Archive

Monthly Archives: ธันวาคม 2012

Life is a tragedy when seen in close-up, but a comedy in long-shot.” – Charlie Chaplin

1.

ในห้องทำงานสีขาวสะอาดตา ร่างสูงมองออกไปนอกหน้าต่างที่ขึ้นเป็นฝ้าจางๆ เกร็ดน้ำแข็งจากหิมะยังคงเกาะบางๆอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ด้านนอกทั้งอาคารและทางเดินเต็มไปด้วยสีสันประดับประดาไปด้วยของขวัญ ต้นคริสต์มาส กวางเรนเดียร์ และซานตาครอส ผู้คนต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองทำให้บรรยากาศของโซลในตอนนี้อบอวลไปด้วยความสุข ความอบอุ่น รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ช่างแตกต่างกับห้องทำงานเงียบๆของเขาเสียเหลือเกิน

ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก มือหนาหยิบตำราแพทย์ด้านหัวใจที่อ่านค้างไว้มาเปิดดู ดวงตาคมไล่อ่านทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นแพทย์เฉพาะทางแต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นแพทย์เวรประจำแผนกฉุกเฉินในคืนวันคริสต์มาสอีฟอย่างนี้เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยที่เป็นหนุ่มโสดไร้พันธะ คงดีกว่าที่จะให้คนที่มีครอบครัวหรือคนรักได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างนี้ ส่วนเขายินดีฉลองกับเพื่อนร่วมงานและคนไข้ในโรงพยาบาล อาจจะเป็นโชคดีที่ตั้งแต่เข้าเวรวันนี้เคสฉุกเฉินมีแค่อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น แค่ทำแผลนิดหน่อยก็ปล่อยให้กลับบ้านได้ เขาจึงได้ใช้เวลาว่างจากการตรวจที่แผนกฉุกเฉินมาค้นคว้าเพิ่มเติม เผื่อว่าจะมีข้อมูลดีๆน่าสนใจสามารถใช้รักษาผู้ป่วยภายใต้การดูแลของเขาได้

“คุณหมอจองคะ!” เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจากภายนอกพร้อมกับเสียงอึกทึก

ยุนโฮรีบฉวยเอาเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดมาใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าโดยไม่ลืมหยิบสเตทโตสโคปที่วางอยู่ไปด้วย ร่างสูงกำยำก้าเท้ายาวๆไปตามทางที่คุณพยายาลเดินนำไป ไม่ทันไรก็ไปหยุดข้างเตียงเลื่อน หญิงสาวท้องแก่ใกล้คลอดนอนอยู่บนเตียงอย่างกระสับกระส่าย ดวงตาคมสะดุดไปชั่วครู่เมื่อเห็นเจ้าของดวงหน้าหวานที่ตอนนี้ชื้นด้วยไรเหงื่อ

“ซอฮยอน…” เสียงครางเบาๆหลุดออกมาจากคุณหมอหนุ่มทันทีที่เห็นเธอ

…ซอฮยอนท้องอย่างนั้นหรือ กับใครกัน แล้วคริสล่ะ

“ซอ จูฮยอน ตั้งครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ เจ็บท้องคลอด ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตรแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลรายงานฉุดเรียกเขาขึ้นจากความสงสัย ตอนนี้ยังไงคงต้องทำคลอดก่อนแล้วค่อยเรียบเรียงเคียงถาม

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับที่มือน้อยแน่น เขาเอ่ยกับว่าที่คุณแม่ที่กำลังอยู่ในความเจ็บปวดด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “ซอฮยอน-อาห์ จำพี่ได้ไหม พี่จะเป็นคุณหมอทำคลอดให้เธอเองนะ”

“พี่ยุนโฮ” เสียงหวานแหบแห้งเรียกชื่อเขาเมื่อมองได้ถนัดขึ้น

“พี่จะดูแลทั้งเธอและลูกให้ปลอดภัย ไว้ใจพี่นะซอฮยอน” เขาเอ่ยกับเธอก่อนหันไปบอกพยาบาลให้พาเธอไปยังห้องเตรียมคลอด ส่วนเขาแยกไปเตรียมตัวเพื่อทำหน้าที่เป็นคุณหมอทำคลอดให้กับเธอ

กว่าชั่วโมงที่ซอฮยอนอดทนกับความเจ็บปวด โดยมียุนโฮรับหน้าที่เป็นทั้งคุณหมอและญาติเพียงคนเดียวที่คอยให้กำลังใจ จนก้าวเข้าสู่วันใหม่หญิงสาวก็ได้ให้กำเนิดทารกน้อยเพศชายหน้าตาน่ารักน่าชัง .. เด็กชายเกิดในวันคริสต์มาส ราวกับว่าเป็นของขวัญชิ้นน้อยๆแสนล้ำค่าที่ซานตาครอสมอบให้เธอ

รอยยิ้มอบอุ่นเคลือบริมฝีปากทันทีที่เธอเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและคนรัก หญิงสาวรับทารกน้อยจ้ำม่ำจากพยาบาลมาไว้ที่แนบอก ดวงตากลมสวยพินิจมองเจ้าตัวเล็กทีละส่วน ดวงหน้ากลมและแก้มยุ้ยๆ ผิวขาวจัดออกชมพูของทารกแรกคลอด ดวงตาที่ยังคงปิดสนิทรับกับจมูกเล็กและปากแดงจุ๋มจิ๋ม .. น่ารักเกินกว่าจะเป็นลูกชาย โตขึ้นคงสวยเหมือนพ่อ .. คุณหมอหนุ่มเฝ้ามองทุกอากัปกิริยาของคุณแม่คนใหม่อย่างอ่อนโยนแม้ในใจยังเต็มไปด้วยความสงสัย

“ซอฮยอน..” เขาเรียกเธออย่างคนตั้งใจที่จะถามแต่สุดท้ายกลับกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป เหลือเพียงเสียงเรียกชื่อเธออย่างแผ่วเบา

หญิงสาวละสายตาจากลูกน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขา เธอพอจะรู้ได้ถึงความข้องใจที่บุรุษหนุ่มตรงหน้ามี “ถามมาเถอะค่ะ ฉันตอบได้”

ยุนโฮนิ่งไปอยู่อึดใจ เขาถอนหายใจหนักก่อนที่จะเอ่ย “เด็กคนนี้…”

“เค้าคือลูกของคริสค่ะ” เธอตอบอย่างสัตย์จริง ดวงตาหลุบมองลงที่ลูกชายตัวน้อย หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆเพื่อไม่ให้เขาได้เห็นหยาดน้ำใสที่กำลังเอ่อล้นอยู่ริมสองตา

“แต่คริส…” ยุนโฮถามกลับเกือบจะทันที

“คริสเสียไปก่อนที่จะได้รู้ว่าเค้าจะได้เป็นพ่อ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนอยากมีแท้ๆ .. พี่คะ พี่ว่าคริสจะดีใจไหมคะที่เค้ามีลูกชายน่ารักขนาดนี้” หญิงสาวตอบพร้อมกับคำถามที่ถามราวกับว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง

ดวงตาคมมองภาพสองแม่ลูกตรงหน้าอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร คริส วูเป็นรุ่นน้องนักศึกษาแพทย์ที่เรียนตามกันมา คริสรักกับซอฮยอนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย เขารู้จักคริสครั้งแรกก็เพราะครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมรุ่นเคยเข้าใจผิดว่าเขาไปเดทกับเด็กภาษาศาสตร์ผมม้าหน้าใส แต่สุดท้ายกลับเป็นคริสที่ไปเดทกับซอฮยอน ด้วยส่วนสูงและรูปร่างที่คล้ายคลึงกันจนทำให้เพื่อนที่เห็นเพียงแค่ด้านหลังเข้าใจผิด ก็ใครเลยจะนึกว่าผู้ชายเกาหลีร่างสูงกำยำท่าทางดีจะเรียนแพทย์มากกว่าดารา

ที่เขารู้คริสและซอฮยอนอาศัยอยู่ด้วยกันฉันท์คนรักหลังจากเรียนจบ ทั้งสองไม่เคยทะเลาะกันแม้สักครั้ง คริส…ชายหนุ่มหน้าตานิ่งขรึมมักจะกลายเป็นคนขี้แกล้งและยิ้มเสมอเมื่ออยู่กับเธอ เธอ..ซอฮยอน หญิงสาวแสนอ่อนหวานจะกลายเป็นเด็กผู้หญิงช่างพูดคอยบ่นคอยดุคนรักไม่เว้นวัน เขามองแล้วก็นึกแปลกใจอยู่ทุกครั้งว่าความรักมันช่างประหลาดนัก คนเรามักจะมีด้านที่ไม่น่าเชื่อเสมอเมื่ออยู่กับคนคนนั้น หากความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่นึกฝัน คริสจากไปด้วยอุบัติเหตุ ปิดฉากอนาคตแสนสวยงามตรงหน้าของคุณหมอหนุ่มรูปงามและนักประพันธ์สาวแสนสวย

ไม่มีข่าวคราวใดจากซอฮยอนอีกเลยหลังจากงานศพคริสที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หญิงสาวหายเงียบไปจนทุกคนรอบข้างเป็นห่วง บ้างก็ว่าซอฮยอนยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิิดขึ้น บ้างก็ว่าเธอย้ายไปอยู่อาศัยที่เมืองอื่นตามลำพังอย่างคนไร้ญาติ เขาเองไม่ได้ติดใจไถ่ถามจนเมื่อได้พบเธอวันนี้ … วันที่หนึ่งชีวิตน้อยๆลืมตาขึ้นดูโลกโดยมีสองมือของเขาเป็นสองมือแรกคอยโอบอุ้ม

…แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปซอฮยอน

2.

เสียงนกร้องประสานกับเสียงหวานละมุนจากเพลงกล่อมเด็ก ซอฮยอนมองทารกน้อยที่เธออุ้มไว้แนบกาย เด็กชายหลับสนิทหลังจากที่เธอเพิ่งป้อนนมไปเมื่อครู่ หญิงสาวค่อยๆวางลูกน้อยลงที่บนเตียงก่อนจะตระคองกอดไว้อย่างเบามือเธอหยุดร้องเพลงกล่อมเด็กที่ฟังแล้วแสนเศร้าก่อนจะเปลี่ยนมาลูบศรีษะทุยน้อยพร้อมกับค่อยๆปล่อยตัวเองไปกับความคิด

“มีลูกกันเถอะนะซอฮยอน เธอก็รู้ว่าฉันอยากมีลูก” เสียงกระเง้ากระงอดของชายหนุ่มร่างโตดังขึ้น อีกครั้งแล้วที่คริสยังคงแสดงความตั้งใจในเรื่องเดิมๆ “อย่าคุมเลยนะซอ” เค้าพูดก่อนจะโยนแผงยาคุมกำเนิดขนาดเล็กทิ้งลงถังขยะไปต่อหน้าต่อตาอย่างที่อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหัวยิ้ม

…ทำตัวเป็นเด็กอีกตามเคย แล้วอย่างนี้จะเป็นพ่อคนได้ยังไงกัน

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองที่คนตัวเล็กกว่าพลางส่งสายตาอ้อนวอน ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือหนาเอื้อมไปจับกุมมือน้อยๆของเธอเขย่าเบาๆอย่างต้องการขอความเห็นใจ เขาเองรักเธอจะตายอยู่แล้ว คบกันอยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ตัวเขาเองก็อยากจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเสียที ถึงแม้ใครจะบอกว่าพวกเขายังไม่พร้อมที่จะมีลูก คริสเพิ่งเริ่มทำงานได้เพียงไม่กี่ปีและยังต้องศึกษาแพทย์เฉพาะทางต่อ ในขณะที่งานเขียนบทละครของซอฮยอนกำลังก้าวหน้า แต่เขาเชื่อแสนเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ซอฮยอนมองคนตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหากแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดวงหน้าสวยราวกับรูปสลักเข้ากับผมสีอ่อนทอประกายผิดจากชายชาวเอเชียทั่วไป ดวงตากลมโตคมกริบเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนยากจะอธิบาย ทั้งหยอกเย้า ซุกซน ดื้อรั้น จริงจัง และอ้อนวอน คนรักหนุ่มของเธอนี้ไม่เหลือภาพรุ่นพี่มาดเท่แสนเคร่งขรึม คุณหมอคนเก่งของไข้หรือนักเรียนแพทย์ดีเด่นของอาจารย์ เขาเป็นแค่คริส วู ผู้ชายที่รักเธอหมดหัวใจ

“ใครบอกว่าซอคุม อันนั้นมันของเมื่อเดือนที่แล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยทิ้งให้” เธอบอกเขากลับไปนิ่งๆพร้อมกับรอยยิ้มหวานละไมไปให้

เพียงแค่ได้ยินชายหนุ่มก็ดีใจจนตัวลอย “ไม่คุมแล้วจริงๆนะซอ อย่ามาหลอกให้ฉันดีใจเล่นนะ”

สองสัปดาห์หลังจากนั้นคริสก็ต้องพาซอฮยอนมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเมื่อหญิงสาวมีความปกติบางอย่างกับร่างกาย เขาทั้งสวดภาวนาอ้อนวอนกับพระเจ้า ขอให้ความหวังของเขาเป็นจริงเสียที .. พระเจ้า ได้โปรดประทานพรให้ลูกด้วย ให้ลูกได้มีบุตรสมใจหวังด้วยเถิด

ชายหนุ่มกุมมือเรียวบางของคนที่อยู่ข้างๆแน่นขณะที่รอผลตรวจ มือของเขาเย็บเฉียบแต่กลับชื้นไปด้วยเหงื่อ ซอฮยอนรู้ดีว่าเขาซ่อนความสับสนวุ่นวายใจภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยนั้น

“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะ ซอฮยอนแท้ง อายุครรภ์ยังแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้นเอง ผมคงต้อง….” เพียงเท่านั้นเองที่เขาสามารถจับใจความได้ เสียงนายแพทย์หนุ่มยังคงดำเนินต่อไป หากแต่สมองของเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว

แท้ง..คำเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัว คริสเสียใจไม่น้อยที่สิ่งที่เขาหวังไม่เป็นดั่งใจคิด แพทย์ผู้ดูแลซอฮยอนอธิบายให้เขาเข้าใจอีกครั้งเมื่อเขามีสติมากขึ้น “เด็กเพิ่ง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นเอง เขายังไม่เป็นตัวเลย อายุครรภ์เด็กขนาดนี้ปกติแล้วจะเป็นความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งก็เป็นไปตามการคัดเลือกตามธรรมชาติ คุณเองเรียนทางด้านนี้มาน่าจะรู้”

…รู้แล้วยังไง ในเมื่อความรู้ด้านการแพทย์ที่เรียนมาไม่อาจช่วยเขาได้ในเวลานี้

…รู้แล้วยังไง จะทำให้เธอเสียใจน้อยลงหรือยังไง

คริสได้แต่หันไปหยอกเย้าร่างบอบบางที่อยู่บนเตียง ดวงตาหวานแดงก่ำ หยาดน้ำตาพร่าพราวเกาะอยู่ที่แพขนตางอนหากแต่ไม่ได้ปล่อยให้รินไหลออกมา สำหรับเธอแล้วคงเจ็บปวดมากกว่าเขาหลายเท่านัก ทั้งเจ็บกายและผิดหวัง..เสียใจ แม้จะผิดหวังที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไข แต่เธอสำคัญมากกว่าสิ่งใดในตอนนี้ เขาควรจะต้องดูแลคอยให้กำลังใจเธอเพื่อที่จะก้าวผ่านเวลานี้ไปด้วยกัน

“ว้า แล้วที่ฉันแพ้ท้องแทนเธอล่ะซอ ฉันรู้สึกเหมือนฉันแพ้ท้อง ไม่ใช่หรอกเหรอเนี่ย” เขาแกล้งทำโวยวาย มือหนาเอื้อมไปยีที่ผมม้าด้านหน้าของเธอจนยุ่งไปหมด

“……..” ไม่มีเสียงตอบใดจากอีกฝ่าย น้ำใสแจ๋วเอ่อล้นที่สองตา จมูกได้รูปแดง หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นอย่างไม่รู้เจ็บ ดวงหน้าหวานบอกอาการราวกับจะร้องไห้ได้ทุกขณะจิต

“ไม่เป็นไรหรอกนะซอ ไว้เราค่อยพยายามใหม่อีกก็ได้นี่ เธอก็แข็งแรง ฉันก็แข็งแรง เห็นไหม ปล่อยแค่ไม่ทันไรเธอก็ท้องแล้ว แต่ถ้าเธอไม่มั่นใจ ฉันยินดีจะสร้างความมั่นใจด้วยการทำมันบ่อยๆ ดีไหมซอ”

“คริส คนบ้า!” ร่างบอบบางลุกขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินคำเขา มีอย่างหรือ คนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวานกลับมัวแต่มาพูดจาสองแง่สามง่ามแบบนี้ กำปั้นเล็กทุบรัวซ้ำๆไปที่หน้าอกของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มพยายามปัดป้องก่อนที่จะตัดสินใจรวบเธอไว้ด้วยสองแขนแกร่ง หญิงสาวยังคงพยายามทำโทษเขาแล้วก็หยุดนิ่ง เพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของเขา เพียงแค่ได้รับอุ่นไอที่คุ้นเคย ความแข็งแกร่งที่เธอพยายามสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงกลับพังทลายลงในพริบตา เสียงร้องไห้สะอื้นสะอึ้นดังขึ้นพร้อมกับความเปียกชื้นจากหยาดน้ำตาที่ชุ่มอยู่ตรงหน้าอกเสื้อ คริสปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มกระชับกอดแน่นขึ้นราวกับจะบอกเธอว่า .. ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร

เขาดันตัวเธอออกเมื่อเห็นเธอดีขึ้น สองมือหนาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะอยู่บนแก้มนวลใสอย่างทนุถนอม คริสก้มลงประทับจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากสีชมพู หยาดน้ำตาที่่เหมือนกับจะแห้งไปกลับไหลลงมาอีกครั้ง

…ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา ทำไมถึงต้องเป็นเราสองคน

ซอฮฮยอนใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ไม่นาน ความจริงแล้วเธอปกติที่สุดเท่าที่เธอจะเป็นได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของคริส เขาจึงขอร้องให้เธอพักผ่อนอยู่ซักหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยดำเนินชีวิตตามปกติอีกครั้ง น่าแปลกที่ความผิดหวังได้รับการเยียวยาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ควรเป็น อาจเป็นความรักของเขา .. ความรักของเรา .. ที่ช่วยรักษาทุกอย่างให้หายดีราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

สุขภาพจิตใจของซอฮยอนดีจนน่าตกใจ แต่สุขภาพกายกลับน่าเป็นห่วง หญิงสาวมักจะมีอาการอาหารไม่ย่อยและเสียดท้องจนต้องแอบตื่นขึ้นมากลางดึก เธอรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเธอ หากแต่ไม่อาจรู้ว่ามันคืออะไร ซอฮยอนไม่กล้าบอกคนรักด้วยกลัวเขาเป็นห่วง คริสมักจะทำอะไรเกินไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของเธอ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึกปลุกหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมา ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาของวันใหม่ แต่คริสยังไม่กลับบ้าน ซอฮยอนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มาไว้ที่แนบหู

“ซอฮยอนใช่ไหม คริสเกิดอุบัติเหตุ เธอรีบมาที่โรงพยาบาลด่วนเลยได้ไหม” เสียงใครซักคนที่แสนคุ้นหูดังขึ้นมาตามสาย

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบดี ซอฮยอนก็แทบจะหายตัวไปที่โรงพยาบาล ในยามวิกาลอย่างนี้ ด้วยคำพูดอย่างนี้ ทุกอย่างทำให้เธอร้อนรนจนแทบหายใจไม่ออก จากที่เป็นคนขับรถช้าอย่างที่คริสมักว่าว่าเธอขับรถรอไฟแดง เธอกลับใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีจากบ้านมายังที่หมาย หญิงวิ่งออกจากรถที่จอดเทียบไว้ส่งๆโดยที่ประตูยังไม่ปิดสนิทมายังห้องฉุกเฉิน ที่เบื้องหน้านายแพทย์อาวุโสกำลังยืนหน้าเครียดกับยุนโฮรุ่นพี่ของคริสที่เธอเคยเจอตั้งแต่สมัยเรียน ไม่นานนักผู้สูงวัยกว่าจะเดินจากไป หญิงสาวอีกคนในชุดเสื้อกาวน์สีเขียวเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วคุยอะไรกับนายแพทย์หนุ่มอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ทั้งคู่จะสังเกตเห็นเธอ

…ได้โปรดอย่าเดินมา ได้โปรดอย่าบอกฉันว่าเขาเป็นอะไร ได้โปรด

คำภาวนาของเธอเหมือนกับจะไม่เป็นผล แพทย์หญิงอีกคน แทยอนเพื่อนสนิทของคริส เธอคนนั้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจ ก้าวแต่ละก้าวช่างแสนช้าในสายตาของซอฮยอน ยิ่งใกล้ก็ยิ่งบีบหัวใจเหลือเกิน เธอคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าแล้วพูดอะไรบางอย่างที่ซอฮยอนได้ยินไม่ถนัด

คริส… สาหัส .. เราช่วยจนถึงที่สุดแล้ว .. ไม่ทำงาน .. จากไป .. ซอฮยอนไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินได้ถนัดนัก ราวกับว่าสมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ ความรู้สึกเจ็บปวดไหลปรี่ขึ้นมาจนเธอเจ็บไปหมดทั้งหน้าอก ยิ่งกว่ามีใครเอาหัวใจของเธอออกมาทั้งเป็น เรือนร่างบอบบางในชุดนอนสีขาวทรุดลงทั้งยืนจนหญิงสาวอีกคนที่ตัวเล็กกว่าต้องช่วยประคอง

“แทยอน แท… คริส… เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ” ซอฮยอนถามอีกฝ่ายขาดๆหายๆด้วยแรงสะอื้น หยาดน้ำใสแข่งกันไหลรินลงมาตามนวลแก้ม ใบหน้าหวานสวยตอนนี้ซีดยิ่งกว่ากระดาษขาว ดวงตากลมโตที่เคยส่องประกายวาวระยับกลับว่างเปล่า

“เขาไปแล้วซอฮยอน คริส… เสียแล้ว” แทยอนเจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องเป็นคนแจ้งข่าวร้ายให้กับคนรักของเพื่อนสนิท ยิ่งได้เห็นดวงหน้าที่เปื้อนเปรอะไปด้วยน้ำตาโดยที่เธอไม่อาจะช่วยอะไรได้เธอก็ยิ่งเสียใจ คุณหมอสาวโอบประคองคนที่กำลังร้องไห้อย่างต้องการเป็นที่พึ่งแทนอีกคนที่จากไป

…แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรโดยไม่มีเธอ

หญิงสาวตัดสินใจจัดงานศพของคริสเงียบๆ คริสไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากคุณป้าที่อาศัยอยู่ที่แคนาดา นางเดินทางมาร่วมพิธีศพหลานชายคนเดียวก่อนที่จะเดินทางกลับไปแคนาดาดังเดิม หญิงสาวตัดสินใจหยุดงานประพันธ์ไว้ชั่วคราวเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัด ที่ที่เธอและคริสมักจะไปเสมอๆเมื่อคราวที่เขายังมีชีวิตอยู่ เธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากแทยอนโดยบอกแค่เพียงว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอรู้ร่างกายของเธอกำลังอ่อนแอเช่นเดียวกับจิตใจที่แสนเปราะบาง ซอฮยอนตั้งใจไว้ในทีแรกว่าจะไม่ไปปรึกษาแพทย์เรื่องอาการป่วยของตนเอง แต่เมื่อคิดถึงคำที่อีกคนคอยบ่นเสมอก็ทำให้เธอพาตัวเองมาที่โรงพยาบาลเล็กๆในเขตต่างจังหวัด

“คุณกำลังตั้งครรภ์…” คำพูดแสดงความยินดีที่คุณหมอพูดตามปกติกลับไม่ปกติสำหรับเธอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่าสั้นๆง่ายๆนั้น หญิงสาวยังสับสนจนต้องถามซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ “คุณตั้งครรภ์ได้ 10 สัปดาห์แล้วนะครับ หมอขอแสดงความยินดีด้วย”

เหมือนเสียงอื้ออึงดังอยู่เต็มหัว เธอเห็นภาพคริสยิ้มตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กๆ ภาพคริสมากอดเธออย่างอบอุ่น ภาพคริสเดินอวดใครๆว่ากำลังจะได้เป็นพ่อคน ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาได้จากไปแล้ว อยู่ๆคำถามมากมายต่างก็พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากสวย

“ฉันท้องเหรอคะ ฉันท้องได้ยังไงกัน”

“ฉันเพิ่งแท้งไปเองนะคะ เมื่อสองเดือนที่แล้ว เพิ่งขูดมดลูกมาด้วยซ้ำ คุณหมอแน่ใจแล้วเหรอคะ”

“แล้วลูกของฉันจะเป็นอะไรไหมคะ เขาจะปลอดภัยไหมคะ จะแข็งแรงเป็นปกติไหม”

นายแพทย์อารมณ์ดีหัวเราะขันที่ได้ฟังคำถามจากว่าที่คุณแม่ เขาขอตรวจสุขภาพของมารดาและความสมบูรณ์ของครรภ์ก่อนแล้วจึงค่อยๆอธิบายให้เธอฟังอย่างคนใจเย็น “ผลการตรวจออกมาว่าคุณกำลังตั้งครรภ์จริงๆ เด็กในครรภ์แข็งแรงสมบูรณ์เท่าที่เด็กอายุ 10 สัปดาห์ควรเป็น ที่อัลตร้าซาวด์เมื่อครู่คุณคงได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้น อาการผิดปกติของคุณตลอดระยะเวลาสองเดือนนั่นคงเป็นอาการแพ้ท้องของคุณ ซึ่งคุณแม่แต่ละคนจะมีอาการแพ้ท้องแตกต่างกันไป”

หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่านี่มันใช่เรื่องจริงหรือเปล่า มือเล็กๆที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปให้เธอรู้สึกเจ็บคงเป็นสิ่งเดียวที่บอกว่าเธอไม่ได้ฝัน หูของเธอไม่ได้ฝาด สมองของเธอไม่ได้เลอะเลือนเพราะคิดถึงเขามากเกินไป ที่ผ่านมาที่เธอคิดว่าตัวเองป่วยแท้จริงแล้วเธอกำลังตั้งครรภ์

“เป็นไปได้ว่าไข่ใบนี้ได้รับการผสมและอาจจะเจริญเติบโตช้ากว่าแล้วก็ไปฝังตัวอยู่ในมดลูกตามปกติ ปาฏิหาริย์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างน่าตกใจใช่ไหมคุณซอฮยอน”

…ปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ ถ้าเพียงแต่เขาได้มีส่วนร่วมในปาฏิหาริย์ของเธอก็คงดี

ซอฮยอนเฝ้าดูแลทนุถนอมทารกในครรภ์น้อยๆ หญิงสาวมีความสุขที่ได้อุ้มท้องลูกที่เกิดจากความรักของทั้งเขาและเธอแม้คริสจะไม่มีโอกาสได้ร่วมยินดี แต่เธอมั่นใจว่าเขาจะยังคงมองเธอ เฝ้าดูแลเธอและลูกจากบนฟ้าไกล รอยยิ้มของเธอกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ใจร้ายกับเธอจนเกินไปนัก พระองค์ยังใจดีพอที่จะประทานความสุขเล็กๆหล่อเลี้ยงจิตใจเธอ

3.

“เธอย้ายไปอยู่กับพี่ดีไหมซอฮยอน”

ยุนโฮแทบจะกัดลิ้นตัวเองทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกไปจากปาก เขาเห็นดวงตากลมโตฉายแววประหลาดใจ หญิงสาวทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ยั้งไว้ได้ทัน คุณหมอหนุ่มอยากจะเขกศรีษะตัวเองแรงๆที่มัวแต่มองคุณแม่ลูกอ่อนเห่กล่อมลูกน้อยที่กำลังหลับไหลจนเผลอหลุดอะไรแปลกๆออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทุกๆวันเขามักจะมาเยี่ยมสองแม่ลูกเสมอจนเพื่อนร่วมงานต่างก็ประหลาดใจกับพฤติกรรมใหม่นี้ ถ้าพูดกันตามจริงแล้วเขาก็ยังแปลกใจตัวเอง แม้จะเหนื่อยล้าจากการตรวจคนไข้แค่ไหน เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องของเธอและลูก ความเหน็ดเหนื่อยกายใจกลับมลายหายไปเสียสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความสบายใจ

แน่นอนว่าซอฮยอนปฏิเสธไม่รับความปรารถนาดีจากเขา ผู้หญิงที่ตั้งท้องคนเดียวอย่างเด็ดเดี่ยวทั้งๆที่เพิ่งเสียพ่อของลูกไปอย่างเธอไม่มีทางรับความช่วยเหลือจากใครได้ง่ายๆแม้จะเป็นความช่วยเหลือจากรุ่นพี่สมัยเรียน เพียงไม่ถึงสัปดาห์ซอฮยอนและลูกชายก็แข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาล หญิงสาวกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านที่เธอและคริสเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เธอทั้งดูแลลูกอ่อนด้วยตัวคนเดียวและยังต้องทำงานหนักโดยแทบจะไม่ได้พักบวกกับความเครียดที่ถาโถม กายที่อ่อนล้าจึงประท้วง ซอฮยอนล้มป่วยจนทรุดป่วยหนักจนเธอต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากทั้งยุนโฮและแทยอนให้มาช่วยดูแลลูกน้อย

แทยอนมองหญิงสาวที่นอนซมไข้ตรงหน้า ร่างระหงผอมบางผิดจากหญิงแรกคลอดทั่วไป ใบหน้าขาวไร้สีเลือดแลดูซีดเผือดอย่างน่าตกใจ แต่คนที่นอนอยู่กลับไม่รู้ถึงสภาพอันน่าเป็นห่วงของตัวเอง ยังคงพยายามจะลุกขึ้นมาทำงานทั้งๆที่ลุกขึ้นเองยังไม่ไหว กระทั่งแทยอนเองทนไม่ไหว เอื้อมมือไปจับคนตรงหน้าให้นอนนิ่งๆเสียที

“นอนไปเถอะน่าซอฮยอน อย่าดื้อนักเลย เธอคิดบ้างไหมว่าถ้าเธอเป็นอะไรไปอีกคนแล้วลูกจะอยู่ยังไง” คำพูดของแทยอนเหมือนกับตบหน้าเธอแรงๆให้เธอรู้สึกตัวว่าเธอทั้งดื้อทั้งบ้าแค่ไหนที่ทำอย่างนี้ ฝืนทำทุกอย่างทั้งๆที่ตัวเองไม่ไหว “ย้ายไปอยู่กับพี่ยุนโฮเถอะนะซอ ฉันจะได้สบายใจ คริสก็จะได้สบายใจ”

แทยอนพูดกับคนรักของเพื่อนอย่างเห็นว่าเป็นเพื่อนของเธออีกคน ถ้าเป็นไปได้เธออีกก็อยากจะช่วยซอฮยอนได้มากกว่านี้ หากว่าครอบครัวของเธอมีคนน้อยกว่านี้ซักเท่านึงเธอคงทำได้ แต่ในความเป็นจริงบ้านของเธอคือสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะในการเลี้ยงดูเด็ก ทั้งพ่อแม่ที่ทะเลาะกันทุกวันจนแก่ ลูกชายคนโตที่วันๆเอาแต่กินกับนอนไม่เอาถ่าน ไหนจะน้องสาวคนเล็กที่แสนเอาแต่ใจ แทยอนจึงไม่กล้าแม้แต่จะเสนอความช่วยเหลือ เมื่อรู้ว่ายุนโฮรุ่นพี่คนสนิทพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เธอจึงรับอาสามาเกลี้ยกล่อมอีกแรง

“พอปิดต้นฉบับเล่มนี้เธอก็หยุดโหมงานซักพัก ไปพักกับพี่ยุนโฮ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหมดเอง แถมคุณป้าแม่บ้านก็ยังช่วยเลี้ยงเด็กได้ด้วย อยู่ไปก่อนเถอะนะซอฮยอนแล้วค่อยๆคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

คนป่วยซมไข้ได้แต่นอนนิ่งราวกับตุ๊กตา มีเพียงหยาดน้ำที่รินไหลออกมาเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเธอมีชีวิต เธอรู้ว่าการเป็นคุณแม่ลูกอ่อนนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะการดูแลคนเดียวโดยที่ไม่มีใครช่วยแบ่งเบา เธอรู้ทั้งหมดเพียงแต่คิดว่าจะสามารถทำมันได้ ถ้าเพียงแค่เธอสามารถส่งต้นฉบับบทประพันธ์เรื่องนี้ได้ทันแล้วทุกอย่างก็คงจะคลี่คลาย แต่อะไรๆมันก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด หญิงสาวต้องตื่นมาให้นมลูกน้อยที่ตื่นมาร้องทุกๆสี่ชั่วโมง บางครั้งก็ร้องโยเยแบบที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจนสุดท้ายคนเป็นแม่ก็ร้องไห้ไปพร้อมๆกัน เวลาเพียงน้อยนิดที่ว่างจากการดูแลลูกเธอก็ต้องทำงาน ต้นฉบับที่ถูกส่งกลับมาให้แก้ครั้งแล้วครั้งเล่า คงถึงเวลาที่เธอต้องยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง ดวงตากลมโตปิดลงอย่างช้าๆทั้งที่น้ำตากำลังไหล มันคงไม่ผิดอะไรใช่ไหมที่ฉันจะตัดสินใจแบบนี้

“แล้วชิน…” จู่ๆหญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมาถามถึงลูกชายตัวน้อย เธอตั้งชื่อเขาว่าชิน .. ชิน วู .. ชินที่แปลว่าศรัทธา และความเชื่อ เหมือนที่พ่อและแม่ของเขาเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นจริงๆราวกับฝัน

“อยู่กับพี่ยุนโฮน่ะ ขานั้นรักเด็ก แค่อุ้มก็เงียบกริบเลย ถ้าไม่รู้ฉันคงนึกว่าเขาเคยมีลูกมาก่อน” แทยอนตอบ เธอไม่ได้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบใดจากซอฮยอนต่อไป แม้ไม่มีคำตอบใดแต่เธอก็รู้ดีว่าคนตรงหน้าตัดสินใจยอมรับความช่วยเหลือแล้ว

ซอฮยอนย้ายมาพักอยู่ที่บ้านของยุนโฮ ไม่ไกลนักจากโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ชายหนุ่มจัดห้องให้เธอและลูกแยกออกมาแบบเป็นส่วนตัว ข้าวของเครื่องใช้มากมายถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่จัดตกแต่งอยู่ภายในห้องเล็กโปร่งสบายสมกับเป็นห้องเด็กอ่อน เพียงแค่ไม่นานที่เธอย้ายเข้ามา นายแพทย์หนุ่มก็มีกิจวัตรใหม่ ยุนโฮกลายเป็นคนตื่นเช้า เขาตื่นมารับประทานอาหารเช้าที่เธอทำ เลิกงานแล้วตรงกลับบ้านทันที ไม่แวะไปสังสรรค์ที่ไหน เขาปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าสุขใจแค่ไหนที่มีเธออยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน สิ่งที่ชายหนุ่มที่มีดีกรีเป็นถึงนายแพทย์ไม่เคยเข้าใจคืออะไรบางอย่างในตัวเธอดึงดูดเขา ทำให้เขามองเธอได้ไม่รู้เบื่อ ซ้ำร้ายยังเผลอยิ้มตามอยู่เสมอ

เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ชินอารมณ์ดีและเลี้ยงง่าย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเด็กน้อยรับรู้อารมณ์ได้จากคนเป็นแม่ เด็กชายชินติดคุณลุงยุนโฮที่สุด แค่ได้ยินเสียงทุ้มอบอุ่นของคุณลุง ชินก็แทบจะถลาไปให้อุ้ม ซอฮยอนเองก็เริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นเนื่องจากมีคนแบ่งเบาภาระ แม้ว่าในตอนแรกเธอจะอึดอัดด้วยไม่เคยใกล้ชิดขนาดอยู่ร่วมชายคากับชายใดนอกเหนือไปจากคริส แต่เพราะยุนโฮเข้ากับคนง่าย ไม่นานหญิงสาวก็คุ้นเคยกับการมีเขาเคียงข้างทุกวันจนเธอรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว

“พี่ยุนโฮ ซอจะพาชินไปซื้อของที่ห้างนะคะ” เสียงหวานปลุกเขาให้ตื่นทั้งๆที่เพิ่งนอนไม่ไปไม่กี่ชั่วโมง ชายหนุ่มลืมตาช้าๆก่อนจะเห็นหญิงสาวยืนอยู่หน้าประตูแต่งตัวพร้อมที่จะออกไปข้างนอก สองแขนเรียวเล็กอุ้มทารกน้อยในชุดหล่ออย่างชำนาญ

“ไปไหนกันคะแม่ลูก” เขาถามด้วยความสงสัย

“ซอต้องไปซื้อของใช้ของชินน่ะค่ะ อาจจะต้องซื้อชุดฤดูหนาวไว้ซักหน่อยด้วย อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวลูกจะป่วย” หญิงสาวบอกเขาถึงแผนการในวันนี้

“พี่ไปด้วย รอพี่แป๊บนึงสิ” ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากที่นอนทันทีที่พูดจบก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินหวือเข้าห้องน้ำไปไม่ทันให้อีกคนได้ทัดทาน

ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุงโซล ผู้คนมากมายต่างเดินกันขวักไขว่ ซอฮยอนเดินเข้าร้านออกร้านนี้โดยมียุนโฮอุ้มชินเดินตามอยู่ไม่ห่าง ภาพชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยแก้มยุ้ยหน้าตาน่ารักน่าชังนั้นทำให้คนเดินผ่านไปมองอย่างทั้งเสียดายปนอิจฉา

“พี่ยุนมาทำไมก็ไม่รู้ เพิ่งได้นอนไปแค่แป๊บเดียวเอง ซอกับชินมาเองก็ได้” เธอบ่นพลางเลือกของไปพลาง มือเรียวบางเอื้อมหยิบหมวกใบน้อยขึ้นมาสวมใส่ให้กับเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนเขา

“ซอฮยอน! คริส! มาทำอะไรในร้านเสื้อผ้าเด็กจ๊ะเนี่ย” เสียงเรียกคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของยุนโฮ “ฉันเกือบจะเดินผ่านไปแล้วนะเนี่ย มองอยู่ตั้งนานว่าเป็นเธอหรือเปล่า”

“ฮวานฮี กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” หญิงสาวทักขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเรียก ฮวานฮีเพื่่อนรักสมัยวิทยาลัยที่ห่างเหินกันไปเพราะอีกฝ่ายต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ

“อ้าว นี่ไม่ใช่…” ฮวานฮีเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงชัดๆ ด้วยส่วนสูง ลักษณะท่าทาง ช่างเหมือนอีกคนเหลือเกิน แต่กลับไม่ใช่

“นี่พี่ยุนโฮ เอ่อ.. รุ่นพี่ของคริสน่ะ”

“แล้ว…”

“ส่วนนี่ลูกชายของฉัน” ร่างระหงถูกเพื่อนสาวดึงออกไปจากตรงนั้นแทบจะทันที ฮวานฮีโค้งให้กับชายหนุ่มน้อยๆอย่างขออนุญาต มือก็ทั้งลากทั้งถูพาเพื่อนสาวไปหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนักจากยุนโฮ

“มันเกิดอะไรกันขึ้นซอฮยอน” ดวงตาเรียวเล็กที่มักจะเต็มไปด้วยประกายยิ้มมองอีกคนเครียดขึ้ง “ที่ฉันรู้เธอย้ายไปอยู่กับคริสและก็กำลังวางแผนอนาคตกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“คริสเสียได้ปีกว่าแล้วฮวานฮี” ซอฮยอนตอบเสียงเรียบ ปีกว่าแล้วที่เขาจากไป ภายใต้ท่าทางปกตินั้นหัวใจเธอยังกระตุกทุกทีที่นึกถึงคืนนั้น ความทรงจำอันแสนปวดร้าวที่สุดในชีวิตเธอ

“โธ่ ซอ แล้วชิน…?”

“ชินเป็นลูกคริส ฮวานฮี ลูกชายที่คริสเฝ้าฝันอยากจะมี โชคดีที่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากพี่ยุนโฮ ไม่งั้นเราสองแม่ลูกคงแย่ ฉันพยายามโทรหาเธอเพื่อจะบอกข่าวแต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย..” หญิงสาวอธิบายให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนรักที่ห่างหายใช้เวลาคุยกันชั่วครู่ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายไปทำธุระที่ค้างอยู่ ฮวานฮีไม่ลืมที่จะขอทั้งที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของซอฮยอน คราวนี้เธอสัญญาว่าจะไม่ทิ้งให้เพื่อนต้องผ่านช่วงเวลาโหดร้ายลำพังอย่างแน่นอน ฮวานฮีจากไปโดยทิ้งคำถามมากมายไว้ให้กับคนสองคนโดยที่เธอไม่รู้ตัว

ทั้งยุนโฮและซอฮยอนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายแพทย์หนุ่มสลัดเสื้อกาวน์ทำหน้าที่เป็นคุณพ่อบ้านดูแลคุณแม่และลูกน้อยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนเมื่อถึงเวลาที่ต่างคนต่างอยู่ลำพัง

ภายในห้องนอนอันมืดมิด เสียงเพลงจากโมบายที่ถูกเปิดทิ้งไว้กล่อมเด็กชายดังอยู่ก่อนจะค่อยๆดับลง ร่างบางระหงยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ใจหวนกลับไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน .. พี่ยุนโฮเหมือนกับคริสขนากนั้นเลยหรือ .. ในตอนแรกซอฮยอนเองยอมรับว่าคล้าย ไม่ใช่เพียงคล้ายแค่ภายนอก มันมากไปกว่านั้น การที่มียุนโฮอยู่ใกล้คอยดูแลเธอทำให้เธอรู้สึกเช่นเดียวกับที่เธอได้รับจากคริส แต่เมื่อนานไปเธอเริ่มมั่นใจว่ามันแตกต่าง สำหรับเธอคริสเป็นรักแรก คือความทรงจำที่จะอยู่ในใจของเธอเสมอ ส่วนยุนโฮคือปัจจุบัน คือความอบอุ่นปลอดภัย คือหัวไหล่ให้เธอพังพิง หัวใจของเธอสงบอย่างน่าประหลาดเวลาที่อยู่กับเขา

…นี่ฉันรักพี่ยุนโฮอย่างนั้นหรือ

ซอฮยอนเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น เธอรักเขา แน่ล่ะใครจะไม่รักผู้ชายแสนดีอย่างนั้น แต่เธอไม่ดีพอสำหรับนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกลที่แสนเพียบพร้อมอย่างเขา นักประพันธ์เงินเดือนเพียงแค่ครึ่งของเงินเดือนหมอ พ่อแม่ก็สิ้นไปแล้วทั้งสองท่าน มีเพียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน .. แต่นั่นมันข้อดีตรงไหนกัน

ตั้งแต่นั้นหญิงสาวก็รักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าเขาก็รู้สึก ยุนโฮเฝ้าสังเกตเธอ หลายครั้งที่ซอฮยอนปฏิเสธไม่ยอมทำบางอย่างที่เคยทำร่วมกัน ไม่ว่าจะไปซื้อของ ทานอาหาร หรือแม้แต่ดูรายการภาพยนต์ที่บ้าน จนเขาชักจะน้อยใจแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา ชายหนุ่มกลัวแสนกลัวว่าถ้าพูดอะไรไปเธอจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปพร้อมกับลูกชาย หากเป็นอย่างนั้นเขาคงทำใจไม่ได้ อย่างน้อยการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันคงดีกว่าการสูญเสียเธอไปอย่างไม่มีโอกาสแม้แต่จะเฝ้ามอง

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มมองออกไปที่นอกหน้าต่าง หิมะโปรยปรายอยู่ด้านนอกทำให้โซลอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขของเทศกาลคริสต์มาสที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน แขนแกร่งกอดเด็กชายที่ขยับตัวยุกยิกไม่เป็นสุขราวกับว่าหงุดหงิดอยากจะออกจากอ้อมกอดเขาเสียเต็มที แขนเล็กป้อมไขว่คว้าเปะปะพร้อมกับร้องเรียก “ม่ะ มัมมัมมา อมมะ” คำแรกและคำเดียวที่เรียกได้ในตอนนี้

“จะหาแม่อีกแล้วนะชิน ไม่เห็นร้องหาพ่อบ้างเลย .. อัปป้า .. พูดได้ไหมชิน อัป-ป้า” ชายหนุ่มมองหน้าทารกตัวจ้อยหวังว่าจะได้ยินคำเรียกอย่างที่หวัง ถึงเขาจะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ก็เลี้ยงดูกันมาจนทั้งรักและผูกพันเสมือนเลือดเนื้อเชื้อไข

“มัมมัมม่ะ อมมะ!” เด็กชายตัวน้อยร้องเรียกมารดา มือเล็กๆตีเข้าเบาๆที่แก้มสาก

ร่างบางระหงเดินออกมาจากพร้อมกับชามข้าวใบเล็กๆในมือ ดวงตาอ่อนโยนมองลูกชายตัวน้อยที่อยู่ในแขนแกร่งนั้น รอยยิ้มบางๆเคลือบอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมหัวใจเธอเมื่อได้เห็นยุนโฮกับชินเข้ากันได้ดี แต่อีกใจนึงก็นึกหวั่น ถ้าวันที่เราไม่ได้อยู่ร่วมกันมันจะเป็นอย่างไร ซอฮยอนไล่ความคิดต่างๆออกไปจากหัว หญิงสาวนั่งลงที่ใกล้ๆก้มลงหยอกเย้าเด็กน้อย

“หิวล่ะสิ ไม่ได้คิดถึงแม่หรอกใช่ไหมคะชิน” เสียงหวานถาม มือยังคงคนอาหารเด็กที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน

“มะ ม่ำๆๆๆๆ มัมม่า!” เด็กน้อยพูดพร้อมกับตบมือชอบใจ ตัวกลมเล็กไต่ออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มสูงใหญ่แล้วจึงปีนป่ายไปนั่งที่ตักมารดา ซอฮยอนหัวเราะคิกกับท่าทางของเด็กน้อย ชินฉลาดเกินวัยสำหรับเด็กอายุขวบปี มือหนาที่ว่างจากการอุ้มเด็กชายเอื้อมมารับชามอาหารลายการ์ตูนจากมือของซอฮยอน เขาใช้ช้อนตักอาหารเพียงนิดก่อนจะยื่นไปป้อนเด็กชาย

“หม่ำมาเร็วครับชิน”

ชินอ้าปากว้างเพื่อรับอาหารไปเคี้ยวจ๊อบแจ๊บอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะอ้าปากรออีกครั้งจนผู้ใหญ่ทั้งสองขันนัก เด็กคนอื่นมีเลือกกิน เบื่ออาหารทานไม่ได้ แต่ชินเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง เด็กน้อยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

“ม่ำมะ .. อะอะ .. อะปะ ม่ำๆๆๆ อัป..ปะ..!” ดวงตาคบกริมเบิกกว้างอย่างตกใจที่ได้ยินคำเรียกที่เขาพยายามสอนมาตลอดตั้งแต่เด็กน้อยเริ่มพูดคำแรก

“อัปปะ”

เด็กทารกน้อยยังคงเรียกอยู่อย่างนั้น มือเล็กป้อมชี้มาที่ชามอาหารราวกับจะบอกว่าให้ป้อนคำต่อไปได้แล้ว ชินเอียงคอมองคนตัวโตตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ทั้งที่ปกติจะคอยป้อนเขาไม่ขาดและยังคะยั้นคะยอให้เขาเรียกว่า “อัปป้า” แต่พอเรียกแล้วไหงนิ่งไปอย่างนั้น เด็กชายหันหลังมองมารดาที่มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มตั้งสติเพียงชั่วครู่ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี มือหนาค่อยๆตักอาหารป้อนเด็กชายทีละน้อยๆ ดวงตากลมโตเฝ้ามองภาพตรงหน้าอย่างที่เธอเองก็บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ตื้นตัน .. แต่ความรู้สึกละอายที่ท่วมท้นอยู่นี่ล่ะ เธอควรจะได้รับกับสิ่งเหล่านี้แล้วอย่างนั้นหรือ เธอไม่ดีพอขนาดนั้น เธอจะให้คุณหมอหนุ่มอนาคตไกลมาหยุดที่การเป็นพ่อของลูกที่เกิดจากผู้หญิงหม้ายหนึ่งคนได้อย่างไรกัน ลำพังแค่ความช่วยเหลือช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาก็มากจนเธอไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร แล้วนี่ยังชิน..

กลางดึกคืนนั้นหลังจากที่ซอฮยอนพาชินเข้านอน เธอนอนไม่หลับ หลังจากที่คิดเรื่องราวมากมาย สุดท้ายหญิงสาวตัดสินใจเดินไปหายุนโฮที่ห้องนอนของเขา เธอเรียกเขาออกมาคุยที่ห้องรับแขกด้านนอกอย่างทุกครั้ง ร่างระหงเดินออกมาจากหห้องครัวพร้อมด้วยโกโก้อุ่นๆกรุ่นควันฉุย เธอยื่นมันมาให้กับเขาก่อนจะนั่งลงที่โซฟาอีกตัว

“พี่ยุนโฮคะ ซอขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่ดูแลเราสองแม่ลูกเป็นอย่างดีมาตลอดเวลาเกือบปีนี้” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ยุนโฮตั้งท่าจะพูดบางอย่างแต่กลับถูกเธอหยุดไว้ ท่าทีแปลกๆของเธอทำให้เขาต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ มือหนาเอื้อมวางแก้วโกโก้ที่เพิ่งดื่มไปเพียงจิบเดียวก่อนจะมองนิ่งที่ดวงหน้าหวานใส “ซอขอบคุณพี่ยุน แต่ซอก็ไม่อยากรบกวนพี่ยุนมากไปกว่านี้ ชินเริ่มโตขึ้นทุกวัน ซอกลัว…ว่าเราสองคนแม่ลูกจะสร้างความลำบากให้กับพี่ยุน ซอเลยตัดสินใจว่าจะย้ายออก”

“พี่ไปบอกซอตอนไหนงั้นหรือว่าพี่ลำบาก” เขาถามอย่างคนที่สติหลุดลอย ซอฮยอนพูดในสิ่งที่เขากลัว หัวใจที่ผลิบานด้วยความยินดีจากเสียงเรียกเล็กๆของเด็กชายที่เรียกเขาว่าพ่อแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อเธอบอกว่าจะไป .. ออกไปจากชีวิตของเขา

“พี่ยุนไม่เคยบอก แต่ซอแค่คิดว่าซอควรจะทำสิ่งที่ถูกต้องเสียที มีซอกับลูกอย่างนี้ พี่ยุนจะมีครอบครัวของตัวเองได้ยังไงกันล่ะคะ”

“ขอให้เธอรู้ไว้ว่า .. สำหรับพี่ ซอและลูกคือครอบครัว” เขาตอบ ชายหนุ่มกลืนก้อนฝืดๆลงไปในลำคอก่อนที่จะพูดต่อ “พี่จะไม่ห้ามซอไม่ว่าซอจะทำอะไร ขอให้ซอตัดสินใจให้ดี แต่พี่ขออย่างนึงก่อนจะเธอจะไป เธอย้ายออกหลังวันคริสต์มาสได้ไหม คุณพ่อคุณแม่ของพี่ท่านอยากพบเธอกับลูก ตามที่เราสัญญากันไว้ว่าเราจะพาชินไปพบท่านแล้วก็ฉลองคริสต์มาสด้วยกัน”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหม่นวูบ ยุนโฮหลุบสายตาลงมองที่พื้นตรงหน้า เขาไม่กล้าสบตาคู่นั้น ไม่กล้าแม้แต่จะมองเสี้ยวหนึ่งของดวงหน้าหวานซึ้งด้วยกลัวใจตัวเอง หากเขามอง เขาคงไม่อาจปล่อยเธอไป ชายหนุ่มคงต้องผิดคำพูดที่บอกเธอไว้เมื่อครู่ “ถ้าหลังจากที่ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่แล้วเธอตัดสินใจได้อย่างไร พี่จะเคารพการตัดสินใจของเธอ ได้ไหมซอฮยอน อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง”

ร่างสูงกล่าวทิ้งไว้ก่อนจะเกินเข้าห้องนอนทิ้งเธอไว้ให้อยู่ลำพังท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว

เวลาแค่เพียงไม่กี่วันกลับเหมือนนานนับปีสำหรับเขา ยุนโฮพาสองแม่ลูกไปยังกวางจูบัานเกิดของเขาเพื่อพบกับบิดามารดาตั้งแต่วันคริสต์มาสอีฟ ทุกเวลาทุกนาทีชายหนุ่มแทบจะไม่ปล่อยให้เด็กชายห่างกายด้วยอาจจะซึบซับทุกอย่างไว้ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร เขาคงได้แต่ยอมรับ เขาเพียงแต่เสียใจและเสียดายที่ไม่อาจอยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้มากกว่านั้น การปล่อยเธอจากไปโดยไม่มีสิทธิ์แม้จะรั้งไว้ ที่ทำได้คือรอวันนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกักขังเขาไว้เพื่อรอเวลาประหาร

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปที่หญิงสาวสองวัยที่กำลังคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ซอฮยอนเข้ากับมารดาของเขาได้ดีอย่างน่าหนักใจ การเป็นแพทย์ทำงานในเมืองหลวงจะทำให้ยุนโฮต้องทำงานไกลบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงติดต่อกับที่บ้านอย่างสม่ำเสมอไม่มีขาด ชายหนุ่มมักจะเล่าเรื่องของสองแม่ลูกที่เขาอาศัยอยู่ด้วยให้มารดาฟังเสมอจนท่านอยากพบ เขาเคยเปรยกับท่านด้วยซ้ำเรื่องของซอฮยอน อย่างน้อยเขาก็อยากให้ครอบครัวยอมรับหากเขาจะเลือกเธอเป็นภรรยาโชคดีที่บิดามารดาของเขาทันสมัยพอดีที่ยอมรับเรื่องราวเหล่านี้ได้ โชคร้ายก็ตรงที่ซอฮยอนไม่ได้เลือกเขา .. แล้วเขาจะบอกแม่ได้อย่างไรกันว่าแม่จะชวดทั้งลูกสะใภ้และหลานชายหน้าตาน่าเอ็นดู

“เหนื่อยไหมลูก ซอ” คุณนายจองถามหญิงสาวที่ลูกชายคนเดียวพามาอย่างเอ็นดู

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะคุณนายจอง พี่ยุนโฮเหนื่อยกว่าซอเยอะเลยค่ะ ขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง” ซอฮยอนตอบ ดวงตาทอประกายมองไปที่ลูกชายคนเดียวที่กำลังจะครบขวบปีในอีกไม่ถึงวัน ชินเล่นกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากโดยมีประมุขแห่งบ้านตระกูลจองนั่งมองอยู่อย่างยินดี

“ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอกลูก เรียกว่าแม่เถอะซอฮยอน” หญิงสูงวัยกว่าพูดพลางแตะที่ไหล่กลมมนของอีกคนอย่างเอ็นดู

“ค่ะคุณแม่”

คุณนายจองและซอฮยอนใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบทั้งวันจนคุณจองกระเซ้าว่าเธอได้ลูกสาวคนใหม่จนลืมลูกชาย ซอฮยอนทั้งน่ารักแสนดี เธอคิดไว้แล้วไม่ผิดว่าลูกชายของเธอตาแหลม ยุนโฮพ่อลูกชายของเธอมักจะโทรมาเล่าเรื่องราวของสองแม่ลูกคู่นี้จนเธออยากจะพบหน้าคนที่สามารถทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนไปได้ ยุนโฮเคยบ้างาน ทำงานข้ามวันข้ามคืน ทั้งตรวจคนไข้และทำงานวิจัยอย่างไม่ว่างเว้น ช่วงหลังเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกชายคนเดียวที่แทบจะกลับจากขั้วโลกเหนือเป็นขั้วโลกใต้ ยุนโฮอ่อนโยนมากขึ้น ใส่ใจครอบครัวและคนรอบข้างมากขึ้น ที่สำคัญดูแลตัวเองมากขึ้นโดยชายหนุ่มให้เหตุผลว่าเขามีคนอีกสองคนต้องดูแล อย่างนี้จะให้เธอตั้งแง่กับหญิงสาวที่เปลี่ยนลูกชายเธอให้จากนายแพทย์หนุ่มสมบูรณ์แบบเป็นผู้ชายธรรมดาหนึ่งคนได้อย่างไรกัน และจากที่เธอเจอวันนี้เธอก็ไม่ผิดหวัง กลับประทับใจเกินกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ

“แหม พ่อก็ ก็แม่ดีใจนี่ที่พ่อยุนพาสาวมาให้แม่ดูตัวซะที แม่น่ะรอมานานจนคิดว่าจะต้องรอเก้อเสียแล้ว” คุณนายซอพูดแก้เก้อกับคำหยอกเย้าของสามีที่กลางโต๊ะอาหาร ครอบครัวจองและแขกคนสำคัญกำลังรับประทานอาหารมื้อพิเศษในคืนวันคริสต์มาสอีฟร่วมกัน

“พี่ยุนไม่เคยพาผู้หญิงมาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักเหรอคะ” หญิงสาวถาม เธอลอบมองชายหนุ่มเจ้าของเรื่องโดยไม่ให้เขารู้ตัวก่อนเสมาตักอาหารให้คุณนายจอง

“ก็มีซอนี่แหละ คนแรก แล้วก็…คนเดียว” ยุนโฮตอบ

“อ่าวเฮ้ย เจ้ายุน! แกจะมาจีบน้องต่อหน้าพ่อทำไม ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี มดขึ้นหมดแล้ว” คุณจองกล่าวด้วยน้ำเสียงดังกังวาล หากแต่ข้อความหยอกเย้าลูกชายอย่างคนอารมณ์ดี “กินข้าวก่อนไปแล้วค่อยไปจีบกันต่อ เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูหลานให้เอง”

สองสามีภรรยาหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้หนุ่มถามที่ถูกแซวนั่งหน้าแดงราวกับสตรอว์เบอร์รี่จนในที่สุดคุณนายจองต้องพูดขึ้น “พ่อนี่ก็ ไปแซวลูกทำไม ทานข้าวไปยุนโฮ ซอฮยอน อย่าไปฟังพ่อขี้แกล้งของเรามากนักเลย”

กลางดึกคืนคริสต์มาสอีฟ หลังจากที่สมาชิกครอบครัวจองและสองแม่ลูกแลกของขวัญกันตามทำเนียม คุณนายจองได้แต่ปิติยินดีที่ได้รับผ้าพันคอเนื้อดีจากซอฮยอนเช่นเดียวกับคุณจองที่เห่อเนคไทใหม่ไม่เลิก จนยุนโฮบ่นอุบว่าของขวัญของเขาไม่ได้รับการเหลียวแล ซอฮยอนได้รับสร้อยคอพร้อมจี้กับหนังสือจิตวิทยาของอริสโตเติลเล่มหนาที่ลูกชายบอกว่าหญิงสาวชอบอ่าน สำหรับยุนโฮ คุณนายจองเตรียมแหวนเก่าเอาไว้ให้โดยไม่ได้เอ่ยอะไรนอกเหนือไปจากนั้นและเขายังได้รับนาฬิกาเรือนหรูจากบิดา ส่วนชินเด็กชายที่ควรจะเข้านอนกลับนั่นเล่นของเล่นสารพัดที่ได้จากทั้งครอบครัวของยุนโฮและคุณแม่ของเขา เด็กน้อยปรบมือหัวเราะร่าอย่างยินดีแทบจะตลอดเวลาที่เห็นความรื่นเริงของทุกคนในบ้าน

หลังจากแลกของขวัญเสร็จสิ้นทุกคนในครอบครัวต่างก็แยกย้าย ยุนโฮชวนซอฮยอนออกมาเดินเล่นโดยมีคุณและคุณนายจองรับอาสาทำหน้าที่พาเด็กชายตัวน้อยเข้านอน ที่สวนหลังบ้านประดับประดาด้วยไฟระยิบ ตุ๊กตาเด็กในโรงนาเป็นสัญลักษณ์การเกิดของพระเยซูได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามท่ามกลางสวนกว้าง ในที่สุดเขาก็มีเวลาได้คุยกับเธออย่างลำพังเสียที ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะพูดกับเธอให้รู้เรื่องวันนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร

“ให้พี่ดูแลซอต่อไปได้ไหม อย่าเห็นพี่เป็นแค่เงาของคริสได้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างต้องการไออุ่น ถึงกวางจูจะอยู่ในตอนใต้ของเกาหลี แต่อากาศในตอนกลางคืนของฤดูหนาวก็ยังคงหนาวนัก

“ซอไม่เคยเห็นพี่ยุนเป็นตัวแทนของคริสเลยนะคะ ถึงจะเหมือนกันแค่ไหนแต่มันก็แค่ภายนอก คริสก็คือคริส พี่ยุนก็คือพี่ยุน คริสคือคนรักคนแรกที่ไม่มีใครแทนได้ เขาเป็นความทรงจำที่ดี ซอมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะคริส…”

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้อธิบายมากไปกว่านั้น เขาก็ถามขึ้นมาต่ออย่างอดรนทนไม่ไหว “แล้วสำหรับซอพี่เป็นอะไร”

“พี่ยุนเป็นซานต้า” ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบมองหน้าคนตัวโตกว่าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“หะ” เขาร้องถามอย่างฉงนนัก ซานตาคลอสอะไรกัน เขา..ไม่เข้าใจเอาซะเลย

“ซานต้าพี่ยุน” เสียงหวานใสยังคงหยอกเย้า รอยยิ้มขี้เล่นฉายอยู่เต็มใบหน้าจนเขาชักจะอ่อนใจ ตั้งใจว่าจะคุยเป็นเรื่องเป็นราวกลับโดนแกล้งเสียนี่

“โถ่ซอ” ชายหนุ่มร้องโอดโอย นายแพทย์หนุ่มแนวหน้าของเกาหลีเสียท่าให้กับหญิงสาวหน้าหวาน รู้ไหนถึงไหนคงอายไปถึงนั่น

“แหม ถ้าใส่ชุดแดงหน่อยละใช่เลยนะคะเนี่ย” เธอตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานไปให้ “ในชีวิตซอ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชิน ต้องขอบคุณซานต้าใจดีที่มอบชีวิตให้กับเขาเพื่อเป็นของขวัญให้กับซอ พ่อที่ตามสายเลือดของชินคือคริส แต่คนที่ให้ชีวิตกับเขา สองมือแรกที่อุ้มเขาคือพี่ ขอบคุณมากนะคะ .. ซานต้าของฉัน”

ยุนโฮมองสบดวงตาโตแน่นิ่ง ราวกับตกอยู่ในภวังค์ฝัน “แล้วเธอรักซานต้าบ้างไหมซอ” เขายังคงตั้งคำถาม

“ซอรักซานต้าไม่ได้หรอกค่ะ อ้วนก็อ้วน แก่ก็แก่ แถมยังใจดีกับทุกคน” รอยยิ้มและน้ำเสียงขี้่นกลับมาอีกครั้งจนคราวนี้เขาชักจะอ่อนใจขึ้นมาจริงๆ ซอฮยอนไม่เปิดโอกาสให้เขาได้โรแมนติกบ้างเลยแม้แต่น้อย

“แล้วซานต้าคนนี้ล่ะ เธอไม่รักซานต้าพี่ยุนคนนี้หน่อยเหรอซอ” เขาถาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองเข้าไปในดวงตากลมโตที่ส่องประกายใสแจ๋ว เขาถ่ายทอดทุกคำพูดทุกความรู้สึกผ่านทางแววตาคู่นั้นไปจนหมดสิ้น

“อัปป้า! อัปปะๆๆๆ” เสียงเด็กชายดังขึ้น สายตาทั้งสองคู่หันไปมองที่ต้นเสียง เด็กชายควรจะหลับไปแล้วไม่ใช่หรือ

“ขอโทษทีลูก เที่ยงคืนกว่าแล้วชินยังไม่ยอมนอน พอตั้งเริ่มตั้งไข่ได้ละเอาใหญ่เลย แม่เลยพาออกมารับลม นี่แม่นึกว่าเราไปอยู่แถวเรือนต้นไม้เสียอีก .. คุยกันไปต่อเถอะสองคน เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูหลานให้เอง” คุณนายจองที่กำลังอุ้มเด็กชายตัวน้อยเอ่ยขึ้น เพราะเธอแท้ๆที่ทำลายบรรยากาศดีๆของคู่รัก เธอตั้งใจจะพาหลานมาเล่านิทานก่อนนอนที่ในสวนก่อนด้วยคิดว่าลูกชายคงพาหญิงสาวไปคุยกันที่เรือนต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปมากกว่า เมื่อเธอเห็นว่าทั้งสองอยู่ในสวนแทนที่จะเป็นเรือนต้นไม้อย่างที่คิดไว้ชินก็ร้องเรียกขึ้นมาทันที เธอจะทำให้หลานเงียบก็ไม่ได้

“อมมะ อมมะ” เด็กชายร้องเรียกมารดาก่อนที่คุณนายจองจะทันได้พากลับเข้าไปในบ้าน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ สงสัยชินจะตื่นเต้นที่โตเป็นหนุ่มครบขวบนึงแล้ว .. เดี๋ยวซอดูเองค่ะ” หญิงสาวตอบ ร่างระหงเดินไปรับเด็กชายมาอุ้มไว้แนบอก “ขอบคุณมากนะคะคุณแม่”

“อย่าดึกนักนะลูก น้ำค้างเริ่มลงแล้วจะเป็นหวัดเอากัน” หญิงสูงวัยกว่ากล่าวก่อนจะเดินลับตาไปโดยไม่ลืมยื่นผ้าผืนหนาที่ติดมือมาให้กับลูกชายด้วย บางทีปล่อยให้อยู่กันสามคนอย่างนี้อาจจะดีก็ได้ เผื่อว่ายุนโฮจะต้องการความช่วยเหลือจากชิน เด็กน้อยเรียก”อัปป้าๆ”คงช่วยทำให้มารดาใจอ่อนได้ไม่ยาก คุณนายจองคิดพลางเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี

หญิงสาวอุ้มบุตรชายไปนั่งที่ชิงช้าไม้เล็กๆภายในสวน เรือนร่างบอบบางออกแรงไกวชิงช้าเบาๆ ปากก็ร้องเพลงกล่อมลูกน้อย หากแต่เพลงวันนี้แตกต่างไปจากทุกวันหญิงสาวร้องเพลงวันเกิดให้กับเจ้าตัวน้อยแทนเพลงเด็กก่อนนอน

생일 축하합니다
생일 축하합니다
사랑하는 우리신
생일 축하합니다
Happy birthday to you
Happy birthday to you
Happy birthday, our Shin
Happy birthday to you

ทารกน้อยที่แสนซนของคุณนายจองหลับนิ่งเพียงแค่ได้ยินเสียงเพลงกล่อมจากมารดา หญิงสาวบรรจงจูบที่กระหม่อมบางของลูกชายพร้อมกับพูดเบาๆ “สุขสันต์วันเกิดนะชินลูกรัก แม่รักลูกนะครับ”

“อัปป้าก็รักชินนะครับ” เสียงทุ้มพูดขึ้น หญิงสาวรู้สึกถึงผ้าห่มผืนหนาที่ห่มกายเธอโอบไปถึงลูกน้อย วงแขนแกร่งโอบกระชับเรือนร่างบอบบางก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ตรงหน้า .. แหวนเก่าที่คุณนายจองมอบให้เมื่อค่ำ

“แหวนที่คุณแม่มอบให้เป็นแหวนประจำตระกูลที่คุณพ่อกับคุณแม่ได้มา ท่านใช้เป็นแหวนแต่งงานจนถึงวันนี้ที่ท่านมอบให้กับพี่เพื่อนำไปให้คำผู้หญิงที่พี่คิดว่าจะแต่งงานด้วย .. เป็นพี่ได้ไหมซอฮยอน ให้พี่ได้ดูแลเธอไปตลอดชีวิตเถอะนะ” ดวงตาคมกล้าฉายแววตาแห่งความรักอย่างสัตย์จริง ไม่มีความรู้สึกไหนที่เขาจะมั่นใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งได้เห็นเธอกับครอบครัวของเขาวันนี้ เขายิ่งมั่นใจ

ดวงตาหวานรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความยินดี ความรักที่อุ่นไปทั้งหัวใจ ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถตอบแทนเขาได้มากไปกว่า…

“ขอบคุณนะคะซานต้า ขอบคุณนะคะชินอัปป้า”

ฟิคฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
แต่รีบโพสก่อนเพราะกลัวโลกแตกแล้วจะไม่ได้อ่านกัน หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ
ขอให้มีความสุขน้า~ Merry Christmas & Happy New Year ค่ะ 😀

That’s something never changed
The more memorable time we had, the more I feel miserable

“นี่! หยุดเดียวนี้เลยนะลี ดงเฮ” ยูริโวยวายเสียงดังลั่น เมื่อเห็นดงเฮพยายามจะฉวยโอกาสที่เธอมองไม่เห็นหนีออกจากห้องประชุม ไม่อยากเล่นละครเวทีเด็กๆ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงอันดังของยูริก็ต้องชะงัก

“เธอสัญญาแล้วนะว่าเธอจะทำละครเวทีกับฉัน เธอจะผิดสัญญางั้นเหรอ” ยูริถามจ้องเข้าไปในตาสีน้ำตาลตรงหน้านิ่ง ไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดออกมาจากริมฝีปากสวยนั้น ดงเฮมองหญิงสาวตรงหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นสิ่งที่เขารู้คือเขาทำได้แต่พยักหน้าเบาๆแล้วเดินตามเธอไป แพ้ทางจริงๆเวลาที่เธอพูดเรื่องสัญญา และนั่นเป็นการเริ่มต้นของทุกสิ่ง

เขารู้จักกับยูริและคยูฮยอนตอนมัธยมปลาย ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียน เขา คยูฮยอน ยูริ และซอฮยอนน้องสาวของเธออยู่ด้วยกันเสมอ ยิ้มและหัวเราะไปพร้อมๆกัน ยูริเป็นดาวของโรงเรียน เธอทั้งสวย เก่ง ร่าเริงและเป็นมิตร เพราะความเปิดเผยของเธอทำให้เธอมีเพื่อนมากมาย ส่วยคยูฮยอนก็เป็นหนุ่มที่สาวๆหมายปอง เขาเรียนเก่ง เป็นถึงแชมป์คณิตศาสตร์โอลิมปิก เขารักดนตรีและเล่นดนตรีเก่ง หน้าตาดีจนติดอันดับออลจังของโรงเรียน ไม่แปลกนักที่ในที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงคบหากันภายใต้การสนับสนุนของซอฮยอน

จนเมื่อเขาและเธอเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไปเมื่อต่างคนแยกย้ายไปเรียนตามที่ตนเองต้องการ คยูฮยอนเลือกเรียนด้านการบริหารการตลาดเพราะต้องสืบทอดกิจการของครอบครัวบวกกับความชอบส่วนตัว ในขณะที่ยูริเลือกเรียนด้านการแสดงเช่นเดียวกับเขา ยูริเป็นเจ้าแม่กิจกรรม และก็ไม่พ้นที่จะชักชวนแกมบังคับให้ดงเฮซึ่งมีเวลาว่างตรงกับเธอมากที่สุดให้ร่วมกิจกรรมร่วมกับเธอทุกครั้งไป

“เธอเนี่ยนะ ทำไมไม่ไปบังคับให้แฟนเธอมันมาเล่นละครเวทีนี่บ้าง” ดงเฮบ่นงึม และทุกครั้งที่เขาบ่นเธอก็มักจะยักไหล่ตอบกลับมาหน้าตาเฉย

“ก็คยูฮยอนกับฉันเวลาไม่ตรงกัน อีกอย่างเขาก็ไม่ว่างด้วย”

“เธอควรจะบอกมันให้มาดูแลเธอบ้าง” ดงเฮยังคงไม่เลิกบ่น ทั้งหมดก็เพราะความเป็นห่วงคำเดียวเท่านั้น ละครเวทีต้องซ้อมหนัก เลิกก็ดึก ครั้นเขาจะไปส่งเธอทุกวันก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายในอีกฐานะนึงยูริถือว่าเป็นแฟนเพื่อนสนิท จะทำอะไรเขาต้องคิดไม่น้อยเกรงว่าจะทำอะไรไปกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ยิ่งพวกเขาสำคัญมากเท่าไรเขายิ่งต้องคคิดมากขึ้นเท่านั้น

“เราไม่ได้คบกันแบบนั้น และฉันก็ดูแลตัวเองได้” ยูริสวนเกือบจะทันทีเมื่อได้ยินดงเฮพูด ไม่รู้ทำไมเธอหงุดหงิดเสมอเมื่อมีคนพูดถึงเธอกับคยูฮยอนแบบนั้น ราวกับว่าคบกันแล้วเธอเป็นเจ้าหญิงแล้วจะดูแลตัวเองไม่ได้ “ถ้าเธอเบื่อที่จะอยู่กับฉัน ก็ไปซะ ฉันไปชวนคนอื่นก็ได้”

ดงเฮมองยูริที่เดินหนีไป เขารู้ว่าเธองอน แต่เธอจะรู้บ้างไหมว่าที่พูดน่ะเพราะเป็นห่วง ไม่ใช่เพราะเบื่ออย่างที่เธอพูดออกมา ดงเฮถอนลมหายใจหนักอึ้งก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆเดินตามเธอไป

…ต้องง้ออีกตามเคยสินะ

ยูริได้รับเลือกเป็นนางเอกละครเรื่องแรกที่ทั้งคู่ร่วมเล่น ส่วนดงเฮก็จับพลัดจับผลูได้เป็นพระรองอย่างไม่รู้ตัว แต่เพราะละครเรื่องนั้นทำให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้น และทำให้เขาเห็นหลายๆมุมของเธอ ยูริกับภาพลักษณ์ที่แสนจะเก่งและห้าวหาญ สาวสวยเซ็กซี่ประจำภาควิชาการแสดง จริงๆแล้วเธอเป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่งที่อ่อนไหว ภายนอกยูริจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่จิตใจของเธอเหมือนจะตรงกันข้าม และเขาก็กลายเป็นคนที่เคียงข้างเธอเสมอ

“ไม่ไหวเอาซะเลย จะทำของขวัญให้พ่อกับแม่เองก็ไม่ได้ ต้องให้เธอช่วยทุกที” เธอบ่นตัวเองครั้งที่พยายามจะถักผ้าพันคอคู่ให้คุณและคุณนายซอตามที่ตกลงไว้กับซอฮยอน โดยซอฮยอนจะถักให้คุณพ่อ ส่วนเธอจะถักให้คุณแม่ แต่สุดท้ายกลายเป็นดงเฮต้องมาช่วยถักจนเสร็จดี เขาได้แต่หัวเราะเบาๆพร้อมกับบอกเธอว่าเขายินดี

“ฉันเป็นพี่ที่ไม่เอาไหน ดูแลน้องเองก็ไม่ได้” เธอบ่นกับเขาเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนต้องกลายเป็นคนติวหนังสือให้กับซอฮยอนแทนที่จะเป็นเธอ พี่สาวแท้ๆ ดงเฮได้แต่จับหัวเล็กๆนั้นโยกไปเบาๆ พร้อมกับคำปลอบใจ ใช่ทุกคนจะถนัดในสิ่งเดียวกัน สำหรับซอฮยอนเธอเป็นพี่สาวที่วิเศษที่สุดแล้ว

“ฉันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เล่นละครไม่เอาไหน แล้วยังจะมาเป็นนางเอก” เธอพูดเสียงอู้อี้เมื่อพักฝึกซ้อมละครเวที เธอโดนผู้กำกับตำหนิเรื่องที่เธอไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของนางเอกที่มีความรักได้ ดงเฮได้แต่โอบกอดเธอไว้เบาๆเพื่อปลอบใจ .. เธอไม่ใช่คนใจแข็งที่ไร้ความรัก เธอแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้น

ในห้องประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยสถานที่ที่ใช้จัดละครเวที คณะนักแสดงยังคงซ้อมละครเวทีเป็นปกติแม้เวลาจะผ่านไปร่วมค่อนคืน บางคนเริ่มง่วงแต่ก็ยังฝืนที่จะทำต่อให้เสร็จด้วยรู้ว่าคนอื่นๆก็กำลังตั้งใจทำงานเช่นกัน จะเสียเวลาไม่ได้แม้ซักวินาที ยูริกำลังซ้อมบทอยู่กลางเวทีกับพระเอกละครและดงเฮ หญิงสาวกำลังมุ่งสมาธิไปที่บทละครจนไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว พลันหางตาของดงเฮเหลือไปเห็นเพื่อนร่วมชั้นที่ถือกำลังจัดไฟดูหมิ่นเหม่คล้ายจะหล่นลงมา เขามองพร้อมกับคิดเบาๆ “อย่าได้ตกลงมาเชียว” แต่ไม่ทันไรสิ่งที่เขาคิดก็เกิดขึ้นจริงๆ ไวกว่าความคิด ดงเฮกระโดดเข้าไปผลักยูริให้พ้นทาง

โครม!

เสียงดังสนั่นปนกับเสียงหวีดร้อง ร่างกายของดงเฮถูกขาตั้งไฟทับจนหมดสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ยูริได้แต่ยืนสั่นพร้อมจะทรุดลงไปทุกเมื่อ น้ำตาที่ไหลยากเย็นกลับไหลรินลงมาตามแก้มเนียนโดยที่เธอไม่รู้ตัว

“ดงเฮ” เธอครางเบาๆ อยากจะหยุดหายใจให้ได้เมื่อเห็นสภาพเขา “อย่าเป็นอะไรนะดงเฮ”

ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาช้าๆ เขากระพริบตาปริบๆก่อนจะมองขึ้นไปที่เพดานขาว เขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่เพื่อจะรับรู้ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่โรงพยาบาล ร่างหนาพยายามขยับตัว หากแต่แขนซ้ายของเขากลับไร้ความรู้สึก .. หนักเกินไป ขยับไม่ได้ .. สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือพิการ แต่อย่างไรซะเขาก็ต้องลุก เขาต้องไปดูยูริ เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ป่านนี้เธอคงร้องไห้ไม่หยุดเพราะมัวแต่โทษตัวเองว่าทำให้เขาเจ็บตัว ก่อนที่ดงเฮจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น น้ำเสียงงัวเงียก็ดังขึ้นมาจากข้างเตียง

“เธอตื่นแล้ว ฉันตกใจแทบแย่” ยูริเอ่ยเสียงงัวเงียพร้อมกับยกมือเรียวบางขึ้นมาขยี้ตาเพื่อขจัดความง่วง ดงเฮมองไปยังต้นเสียงเมื่อเห็นเธอขยับตัวให้นั่งถนัดขึ้น .. ขยับได้เสียที เพราะยูริแท้ๆทีเดียว มานอนทับแขนจนชาไปหมด .. ดงเฮค่อยๆเลื่อนมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า

ดวงตาคมมองใบหน้าสวยของเพื่อนสนิทที่บัดนี้ซีดกว่าที่เคยเป็น ตาคมสวยบวมแดงผิดไปจากที่เคยเห็น

“ฉันแย่ที่สุดเลย ทำให้เธอต้องเจ็บตัว” เธอเอ่ยขึ้น โทษตัวเองอีกครั้ง

ดงเฮเอื้อมมือหนาไปเช็ดน้ำตาให้กับเธอ เขาเดาเธอไว้ไม่ผิดจริงๆว่าเธอต้องโทษตัวเองแบบนี้ “ไม่ใช่เพราะเธอซักหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุ”

“ฉันขอโทษนะ และก็ขอบคุณจริงๆ” หญิงสาวพูด น้ำตายังไหลไม่ขาดสาย

“ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะร้องไห้บ้างล่ะนะยูริ .. เธอก็รู้ฉันร้องไห้เก่งขนาดไหน” ยูริหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยิน เธอเลื่อนมือมาจับที่มือเขาและกุมมันไว้อย่างนั้น

…ขอบคุณที่ปกป้องฉัน ลี ดงเฮ

จากวันนั้นดงเฮบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องดูแลเธอให้ดี ดีที่สุดเท่าที่จะดูแลเธอได้ ทั้งคู่เรียนรู้กันและกัน แบ่งปันความรู้สึก ดงเฮเป็นผู้ที่เข้าใจอารมณ์อ่อนไหวของยูริได้ดีที่สุด เขาจะกุมมือเธอเสมอ เช่นเดียวกับที่ยูริเข้าใจเขามากที่สุด เธอทำให้คนที่ร้องไห้ง่ายอย่างเขาแข็งแกร่งขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอนำเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาให้กับเขา แต่ไม่เคยมีคำพูดใดออกมาจากทั้งสองคน แค่รู้สึกดีก็เพียงพอแล้ว แค่ได้ดูแลเธอก็เพียงพอแล้ว

ละครเรื่องแล้วเรื่องเล่าผ่านไปพร้อมความสัมพันธ์ที่งอกงามขึ้นโดยที่ทั้งคู่เองก็ไม่คาดคิด สามปีแล้วที่เขาเฝ้าดูแลยูริ .. และอยู่เคียงข้างเธออย่างนั้น

“ยูริ มีคนมาหา” เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นคยูฮยอนเข้ามาในหอประชุมในระหว่างที่กำลังมีการซ้อมละครเวที

“พาแฟนใหม่มาอวดแกด้วย” อีกเสียงนึงตะโกนขึ้นอย่างหยอกเย้าเมื่อเห็นว่าเขาเดินมากับสาวน้อยหน้าหวานราวกับตุ๊กตาเคลือบ

“นี่น้องสาวของยูริเว้ย! ฉันกับยูริยังรักกันดี อย่ามายุเลยน่า” คยูฮยอนตะโกนตอบกลับไปอย่างขำๆโดยไม่ทันได้สังเกตอะไร ดงเฮได้ยินคำพูดดังกล่าวได้ยินนิ่งอึ้งไป หัวใจของเขาชาหนึบ เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาได้ยินคยูฮยอนพูดชัดเจนขนาดนี้ ชัดเจนจนเขาเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่เขาบอกได้คือตอนนี้เขารู้หัวใจตัวเองแล้วหลังจากที่เขาใช้เวลาหลังจากที่คยูฮยอนและซอฮยอนกลับไปทบทวนบางอย่าง เขารักยูริ ความผูกพันธ์มันก่อตัวกลายเป็นความรักต้องแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เคยคิดจะโกหกหัวใจตัวเอง .. เวลาก่อให้เกิดความรักขึ้นมาเงียบๆแต่หนักแน่นเหลือเกิน

…ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เธอฉันคงต้องบอกเธอ

ค่ำแล้วการซ้อมละครเวทีจบลง ดงเฮเดินมาส่งยูริเหมือนทุกๆวัน เขาและเธอใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่ร่วมกันอย่างคุ้มค่า ดงเฮเฝ้าคิดมาตลอดทางว่าเขาจะบอกเธอยังไงดี จะเริ่มยังไง จะพูดแบบไหน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ทุกอย่างมันดูใช่ไปหมดในความรู้สึกเขา ไม่ทันที่เขาจะเริ่มพูดมือเรียวบางก็เอื้อมมาจับเขา

“ดงเฮ ฉันมีอะไรจะบอกเธอ”

ร่างสูงหยุดนิ่งก่อนจะหันมามองสาวผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้า ดวงตาคมสวยคู่นั้นไม่ได้ปิดบังความรู้สึกใด ชัดเจนราวกับเธอกำลังบอกอะไรเขาอยู่ .. แต่ไม่ใช่ตอนที่กำลังดึงแขนอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่แบบนี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น

“เดี๋ยวก่อน ยูริ”

“ฉันไม่หยุด เธอสิต้องหยุดและฟังฉันพูด .. ฉันคิดว่า”

“ยูริ!” ร่างสูงแทบจะกระโดดไปปิดปากคนที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ยอมหยุดพูดตามที่เขาบอก

“ไม่หยุด ก็ฉันจะพูดนี่นา” ยูริค้าน ไม่ว่าอย่างไรเสียเธอก็ไม่หยุด เธอพูดในสิ่งที่เธอคิดเสมอและคราวนี้ก็เช่นกัน นี่ล่ะยูริของแท้ ไม่เคยฟังอะไร ไม่ยอมใครหน้าไหน ปกติทุกครั้งดงเฮจะต้องยอมเธอ แต่ครั้งนี้คงต้องเป็นข้อยกเว้น

ยูริดิ้นอย่างแรงเมื่อรู้สึกถึงมือหยาบที่ปิดเข้าที่ปากเธอ ร่างสูงโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู “ฉันเองก็คิดเหมือนเธอนั่นแหละ”

แก้มนวลใสขึ้นสีแดงจัด มือเรียวบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งเขินอาย ตกใจ ระคนดีใจ ดงเฮมองมองหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศนั้นพร้อมกับยิ้มเบาๆ .. อายกับเขาก็เป็นนี่นา ปกติเห็นมีแต่ทำซ่าก๋ากั่นเวลามีชายหนุ่มมาบอกรัก

“ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งพูด เรื่องอย่างนี้ให้ผู้หญิงพูดก่อนได้ยังไงเล่า” ดงเฮยกมือปัดผมตัวเองแบบเก้อๆ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทรู้ใจมานาน แต่พอบอกความจริงที่ต่างคนต่างซ่อนไว้ก็พาลเขินไม่น้อย

ยูริหัวเราะคิกเมื่อได้ยินชายตรงหน้าพูด ดงเฮเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักจะทำให้เธอหัวเราะโดยไม่รู้ตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่เขาบอกรัก

“หัวเราะอะไรเล่า” คนถูกขำได้แต่ยืนทำหน้างอจนยูริต้องดึงแขนของเขาเพื่อนำทางไป

สองคนเดินเคียงข้างกันอย่างอบอุ่น ทุกก้าวย่างที่เดินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะมีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นเขาทั้งสองก็ยังมีเรื่องให้คิด .. คยูฮยอน แฟนของยูริ เพื่อนสนิทของเขา .. เขาจะทำอย่างไร ในเมื่อทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นและได้รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง สำหรับเธอแล้วความรู้สึกที่เธอมีให้ดงเฮช่างแตกต่าง ทั้งอ่อนหวาน อ่อนไหว ไม่มั่นใจ แต่สบายใจในเวลาเดียวกัน เขาทำให้น้ำตาของเธอหายไป เธอรักเวลาที่เธอรู้สึกอย่างนั้น และสำหรับดงเฮแล้วเธอคือคนที่เขาต้องการจะดูแลไปตลอดชีวิต เธอคือโลกทั้งใบสำหรับเขา

…เธอสำคัญขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

มือน้อยกระตุกแขนแกร่งให้หยุดเดินก่อนที่จะถึงหน้าประตูบ้าน “ดงเฮ .. ฉันจะบอกคยูฮยอนยังไงดี”

“บอกตามความจริง ฉันคิดว่าคยูฮยอนเข้าใจ” ดงเฮตอบพลางคิดถึงเพื่อนสนิท เขารู้มันคงลำบากสำหรับทั้งสามคน แต่นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็คงดีกว่าการโกหกกัน

แน่นอนว่าคนอย่างโจว คยูฮยอน ไม่มีทางหายโกรธได้ง่ายๆ เขาแทบจะไม่มองหน้าดงเฮและยูริหลังจากที่ยูริบอกเขาเรื่องความสัมพันธ์ของเธอและดงเฮ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ดงเฮมองมือเล็กที่เขากุมอยู่ จะปล่อยมือนี้ไปได้ยังไงกัน ในเมื่อรักขนาดนี้ เขาได้แต่หวังว่าเวลาจะทำให้คยูฮยอนเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นและให้อภัยพวกเขาได้ในที่สุด

ดงเฮเดินไปมาอยู่หน้ากระจก ตื่นเต้นจนนั่งแทบไม่ติด จนเมื่อมีเด็กน้อยยื่นจดหมายซองเล็กๆให้กับเขา

– ฉันมีธุระจะคุยกับพี่ ช่วยมาพบฉันที่สวนหลังโบสถ์ด้วยนะคะ .. ซอฮยอน –

คิ้วหนาขมวดนิ่วอย่างสงสัย ซอฮยอนอยากคุยกับเขาเรื่องอะไรกัน หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เขารู้ว่ามันฉุกละหุกแต่เพราะเป็นซอฮยอนเขาจึงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันคงสำคัญไม่น้อยถึงได้เรียกมาก่อนพิธีเริ่มเพียงไม่กี่นาทีอย่างนี้ร่างสันทัดในชุดทักสิโดรีบสาวเท้าออกไปยังที่นัดหมายเพียงเพื่อพบกับความว่างเปล่า ซอฮยอนยังไม่มา เขายกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมองอย่างกังวล .. ใกล้เวลาพิธีแล้ว เธอจะทำอะไรกันแน่ซอฮยอน

เสียงฝีเท้าเดินมาเบาๆ ร่างสูงหันมาเกือบจะทันทีที่รู้ถึงการเคลื่อนไหว

“มีอะไรหรือ ซอฮยอน” เขาถาม

“สัญญานะคะว่าพี่จะดูแลพี่สาวฉันอย่างดี อย่าทำให้พี่ยูริเสียใจนะคะนะคะ .. ไม่งั้นพี่ตายแน่” ซอฮยอนพูดแกมขู่ เสียงหวานๆของเธอไม่เหมาะกับท่าทางอย่างนี้จริงๆ แต่พอคิดว่าเป็นเรื่องของยูริแล้ว เขาเชื่อว่าเธอทำได้อย่างที่พูด

“ที่ผ่านมายังไม่พิสูจน์อะไรได้อีกเหรอ” ดงเฮถามกลับ เขารู้ว่าเธอเองรู้ดีว่าเธอไว้ใจเขาได้ แต่เธอแค่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง เขารู้พี่น้องคู่นี้ผูกพันกันมากกว่าคู่ไหนๆ ยูริและซอฮยอนทำให้เขาเชื่อในคำว่า ‘Sister Bond’

“ไม่รู้ล่ะค่ะ ถ้าเธอร้องไห้แม้แต่นิดเดียว พี่ตายแน่ .. ฉันจะไปจัดการพี่ด้วยมือของฉันเอง” ซอฮยอนขู่สำทับอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แมวน้อยของยูริกลายร่างเป็นนางเสือพร้อมจะตะปบเขาได้ทุกเมื่อหากไม่รักษาสัญญา ดงเฮหัวเราะเบาๆเมื่อคิดว่าวันนี้เป็นวันที่เขารอคอยมาแสนนาน วันแต่งงานของเขากับยูริ เขารักและรอวันที่เธอจะได้ดูแลเธออย่างสมบูรณ์แบบมานานขนาดนี้ ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะทำเธอให้เสียใจ

ประตูโบสถ์เปิดขึ้นพร้อมกับร่างบางระหงอยู่ในชุดเปิดไหล่ประดับเลื่อมระยับชายยาวระพื้น ยูริค่อยๆเดินไปตามพรมแดงที่โรยไว้ด้วยกลีบดอกไม้สีขาว ดงเฮเกือบจะหยุดหายใจเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เธอสวยราวกับนางฟ้าจนเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้สักวินาที วินาทีนั้นเขารู้ตัวแค่เพียงว่าเขากล่าวคำว่า “ผมรับ” ก่อนจะประทับปากลงที่กลีบสวยนั้นไว้อย่างไม่อาจถอน

…ฉันรักเธอ ซอ ยูริ

หลังจากแต่งงาน ยูริและดงเฮอาศัยย้ายไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางในกรุงลอนดอน ไม่ไกลนักจากที่พักของซอฮยอน ทั้งคู่เคยชวนให้ซอฮยอนมาอาศัยอยู่ร่วมกันโดยจะซื้อหาที่พักที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้พอเหมาะกับขนาดครอบครัว แต่ซอฮยอนปฏิเสธ เธอบอกว่าคู่แต่งงานควรจะใช้เวลาช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ให้เต็มที่

“ฉันจะได้มีหลานไวๆไงคะ” ซอฮยอนพูดยิ้มกว้างก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไม่สนใจยูริที่หน้าขึ้นสีจากคำพูดของน้องสาว เธอตีเขาที่แขนแกร่งเบาๆเมื่อเห็นเขาไม่ว่าอะไร

“อะไรกัน” เขาเอ็ด มือลูบแขนที่ถูกเธอตีป้อยๆ “ตีฉันทำไม ตีซอฮยอนสิ นั่นซอฮยอนเป็นคนพูดนะ”

“ก็เพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันโดนล้อ” ยูริค้านหน้าแดงก่ำ .. อายจนไม่รู้จะพูดยังไง ก็เพราะเขานั่นแหละแสดงความรักประเจิดประเจ้อจนน้องเห็นแล้วเอามาล้อเธอได้ ซอฮยอนก็อีกคน มาแซวเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน แถมยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้เล่นเอายูริอยากจะจับน้องสาวที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตรงหน้ามาตีซะให้เข็ด ดงเฮไม่ฟังคำที่สาวเจ้าบ่นว่าแม้แต่น้อย เขาคว้าตัวเธอมากอดแนบอกแกร่งก่อนที่จะกระซิบข้างหูเบาๆ

“ซอฮยอนนี่รู้ใจฉันจริงๆ”

เขาตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้อง ดงเฮขยับตัวมองนาฬิกาที่อยู่หัวเตียง เจ็ดโมงเช้า เขาเหลือบมองร่างบางที่ยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เธอหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นทั้งๆที่ปกติเธอจะตื่นมาทำอาหานเช้าให้เขาทาน เธอคงเหนื่อย ดงเฮคิด .. แปลกจริง เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเธอซักหน่อย ออกจะนุ่มนวลอ่อนโยนแท้ๆ ดงเฮคิดตามแบบคนขี้เล่น ถ้ายูริล่วงรู้ถึงความคิดเขาคงโวยวายหาว่าเขาทะลึ่งอีกแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจัดการธุระส่วนตัวก่อนจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า

ควันกาแฟหอมกรุ่นปลุกยูริขึ้นมา เธอเดินมาโอบกอดดงเฮจากด้านหลังก่อนมองอาหารที่เขากำลังปรุงอยู่ หญิงสาวทำท่าพะอืดพะอมเมื่อได้กลิ่นอาหารที่หอมชวนทานแล้วจึงวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำก่อนจะมานอนซมหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงไม่ต่างจากเมื่อเช้า ดวงหน้าคมสวยบัดนี้ซีดไร้สีเลือดจนดงเฮตกใจ

“ไปหาหมอเถอะนะยูริ” ดงเฮลูบศรีษะเธอเบาๆ แววตาบ่งชัดว่าเป็นห่วง เป็นขนาดนี้แล้วเธอยังจะดื้ออยู่อีก “เธอเป็นอย่างนี้แล้วฉันจะไปทำงานได้ยังไงกัน”

“รอดูซักวันนะดงเฮ เธอไปทำงานเถอะ ฉันจะเรียกจูฮยอนมาอยู่เป็นเพื่อน” ยูริยังคงปฏิเสธอย่างอ่อนแรง

“เย็นนี้ถ้าไม่ดีขึ้นเธอต้องไปหาหมอ” เขากล่าวเสียงจริงจังก่อนประทับปากลงที่กลางหน้าผาก ก่อนเลื่อนมาที่แก้ม แล้วจึงหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบาง

“ฉันป่วยอยู่นะ” ยูริพูดเสียงเบาเมื่อดงเฮถอนจูบ

“เพราะเธอป่วย ฉันถึงต้องให้กำลังใจไง” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกไปทำงาน

ยูริโทรหาซอฮยอนทันทีที่ลับตา เธอบอกให้น้องสาวรีบมาหาเพราะมีเรื่องสำคัญระดับชาติ หญิงสาวบอกน้องว่าเธอตั้งครรภ์ได้สองเดือนเศษ ซอฮยอนดีใจจนตัวโยน แต่เธอมองน้องสาวแววตาบอกถึงความลังเล ยูริรู้ดีว่าตอนนี้เธอและดงเฮไม่พร้อมที่จะมีลูก ดงเฮต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูเด็กที่จะเติบโตในต่างประเทศ เธอจะทำมันได้อย่างไร ซอฮยอนโอบกอดพี่สาว หญิงสาวรู้ดีว่ายูริหนักใจแค่ไหน แต่เธอยังย้ำกับยูริว่าเธอควรจะปรึกษาดงเฮให้ดีๆก่อนจะตัดสินอะไรไป ลูกคือของขวัญ​ .. มันควรจะเป็นอย่างนั้น

ดงเฮวางข้าวของอุปกรณ์ถ่ายภาพเมื่อกลับมาถึงบ้าน ยูริที่เดินกระสับกระส่ายหันมองมาทางเขาจนเกือบจะทันที เธอคิดถึงคำพูดของซอฮยอนวนไปวนมา ลูกคือของขวัญงั้นหรือ

“เป็นอะไรเหรอยูริ” ดงเฮถาม

“ถ้าเรามีลูกจะดีไหมดงเฮ” เธอตอบเขาด้วยคำถาม คำพูดสวยงามที่ตั้งใจเรียบเรียงเอาไว้ในหัวถูกลืมไปเสียสิ้นเหลือแค่เพียงคำถามห้วนๆสั้นๆ

ดงเฮแทบหูอื้อเมื่อได้ยิน .. ลูก .. สิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝัน ดงเฮคิดถึงมือน้อยๆที่เขาจับจูงให้ก้าวเดินทีละก้าว เสียงเด็กน้อยที่เรียกเขาว่าพ่อ ดงเฮกำพร้าพ่อ พ่อเสียตั้งแต่เขาอยู่มัธยม นับตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็คิดว่าเสมอจะต้องสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและได้เป็นพ่อที่ดีอย่างพ่อของเขา น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอด้วยความยินดีจนพูดไม่ออก ในที่สุดพระเจ้าก็เห็นใจให้โอกาสเขาได้เป็นพ่อ

“นี่! ลี ดงเฮ .. ฉันกำลังจะมีลูก นายกำลังจะเป็นพ่อคนจะมานั่งร้องไห้ไม่ได้นะ” ยูริร้องโวยเมื่อเห็นชายหนุ่มเริ่มออกอาการขี้แย

สิ้นคำเสียงหัวเราะประสานกันแทบจะทันที ดงเฮกอดยูริแน่น แม้พวกเขาจะยังไม่พร้อม แต่ถ้ามีเธอเคียงข้างเขามั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ยูริให้กำเนิดลูกสาว “ยูมี” ทั้งคู่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักจากทั้งพ่อและแม่ ยูริเสียเลือดมากจากการคลอด และตกเลือดหลังคลอดเป็นจำนวนมากจนเกือบเสียชีวิต วินาทีที่แพทย์แจ้งอาการเธอ หัวใจของเขาเกือบหยุดเต้นเมื่อคิดว่าต้องเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป ยูริต้องเธอเผชิญกับภาวะโลหิตจาง เป็นผลทำให้ภูมิต้านทานต่ำและร่างกายอ่อนแอ เธอป่วยกระเสาะกระแสะบ่อยจนไม่สามารถดูแลลูกน้อยได้ด้วยตนเองไหว ซอฮยอนจึงช่วยดูแลยูมีแทนเวลาเธอป่วย โดยที่เขาใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการดูแลเธอ “เธอเหนื่อยไหม” เธอมักจะถามเขาเสมอ

“ฉันไม่เคยเหนื่อยที่ได้ดูแลเธอและลูก การอยู่เคียงข้างเธอทำให้ฉันมีความสุข” นั่นคือคำตอบที่เขาพร่ำบอกเธอเสมอ

จนเมื่อยูริทรุดหนัก เธอมีภาวะปอดติดเชื้อเฉียบพลัน ในบรรยากาศห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลเงียบสงบ ลมหนาวเริ่มพัดมาอ่อนๆแม้จะยังไม่เข้าฤดูหนาว “ถ้าหิมะยังไม่ตกก็แสดงว่ายังไม่ใช่ฤดูหนาว” เธอชอบบอกเขาอย่างนั้น ยูริรักหิมะ มันทำให้เธอคิดถึงตอนเด็ก ตอนนั้นทุกอย่างช่างง่ายดายมีเพียงความบริสุทธิ์สดใส เธอชอบเดินกอดแขนดงเฮเสมอเวลาหิมะโปรย ไออุ่นของเขาทำให้เธออบอุ่น ดวงตาคมมองซอฮยอนขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆยูริราวกับว่าเธอเป็นเด็กน้อย สองพี่น้องกระซิบกันเบาๆในสิ่งที่เขาไม่ได้รับรู้ ดงเฮเบือนหน้าหนี เขายืนสะกดอารมณ์นิ่ง กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น ไม่อาจเอ่ยคำใดเพราะรู้ดีว่าคงระงับเสียงไม่ได้สั่นไม่ได้

…ร้องไห้ไม่ได้ ยูริจะเป็นห่วง

ซอฮยอนขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อปล่อยให้เขาอยู่กันสองคน เขารู้เธอออกไปเพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ ไม่ต่างอะไรกับเขา เขาได้ยินเสียงเรียกของเธอที่เบาหวิวราวกับลมในฤดูหนาว

“ช่วยฉันหน่อยสิ ฉันอยากไปมองท้องฟ้ากับเธอ”

ดงเฮช้อนอุ้มตัวเธออย่างง่ายดาย ตัวเธอเบาราวกันนุ่น ยูริผ่ายผอมลงมากตั้งแต่เธอป่วยออดๆแอดๆ แต่ใบหน้าสวยหวานยังคงมีรอยยิ้มเสมอ เขาพาเธอมานั่งที่ริมหน้าต่างตามที่เธอขอ ลมเย็นๆที่พัดผ่านมาทางหน้าต่าง ภาพพระอาทิตย์กำลังจะลับตาอยู่เบื้องหน้าสวยจนเขาอยากจะหยุดเวลาไว้

“สัญญากับฉันนะว่าเธอจะมีความสุข ดูแลลูกสาวของเราให้ดีให้สมกับที่เขาเป็นของขวัญแต่งงานของเรา” ยูริกระซิบที่ข้างหูเขา ดงเฮกระชับกอดแน่นน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อายให้กับคำพูดของภรรยารัก

“อย่าร้องไห้สิ ทุกเวลาทุกนาทีที่ฉันอยู่กับเธอเป็นเวลาที่น่าจดจำ เธอไม่คิดอย่างนั้นเหรอดงเฮ” เสียงหวานของเธอเอ่ยเบาๆราวกับสายลมที่พัดผ่าน

…ดงเฮ ได้โปรดใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขแทนฉันด้วย

ยูริจากไปพร้อมกับหิมะแรกของปี เหมือนโลกทั้งโลกของเขาหยุดหมุน ดวงตาของเขาเห็นแต่สีขาวดำ เขาหมดแรงพลังจะก้าวเดินแม้จะบอกตัวเองเสมอว่าต้องเข้งแข็งเพื่อยูมี ตัวแทนแห่งความรักของทั้งคู่ .. ของขวัญแต่งงานของเขาและยูริ .. แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูกสาวก็มักจะมีภาพของเธอซ้อนขึ้นมาเสมอ เด็กน้อยเหมือนภรรยาของเขาเสียเหลือเกิน เขารักลูกแต่เขาเองก็เจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดลงกลางใจ ดงเฮเลือกทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อลืมเธอและทิ้งลูกน้อยไว้ให้ซอฮยอนดูแล แม้รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ยูริต้องการ

ภาพของยูริยังคงชัดเจนในความทรงจำของเขา ภาพเธอยิ้ม ภาพเธอหัวเราะ ภาพเธอเดินกอดแขนเขาในวันหิมะตก ภาพเธอเล่นกับซอฮยอน ภาพเธอโอบกอดยูมี แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่มีเธอ

…ยิ่งความทรงจำของเรางดงามแค่ไหน ฉันยิ่งเสียใจที่ต้องก้าวเดิน

…ฉันจะอยู่ในหัวใจของเธอตลอดไป รู้สึกไหมว่าความรักของฉันอยู่รอบตัวเธอ

อีกหนึ่ง Special Chapter ที่ดึงมากจากมหากาพย์ฟิคกาก Loving You ที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เรื่องนี้รีไรท์ไม่เยอะเท่าไรเพราะไม่รู้จะเขียนยังไงค่ะ แถมเขียนไว้นานแล้วอีก เอาเป็นว่า….อ่านดูพัฒนาการคนเขียนแล้วกันนะคะ ㅠㅠ

What lies between us is Sister Bond
You are a part of my life

“ยูริ หนูกำลังจะได้เป็นพี่คนแล้วนะลูก” คุณนายซอพูดกับยูริน้อยที่อายุสองขวบกว่าอย่างอ่อนโยน มือเรียวบางลูบไปที่ศรีษะเล็กๆของเด็กหญิงอย่างรักและเอ็นดู ลูกสาวคนแรกของเธอเป็นสิ่งพิเศษในชีวิต บัดนี้พระเจ้าได้มอบความปิติยินดีให้แก่ครอบครัวของเธออีกครั้ง

“พี่? ยูริจะได้เป็นพี่เหรอคะ แล้วใครจะมาเป็นน้องให้ยูริล่ะคะ” ยูริน้อยซึ่งอยู่ในวัยกำลังช่างถามถามคำถามที่คนเป็นแม่อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาอย่างขันนักกับความน่ารักของลูกสาวคนนี้ของตน

“น้องของยูริเป็นสิ่งพิเศษ ตอนนี้น้องอยู่ตรงนี้นะลูก” คุณนายซอจับมืออูมเล็กของลูกสาวมาวางไว้ที่หน้าท้องที่เริ่มนูนของตนเบาๆพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พูดกับน้องไหมลูก น้องรู้เรื่องนะ”

“แล้วถ้ายูริพูด น้องจะตอบยูริยังไงล่ะคะ” ยูริน้อยยังคงตั้งคำถาม เด็กหญิงอยากรู้จักคนที่จะมาเป็นน้อง น้องของเธอจะหน้าตาเป็นยังไงนะ จะเหมือนเธอไหม เล่นได้ไหม จะตัวเท่าเธอเลยหรือเปล่า แล้วน้องจะมาเล่นกับเธอได้อย่างไนในเมื่ออยู่ในตัวแม่อย่างนั้น

“ไว้น้องเบื่อจะโตในตัวแม่แล้วก็จะออกมาตอบยูริด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นยูริต้องช่วยแม่ดูแลน้องนะลูกนะ” คุณนายซอตอบพร้อมโอบกอดลูกสาวคนโตอย่างอบอุ่น สิ่งล้ำค่ากำลังเติบโตอย่างช้าๆภายในตัวเธอ

“ยูริลูก อย่าพาน้องไปไกลนะ” คุณนายซอร้องเตือนยูริที่วิ่งจับจูงมือจูฮยอนน้องสาววัยอ่อนกว่าสามปีให้วิ่งตามไป .. จูฮยอน ยูริเป็นคนเลือกชื่อนี้เอง ชื่อที่มารดาบอกว่ามันแปลว่าไข่มุกล้ำค่า ยูริบอกว่าชื่อนี้เพราะเหมาะกับน้องสาวที่น่ารักของเธอที่สุด ลูกสาวคนเล็กของบ้านตระกูลซอจึงได้ชื่อว่าเด็กหญิงซอ จูฮยอน หรือที่ใครๆพากันเรียกสั้นว่าซอฮยอน

ภาพเด็กหญิงสองคนเดินจูงมือเล่นกันเป็นภาพที่แสนจะคุ้นชินของคนที่อยู่อาศัยในละแวกนั้น คนพี่มักจะผูกผมม้ารวบไว้ ท่าทางก๋ากั่นไม่ยอมคนแถมซนจนเหมือนเด็กผู้ชาย ส่วนน้องสาวคนเล็กนั้นผิวขาวจนเกือบจะไร้สีตัดกับปากสีชมพูสด ผมยาวถูกถักเป็นเปียอย่างน่ารัก ดูอย่างไรก็ไม่ต่างกับตุ๊กตาตัวน้อย มือเล็กผอมมักจะจับอีกมือที่เล็กกว่า บ้างก็วิ่งเล่นไล่จับ ส่งเสียงร้องกันอย่างสนุกสนานจนผู้พบเห็นต่างก็ยิ้มตามไปตามๆกัน

“จูฮยอนมาเร็ว” ยูริจับมือน้องสาวแน่นไม่ปล่อยให้ไปไหน สองพี่น้องวิ่งเล่นเพลินกันจนมาถึงริมธารน้ำ ยูริเหลือบไปเห็นเพิงเล็กๆใต้โคนไม้ใหญ่ เธอวิ่งไปดูอย่างกระตือรือร้นด้วยความสงสัยโดยให้น้องสาวยืนดูอยู่ห่างๆ ยูริมองดูภาพข้างหน้า เจ้าลูกแมวน้อยร้องสี่ตัวแข่งกันร้องเหมียวๆไม่ยอมหยุด .. แม่แมวไปไหนกัน .. เด็กน้อยคิดก่อนจะกวักมือเรียกน้องสาวให้มาดูด้วยกัน

“จูฮยอน มานี่เร็ว”

ซอฮยอนวิ่งตือไปยังที่ที่พี่สาวยืนดูแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ดวงตากลมเบิกโตอย่างยินดีเมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆตรงหน้า

“ลูกแมวน้อย” เธอเอ่ยอย่างตื่นตาตื่นใจ “ฉันเก็บไว้ได้ไหมคะ”

“ไม่ได้หรอกจูฮยอน คุณแม่คงไม่อนุญาตหรอก เดี๋ยวก็ตีกับเจ้าอินุตายพอดี” ยูริปรามน้องสาว โดยไม่ลืมพูดถึงอินุ ลูกหมาซอฮยอนเพิ่งเก็บไปเลี้ยงก่อนหน้านี้แล้วตัวนึง

“แม่ของมันอยู่ไหนล่ะคะ”ซอฮยอนน้อยยังคงถาม สายตามองลูกแมวตัวจ้อยอย่างสงสาร “มันคงเหงานะคะที่แม่ไม่อยู่ด้วย ไม่เหมือนฉันเลย ฉันยังมีพี่เวลาที่แม่ไม่อยู่ ฉันเลยไม่เหงา”

ยูริมองน้องสาวตัวจ้อยที่พูดจะฉะฉาน ซอฮยอนเป็นนักเหตุผล เธอมักจะยกเหตุผลสารพัดเวลาพูด ถึงแม้มันจะเป็นเหตุผลแบบเด็กๆก็ตาม คราวนี้ก็เช่นกัน

“แต่มันก็มีพี่น้องนะจูฮยอน เยอะกว่าเธอด้วยซ้ำ เหมือนเธอมีพี่อีกสามคนแน่ะ” ยูริพูดพร้อมกับชูนิ้วสามประกอบ

“แต่มันไม่มีแม่นะคะ” ซอฮยอนยังคงค้าน

“แม่มันอาจจะไปหาอาหารอยู่ก็ได้นะ”

“งั้นเราอยู่เป็นเพื่อนมันจนกว่าแม่มันจะมาได้ไหมคะ” ซอฮยอนยังคงเสนอทางเลือก เด็กน้อยชอบเล่นกับสัตว์มาแต่ไหนแต่ไร เห็นสัตว์ไม่มีเจ้าของก็พาลจะเก็บมาเลี้ยงทุกครั้งไป ถ้าไม่โชคดีเหมือนครั้งอินุที่เป็นหมาเล็กเลี้ยงง่ายแล้วล่ะก็ แม่หนูน้อยมักจะขอเล่นกับสัตว์พวกนั้นจนวินาทีสุดท้ายโดยมียูริอยู่เป็นเพื่อน

เด็กทั้งสองเล่นกับลูกแมวน้อยเพลินจนแม่แมวกลับมาก็ยังไม่ยอมกลับด้วยกำลังติดพัน แมวแม่ลูกอ่อนตัวนี้ต่างจากแมวแม่ลูกอ่อนทั่วไปที่มักจะหวงลูก แม่แมวตัวนี้ไม่ดุหรือหวงลูกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับอวดลูกตัวนั้นตัวนี้ให้เด็กหญิงได้เล่นราวกับรู้ว่าเด็กหญิงทั้งสองไม่ได้จะทำอันตรายกับลูกตน ในขณะที่กำลังเล่นเพลินเสียงฟ้าร้องครืนดังขึ้นจนยูริต้องเหลือบขึ้นมอง เมฆฝนลอยครึ้มเหมือนฝนตั้งเค้าจะตกตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ ผู้เป็นพี่จึงรีบเรียกน้องสาว

“จูฮยอน กลับกันเถอะ ฝนจะตกแล้ว”

ไม่ทันสิ้นคำ ฝนก็กระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว เด็กทั้งสองได้แต่หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนักจากเพิงของลูกแมว สองพี่น้องกอดกันกลมด้วยความหนาวสั่น หากแต่ฝนที่ตกลงมากลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย

“ไว้ฝนซาเราวิ่งกลับบ้านกันนะจูฮยอน ถ้ารอฝนหยุดสงสัยไม่ได้กลับบ้านแน่เลย” ยูริเอ่ยขึ้น ซอฮยอนได้แต่พนักหน้าหงึกหงักรับคำผู้เป็นพี่สาว

“จูฮยอน! ยูริ!” เสียงเรียกคุ้นเคยดังขึ้นปลุกเด็กน้อยที่หลับไหลให้ตื่นขึ้น ยูริรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของน้องสาวที่ทับอยู่บนไหล่ของเธอ ทั้งหนักและร้อน เธอเอื้อมมือผอมไปจับตัวน้องสาวเพื่อจะปลุกแต่ซอฮยอนตัวน้อยกลับหลับนิ่งไม่ไหวติง ร่างจ้อยร้อนผ่าวราวกับไฟ เด็กหญิงหันซ้ายขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรก่อนที่จะร้องเรียกผู้เป็นแม่ “แม่คะ! เราอยู่นี่ค่ะ!!”

คุณนายซอหันขวับมาตามเสียงเรียกคุ้นหู หญิงสาวตัดสินใจถือร่มออกมาตามหาลูกสาวด้วยเห็นว่าผิดเวลาไปนานและฝนก็ตกหนัก เด็กๆคงติดฝนอยู่ที่ไหนซักแห่ง เธอพยายามตามหาตามบ้านเพื่อนบ้านที่เด็กๆมักจะไปเล่นแต่กลับไม่พบ ทำเอาความกังวลของคนเป็นแม่นั้นไม่อาจบรรยายได้ว่ามากแค่ไหนที่ลูกสาวทั้งสองคนของเธอหายไป สิ่งล้ำค่าของเธอ..หายไป เมื่อได้ยินเสียงของลูกสาวคนโต ร่างระหงของคนเป็นแม่รีบวิ่งมาตามเสียงแทบจะทันที

“แม่คะ น้องตัวร้อนจี๋เลย ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น” ยูริพูดร้อนรนเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ เด็กหญิงกอดน้องสาวแน่นไม่ยอมปล่อย สีหน้าร้อนรนกว่าครั้งไหนๆ ยิ่งกว่าพาเจ้าอินุไปทำสวนหลังบ้านพังทั้งแปลงเสียอีก

“ไหนให้แม่ดูน้องหน่อยสิยูริ” เสียงของคนเป็นแม่บ่งชัดถึงความเครียดขึ้ง หากแต่คุณนายซอยังคงตั้งสติเต็มที่ มือเรียวบางของแม่สัมผัสตัวซอฮยอนก่อนจะอุ้มลูกสาวคนเล็กแนบอกอย่างร้อนใจ “ไปเร็วลูก เราต้องพาน้องไปหาหมอ”

หนูน้อยซอฮยอนลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ห้องสีขาวโพลนจนแสบตาบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆที่เธอไม่ชอบ ดวงตากลมโตมองไปรอบๆก่อนจะหยุดลงที่ข้างๆ พี่สาวคนโตกำลังหลับสนิท คนตัวเล็กกว่าขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นแต่กลับทำไม่ได้ง่ายๆดังใจคิด ยูริรู้สึกตัวเกือบจะทันทีที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหว

เด็กหญิงซอ จูฮยอนหมดสติไปสองวันเต็มด้วยอาการปอดบวมโดยมีครอบครัวดูแลใกล้ชิด โดยเฉพาะยูริที่ไม่ยอมห่างน้องสาว เธอไม่สนใจแม้ว่าคุณและคุณนายซอจะปรามเพราะเกรงว่าลูกสาวคนโตจะเป็นหวัดไปอีกคน แต่เด็กน้อยกลับให้เหตุผลสั้นๆ “เดี๋ยวน้องเหงา”

“จูฮยอนอา .. พี่ขอโทษที่ดูแลเธอไม่ดี เธอเลยป่วยหนักขนาดนี้” เด็กหญิงกล่าวขอโทษน้องสาวในความบกพร่องของตัวเอง “เธอต้องให้น้ำเกลือด้วย เจ็บมากไหม”

ซอฮยอนเหลือไปมองสายน้ำเกลือก่อนมองที่แขนเล็กๆของตัวเอง ร่างเล็กซีดเซียวมองพี่สาวยิ้ม แม้จะอ่อนแรงแต่เธอมียูริเคียงข้าง ยังไงก็ไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อย “ฉันไม่เป็นไรซักหน่อย ไม่เจ็บซักนิด พี่อย่าห่วงเลยนะคะ”

“อย่าเป็นอะไรอีกนะจูฮยอน พี่ตกใจ” ยูริพูดพึมพำ

แม้จะป่วยง่ายมาตั้งแต่เด็กและต้องใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ซอฮยอนได้ยินคำพูดอย่างนี้จากปากของพี่สาว นับแต่นั้นเธอก็สัญญากับตัวเองว่าเธอจะรักษาสุขภาพของเธอให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ป่วยให้ยูริต้องเป็นกังวล

ซอฮยอนและยูริเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เล็กจนโต เด็กทั้งสองเหมือนกันแบบที่ใครก็มองออกว่าเป็นพี่น้อง ผิดแต่ที่ยูริผิวสีน้ำผึ้ง หน้าสวยคมตั้งแต่แวบแรกที่มอง แววตาซุกซนซ่อนอย่างเปิดเผย เธอเป็นเด็กรักกิจกรรม ชอบหาอะไรทำเป็นชีวิตจิตใจ ในขณะที่น้องสาวผิวขาวจนเกือบซีด ใบหน้าสวยหวาน ซอฮยอนร่าเริงสดใส แต่มีวินัยในตัวเองที่สุด ดวงตากลมโตใสแจ๋ว เป็นประกายตอนเด็กยังไง โตขึ้นก็ยังเป็นอย่างนั้น ยูริมีความซุกซนและห้าวหาญเป็นอาวุธอย่างไร ดวงตาประกายแวววับและความคิดที่ลึกซึ้งนั้นก็เป็นอาวุธของซอฮยอนเช่นกัน

จนเมื่อเรียนมัธยมปลายยูริก็ได้รู้จักกับคยูฮยอนและดงเฮ แน่นอนว่าเธอจะแนะนำเพื่อนสนิททั้งสองให้น้องสาวรู้จัก ซอฮยอนเป็นมิตรกับเพื่อนของพี่สาวทุกคนเสมอ แม้เธอจะไม่ค่อยมีเพื่อนเป็นผู้ชายมากนัก แต่ดงเฮและคยูฮยอนถือเป็นข้อยกเว้น เพราะเขาเป็นเพื่อนพี่สาว .. ซอฮยอนชื่นชมในตัวคยูฮยอนเป็นอย่างมาก เขาเรียนเก่ง เป็นถึงแชมป์คณิตศาสตร์โอลิมปิก เขารักดนตรีและเล่นดนตรีเก่ง ที่สำคัญเขารักเปียโนเช่นเดียวกับเธอ เขาหน้าตาดีจนติดอันดับออลจังของโรงเรียน เขานี่ล่ะที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้มาเป็นพี่เขย!

ซอฮยอนทั้งหนุนทั้งผลักทั้งดันทั้งยุจนคยูฮยอนและยูริตกลงใจคบกันเป็นแฟนกัน จนเมื่อซอฮยอนเข้าเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งและเริ่มเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยตามแบบฉบับเด็กรักเรียน คยูฮยอนจึงอาสาสอนพิเศษให้กับเธอในฐานะที่เป็นน้องสาวของแฟน เขาและเธอใช้เวลาร่วมกันมากพอที่จะทำให้คนคนนึงหลงรักอีกคนได้ แต่ซอฮยอนก็เลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้เพราะผู้ชายคนที่เธอรักเป็นแฟนของยูริ พี่สาวที่เธอรักที่สุด

ยูริเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนสีขาวอมชมพูสว่างตาเมื่อรู้ว่าน้องสาวไม่ได้ลงไปทานข้าวเย็น ซอฮยอนไม่เคยทำให้เป็นห่วงอย่างนี้ เธอไม่เคยไม่มีเหตุผลสักครั้ง ยูริมองน้องสาวที่ใส่หูฟังฟังเพลงอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอกับสมุดบันทึกเล่มน้อย เธอเอื้อมมือไปแตะไหล่น้องสาวเบาๆแล้วจึงถามด้วยเสียงห่วงใย

“เป็นอะไรไป จูฮยอน”

“เปล่าค่ะ” ซอฮยอนปฏิเสธ

ยูริมองน้องสาวที่อยู่ตรงหน้า ซอฮยอนเคยมีรอยยิ้มสดใสและแววตาเป็นประกาย บัดนี้น้องสาวของรอยยิ้มนั้นหายไป ส่วนแววตาสดใสถูกทดแทนด้วยความหมองหม่น ตาบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด คนที่ทำให้น้องสาวที่แสนน่ารักของเธอเป็นได้ขนาดนี้มีไม่กี่คน

“อย่าโกหกพี่ จูฮยอน .. เธอก็รู้ว่าเธอโกหกไม่เก่ง” ยูริพูดเสียงขรึม พอเป็นเรื่องของน้องสาวแล้ว ยูริมักจะเปลี่ยนจากขี้เล่นเป็นจริงจังในเสมอ

ซอฮยอนเริ่มเล่าเรื่องราวที่เธอทะเลาะกับคยูฮยอนเมื่อกลางวันช้าๆ หยดน้ำตาค่อยๆก่อตัวแล้วไหลลงมาตามแก้มใส ยูริโอบกอดน้องสาวไว้แน่นราวกับจะปลอบใจว่าทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิมในไม่ช้า

“เดี๋ยวคยูก็ลืม ขานั้นอารมณ์เปลี่ยนเร็วจะตาย .. เธออย่าโกรธคยูเลยนะ แค่นี้เขาก็มีเรื่องให้คิดมากมาพอแล้ว” ยูริพูดพลางถอนหายใจ เธอยังพูดต่อคล้ายกับว่าต้องการจะสารภาพบาป “พี่น่ะเลิกกับคยูฮยอนเมื่อวานนี้”

“แต่นั่นน่ะ ไม่ใช่ความผิดของฉันนะคะ .. ฉันน่ะ ไม่อยู่ให้พี่คยูทำร้ายจิตใจหรอกค่ะ ฉันจะไปเรียนต่อมันซะพรุ่งนี้เลย คอยดูสิ” เมื่อความโกรธเริ่มคลายเหลือไว้เพียงความน้อยใจและเสียใจซอฮยอนก็เริ่มกลับมาเป็นคนเดิม ยูริหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นท่าทางของน้องสาว เธอโยกตัวช้าๆโดยที่ยังมีน้องน้อยอยู่ในอ้อมกอดจนในที่สุดซอฮยอนก็หัวเราะออกมา

…ฉันดีใจที่มีพี่อยู่เคียงข้างเสมอ พี่สาวที่น่ารักที่สุดของฉัน

ในสายตาคนเป็นพี่ที่เฝ้ามองสาว ยูริรู้ดีว่าซอฮยอนรู้สึกอย่างไรกับคยูฮยอน เช่นเดียวกับที่เธอรู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับคยูฮยอน เธอไม่ได้รักเขา เธอรักคนอื่น ถึงแม้เธอจะเป็นกามเทพแผลงศรให้ซอฮยอนไม่ได้ แต่อย่างน้อยการซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองคงงสะกิดใครบางคนได้ เธอเชื่ออย่างนั้น

“เธอจะไม่ให้พี่บอกคยูฮยอนจริงๆน่ะเหรอ” ยูริถามย้ำอีกครั้งก่อนที่ซอฮยอนจะออกเดินทางไปเรียนต่อ

“ถ้าเขาไม่ถาม เราก็ไม่ควรจะไปบอกเขานี่คะ .. แล้วอีกอย่าง ถ้าบอกไปฉันอาจจะเปลี่ยนใจไม่ไปเรียนแล้วก็ได้” ซอฮยอนตอบอย่างเด็ดเดี่ยว ยูริได้แต่มองน้องสาวแสนดื้อ เธอรู้ว่าไม่ว่าจะทำยังไงซอฮยอนก็คงไม่เปลี่ยนใจ

“ถ้าเขาถามพี่ก็บอกได้ใช่ไหม” ยูริยังคงถามต่อ

“ฉันต้องไปแล้ว พี่ดูแลตัวเองดีๆนะคะ .. แล้วก็อย่าทะเลาะกับพี่ดงเฮมากนักล่ะ” ซอฮยอนพูดก่อนจะเดินจากไป เธอหันกลับมาอีกครั้งก่อนจะวิ่งมากอดยูริ “ฉันรักพี่นะคะ รีบตามฉันมาเร็วๆนะ”

ซอฮยอนเดินจากมาอีีกครั้ง คราวนี้เธอไม่หันกลับไปแล้ว น้ำตาไหลลงมาตามแก้มเนียนใส แต่เธอคงปล่อยให้มันไหลไปอย่างนั้น

…ถ้าฉันเช็ดน้ำตาแม้สักนิดพี่คงรู้ถึงแม้จะแค่มองมาจากข้างหลัง

…ฉันต้องเข้มแข็ง ไม่ให้พี่สาวรู้ว่าฉันอ่อนแอ

ยูริมองน้องสาวที่เดินจากไป น้องสาวตัวน้อยของที่เธอที่บัดนี้เติบโตจนตัวเท่ากัน หญิงสาวหวนคิดถึงคำพูดของซอฮยอนน้อยที่พูดถึงลูกแมวเมื่อครั้งวัยเยาว์ .. มันคงเหงานะคะที่แม่ไม่อยู่ด้วย ไม่เหมือนฉันเลย ฉันยังมีพี่เวลาที่แม่ไม่อยู่ ฉันเลยไม่เหงา .. น้ำตาคนเข้มแข็งก็ไหลรินลงมาอย่างไม่อาจห้าม ในชีวิตไม่เคยที่สักครั้งที่เธอต้องห่างน้องสาวอย่างในวันนี้ ซอฮยอนจะรู้ไหมว่าแค่เธอเดินหันหลังไปคนเป็นพี่ก็คิดถึงเธอแล้ว

ดงเฮมองร่างบางที่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น มือหนาโอบประคองคนรักปลอบใจโดยไม่มีคำพูดใดออกมา หญิงสาวซบศรีษะลงบนไหล่กว้างอย่างต้องการที่พักพิง ดวงตาสีน้ำตาลสวยยังคงมองไปตามทางที่น้องสาวเดินหายลับไป

…ยัยลูกแมวน้อยของพี่ ดูแลตัวเองดีๆนะ แล้วพี่จะไปหา

ซอฮยอนมองพี่สาวที่ยืนหันหลังให้ผ่านกระจกบานโต ยูริสวยจนเธออธิบายไม่ถูก เหมือนนางฟ้าล่ะมั้ง ชุดเปิดไหล่สีขาวประดับเลื่อมระยับทิ้งชายยาวระพื้น ใบหน้าได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามเหมาะเจาะ เข้ากับผมสีน้ำตาลเป็นคลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ วันนี้พี่สาวเธอจะแต่งงานกับดงเฮ ยูริดูสวยงามบริสุทธิ์ในชุดเจ้าสาว

“พี่คะ เดี๋ยวฉันมานะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้น

“เธอจะไปไหน พิธีไม่ได้จะเริ่มแล้วเหรอ” ยูริถาม ซอฮยอนเป็นเพื่อนเจ้าสาวในวันนี้แต่นี่น้องสาวตัวดียังจะไปไหนทั้งๆใกล้เวลาแล้ว “ถ้าเธอกลับมาไม่ทัน พี่จะเปลี่ยนตัวเพื่อนเจ้าสาว”

ซอฮยอนหัวเราะร่าทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยกับพี่สาว “ฝันไปเถอะว่่าพี่จะได้เปลี่ยน ฉันจองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ฉันเกิด”

ซอฮยอนวิ่งไปยังจุดนัดหมาย หวังว่าเขาคนที่เธอนัดไว้คงจะมา แล้วเขาก็มาจริงๆ ชายหนุ่มยืนอยู่กลางสวนสวย เขาหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินเข้ามาใกล้ ดงเฮประหลาดใจที่สุดเมื่อได้รับจดหมายสั้นๆจากซอฮยอนบอกว่าเธอมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยก่อนงานพิธี เขารู้ว่ามันฉุกละหุก แต่เพราะเป็นซอฮยอนเขาจึงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันคงสำคัญไม่น้อยถึงได้เรียกมาก่อนพิธีเริ่มเพียงไม่กี่นาทีอย่างนี้

“มีอะไรหรือ ซอฮยอน” ชายหนุ่มในชุดทักซิโดถามเสียงนุ่ม

“สัญญานะคะว่าพี่จะดูแลพี่สาวฉันอย่างดี อย่าทำให้พี่ยูริเสียใจนะคะนะคะ .. ไม่งั้นพี่ตายแน่” ซอฮยอนพูดแกมขู่ ชายตรงหน้าเป็นคนที่พี่สาวของเธอรักหมดใจ แม้ดงเฮจะได้แสดงเธอและครอบครัวเห็นว่าเขารักและสามารถดูแลยูริได้ แต่อย่างนั้นก็เถอะ เธอต้องการคำยืนยัน .. นั่นน่ะ พี่สาวของเธอทั้งคนนะ!

“ที่ผ่านมายังไม่พิสูจน์อะไรได้อีกเหรอ” ดงเฮถามกลับ เขารู้ว่าเธอเองรู้ดีว่าเธอไว้ใจเขาได้ แต่เธอแค่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง

“ไม่รู้ล่ะค่ะ ถ้าพี่ยูริร้องไห้แม้แต่นิดเดียว พี่ตายแน่ .. ฉันจะไปจัดการพี่ด้วยมือของฉันเอง” ซอฮยอนขู่สำทับอีกครั้ง สำหรับซอฮยอนเมื่อเป็นเรื่องของยูริแล้ว แมวน้อยของยูริสามารถกลายร่างเป็นนางเสือพร้อมจะตะปบคนที่ทำอะไรพี่สาวเธอเสมอ

งานแต่งงานของยูริผ่านไปอย่างงดงามและน่าจดจำ เธอไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อนเจ้าสาวเพราะซอฮยอนกลับมาทันเวลาพอดี ในงานฉลองไม่มีการโยนดอกไม้ เนื่องจากยูริเดินมามอบช่อดอกไม้ให้กับน้องสาวคนเล็กด้วยมือของเธอเอง

“ดอกไม้นี้สำหรับเธอน้องรักของพี่ ไม่ต้องรีบแต่งงานก็ได้ แต่พี่เชื่อว่าดอกไม้นี้เป็นสัญลักษณ์ของความสุข พี่ขอมอบความสุขให้กับเธอ” ยูริพูดเบาๆข้างหูซอฮยอน ซอฮยอนรับช่อดอกไม้มาพร้อมรอยยิ้ม น้ำตาแห่งความปิติเอ่อคลอดวงตาใสพร้อมจะไหลลงมาทุกเวลา

“อย่าร้องไห้ในงานแต่งงานของพี่สิจูฮยอน” ยูริกล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะดึงน้องสาวที่ตอนนี้ตัวสูงเลยเธอไปแล้วมากอด

“วันนี้น้ำตาของฉันเป็นน้ำตาแห่งความสุขนะคะ” ซอฮยอนตอบอู้อี้ในอ้อมกอดของพี่สาว ไม่ว่าจะโตขึ้นสักเพียงไหนเธอก็ยังคงเป็นน้องสาวตัวน้อยอยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง

หนึ่งปีผ่านไปยูริให้กำเนิดลูกสาว “ยูมี” ทั้งคู่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักจากยูริและดงเฮ ยูริเสียเลือดมากจากการคลอด ทั้งยังตกเลือดหลังคลอดเป็นจำนวนมากจนเกือบเสียชีวิต เธอต้องเธอเผชิญกับภาวะโลหิตจาง เป็นผลทำให้ภูมิต้านทานต่ำและร่างกายอ่อนแอ หญิงสาวป่วยกระเสาะกระแสะบ่อยจนไม่สามารถดูแลยูมีได้ด้วยตนเองไหว ซอฮยอนจึงรับอาสาดูแลยูมีแทนเวลาเธอทรุด จนเมื่อยูริป่วยหนักเพราะมีภาวะปอดติดเชื้อเฉียบพลันต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ภายในห้องสีขาวที่เธอต้องมาบ่อยจนคุ้นเคย แม้จะไม่ชอบกลิ่นสะอาดๆและบรรยากาศรอบตัวแต่หญิงสาวก็ยังคงแวะเวียนมาอยู่เสมอเพื่อมาหาพี่สาวคนเดียว ร่างสูงบอบบางของหญิงสาวขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆยูริเหมือนที่พี่สาวเคยทำเมื่อตอนเธอเป็นเด็กโดยไม่ใส่ใจสายตาใคร

“ยูมีคือแก้วตา ดงเฮคือดวงใจ น้องสาวที่น่ารักเป็นส่วนนึงของในชีวิตฉัน .. พี่ดีใจที่ได้เห็นน้องสาวของพี่เติบโต” ยูริพูดเบาๆกับน้องสาว ซอฮยอนกระชับอ้อมแขนของเธอให้แน่นขึ้นราวกับกลัวว่าพี่สาวของเธอจะหายไป

น้องรักของพี่ เธอต้องยิ้มเสมอนะรู้ไหม

ยูริจากไปพร้อมกับหิมะแรกของปี ทุกครั้งที่สายลมพัดผ่านซอฮยอนจะคิดถึงยูริพี่สาวของเธอเสมอ เหมือนเพิ่งแค่เมื่อวานที่ฉันวิ่งเล่นกับพี่ เหมือนเพิ่งแค่เมื่อวานที่เราหัวเราะกัน เหมือนเพิ่งแค่เมื่อวานที่ฉันได้กอดพี่ ภาพความทรงจำระหว่างสองพี่น้องยังคงสวยงามเสมอ

…ฉันจะดูแลแก้วตาดวงใจของพี่เอง พี่อย่าได้เป็นห่วงเลยนะคะ

…พี่รู้เธอจะดูแลแก้วตาดวงใจของพี่เป็นอย่างดี

ฟิคสั้นตอนนี้จริงๆแล้วเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องยาวเรื่องแรกที่เขียนไว้คือ Loving You ซึ่งไม่ได้ย้ายมาจนถึงตอนนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพันธ์ของสองพี่น้อง ยูริ-ซอฮยอน เรื่องนี้เลยชื่อว่า Sister Bond และเพราะวันนี้เป็นวันเกิดยูริเราก็เลยหยิบมาปัดฝุ่นและรีไรท์นิดหน่อย ถึงมันอาจจะไม่ดีนักและตอนท้ายจะจบแบบเศร้าไปหน่อย .. อย่าว่ากันเลยนะคะ

สุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณควอน ขอให้ทุกๆวันของยูริมีความสุขเสมอๆ ของคุณสำหรับทุกเสียงหัวเราะที่ยูริมอบให้ สดใสอย่างนี้ตลอดไปนะคะ : D