตาเคลือบ
“นี่น้องสาวของยูริเว้ย! ฉันกับยูริยังรักกันดี อย่ามายุเลยน่า” คยูฮยอนตะโกนตอบกลับไปอย่างขำๆโดยไม่ทันได้สังเกตอะไร ดงเฮได้ยินคำพูดดังกล่าวได้ยินนิ่งอึ้งไป หัวใจของเขาชาหนึบ เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาได้ยินคยูฮยอนพูดชัดเจนขนาดนี้ ชัดเจนจนเขาเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่เขาบอกได้คือตอนนี้เขารู้หัวใจตัวเองแล้วหลังจากที่เขาใช้เวลาหลังจากที่คยูฮยอนและซอฮยอนกลับไปทบทวนบางอย่าง เขารักยูริ ความผูกพันธ์มันก่อตัวกลายเป็นความรักต้องแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เคยคิดจะโกหกหัวใจตัวเอง .. เวลาก่อให้เกิดความรักขึ้นมาเงียบๆแต่หนักแน่นเหลือเกิน
…ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เธอฉันคงต้องบอกเธอ
ค่ำแล้วการซ้อมละครเวทีจบลง ดงเฮเดินมาส่งยูริเหมือนทุกๆวัน เขาและเธอใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่ร่วมกันอย่างคุ้มค่า ดงเฮเฝ้าคิดมาตลอดทางว่าเขาจะบอกเธอยังไงดี จะเริ่มยังไง จะพูดแบบไหน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ทุกอย่างมันดูใช่ไปหมดในความรู้สึกเขา ไม่ทันที่เขาจะเริ่มพูดมือเรียวบางก็เอื้อมมาจับเขา
“ดงเฮ ฉันมีอะไรจะบอกเธอ”
ร่างสูงหยุดนิ่งก่อนจะหันมามองสาวผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้า ดวงตาคมสวยคู่นั้นไม่ได้ปิดบังความรู้สึกใด ชัดเจนราวกับเธอกำลังบอกอะไรเขาอยู่ .. แต่ไม่ใช่ตอนที่กำลังดึงแขนอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่แบบนี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น
“เดี๋ยวก่อน ยูริ”
“ฉันไม่หยุด เธอสิต้องหยุดและฟังฉันพูด .. ฉันคิดว่า”
“ยูริ!” ร่างสูงแทบจะกระโดดไปปิดปากคนที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ยอมหยุดพูดตามที่เขาบอก
“ไม่หยุด ก็ฉันจะพูดนี่นา” ยูริค้าน ไม่ว่าอย่างไรเสียเธอก็ไม่หยุด เธอพูดในสิ่งที่เธอคิดเสมอและคราวนี้ก็เช่นกัน นี่ล่ะยูริของแท้ ไม่เคยฟังอะไร ไม่ยอมใครหน้าไหน ปกติทุกครั้งดงเฮจะต้องยอมเธอ แต่ครั้งนี้คงต้องเป็นข้อยกเว้น
ยูริดิ้นอย่างแรงเมื่อรู้สึกถึงมือหยาบที่ปิดเข้าที่ปากเธอ ร่างสูงโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู “ฉันเองก็คิดเหมือนเธอนั่นแหละ”
แก้มนวลใสขึ้นสีแดงจัด มือเรียวบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งเขินอาย ตกใจ ระคนดีใจ ดงเฮมองมองหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศนั้นพร้อมกับยิ้มเบาๆ .. อายกับเขาก็เป็นนี่นา ปกติเห็นมีแต่ทำซ่าก๋ากั่นเวลามีชายหนุ่มมาบอกรัก
“ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งพูด เรื่องอย่างนี้ให้ผู้หญิงพูดก่อนได้ยังไงเล่า” ดงเฮยกมือปัดผมตัวเองแบบเก้อๆ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทรู้ใจมานาน แต่พอบอกความจริงที่ต่างคนต่างซ่อนไว้ก็พาลเขินไม่น้อย
ยูริหัวเราะคิกเมื่อได้ยินชายตรงหน้าพูด ดงเฮเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักจะทำให้เธอหัวเราะโดยไม่รู้ตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่เขาบอกรัก
“หัวเราะอะไรเล่า” คนถูกขำได้แต่ยืนทำหน้างอจนยูริต้องดึงแขนของเขาเพื่อนำทางไป
สองคนเดินเคียงข้างกันอย่างอบอุ่น ทุกก้าวย่างที่เดินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะมีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นเขาทั้งสองก็ยังมีเรื่องให้คิด .. คยูฮยอน แฟนของยูริ เพื่อนสนิทของเขา .. เขาจะทำอย่างไร ในเมื่อทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นและได้รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง สำหรับเธอแล้วความรู้สึกที่เธอมีให้ดงเฮช่างแตกต่าง ทั้งอ่อนหวาน อ่อนไหว ไม่มั่นใจ แต่สบายใจในเวลาเดียวกัน เขาทำให้น้ำตาของเธอหายไป เธอรักเวลาที่เธอรู้สึกอย่างนั้น และสำหรับดงเฮแล้วเธอคือคนที่เขาต้องการจะดูแลไปตลอดชีวิต เธอคือโลกทั้งใบสำหรับเขา
…เธอสำคัญขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
มือน้อยกระตุกแขนแกร่งให้หยุดเดินก่อนที่จะถึงหน้าประตูบ้าน “ดงเฮ .. ฉันจะบอกคยูฮยอนยังไงดี”
“บอกตามความจริง ฉันคิดว่าคยูฮยอนเข้าใจ” ดงเฮตอบพลางคิดถึงเพื่อนสนิท เขารู้มันคงลำบากสำหรับทั้งสามคน แต่นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็คงดีกว่าการโกหกกัน
แน่นอนว่าคนอย่างโจว คยูฮยอน ไม่มีทางหายโกรธได้ง่ายๆ เขาแทบจะไม่มองหน้าดงเฮและยูริหลังจากที่ยูริบอกเขาเรื่องความสัมพันธ์ของเธอและดงเฮ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ดงเฮมองมือเล็กที่เขากุมอยู่ จะปล่อยมือนี้ไปได้ยังไงกัน ในเมื่อรักขนาดนี้ เขาได้แต่หวังว่าเวลาจะทำให้คยูฮยอนเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นและให้อภัยพวกเขาได้ในที่สุด
ดงเฮเดินไปมาอยู่หน้ากระจก ตื่นเต้นจนนั่งแทบไม่ติด จนเมื่อมีเด็กน้อยยื่นจดหมายซองเล็กๆให้กับเขา
– ฉันมีธุระจะคุยกับพี่ ช่วยมาพบฉันที่สวนหลังโบสถ์ด้วยนะคะ .. ซอฮยอน –
คิ้วหนาขมวดนิ่วอย่างสงสัย ซอฮยอนอยากคุยกับเขาเรื่องอะไรกัน หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เขารู้ว่ามันฉุกละหุกแต่เพราะเป็นซอฮยอนเขาจึงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันคงสำคัญไม่น้อยถึงได้เรียกมาก่อนพิธีเริ่มเพียงไม่กี่นาทีอย่างนี้ร่างสันทัดในชุดทักสิโดรีบสาวเท้าออกไปยังที่นัดหมายเพียงเพื่อพบกับความว่างเปล่า ซอฮยอนยังไม่มา เขายกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมองอย่างกังวล .. ใกล้เวลาพิธีแล้ว เธอจะทำอะไรกันแน่ซอฮยอน
เสียงฝีเท้าเดินมาเบาๆ ร่างสูงหันมาเกือบจะทันทีที่รู้ถึงการเคลื่อนไหว
“มีอะไรหรือ ซอฮยอน” เขาถาม
“สัญญานะคะว่าพี่จะดูแลพี่สาวฉันอย่างดี อย่าทำให้พี่ยูริเสียใจนะคะนะคะ .. ไม่งั้นพี่ตายแน่” ซอฮยอนพูดแกมขู่ เสียงหวานๆของเธอไม่เหมาะกับท่าทางอย่างนี้จริงๆ แต่พอคิดว่าเป็นเรื่องของยูริแล้ว เขาเชื่อว่าเธอทำได้อย่างที่พูด
“ที่ผ่านมายังไม่พิสูจน์อะไรได้อีกเหรอ” ดงเฮถามกลับ เขารู้ว่าเธอเองรู้ดีว่าเธอไว้ใจเขาได้ แต่เธอแค่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง เขารู้พี่น้องคู่นี้ผูกพันกันมากกว่าคู่ไหนๆ ยูริและซอฮยอนทำให้เขาเชื่อในคำว่า ‘Sister Bond’
“ไม่รู้ล่ะค่ะ ถ้าเธอร้องไห้แม้แต่นิดเดียว พี่ตายแน่ .. ฉันจะไปจัดการพี่ด้วยมือของฉันเอง” ซอฮยอนขู่สำทับอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แมวน้อยของยูริกลายร่างเป็นนางเสือพร้อมจะตะปบเขาได้ทุกเมื่อหากไม่รักษาสัญญา ดงเฮหัวเราะเบาๆเมื่อคิดว่าวันนี้เป็นวันที่เขารอคอยมาแสนนาน วันแต่งงานของเขากับยูริ เขารักและรอวันที่เธอจะได้ดูแลเธออย่างสมบูรณ์แบบมานานขนาดนี้ ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะทำเธอให้เสียใจ
ประตูโบสถ์เปิดขึ้นพร้อมกับร่างบางระหงอยู่ในชุดเปิดไหล่ประดับเลื่อมระยับชายยาวระพื้น ยูริค่อยๆเดินไปตามพรมแดงที่โรยไว้ด้วยกลีบดอกไม้สีขาว ดงเฮเกือบจะหยุดหายใจเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เธอสวยราวกับนางฟ้าจนเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้สักวินาที วินาทีนั้นเขารู้ตัวแค่เพียงว่าเขากล่าวคำว่า “ผมรับ” ก่อนจะประทับปากลงที่กลีบสวยนั้นไว้อย่างไม่อาจถอน
…ฉันรักเธอ ซอ ยูริ
หลังจากแต่งงาน ยูริและดงเฮอาศัยย้ายไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางในกรุงลอนดอน ไม่ไกลนักจากที่พักของซอฮยอน ทั้งคู่เคยชวนให้ซอฮยอนมาอาศัยอยู่ร่วมกันโดยจะซื้อหาที่พักที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้พอเหมาะกับขนาดครอบครัว แต่ซอฮยอนปฏิเสธ เธอบอกว่าคู่แต่งงานควรจะใช้เวลาช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ให้เต็มที่
“ฉันจะได้มีหลานไวๆไงคะ” ซอฮยอนพูดยิ้มกว้างก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไม่สนใจยูริที่หน้าขึ้นสีจากคำพูดของน้องสาว เธอตีเขาที่แขนแกร่งเบาๆเมื่อเห็นเขาไม่ว่าอะไร
“อะไรกัน” เขาเอ็ด มือลูบแขนที่ถูกเธอตีป้อยๆ “ตีฉันทำไม ตีซอฮยอนสิ นั่นซอฮยอนเป็นคนพูดนะ”
“ก็เพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันโดนล้อ” ยูริค้านหน้าแดงก่ำ .. อายจนไม่รู้จะพูดยังไง ก็เพราะเขานั่นแหละแสดงความรักประเจิดประเจ้อจนน้องเห็นแล้วเอามาล้อเธอได้ ซอฮยอนก็อีกคน มาแซวเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน แถมยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้เล่นเอายูริอยากจะจับน้องสาวที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตรงหน้ามาตีซะให้เข็ด ดงเฮไม่ฟังคำที่สาวเจ้าบ่นว่าแม้แต่น้อย เขาคว้าตัวเธอมากอดแนบอกแกร่งก่อนที่จะกระซิบข้างหูเบาๆ
“ซอฮยอนนี่รู้ใจฉันจริงๆ”
เขาตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้อง ดงเฮขยับตัวมองนาฬิกาที่อยู่หัวเตียง เจ็ดโมงเช้า เขาเหลือบมองร่างบางที่ยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เธอหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นทั้งๆที่ปกติเธอจะตื่นมาทำอาหานเช้าให้เขาทาน เธอคงเหนื่อย ดงเฮคิด .. แปลกจริง เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเธอซักหน่อย ออกจะนุ่มนวลอ่อนโยนแท้ๆ ดงเฮคิดตามแบบคนขี้เล่น ถ้ายูริล่วงรู้ถึงความคิดเขาคงโวยวายหาว่าเขาทะลึ่งอีกแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจัดการธุระส่วนตัวก่อนจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า
ควันกาแฟหอมกรุ่นปลุกยูริขึ้นมา เธอเดินมาโอบกอดดงเฮจากด้านหลังก่อนมองอาหารที่เขากำลังปรุงอยู่ หญิงสาวทำท่าพะอืดพะอมเมื่อได้กลิ่นอาหารที่หอมชวนทานแล้วจึงวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำก่อนจะมานอนซมหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงไม่ต่างจากเมื่อเช้า ดวงหน้าคมสวยบัดนี้ซีดไร้สีเลือดจนดงเฮตกใจ
“ไปหาหมอเถอะนะยูริ” ดงเฮลูบศรีษะเธอเบาๆ แววตาบ่งชัดว่าเป็นห่วง เป็นขนาดนี้แล้วเธอยังจะดื้ออยู่อีก “เธอเป็นอย่างนี้แล้วฉันจะไปทำงานได้ยังไงกัน”
“รอดูซักวันนะดงเฮ เธอไปทำงานเถอะ ฉันจะเรียกจูฮยอนมาอยู่เป็นเพื่อน” ยูริยังคงปฏิเสธอย่างอ่อนแรง
“เย็นนี้ถ้าไม่ดีขึ้นเธอต้องไปหาหมอ” เขากล่าวเสียงจริงจังก่อนประทับปากลงที่กลางหน้าผาก ก่อนเลื่อนมาที่แก้ม แล้วจึงหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบาง
“ฉันป่วยอยู่นะ” ยูริพูดเสียงเบาเมื่อดงเฮถอนจูบ
“เพราะเธอป่วย ฉันถึงต้องให้กำลังใจไง” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกไปทำงาน
ยูริโทรหาซอฮยอนทันทีที่ลับตา เธอบอกให้น้องสาวรีบมาหาเพราะมีเรื่องสำคัญระดับชาติ หญิงสาวบอกน้องว่าเธอตั้งครรภ์ได้สองเดือนเศษ ซอฮยอนดีใจจนตัวโยน แต่เธอมองน้องสาวแววตาบอกถึงความลังเล ยูริรู้ดีว่าตอนนี้เธอและดงเฮไม่พร้อมที่จะมีลูก ดงเฮต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูเด็กที่จะเติบโตในต่างประเทศ เธอจะทำมันได้อย่างไร ซอฮยอนโอบกอดพี่สาว หญิงสาวรู้ดีว่ายูริหนักใจแค่ไหน แต่เธอยังย้ำกับยูริว่าเธอควรจะปรึกษาดงเฮให้ดีๆก่อนจะตัดสินอะไรไป ลูกคือของขวัญ .. มันควรจะเป็นอย่างนั้น
ดงเฮวางข้าวของอุปกรณ์ถ่ายภาพเมื่อกลับมาถึงบ้าน ยูริที่เดินกระสับกระส่ายหันมองมาทางเขาจนเกือบจะทันที เธอคิดถึงคำพูดของซอฮยอนวนไปวนมา ลูกคือของขวัญงั้นหรือ
“เป็นอะไรเหรอยูริ” ดงเฮถาม
“ถ้าเรามีลูกจะดีไหมดงเฮ” เธอตอบเขาด้วยคำถาม คำพูดสวยงามที่ตั้งใจเรียบเรียงเอาไว้ในหัวถูกลืมไปเสียสิ้นเหลือแค่เพียงคำถามห้วนๆสั้นๆ
ดงเฮแทบหูอื้อเมื่อได้ยิน .. ลูก .. สิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝัน ดงเฮคิดถึงมือน้อยๆที่เขาจับจูงให้ก้าวเดินทีละก้าว เสียงเด็กน้อยที่เรียกเขาว่าพ่อ ดงเฮกำพร้าพ่อ พ่อเสียตั้งแต่เขาอยู่มัธยม นับตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็คิดว่าเสมอจะต้องสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและได้เป็นพ่อที่ดีอย่างพ่อของเขา น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอด้วยความยินดีจนพูดไม่ออก ในที่สุดพระเจ้าก็เห็นใจให้โอกาสเขาได้เป็นพ่อ
“นี่! ลี ดงเฮ .. ฉันกำลังจะมีลูก นายกำลังจะเป็นพ่อคนจะมานั่งร้องไห้ไม่ได้นะ” ยูริร้องโวยเมื่อเห็นชายหนุ่มเริ่มออกอาการขี้แย
สิ้นคำเสียงหัวเราะประสานกันแทบจะทันที ดงเฮกอดยูริแน่น แม้พวกเขาจะยังไม่พร้อม แต่ถ้ามีเธอเคียงข้างเขามั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี
ยูริให้กำเนิดลูกสาว “ยูมี” ทั้งคู่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักจากทั้งพ่อและแม่ ยูริเสียเลือดมากจากการคลอด และตกเลือดหลังคลอดเป็นจำนวนมากจนเกือบเสียชีวิต วินาทีที่แพทย์แจ้งอาการเธอ หัวใจของเขาเกือบหยุดเต้นเมื่อคิดว่าต้องเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป ยูริต้องเธอเผชิญกับภาวะโลหิตจาง เป็นผลทำให้ภูมิต้านทานต่ำและร่างกายอ่อนแอ เธอป่วยกระเสาะกระแสะบ่อยจนไม่สามารถดูแลลูกน้อยได้ด้วยตนเองไหว ซอฮยอนจึงช่วยดูแลยูมีแทนเวลาเธอป่วย โดยที่เขาใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการดูแลเธอ “เธอเหนื่อยไหม” เธอมักจะถามเขาเสมอ
“ฉันไม่เคยเหนื่อยที่ได้ดูแลเธอและลูก การอยู่เคียงข้างเธอทำให้ฉันมีความสุข” นั่นคือคำตอบที่เขาพร่ำบอกเธอเสมอ
จนเมื่อยูริทรุดหนัก เธอมีภาวะปอดติดเชื้อเฉียบพลัน ในบรรยากาศห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลเงียบสงบ ลมหนาวเริ่มพัดมาอ่อนๆแม้จะยังไม่เข้าฤดูหนาว “ถ้าหิมะยังไม่ตกก็แสดงว่ายังไม่ใช่ฤดูหนาว” เธอชอบบอกเขาอย่างนั้น ยูริรักหิมะ มันทำให้เธอคิดถึงตอนเด็ก ตอนนั้นทุกอย่างช่างง่ายดายมีเพียงความบริสุทธิ์สดใส เธอชอบเดินกอดแขนดงเฮเสมอเวลาหิมะโปรย ไออุ่นของเขาทำให้เธออบอุ่น ดวงตาคมมองซอฮยอนขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆยูริราวกับว่าเธอเป็นเด็กน้อย สองพี่น้องกระซิบกันเบาๆในสิ่งที่เขาไม่ได้รับรู้ ดงเฮเบือนหน้าหนี เขายืนสะกดอารมณ์นิ่ง กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น ไม่อาจเอ่ยคำใดเพราะรู้ดีว่าคงระงับเสียงไม่ได้สั่นไม่ได้
…ร้องไห้ไม่ได้ ยูริจะเป็นห่วง
ซอฮยอนขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อปล่อยให้เขาอยู่กันสองคน เขารู้เธอออกไปเพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ ไม่ต่างอะไรกับเขา เขาได้ยินเสียงเรียกของเธอที่เบาหวิวราวกับลมในฤดูหนาว
“ช่วยฉันหน่อยสิ ฉันอยากไปมองท้องฟ้ากับเธอ”
ดงเฮช้อนอุ้มตัวเธออย่างง่ายดาย ตัวเธอเบาราวกันนุ่น ยูริผ่ายผอมลงมากตั้งแต่เธอป่วยออดๆแอดๆ แต่ใบหน้าสวยหวานยังคงมีรอยยิ้มเสมอ เขาพาเธอมานั่งที่ริมหน้าต่างตามที่เธอขอ ลมเย็นๆที่พัดผ่านมาทางหน้าต่าง ภาพพระอาทิตย์กำลังจะลับตาอยู่เบื้องหน้าสวยจนเขาอยากจะหยุดเวลาไว้
“สัญญากับฉันนะว่าเธอจะมีความสุข ดูแลลูกสาวของเราให้ดีให้สมกับที่เขาเป็นของขวัญแต่งงานของเรา” ยูริกระซิบที่ข้างหูเขา ดงเฮกระชับกอดแน่นน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อายให้กับคำพูดของภรรยารัก
“อย่าร้องไห้สิ ทุกเวลาทุกนาทีที่ฉันอยู่กับเธอเป็นเวลาที่น่าจดจำ เธอไม่คิดอย่างนั้นเหรอดงเฮ” เสียงหวานของเธอเอ่ยเบาๆราวกับสายลมที่พัดผ่าน
…ดงเฮ ได้โปรดใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขแทนฉันด้วย
ยูริจากไปพร้อมกับหิมะแรกของปี เหมือนโลกทั้งโลกของเขาหยุดหมุน ดวงตาของเขาเห็นแต่สีขาวดำ เขาหมดแรงพลังจะก้าวเดินแม้จะบอกตัวเองเสมอว่าต้องเข้งแข็งเพื่อยูมี ตัวแทนแห่งความรักของทั้งคู่ .. ของขวัญแต่งงานของเขาและยูริ .. แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูกสาวก็มักจะมีภาพของเธอซ้อนขึ้นมาเสมอ เด็กน้อยเหมือนภรรยาของเขาเสียเหลือเกิน เขารักลูกแต่เขาเองก็เจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดลงกลางใจ ดงเฮเลือกทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อลืมเธอและทิ้งลูกน้อยไว้ให้ซอฮยอนดูแล แม้รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ยูริต้องการ
ภาพของยูริยังคงชัดเจนในความทรงจำของเขา ภาพเธอยิ้ม ภาพเธอหัวเราะ ภาพเธอเดินกอดแขนเขาในวันหิมะตก ภาพเธอเล่นกับซอฮยอน ภาพเธอโอบกอดยูมี แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่มีเธอ
…ยิ่งความทรงจำของเรางดงามแค่ไหน ฉันยิ่งเสียใจที่ต้องก้าวเดิน
…ฉันจะอยู่ในหัวใจของเธอตลอดไป รู้สึกไหมว่าความรักของฉันอยู่รอบตัวเธอ
อีกหนึ่ง Special Chapter ที่ดึงมากจากมหากาพย์ฟิคกาก Loving You ที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เรื่องนี้รีไรท์ไม่เยอะเท่าไรเพราะไม่รู้จะเขียนยังไงค่ะ แถมเขียนไว้นานแล้วอีก เอาเป็นว่า….อ่านดูพัฒนาการคนเขียนแล้วกันนะคะ ㅠㅠ