Archive

Short Fiction – What You Have Done

ดวงตาสีน้ำตาลเข้าจ้องมองคนที่เยื้องย่างเข้ามาในห้องรับแขกอย่างช้าๆ เรืองร่างบอบบางอุ้มเด็กน้อยจ้ำม่ำในอ้อมกอดอย่างไม่มีทีท่าจะว่าจะหนักแต่อย่างใด หญิงสาวกวาดสายมองไปรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ คยูฮยอนย้ายออกจากบ้านและซื้ออพาร์ทเมนต์น่าอยู่นี้ไว้ที่โซลหลังจากที่ย้ายกลับมา ตลอดเวลาที่เขาเฝ้าเทียวไปเทียวมาระหว่างโซล-ยอซูนั้นเขาพักอยู่ที่นี่แทนบ้าน มันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะซื้ออพาร์ทเมนต์ที่ยอซูจะได้ไม่ต้องเดินทาง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขายังต้องทำงาน ยิ่งเขากลายสภาพเป็นคนตกงานหลังจากหมดสัญญาของโปรเจกต์กับบริษัทในอเมริกา เขาจึงต้องกลับมาทำงานกับบริษัทของครอบครัวในโซล ถึงอย่างนั้นทั้งๆที่ิเขาสามารถกลับมาอยู่บ้านได้แท้ๆ แต่เขาก็ซื้อมันเอาไว้เพราะลึกๆแล้วเขายังคาดหวังว่าเธอจะให้โอกาสเขา กลับมาเป็นครอบครัวที่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง .. และเขาก็มีวันนั้น

แรกเริ่มเดิมทีซอฮยอนยังคงพักอยู่ที่ยอซูกับเจสสิก้าหลังจากที่เขาเกิดอุบัติเหตุ เขาต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองอีกหลายเดือนกว่าเธอจะยอมมาอาศัยอยู่กับเขาที่โซล เหนื่อยแต่ก็คุ้มที่สุด

“ฉันนึกว่าคุณไม่ชอบสีเหลืองเสียอีก” เธอเอ่ยเมื่อเห็นสีผ้าม่านสีเหลืองพาสเทลตัดกับสีขาวของห้อง

“ก็คุณชอบ” เขาตอบสั้นๆ เขาใช้เวลาว่างจากการทำงานและการเฝ้าตื้อพี่ภรรยาให้เห็นใจเขาไปกับการตกแต่งอพาร์ทเมนต์ขนาดสองห้องนอนนี้ และทุกครั้งที่เขาเลือกเขาได้แต่คิดว่าอย่างไหนที่เธอชอบจนกลายเป็นว่าบ้านที่เขาแต่งกลายมาเป็นบ้านสีขาวผ้าม่านสีเหลืองพาสเทลสดใส คยูฮยอนแทบจะไม่ชายตาเครื่องเรือนสีขรึมที่เขาเคยชอบแต่กลับเลือกซื้อที่เป็นสีขาวสบายตา

“อบอุ่นดีนะคะ”

“ใช่ อบอุ่นดี” เขาตอบดวงตาจับจ้องที่เธอจนเธอรู้สึกได้ .. ถูกแล้ว สำหรับเขาไม่ใช่ห้องที่อบอุ่น แต่เพราะมีเธอต่างหากมันเลยอบอุ่น เพราะมีเธอทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว การอยู่ในบ้านที่ไม่มีเธอทำให้เขารู้

“มาดูนี่สิซอฮยอน” เขาแตะหลังเธอเบาๆเพื่อนำทาง

คยูฮยอนเปิดประตูให้เห็นห้องเด็กสีสันสดใส ผนังสีฟ้าวาดลายการ์ตูนดูน่ารัก เตียงเด็กขนาดเล็กสีขาวที่มีโมบายเป็นตัวการ์ตูนสีสันล่อตาตั้งอยู่กลางห้องโดยมีเก้าอี้โยกสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เธอมองไปที่ชั้นเล็กๆที่เต็มไปด้วยข้าวของเด็กเล็ก .. เยอะจนเธอแทบจะไม่ต้องขนมาจากบ้านพักที่ยอซูยังได้ .. คยูฮยอนเอื้อมมือมารับเด็กน้อยไปจากตัวเธอก่อนจะวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล มือเล็กป้อมจับของเล่นชิ้นนั้นชิ้นนี้อย่่างสนใจก่อนจะหยิบเอาบางอย่างเข้าปากไปกัด

“อะไรกัน มาถึงก็ทำลายของเลยนะคยองคยู” เขาลูบศรีษะทุยของลูกน้อยพร้อมหัวเราะเบาๆ ซอฮยอนมองภาพตรงหน้าอย่างยินดี น้ำใสๆเอ่อล้นอยู่ที่ดวงตากลมโต

…ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้อีกครั้ง

…ไม่เคยคิดว่าเธอจะได้เขากลับคืนมา

หญิงสาวหันไปให้ความสนใจกับสิ่งของที่อยู่บนชั้นอีกครั้ง มือเรียวหยิบเสื้อผ้าเด็กชายมาคลี่ออกดู ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับคยองคยู แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เธอหยิบเสื้ออีกตัวจากกองข้างๆขึ้นมาดูก่อน และจากอีกกอง

“คุณเหมาเสื้อมาทั้งห้างเลยหรือเปล่าคะ” เธอถามเขา จะไม่ให้ถามได้อย่างไร ก็ในเมื่อเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นเสื้อสำหรับเด็กหกเดือนขึ้นไป และเท่าที่เธอประเมินด้วยสายตาคยองคยูอาจจะไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าอีกเลยไปจนถึงสองขวบ

“งานอดิเรกของผมน่ะ” เขาตอบก่อนเผยรอยยิ้มเก้อๆ

เธอยิ้มตอบเขาเมื่อได้ยินประโยคนั้น ดวงตากลมโตเปลี่ยนจากมองหน้าเขาไปมองหน้าคนที่เหมือนเขาราวกับถอดกันมา มินิคยูของเธอตอนนี้หาววอดทั้งๆที่เพิ่งเล่นสนุกอยู่เมื่อครู่ น่าแปลกที่คยองคยูอารมณ์ดีขึ้นตั้งแต่เธอให้โอกาสคยูฮยอน เด็กชายหลับง่ายเมื่อบิดาลูบศรีษะน้อยเบาๆ

…คงจะคิดถึงพ่อเหมือนกันสินะ

…แม่ขอโทษนะครับที่คิดจะแยกลูกไปจากพ่อ

…แต่แม่ทำเพราะแม่รักคยองคยูนะครับลูก

ทั้งคู่มองดูลูกชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยความรัก คยูฮยอนเอื้อมมือหนามาโอบเอวเธอไว้หลวมๆ เขาบอกเธอ “ผมชอบมานอนที่ห้องนี้แล้วคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้ามีคุณกับลูกอยู่ด้วย ผมจะจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยว่าเขาจะชอบของเล่นชิ้นไหน เขานอนหลับยังไง .. ขอบคุณมากซอฮยอน”

คยูฮยอนจับจูงมือเธอออกมาจากห้องของเด็กชายก่อนจะพาเธอมายังอีกห้องหนึ่ง ห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวดูอบอุ่น เตียงสีขาวถูกปกคลุมด้วยผ้าปูเตียงและหมอนสีฟ้าที่วางแซมสลับกับสีเหลืองสบายตา เธอหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เขาเอาใจเธอแต่ก็ยังขอตามใจตัวเองบ้างด้วยการเลือกสีที่เขาชอบมาแซมไว้

“ชอบไหม หืม” เขาถามพร้อมกับหันไปมองดวงหน้างาม สังเกตแทบทุกจะอากัปกิริยาของเธอ

ซอฮยอนมองไปทั่วห้องก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าประตูตู้เสื้อผ้าบานโต มือเรียวบางเอื้อมไปเปิดมันออกดู ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นข้าวของที่อยู่ภายใน เสื้อของเขาและเสื้อผู้หญิง .. เสื้อผู้หญิงงั้นเหรอ!

เธอบอกไม่ถูกว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่เห็นเสื้อผ้าของผู้หญิงในห้องนอนของเขา .. ห้องนอนของเรา .. เจ็บจุกล่ะมั้ง เขายังคงไม่เลิกเรื่่องแบบนั้น ทั้งๆที่เธอให้โอกาสเขาครั้งแต่เขาก็ทำมันพัง หญิงสาวหมุนตัวก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เธอต้องออกไปจากที่นี่ ทั้งเธอและคยองคยู!

“เฮ้! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิซอฮยอน” มือหนาคว้าตัวเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอ เขาเชยคางเธอขึ้น หญิงสาวขัดขืนเล็กๆแต่ก็แพ้แรงเขาในที่สุด “นั่นก็งานอดิเรกผม .. ซื้อเสื้อผ้าให้ลูกและก็คุณ”

หญิงสาวหยุดนิ่งทันทีี่ได้ยิน เธอมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นอย่างค้นหา ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีแววตาอย่างอื่นนอกเหนือไปจากความจริงใจและความรักลึกซึ้ง ถึงจะยังไม่มั่นใจนักแต่เธอสัมผัสได้

เขาค่อยๆเคลื่อนตัวไปปิดริมฝีปากบางที่น่าหลงไหล หยาดน้ำใสๆไหลลงมาเปื้อนแก้มใส เขาถอนจูบเมื่อรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ .. นี่เขาทำให้เธอร้องไห้อีกแล้วหรือ คยูฮยอนตกใจจนนแทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาของภรรยารัก

“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้มจางๆก่อนจะมอบจูบอ่อนหวาน..ครั้งนี้เธอเป็นคนเริ่ม

จูบแสนอ่อนหวานที่เธอเริ่มกลับกลายเป็นเรียกร้องและรุนแรง คยูฮยอนไม่ได้มีอะไรกับใครอีกเลยตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านนับตั้งแต่เขาเลิกกับจงฮี ไม่มีแม้กระทั่งกับซอฮยอน เขารู้ทุกอย่างต้องใช้เวลากว่าที่เธอจะไว้ใจและรักเขาได้อย่างเดิมอีกครั้ง เขายินดีที่จะรอ .. แต่เธอกำลังทำให้เขาตบะแตก!

“ซอฮยอน-อาห์ ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ”

เธอเป็นคนเริ่มจูบนั้นและมันก็แสนหวานจนเขาต้องการมากกว่านั้นเสียแล้ว ซอฮยอนเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทรักที่ร้อนแรงและแสนหวานและคยูฮยอนก็แสดงความรักให้เธออย่างเต็มที่ จนเมื่อพายุรักสงบลงทั้งคู่ก็นอนเคียงข้างกันอย่างหมดแรง..แต่สุขสม

“เก่งที่สุดเลยซอฮยอน” ชายหนุ่มพูด มือหนาโอบกระชับร่างบอบบางแน่นขึ้น

“คะ?”

“นั่นคือการทำรักที่ดีที่สุดของผมเลย” เขาตอบพร้อมกับมองหน้าเธออย่างหยอกเย้า ดวงหน้าสวยที่ชื้นไปด้วยเหงื่อแดงระเรื่ออีกครั้งด้วยความเขินอาย เขาเกลี่ยผมสวยที่ยุ่งกระจายให้กับเธอแล้วจึงเอ่ย “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวจะไม่ได้นอนนะครับคุณภรรยา”

เขาประทับจูบหนักๆลงที่หน้าผากกลมมนก่อนจะปล่อยให้เธอได้นอนพัก เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใจชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างการทำรักกับการมีเซ็กส์อย่างแท้จริง ความรู้สึกวาบหวาม รุ่มร้อน แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อิ่มเอมช่างแตกต่างกับความสัมพันธ์ทางร่างกาย เขาเองอาจจะลืมไปหรือมันแต่หลงระเริงไปชั่วครู่ กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ความสัมพันธ์ของเขาเต็มไปด้วยความรักแต่ขาดความตื่นเต้นจนจืดจางไปตามกาลเวลาแท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เพราะซอฮยอน อาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยบอกเธอว่าเขาต้องการอะไร เขาไม่เคยสอนให้เธอลองส่ิงใหม่ๆเองต่างหาก บทรักร้อนแรงเมื่อครู่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี

…พักสักหน่อยนะซอฮยอน ผมใจเย็นพอที่จะสอนคุณไปทีละอย่าง

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากร่างบอบบางที่นอนอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มกอดกระชับเธอแน่นก่อนจะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“ผมรักคุณโจว ซอฮยอน”

 

 

NOTE:

* Epilogue เล็กๆของ What you have done .. แปลกเนอะว่าไม่รู้ทำไมเขียนเรื่องแล้วมีเด็กตลอดเลย ทั้งๆที่ชีวิตไม่ถูกโรคกับเด็กเท่าไรแท้ๆ ^^”
* ตอนนี้ที่ลองเขียนคือพยายามจะไถ nc ทั้งๆที่คิดว่า nc ไม่จำเป็น .. แล้วก็ไถไม่ขึ้น เขียนได้แค่ประมาณ 15+ เท่านั้นล่ะค่ะ แฮ่!

สุดคิด สุดฤทธิ์ สุดสู้
สุดรู้ สุดเจ็บ สุดหวัง
สุดยื้อ สุดแย่ง สุดกำลัง
สุดโศก สุดรั้ง สุดปัญญา

-คำมั่นสัญญา, ทมยันตี

 

“ผมอยู่ต่างจังหวัด ชางมินเกิดจะพามาพบเพื่อนอีกคนที่อยู่ไกลถึงแดกูเลยต้องค้างคืน” สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากตื่นนอนคือต่อสายไปหาซอฮยอนหลังจากที่เขาหลงระเริงไปกับลีลาของจงฮีจนลืมทุกสิ่งอย่าง ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอีกร่างที่อยู่ใช้เวลาร่วมเตียงกันมาจนเกือบเช้า เธอลุกขึ้นมากอดเขาจากด้านหลังแน่นจนรู้สึกความนุ่มนิ่มที่ทาบทับอยู่บนแผ่นหลังอย่างไร้อาภรณ์กั้น มือเย็นเยียบสัมผัสที่หน้าอกก่อนจะลูบไล้ลงไปยังด้านล้างจนเขาต้องกลั้นหายใจ

“ผมคงกลับถึงบ่ายๆนะซอฮยอน” เขากดตัดสายโดยไม่เอ่ยคำลาเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะควบคุมความต้องการไม่อยู่ ร่างสูงพลิกตัวกลับไปเพื่อทาบทับเรือนร่างแสนอวบอัดที่ส่งสายตาเย้ายวนมาให้ก่อนจะเริ่มต้นบทรักที่เพิ่งสงบลงไปไม่กี่ชั่วโมงขึ้นมาอีกครั้ง

คยูฮยอนกลับเข้าบ้านมาอย่างสดชื่นทั้งที่ควรจะเหนื่อยล้าแตกต่างจากภรรยาที่ดูซูบซีดคล้ายคนอดนอน เมื่อเขาถามเธอก็ตอบสั้นๆว่าไม่เป็นไร หากเป็นปรกติเขาคงมีแก่ใจจะเอ่ยถามหรือหยอกเย้า แต่ครั้งนี้เขาไม่ใส่ใจซักนิดที่จะถาม ร่างสูงตรงดิ่งไปที่ห้องนอน เขาอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปอีกครั้งโดยแบบแค่สั้นๆว่าชางมินจะพาไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเช่นเดิม ซอฮยอนเอ่ยลาสามี ดวงตากลมโตมองตามเขาฉายแววผิดหวังชัดเจน สิ่งที่คยูฮยอนไม่รู้และเธอไม่ได้บอกก็คือชิม ชางมิน ข้ออ้างของเขามีนัดทานอาหารเย็นที่บ้านหลังจากที่พบกับเธอและอาร่าเมื่อกลางวัน ชางมินอยากจะพบเพื่อนสนิทหลังจากที่ได้คุยกันไม่นานในงานศพและอีกอย่าง .. เขาอยากพบหลานชาย

…ชางมินของคุณกับชางมินของฉันคงคนละคนกันสินะคะ

…ชิม ชางมินของฉันคือผู้ชายเพื่อนสนิทของคุณสมัยเรียน

…ส่วนชางมินของคุณคงไม่ใช่

 

 

คยูฮยอนทั้งกิน เที่ยว ดื่มกับจงฮีตลอดสองสัปดาห์ที่เขาลางานมาเพื่อร่วมงานศพของบิดาในขณะที่ซอฮยอนเฝ้ารอสามีของเธอ เวลาสองสัปดาห์ที่เกาหลีของเธอเหมือนตกนรก เธอรู้ว่าเขาทำอะไรลับหลังเธอแม้จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หญิงสาวคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการกลับอเมริกาจะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม

เธอคงหวังมากเกินไป คยูฮยอนเปลี่ยนไปจากก่อนที่เขาจะกลับไปเกาหลี เขากลับบ้านดึกขึ้น ไปค้างนอกบ้านบ่อยๆ เลี่ยงไปคุยโทรศัพท์คนเดียว เงินที่เขาเคยให้เธอเป็นผู้ดูแลจัดการน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซอฮยอนสังเกตุเห็นด้วยซ้ำว่ามีใบแจ้งยอดบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมาอีกใบและยอดก็พุ่งทยานเสียดฟ้าเลยทีเดียว

ถึงแม้จะกลับไปเกาหลีแต่คยูฮยอนยังคงปรนเปรอจงฮีด้วยความลุ่มหลง เขาซื้อของสารพัดส่งไปให้เธอที่เกาหลี ให้แม้กระทั่งบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินและคนอย่างคัง จงฮีก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยอดค่าใช้จ่านผ่านบัตรแต่ละเดือนสูงลิบจนเทียบเท่ากับค่าเทอมของคยองคยูทั้งเทอม! ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็ยังยินดีจะให้เธอ

สุดสัปดาห์นี้ก็เป็นอีกครั้งที่ซอฮยอนต้องอยู่เพียงลำพังแม่ลูกเพราะคยูฮยอนจะไปเยี่ยมมาริที่ศึกษาต่อปริญญาโทอยู่ในมลรัฐใกล้ๆ ซอฮยอนปฏิเสธที่จะไปเพราะอยากให้พี่น้องได้ใช้เวลาร่วมกัน

ภายในบ้านที่เงียบเหงาซอฮยอนมองออกไปนอกหน้าต่าง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ยิ่งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยแถบชานเมืองด้วยแล้วยิ่งมืดสนิท เธอไม่เคยชอบบรรยากาศแบบนี้ เวลากลางคืนในประเทศที่เสรีที่ขาดความปลอดภัยโดยไม่มีคยูฮยอน จริงอยู่ย่านนี้ยังไม่เคยมีคดีร้ายแรง แต่ผิดหรือที่เธอกลัว อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่เธอต้องดูแลปกป้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เธอไม่ได้คิดว่าจะมีใครโทรมาเวลาดึกขนาดนี้ เบอร์ปลายสายที่ขึ้นบนหน้าจอเป็นเบอร์ที่เธอไม่คุ้นเคยแต่ก็สามารถบอกได้ว่าเป็นเบอร์จากเมืองข้างๆที่ติดกับรัฐที่เธออยู่ อาจจะเป็นเรื่องด่วนก็เป็นได้ ซอฮยอนกดรับสายพร้อมกับส่งเสียงทักทายอีกฝั่ง

“สวัสดีค่ะ ฉันคัง จงฮีนะคะ .. คุณซอฮยอนใช่ไหมคะ เราเคยเจอกันแล้ว” ซอฮยอนนิ่งอึ้งทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย

“ฉันจะมาอยู่ที่อเมริกานี่ซักระยะ มาเที่ยวน่ะค่ะ คยูเค้าเลยอยากจะพาฉันไปเที่ยวบ้าง คุณคงไม่ว่านะคะ .. ฉันแค่อยากโทรมาหาคุณเพื่อยืนยันน่ะค่ะว่าฉันกับคยูฮยอนไม่ได้มีอะไรกัน” เสียงหวานๆที่ดังเจื้อยแจ้วมาจากปลายสายไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดเลยแม้แต่เพียงน้อย

“ค่ะ” ซอฮยอนตอบกลับไปเท่าที่แรงเธอพึงมี

“คยูเค้ากังวลน่ะค่ะ ฉันก็เลยอยากจะโทรมาให้มันชัดเจน” ชัดเจนอะไรของเธอนะ คัง จงฮี .. แค่นี้ยังชัดเจนไม่พออีกอย่างนั้นหรือว่าคยูฮยอนกำลังมีคนอื่น เขากำลังจับปลาสองมือ ปลาตัวนั้นก็ดูจะเต็มใจให้เขาจับเสียด้วย เธอไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายโทรหาเธอเพราะอะไร ผู้หญิงคนนั้นต้องการบอกให้เธอรู้ว่าเธอเองก็เป็นผู้หญิงอีกคนของโจว คยูฮยอนและฝ่ายนั้นก็มาก่อน

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลมองนาฬิกาเรือนสวยบนข้างฝาที่กำลังบอกเวลาเที่ยงคืน เธอกดโทรศัพท์หาทงเฮแต่ไร้สัญญานตอบรับ พี่ชายของเธอคงกำลังทำงาน ส่วนเธอไม่อยากให้เพื่อนไม่กี่คนที่นี่รับรู้ถึงปัญหาครอบครัวของเธอ ซอฮยอนตัดสินใจโทรหามาริคนที่เธอคิดว่าเป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอที่อยู่ในเขตเวลาใกล้เคียงกันทั้งๆที่เมืองของมาริเร็วกว่าเธอร่วมสองชั่วโมงอย่างคนไร้ที่พึ่ง

“มาริ เธอว่างไหม พี่มีเรื่องจะปรึกษา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“พี่ซอฮยอน?” เสียงงัวเงียของปลายสายดังขึ้น มารินอนดึก เด็กคนนั้นนอนดึกตื่นสายไม่ต่างจากคยูฮยอน แต่วันนี้คงเป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่ญาติผู้น้องของสามีนอนเร็วกว่าเวลา

“พี่คยูของเธอเค้ากำลังมีคนอื่นใช่ไหมมาริ เธอพอจะรู้บ้างไหม” ซอฮยอนเอ่ยถาม เธอรู้ว่าคยูฮยอนสนิทสนมกับมาริไม่น้อย และมาริเองก็รู้จักกับจงฮี อย่างน้อยญาติของสามีน่าจะบอกอะไรเธอได้บ้าง แต่ไม่มีเสียงตอบจากปลายสาย ซอฮยอนยังคงถามทั้งน้ำตา “หืม มาริ เธอรู้จักผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม เธอรู้จักจงฮีใช่ไหม .. พี่จะทำยังไงดี .. หึ มาริ”

“มันจะอะไรกันนักกันหนาคะพี่ซอฮยอน ก็เพราะพี่น่าเบื่อขนาดนี้ไงพี่คยูถึงต้องมีคนอื่น” เสียงหงุดหงิดของคนที่ถูกรบกวนการนอนดังขึ้น มาริเบรคแตกเสมอหากมีใครมารบกวน ซอฮยอนเลือกโทรปรึกษาคนผิดไม่พอยังผิดเวลาที่สุด นอกจากจะไม่ได้รับคำปลอบใจแล้วยังได้รับคำพูดที่เหมือนหอกทิ่มแทงใจมาแทน

‘มันจะอะไรกันนักกันหนาคะพี่ซอฮยอน ก็เพราะพี่น่าเบื่อขนาดนี้ไงพี่คยูถึงต้องมีคนอื่น’ ประโยคนั้นของมาริยังคงวนเวียนอยู่ในหัว หญิงสาวไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำอะไรได้นอกจากนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น เธอนึกย้อนไปถึงวันที่ทั้งสองกล่าวคำสัญญาศักดิ์สิทธิ์หน้าพระผู้เป็นเจ้าว่าจะรักและอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ จะดีหรือจะร้าย จนกว่าความตายจะพรากจากกัน เสียงร้องจ้าของคยองคยูดังขึ้นฉุดเธอขึ้นมาจากความคิด เธอไม่รู้จริงๆว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คยูฮยอนในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว หากวันนึงเขาเปลี่ยนไปมากกว่านี้ หากเขาเปลี่ยนไปขนาดที่สามารถทำร้ายเธอและลูกขึ้นมาเล่า เธอทั้งเสียใจและผิดหวังจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ความรู้สึกพวกนั้นไม่อาจเทียบเท่าความรักของแม่ที่มีให้กับลูกของตัวเอง

…ฉันรักคุณ แต่ฉันก็รักลูก

…ในเมื่อฉันจะต้องสูญเสียคุณไป แต่ฉันจะขอดูแลลูกของเราไว้เป็นอย่างดี

…คำสัญญาศักดิ์สิทธิ์นั้น ฉันคงทำมันต่อไปไม่ได้ ฉันขอปล่อยคุณไปให้กับเธอ

 

 

ร่างสูงเดินเข้ามาในบ้านที่มืดมิดไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวเอง มือหนาเอื้อมไปเปิดไฟก่อนจะเดินตามหาเธอและลูก แต่ก็ไร้ร่องรอย .. ซอฮยอนและลูกหายไป .. บางทีเธออาจจะไปค้างบ้านเพื่อนระหว่างที่เขาไม่อยู่คยูฮยอนคิด ทั้งๆที่นั่นไม่ใช่นิสัยของซอฮยอนก็ตาม บางทีเธออาจจะเหงา เขาหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมากดต่อสายไปยังครอบครัวเกาหลีในเมืองที่เขารู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเธอ

“ไม่นะ ไม่ได้โทรมาเลยนี่ ลองโทรหาทิฟฟานี่สิ”

“ฉันกับสามีเดินทางออกไปนอกเมืองนะคยูฮยอน แต่วันนี้ซอฮยอนก็ไม่เห็นติดต่อมานะ โทรเช็คนิโคลหรือยัง”

“คุยกันเมื่อวานตอนเช้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไปไหนนะ”

สายแล้วสายเล่าที่เขาโทรแต่ก็ไม่มีใครบอกได้ซักคนว่าเธอไปไหนแม้แต่นิโคลที่เป็นความหวังสุดท้ายของเขา ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหัวเสียก่อนจะลุกขึ้นเมื่อรู้ตัวว่านั่งลงทับอะไรบางอย่าง .. โทรศัพท์มือถือของเธอ .. เขากดดูรายการโทรหลังสุด มาริและอีกเบอร์เป็นเบอร์จากเมืองใกล้ๆที่เขาเพิ่งไปกับผู้หญิงอีกคน “คัง จงฮี” เขารู้สึกอาการเย็บวาบที่กลางสันหลังเมื่อนึกว่าเธอรู้เสียแล้ว คนสันหลังหวะรีบกดโทรศัพท์โทรหามาริทันที

“มาริ ซอฮยอนโทรหาเธอหรือเปล่า” เขาระล่ำระลักถามทันทีที่ได้ยินเสียงใสๆของญาติสนิท

“โทรมาตอนที่ฉันหลับอยู่น่ะค่ะพี่” เสียงปลายสายหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “พี่คะ .. รู้สึกว่าฉันจะพูดไม่ดีกับพี่ซอฮยอนไปเพราะฉันหงุดหงิดที่เธอโทรมาปลุก เธอไม่ได้เป็นไรใช่ไหมคะพี่”

“เธอพูดอะไรไปมาริ”

“เหมือนกับว่าเธอเซ้าซี้ฉันเรื่องพี่คังฮี ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้เพราะเพิ่งหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แต่ฉันคงต้องพูดจาไม่ดีใส่เธอแน่ๆเลยเหมือนทุกครั้งที่มีคนมาปลุกฉัน” มาริตอบเสียงจ๋อยจนเขาแทบจะนึกภาพปลายสายออก ถ้าเพียงแต่มาริรู้ว่าโทรศัพท์สายนั้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของซอฮยอน

คยูฮยอนถอนใจเฮือกใหญ่หลังจากที่วางสาย มือหนายกขึ้นเสยผมยุ่งๆของเขาอย่างระบายอารมณ์ เธอรู้แล้วจริงๆ เขาไม่คิดว่าเป็นเพราะมาริ แต่น่าจะเป็นเพราะสายของคนที่โทรมาก่อนหน้านั้นต่างหาก เธอคงไปไหนไม่ได้ไกล ไม่สิ…เธอคงไม่กล้าไปไหน เขาเชื่่ออย่างนั้น ซอฮยอนคงไม่กล้าทิ้งเขาหรอก เธอรักเขาจะตาย

เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ร่างสูงหันนอนตะแคงมองทอดไปยังที่ที่เธอเคยนอน คืนนี้ปล่อยให้เธอเย็นลงซักหน่อยแล้วยังไงเสียเขาจะไปตามเธอกลับคืนมา

 

 

คยูฮยอนพยายามตามหาบ้านเพื่อนทุกคนที่ซอฮยอนรู้จัก ทุกที่ที่คิดว่าซอฮยอนจะไปรวมไปถึงบ้านของมาริ ทั้งโรงแรม สถานีตำรวจ หรือแม้แต่โรงพยาบาลแต่ก็ไม่พบแม้เงา เขาโทรหาอาร่ากับทงเฮด้วยซ้ำ แต่ก็ไร้วี่แวว เขาไปจากอเมริกายังไม่ได้ในตอนนี้ โปรเจกต์ที่เขาทำยังไม่จบ ถ้าเขาทิ้งงานจะโดนค่าปรับหลายสิบล้านดอลลาห์ซึ่งเป็นเงินมหาศาล เขาทำได้เพียงแค่พยายามตามหาเธอในประเทศและขอความช่วยเหลือจากอาร่าและชางมินให้ช่วยตามหาเธอในเกาหลี .. ทำได้เพียงเท่านั้น

บอกตามตรงว่าเขาโกรธตัวเอง เขาแต่งงานกับจงฮีเพราะอยากเอาชนะคำท้าบ้าๆและความสงสารที่เธอท้องไม่มีพ่อ ไม่ได้แต่งงานบนพื้นฐานของความรัก ในที่สุดจงฮีก็หาพ่อให้ลูกของเธอได้และเขาก็ลืมมันไปว่าครั้งนึงผมเคยจรดปากกาลงบนทะเบียนสมรสนั้น จนเมื่อได้พบกับเธออีกครั้งในงานศพของบิดา เธอบอกว่าเธออยากจะหย่า เพราะทะเบียบสมรสของเขามันทำให้เธอทำธุรกรรมในเกาหลีได้ยากเนื่องจากมันจะพ่วงชื่อเขาไปด้วยในฐานะสามี เขาไม่โทษใครแต่โทษตัวเองที่เพราะทะเบียนหย่านั้นทำให้เรื่องที่ควรจะจบไปนานกลับเกิดมาอีกครั้ง ส่วนซอฮยอนเขาแต่งงานกับเธอเพราะความรักและต้องการจะสร้างครอบครัว เขารู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกซอฮยอน ตลอดชีวิตของเขามีภรรยาและแม่ของลูกเพียงคนเดียวคือซอฮยอน จงฮีคือความตื่นเต้นเร่าร้อน คือความสุขทางร่างกายที่ไม่เคยได้รับ ทุกครั้งจงฮีจะปรนเปรอให้เขาอย่างถึงใจ สุขจนแทบจะสำลัก .. แตกต่างจากซอฮยอนที่แสนจะขี้อายและแสนจะอยู่ในกรอบ เขาไม่ปฏิเสธว่ามันเปี่ยมไปด้วยความรักมากกว่าความวาบหวาม แต่เซ็กส์ที่สุดยอดมันก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ

มือหนาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาตัวช่วย ชิม ชางมิน เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน เขาเล่าให้ชางมินฟังจนหมดเปลือก ถึงตอนนี้จะปิดบังให้ได้อะไรในเมื่อชางมินควรจะรู้หากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาหน้าซีดจนเปลี่ยนเป็นแดงแล้วกลับเป็นซีดเผือดอีกครั้งเมื่อได้ยินว่าชางมินพบซอฮยอนหลังจากงานศพบิดา แถมยังมาทานข้าวที่บ้านกับอาร่าพี่สาวเขาเสียด้วย ชางมินเล่าว่าซอฮยอนบอกเพียงว่าเขาออกไปกับเพื่อนเท่านั้น .. เธอรู้ตั้งแต่ตอนนั้น แต่เธอยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธออดทนให้โอกาสคนอย่างเขา

“นายคิดอะไรอยู่วะ นายทำอย่างกับไม่รู้ว่าจงฮีเป็นยังไง” ชางมินต่อว่าเขาทันทีที่ทราบเรื่อง

“จงฮีไม่ได้มีนายคนเดียว เธอเลือกคนที่มีให้เธอได้ .. ไม่ใช่ความรัก แต่มันคือเงิน” ชางมินยังคงพูด ไม่เปิดโอกาสให้คยูฮยอนที่กำลังจะสำลักความรู้สึกผิดตายได้ตอบโต้ “นายเอาเงินที่ควรจะเก็บไว้ให้คยองคยูมาปรนเปรอจงฮี แล้วแกรู้บ้างไหมว่าเงินของแกน่ะเผื่อไปหาทั้งตระกูลของเธอด้วยซ้ำ ฉันมีเพื่อนโง่ๆอย่างงี้ได้ยังไงวะ”

“ซอฮยอนน่ะ ยิ่งกว่าผู้หญิงในฝันของผู้ชายในคยองกีอีกนะ”

เขาทิ้งโทรศัพท์ลงข้างตัวเมื่อได้ยินคำกล่าวของเพื่อน ใช่ ซอฮยอนก็เป็นขวัญใจของหนุ่มๆในคยองกีไม่ต่างจากที่เขาเป็นดาวมหาวิทยาลัย เธอจะไม่ได้ร่ำรวยแต่เธอมีหัวใจที่แสนดี ดูเหมือนจะว่าเขาจะลืมไปว่าเขาโชคดีแค่ไหนที่ได้เธอมาครอง ร่างสูงพลิกตัวหันไปมองที่ที่เคยเป็นที่ของเธอ เตียงนี้กว้างเหลือเกิน .. กว้างเกินกว่าที่จะนอนคนเดียว

 

 

คยูฮยอนตัดสินใจทิ้งโปรเจกต์ราคากว่าสิบล้านดอลลาห์หลังจากได้รับเอกสารของหย่าจากทนายไม่กี่วันหลังจากที่เธอหายไป จดหมายสั้นๆที่แนบมาด้วยบอกแค่เพียงว่าหวังว่าเขาคงจะเข้าใจการตัดสินใจของเธอ เธอคงทำมันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ให้เขาเชื่อใจเธอว่าจะดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเป็นอย่างดี .. มันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่ใครจะทนนิ่งเฉยปล่อยเมียและลูกไปได้ .. เขายื่นใบลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว หากแต่บริษัทใจกว้างพอที่จะให้เขาทำงานจากเกาหลีจนกว่าจะจบโปรเจกต์แทนการเสียค่าปรับ

เมื่อเขากลับมาที่เกาหลีเขาจึงได้รับรู้ว่าซอฮยอนแวะมาหาอาร่าและคืนเงินจำนวนนึงซึ่งเป็นทุนการศึกษาที่ตระกูลโจวส่งเสียให้กับเธอตลอดเวลาที่เธออยู่ที่สหรัฐอเมริกา คยูฮยอนรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกศรีษะเขาแรงๆเมื่อคิดว่าเธอต้องการตัดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา เธอแทบจะไม่ได้เอาของติดตัวไปเลยด้วยซ้ำมีเพียงเสื้อผ้าและของใช้ของลูกเพียงไม่กี่ชิ้น เงินในบัญชีหรือบัตรเครดิตเธอก็ไม่ได้แตะต้อง เหมือนกับว่าเธอไม่ต้องการที่จะมีเขาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอยังไงยังงั้น

อาร่าไม่ได้บอกอะไรเขามากกว่านั้น เธอรู้ว่ามันคือการเอามีดทิ่มแทงหัวใจของน้องชายตัวเอง เธอบอกเท่าที่คยูฮยอนควรรู้ เท่านั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้คยูฮยอนรู้สึกตัว .. ยิ่งกว่ารู้สึกเสียอีก

คยูฮยอนตั้งต้นตามหาเธอด้วยตัวเอง เขาเดินทางไปที่ยอซูทั้งๆที่อาร่ากับชางมินบอกเขาว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เขาไม่เชื่อ แล้วก็ไม่มีมีเงาของเธอจริงตามชางมินว่า

“นายก็น่าจะเห็นว่าซอฮยอนไม่ได้อยู่ที่นี่” ทงเฮบอกชายหนุ่มรุ่นน้องหลังจากที่ยอมให้เขาเข้ามาเดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้อย่างเสรีเพื่อตามหาซอฮยอน

“พี่ฮะ บอกผมมาเถอะว่าเธออยู่ไหน ผมรู้ว่าพี่รู้” คนที่สูงกว่าตอบแทบจะทันที ทงเฮคือไพ่ใบสุดท้ายของเขา หากทงเฮไม่รู้แล้วเขาจะไปหาเธอได้จากที่ไหน

“นายเซ็นต์ใบหย่านั่นให้เรียบร้อยเถอะ เรื่องบ้าๆพวกนี้จะได้จบซักที” ทงเฮเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อพูดถึงเอกสารการหย่าของเขากับซอฮยอน

“แล้วลูกกับเมียผมล่ะ” คยูฮยอนถามอย่างร้อนใจ

“มันสายไปแล้วล่ะ นายควรจะคิดถึงพวกเค้าตั้งแต่ก่อนที่นายจะทำอะไรลงไปไม่ใช่เหรอ” ทงเฮตอบสั้นๆก่อนจะลากคนตัวสูงที่ผอมบางกว่าออกไปนอกบ้านแล้วปิดประตูใส่หน้าโครมใหญ่ เขาเดินไปเพิ่มเสียงโทรทัศน์อย่างไม่ใส่ใจคนที่ร้องเรียกอยู่ด้านนอก

…เดี๋ยวมันเหนื่อยก็กลับไปเอง

…คนอย่างนั้นจะทนได้ซักกี่น้ำ

 

 

แล้วอดีตน้องเขยของเขาก็กลับไปอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด แต่ที่เหนือความคาดหมายคือคยูฮยอนกลับมาหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งๆที่ยอซูเมืองริมชายทะเลในจอลลานัมนั้นใช้เวลาเดินทางกว่าห้าชั่วโมงจากโซลถ้าเดินทางโดยรถยนต์ ทุกครั้งที่มาคยูฮยอนก็มักจะเอ่ยถามถึงซอฮยอนอย่างคาดหวังว่าเขาจะใจอ่อนยอมบอกอะไรบ้าง แต่ทงเฮก็ยังใจแข็ง แม้จะรักและเอ็นดูเหมือนเป็นน้องชายแท้ๆ แต่ยังไงเสียเขาก็รักน้องสาวที่เป็นสายเลือดเดียวกันมากกว่า

คยูฮยอนมาครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกครั้ง แววตาที่เคยฉายแววคาดหวังหม่นลงกว่าที่เคยเป็น ดวงหน้าที่เคยมีรอยยิ้มขี้แกล้งกลับกลายเป็นสีหน้าเคร่งขรึม คยูฮยอนไม่ได้ถามถึงซอฮยอนเหมือนเคย เขาชวนทงเฮดื่มจนเมาไม่ได้สติหลับไป คนอายุมากกว่าได้แต่เสียสละโซฟาในห้องรับแขกให้ชายหนุ่มรุ่นน้องได้ซุกหัวนอน

เสียงก๊องแก๊งในครัวและกลิ่นอาหารหอมฉุยปลุกเขาให้ตื่นขึ้น คยูฮยอนใช้ความพยายามอย่างมากในการฉุดร่างตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่ ศรีษะของเขาปวดตุ้บๆจบเขานึกกลัวว่ามันจะระเบิดออกมา เขามองหญิงสาวในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ที่ในครัวอย่างสงสัย

“คู่หมั้นฉันเอง เจสสิก้า” เสียงทงเฮดังขึ้นมาจากในครัว พี่เขยของเขายืนถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่นอยู่ไม่ไกลนักจากผู้หญิงร่างเล็กคนนั้น “สิก้า นี่สามีของซอฮยอน”

คยูฮยอนยืนเต็มความสูง เขาโค้งเล็กๆเพื่อเป็นการทักทายเธอ แต่ไร้การตอบสนอง หญิงสาวที่หันกลับมามองเขากลับไปให้ความสนใจกับอาหารที่อยู่ในมือเธอต่อ

“อย่าถือสาสิก้าเลย เธอเป็นอย่างนี้แหละ” ทงเฮเอ่ย

ทงเฮและเจสสิก้าช่วยกันลำเลียงอาหารที่ปรุงเสร็จจากปิ่นโตอันเบ้อเริ่มใส่จานแล้วนำมาวางบนโต๊ะ ชายหนุ่มผู้พี่ชวนแขกไม่ได้รับเชิญให้ร่วมทานอาหารด้วยกัน ยังไงเสียเจสสิก้าก็เอามามากมายจนกินสองคนไม่หมดอยู่แล้ว เพียงแค่คำแรกที่ลิ้มรสอาหารตรงหน้าคยูฮยอนก็ต้องประหลาดใจกับรสชาติของมัน ไม่ใช่แค่อร่อยแต่มันคล้ายกับรสมือของใครอีกคนนึงราวกับเธอเป็นคนทำ

“อาหารพวกนี้ คุณทำเองเหรอครับคุณเจสสิก้า” คยูฮยอนถามขึ้น

ทงเฮมองหน้าเจสสิก้าก่อนที่เธอจะตอบเพียงสั้นๆอย่างยียวน “ถ้าไม่ใช่แล้วคุณจะไม่กินหรือไงคะ”

“เปล่าครับ เพียงแต่ว่ามันอร่อยมาก .. และรสชาติก็คล้ายกับที่ภรรยาผมทำมากเท่านั้นเอง” เขาเอ่ยชมอย่างจริงใจ มีเพียงประโยคสุดท้ายเท่านั้นที่เขาได้แค่พูดแค่ในใจ เขาอาจจะคิดถึงเธอจนอุปทานไปเอง

“นายจะมาทำไมบ่อยๆ โซล-ยอจูไม่ใช่ใกล้ๆ” ทงเฮบ่นเขาด้วยประโยคแบบเดิมๆเหมือนทุกครั้งที่เขามาที่นี่ เขารู้ถึงทงเฮจะรักซอฮยอนแต่พี่เขยก็รักเขาไม่น้อย ส่วนนึงที่ทงเฮพร่ำบ่นก็เพราะเป็นห่วงที่เขาต้องขับรถทางไกลบ่อยๆเพื่อมาถึงยอซู “ถ้านายจะถามเรื่องซอฮยอนก็กลับไปซะเถอะ นายก็น่าจะรู้ว่าคำตอบคืออะไร” ทงเฮยังไม่วายปิดด้วยประโยคอย่างโหดร้าย

คยูฮยอนก้มหน้านิ่ง เขาคิดเรื่องนี้มานาน นานพอที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขากลืนก้อนเหนียวๆลงคอด้วยความยากลำบากก่อนที่จะยื่นซองสีน้ำตาลมาตรงหน้า ทงเฮไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามันเข้ามาอยู่ในบ้านตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ผมเซ็นต์ใบหย่าให้เธอแล้ว แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจอะไร ผมขอร้องให้พี่ช่วยให้จดหมายนี้กับเธอด้วยได้ไหมฮะ” เขาพูด คยูฮยอนนิ่งไปชั่วครู่ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดต่อ “พี่ฮะ ผมขออีกอย่างได้ไหม .. ผมขอมาที่นี่ต่อไปได้ไหม อย่างน้อยการได้มาที่นี่ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับมีเธออยู่ใกล้ๆ นะฮะ”

“ไม่รู้สินะคยูฮยอน” ทงเฮมองคนที่กำลังจะเป็นอดีตน้องเขยอย่างลำบากใจ ในสถานการณ์อย่างนี้เขาเองก็อึดอัด แต่เพราะความเป็นพี่ชายที่มีน้องสาวคนเดียวทำให้เขาตัดสินใจได้ “ถ้านายหย่ากับซอฮยอนแล้วเราก็ไม่ควรจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันคิดว่าอย่างนั้นน่าจะดีกว่านะ”

 

 

เจสสิก้าเดินลงจากรถยนต์คันเล็กกระทัดรัด มือเล็กๆถือของพะรุงพะรังจนเต็มสองมือ ร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสีสดใสวิ่งออกมาช่วยรับของในมือไปจากเธอ หญิงสาวเดินนำเข้าไปในส่วนที่แยกเป็นครัวเล็กๆแล้ววางของสารพัดสิ่งไว้ตรงนั้น เธอออกมาในห้องนั่งเล่นอีกครั้งพร้อมกับแก้วน้ำเย็บเฉียบที่นำมาให้กับเจสสิก้า

“พี่สิก้า เป็นยังไงบ้างคะ อาหารฝีมือฉันอร่อยไหม พี่ทงเฮไม่น้อยใจใช่ไหมคะที่ฉันไปไม่ได้ .. ตาหนูอยู่ดีๆก็ไข้ขึ้นเสียอย่างนั้น” เธอพูดพร้อมกับปรายตามองลูกน้อยที่กำลังหลับสนิท เด็กชายอายุกำลังจะครบขวบดีในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้งๆที่ปกติก็แข็งแรงดีแต่อยู่ดีๆกลับไข้ขึ้นจนทำให้เธอไปดูแลทงเฮที่บ้านไม่ได้อย่างทุกวัน ได้แต่ส่งอาหารไปแทนโดยมีเจสสิก้าเป็นม้าเร็ว

“เธอไม่ไปน่ะดีแล้วซอฮยอน” เจสสิก้าตอบ เธอจิบน้ำเพียงเล็กน้อยก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วก็ทิ้งตัวพิงกับพนักโซฟา คิดถึงที่ไปเจอคยูฮยอนมาวันนี้

…ดีแล้วล่ะที่เธอไม่ได้ไปเจอเขา ซอฮยอน

เธอจำได้ดีว่าวันแรกที่พบซอฮยอนนั้นหญิงสาวอยู่ในสภาพอย่างไร ทงเฮขอให้ซอฮยอนอยู่กับเธอไประยะนึงก่อน เขากลัวว่าน้องสาวจะคิดมากจนอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงแต่ก็ไม่สามารถดูแลซอฮยอนได้ด้วยตัวเอง เพราะทงเฮต้องดูแลงาน World Expo ที่จะจัดขึ้นที่ยอซูในปีนี้ทำให้เขายุ่งจนแทบไม่ได้หายใจกันตั้งแต่ต้นปี

“ว่ายังไงนะคะ พี่สิก้า” เสียงหวานใสถามขึ้น

“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร” เจสสิก้าตอบ “ตาหนูของพี่เป็นยังไงบ้างนะ หายหรือยัง” เธอเปลี่ยนท่าทางไม้เลื้อยเป็นกระฉับกระเฉงทันทีที่ถามถึงหลานชาย มือเรียวบางเอื้อมไปอังที่หน้าผากกลมมนของเด็กน้อย น่าเอ็นดูเหลือเกิน บริสุทธิ์เสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะต้องเจอเรื่องอย่างนี้ตั้งแต่ยังเล็กนัก

“ไข้ลดแล้วค่ะ ตอนนี้อารมณ์ดีเชียว” ซอฮยอนตอบ ดวงตากลมโตมองที่ลูกชายนิ่ง คยองคยูทำเอาเธอใจหายหมด อยู่ก็ไข้ขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ลูกของเธอเป็นหวัดง่ายเหมือนพ่อเขานั่นแหละ แต่ก็ยังดีที่หายเร็วไม่ทำให้แม่ต้องห่วงนาน

 

 

‘ไม่รู้สินะคยูฮยอน .. ถ้านายหย่ากับซอฮยอนแล้วเราก็ไม่ควรจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันคิดว่าอย่างนั้นน่าจะดีกว่านะ’

‘เธอเลือกคนที่มีให้เธอได้ .. ไม่ใช่ความรัก แต่มันคือเงิน’

‘ฉันขอโทษ แต่ฉันคงทำมันต่อไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว’

คำพูดเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขา ถ้าเพียงแต่คำพูดสามารถฆ่าคนได้ เขาคงตายไปแล้ว ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น คยูฮยอนกำพวงมาลัยแน่นอย่างต้องการสะกดอารมณ์ พ่อทำให้เขารู้ว่าการจากลามันทรมานขนาดไหน แต่ซอฮยอนทำให้เขารู้ว่าการจากเป็นมันเลวร้ายมากกว่าการจากตายเสียอีก .. สิ้นสุดแล้วเรื่องราวของเขาและเธอ

เสียงแตรดังยาวต่อเนื่องดึงสติของคยูฮยอนให้กลับมาอีกครั้ง เขาหักหลบรถที่สวนมาด้วยความเร็วสูงจนรถเสียหลักไปกระแทกกับต้นไม้อย่างแรง โชคดีที่มีผู้ช่วยเหลือเขาออกมาจากซากรถแล้วนำเขาส่งโรงพยาบาลได้ทันการ ทงเฮทราบข่าวและโทรบอกเจสสิก้ากับซอฮยอน คยูฮยอนรอดตายราวกับปาฏิหาริย์ ทุกคนที่เห็นรถของเขาต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ตายก็พิการ ไม่น่ามีเพียงขาหักและแผลเล็กน้อยตามร่างกายเท่านั้น

ทงเฮเดินเคียงข้างน้องสาวมาที่หน้าห้องคนป่วย แม้จะอยู่ที่โรงพยาบาลคอยฟังอาการเขามาตลอดแต่ซอฮยอนยังคงยืนยันว่าจะไม่เข้าไปพบคยูฮยอน .. เหมือนที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

“ฮยอนนี่ เธอก็รู้ใช่ไหมว่าพี่รักเธอยิ่งกว่าอะไร” ทงเฮเอื้อมมือแตะไหล่น้องสาวคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขามองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตนั้น ดวงตาที่ครั้งนึงเคยส่องประกายใสแจ๋ว

…พี่จะเอาประกายแบบนั้นกลับมาอีกครั้ง

“พี่รักเธอและจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำเธอเจ็บปวด พี่ตัดสินใจพลาดที่ให้คยูฮยอนดูแลเธอไปครั้งนึงแล้ว แล้วดูมันทำกับเธอสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครั้งนี้พี่จะปกป้องเธอตามที่สัญญากับพ่อแม่เอาไว้ ถ้าเธอต้องการพี่จะไล่มันไปซะ แต่พี่อยากให้อ่านจดหมายฉบับนี้ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ”

ทงเฮยื่นซองสีน้ำตาลซองเดียวกับที่คยูฮยอนฝากให้เธอ ทงเฮคิดทบทวนอย่างหนักว่าเขาควรจะให้หรือไม่ให้จดหมายฉบับนั้นกับน้องสาวดี แต่ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อนทำให้เขามั่นใจในการตัดสินใจ

…เพราะพี่ไม่อยากให้เธอเจ็บปวดหรือถูกทำร้าย

…แต่พี่ก็อยากจะมั่นใจว่าเธอจะไม่ทำร้ายตัวเอง

…ให้เธอมั่นใจว่าทางใดที่เธอเลือก เธอจะมีพี่เคียงข้างเสมอ

มือเรียวบางรับซองเอกสารจากพี่ชาย เธอเดินไปนั่นที่เก้าอี้หน้าห้องผู้ป่วยก่อนจะตัดสินใจเปิดมันออกดู ใบหย่าลงลายมือชื่อของเขา เธอดึงเอกสารสำคัญฉบับนั้นออกมาดู .. น่าขำชะมัดที่ใบหย่านั่นไม่มีลายเซ็นต์ของเธอ ทั้งๆที่เธอเป็นฝ่ายขอหย่าแท้ๆ อาจจะเป็นเพราะลึกๆแล้วเธอไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ไม่แม้ซักนิดเดียว .. จดหมายสีขาวที่ติดมากับใบหย่าที่ยังไม่สมบูรณ์ร่วงหล่นลงไปบนพื้น ซอฮยอนโน้มตัวไปหยิบมันขึ้นก่อนที่จะค่อยๆคลี่มันออกดู

“ผมไม่รู้ว่าผมจะเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ยังไงดี สองคำที่ผมคิดออกคือคำว่า ขอโทษ และขอบคุณ

ผมขอโทษ .. ถ้าหากจะเล่าเรื่องมันคงเหมือนคำแก้ตัวของผู้ชายโง่ๆคนนึง ผมผิดทั้งหมดที่หน้ามืดตามัวไปกับความสุขฉาบฉวยที่นำพาความทุกข์มหันต์มาโดยไม่รู้ตัว ผมไม่มีอะไรจะพูดนอกเหนือไปจากคำว่า .. ผมขอโทษ

ผมขอบคุณ .. คุณเป็นคนรัก เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นภรรยาและแม่ที่ดีตลอดมา ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆผมเสมอเวลาที่ผมท้อแท้หรือหมดแรง ขอบคุณที่รอยยิ้มของคุณสร้างรอยยิ้มให้กับผม ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ความความสุขที่แท้จริงหาได้ที่ไหน ถึงตอนนี้ผมได้แต่นึกขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณกับสิ่งที่คุณทำให้กับผมตั้งมากมาย .. ผมขอบคุณ

ใบหย่าของผมคงเป็นสิ่งเดียวที่จะยืนยันคำขอโทษและคำขอบคุณของผม

สำหรับผมภรรยาและแม่ของลูกของผมมีเพียงคนเดียว เธอชื่อโจว ซอฮยอน ผมรักคุณและคยองคยู จะรักอย่างนี้และรักตลอดไป ……. ผมแค่อยากบอกให้คุณรู้ถึงมันอาจจะสายไปแล้วก็ตาม”

หยดน้ำใสไหนรินลงมาตามดวงหน้านวล นึกถึงความเสียใจผิดหวังที่เขาเคยทำไว้ มันมากมายที่เธอยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นได้ เธอจะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำได้หรือ เธอจะรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขได้เหมือนเดิมหรือ มือเรียวบางพับจดหมายสีขาวก่อนจะเก็บไว้ในซองสีน้ำตาลกับเอกสารอีกฉบับเช่นเดิม

ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยค่อยๆขยุกขยิกไปมา พอเขาเริ่มรู้สึกตัวก็เจ็บร้าวไปหมดทั้งร่างกาย เขาลืมตาขึ้นมองไฟเพดาน จ้องอยู่อย่างนั้นอย่างใช้ความคิด .. โจว คยูฮยอน โง่ชัดๆ คณิตศาสตร์โอลิมปิกหรือการศึกษาที่สูงส่งไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันความฉลาดได้เลยแม้แต่น้อย เขาโง่ตั้งแต่จรดปากกาลงบนทะเบียนสมรสกับจงฮี โง่ที่เต้นไปตามจังหวะของเธอ โง่ที่ปล่อยซอฮยอนไป โง่ที่หลบรถแล้วยังจะไปชนต้นไม้ โง่ขนาดที่ยมฑูตยังไม่อยากได้เขาไปอยู่ในนรกเลยคิดดู เขาถึงต้องมานอนเจ็บอยู่แบบนี้ หรือพระเจ้าอยากจะเห็นว่าเขาจะโง่ได้แค่ไหน

“ฟื้นแล้วเหรอคะ” เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้น เสียงที่เขาอยากได้ยินมาตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ คยูฮยอนหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างลืมตัว .. ซอฮยอน?

“โอ๊ะ!” เขาอุทานเบาๆเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบเบาๆขึ้นมาจากการขยับตัวกระทันหัน เขาหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นเพียงภาพในจินตนาการ หัวใจของเขาเต้นระรัว เพียงเสี้ยงวินาทีเท่านั้นแต่เขายังภาวนาลึกๆในใจ ขอให้เธออย่าหายไปอีกเลย เปลือกตาหนาขยับเปิดขึ้นอีกครั้งและเธอยังคงอยู่ตรงนั้น เธอยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างมองมายังคนป่วยด้วยสายตาที่เขาอธิบายไม่ถูก

“ซอฮยอน”

มีเพียงชื่อเธอเท่านั้นที่หลุดออกมาจากปากเขา ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามีอะไรตั้งมากมายที่เขาอยากจะบอกเธอ แต่มันคงมากมายจนเขาพูดไม่ออก

“คุณหลับไปเกือบหนึ่งวันเต็ม วันนี้คงนอนไม่หลับแล้วล่ะมั้งคะ” เธอพูด ขายาวๆก้าวเข้ามาใกล้เตียงคนป่วยมากขึ้น เธอไม่ได้ยิ้มแต่สายตาของเธอไม่ได้ฉายแววของความผิดหวังเหมือนที่เขาเห็นครั้งหลังสุดนั้นแล้ว

เขาไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอยู่อย่างนั้น มีเพียงเสียงของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่รายล้อมรอบตัวคยูฮยอนเท่านั้นที่ส่งเสียงให้ได้ยิน

…เธออาจจะทำใจได้และผ่านช่วงเวลาเลวร้ายอย่างนั้นไปแล้ว

…เธออาจจะหมดรักเขาแล้ว

…หรือมันจะสายไปจริงๆ

“ผม…ขอโทษ” เขาตัดสินใจทำลายความเงียบนั้นลงหลังจากที่ใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่นาน ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปอย่างไร … แต่ถึงอย่างนั้นเขายังรักเธอและยังเป็นหนี้คำขอโทษเธออยู่ไม่ใช่หรือ

“ฉันคงโกหกที่จะบอกว่าไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่ผิดหวัง แต่ฉัน…..ก็ไม่ได้โกรธคุณมากจนไม่สามารถให้อภัยได้” เธอตอบแล้วเผยรอยยิ้มเพียงจางๆให้กับเขา “เพราะฉันรักคุณมากกว่านั้น”

เธอจะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำได้หรือ เธอจะรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขได้เหมือนเดิมหรือ .. ซอฮยอนได้รับคำตอบที่เธอถามตัวเองตั้งแต่วินาทีแรกที่เธออ่านจดหมายฉบับนั้น เธอให้อภัยเขาได้และเธอไม่เคยหยุดรักเขาเลย

 

 

NOTE:

* น่าจะปล่อยให้กี้มันตรอมใจไปซักนานๆ มันจะได้เจ็บแล้วจะได้จำ …. ถ้าตากี้มันจะเจ็บไม่พอ
* ตากี้มันโชคดีจริงๆที่ได้ยัยหนูไปเป็นเมีย(ในฟิค) จริงๆแล้วเรื่องจริงที่เอามาใช้เขียนตากี้ไม่ได้โดนสั่งสอนให้รู้สึกขนาดนั้นหรอกเพราะซอฮยอนตัวจริงอึดถึกทน แต่เรากลับอยากให้ตากี้ตัวจริงได้เรียนรู้และอยากให้ซอฮยอนตัวจริงเข้มแข็ง เราถึงเปลี่ยนตอนจบไม่ให้เหมือนเรื่องจริง ซอฮยอนในนิยายเข้มแข็งมากเท่าที่คนนึงจะทำได้ เธอกล้าออกมาเพื่อปกป้องลูกและความรัก และตอนสุดท้ายก็กล้าที่จะรักและให้โอกาสเขาอีกครั้ง
* ต้นเรื่องของเราแก้ปมชีวิตของพวกเค้าได้แต่ในชีวิตจริงของบางคนมันไม่สวยงามแบบต้นเรื่องของเราหรือแบบในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ทำได้คือยอมรับในผลของการกระทำของตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาแต่งทั้งๆที่คิดว่าไม่ถนัดเรื่องอึนๆแบบนี้แท้ๆ -__-”
* มาคิดได้อีกอย่างตอนนั่งนึกเพลินๆเรื่องแบนเนอร์ ถ้าใส่รูปของจงฮีกับสิก้าไปคงฮาพิลึก จะบ้าเรอะ! ไม่ใช่ฝาแฝดนะตัวเธอ!! อิจเมจของคัง จงฮีไม่ใช่เจสสิก้าแต่อย่างใด ตอนที่เขียนไม่อยากใช้ใครเป็นตัวละครตัวนี้เลยยย แล้วอยู่ชื่อสิก้าในละคร Wild Romance ก็ชะแว่บมาในหัวเลยขอยืมมาใช้ แต่อิมเมจที่คิดตอนเชียนไม่ใช่คนผอมบางแบบจ่า ออกแนวเป็นผู้หญิงอวบ อึ๋ม ดูมมะจาเล่ล้นทะลัก เซ็กซี่เลือดกำเดาทะลัก sex appeal สูงเสียดฟ้าออกจะคล้ายยูริมากกว่าด้วยซ้ำแต่ extreme กว่านั้น โอเคเนอะ
* rewrite เบาๆวันที่ 09Mar2012

เธอเป็นภรรยาออกหน้าออกตา เป็นคนที่ทั้งครอบครัวและสังคมยอมรับ
อยู่ดีๆกลับกลายเป็นว่าเธอมาทีหลัง และผู้หญิงอีกคนของเขาก็มีทะเบียนสมรส…ก่อนเธอเสียอีก

 

เขาเป็นหนุ่มรูปงามประจำมหาวิทยาลัยด้วยทั้งชาติตระกูลสูงศักดิ์และสติปัญญาล้ำเลิศระดับนักคณิตศาสตร์โอลิมปิก ไม่พอยังมีใบหน้าหล่อกระชากใจกับรอยยิ้มร้ายกาจเป็นอาวุธ คยูฮยอนจึงเป็นที่หมายปองของสาวๆ ไม่ว่าจะเฉียดไปทางส่วนไหนของมหาวิทยาลัยคยองกีก็มีแต่สาวๆชะเง้อมองตาม สำหรับเขาทุกอย่างในชีวิตมันช่างง่ายดาย อยากได้อะไรเพียงแค่เอ่ยปาก ของเหล่่านั้นก็แทบจะมาประเคนอยู่ตรงหน้าให้เลือกได้ตามชอบใจ

เธอเป็นหญิงสาวที่เปรียบเหมือนนางฟ้าของผองเพื่อนด้วยน้ำใจอันเปี่ยมล้นที่เธอมักจะหยิบยื่นให้คนรอบข้าง ซอฮยอนช่วยเหลือคนรอบข้างเสมอ แม้เธอจะไม่ได้มีเงินทองมากมายพอที่จะโอบอุ้มใครได้แต่เธอกลับช่วยเหลือด้วยสิ่งอื่นและด้วยหัวใจที่ใครๆย่อมสัมผัสได้ โลกของเธอแตกต่างจากโลกของคยูฮยอนนัก ในขณะที่โลกของคยูฮยอนโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ โลกของเธอมีแต่ถนนลูกรังและโคลนตม ซอฮยอนเป็นเด็กกำพร้า ครอบครัวของเธอมีเพียงพี่ชายที่รักเธอเท่าชีวิต “ลี ทงเฮ” เธอต้องเรียนหนักเพื่อให้ได้ทุนการศึกษาและยังทำงานสารพัดเพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว ไม่ว่าทงเฮจะพร่ำบอกเธอกี่ครั้งว่าเขาจะดูแลเธอเองแต่เธอก็ยังยืนยัน

ใครจะเชื่อว่าผู้ชายที่พร้อมที่เป็นที่ใฝ่หาที่สุดในมหาวิทยาลัยคยองกีจะเลือกผู้หญิงที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือชื่อเสียงเงินทองอย่างลี ซอฮยอนมาเป็นคนรักท่ามกลางคำวิพากย์วิจารณ์ว่าต่างคนต่างไม่ควรคู่กันเพราะโลกของเขาทั้งสองแตกต่างกันเกินไป หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงโดนกลั่นแกล้งถากถางต่างๆนานาที่ริอาจจะไปเป็นคนรักของคนที่สมบูรณ์พร้อมอย่างกับเจ้าชาย แต่เพราะเป็นซอฮยอนที่แสนดีจึงไม่มีใครว่าร้ายเธอ .. จิตใจที่งดงามทำให้ทุกคนยอมรับเธอในฐานะผู้หญิงของคยูฮยอน

คยูฮยอนยังจำวันแรกที่พบเธอได้ดี เขาโดนขอร้องแกมบังคับจากอาจารย์ยอนฮีว่าให้เข้าร่วมละครเวทีของคณะ เขาจึงต้องมานั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆกับผู้หญิงผิวขาวจนเหมือนซีดที่ก้มจดอะไรยิกๆตลอดเวลา ผมยาวของเธอปรกหน้าตาจนเขามองไม่ถนัดนัก จนในที่สุดอาจารย์ก็แนะนำว่าเธอคือผู้ประสานงานหลักของละครเวทีครั้งนี้ เธอหันมาโค้งให้เขาน้อยๆอย่างทักทายก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับสมุดโน๊ตในมือต่อ คยูฮยอนไม่พอใจนักหรอก เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ผู้หญิงเมิน! ไม่ว่าเธอจะเป็นใครเขาบอกตรงๆว่าเคือง!! นอกจากเคืองแล้วยังแอบปรามาสในใจว่าผู้หญิงอย่างเธอจะพาละครเรื่องนี้ไปได้ซักกี่น้ำ .. ล่มก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเล่นละครบ้าๆนี่

ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาลปัดกลายเป็นว่าซอฮยอนจัดการทุกสิ่งอย่างได้ดีเยี่ยม เธอใช้สมองแทนแรงกาย ใช้ความอ่อนหวานแทนความแข็งแกร่ง ถึงเธอจะดื้อและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองแต่ก็ไม่ทำให้คนอื่นอึดอัดใจ อาจจะเพราะวิธีการพูดอันชาญฉลาดและท่าทีที่อ่อนน้อมนั่นก็เป็นได้ และทุกครั้งที่ซอฮยอนแสดงอาการรั้น ก็จะต้องเขาที่เข้ามาจัดการ ไม่มีใครกล้าขัดนางฟ้าในใจของพวกเขายกเว้นคยูฮยอน เหตุผลอีกอย่างคือเขารู้ว่าควรจัดการเธออย่างไร…เพราะเธอคือสิ่งที่ตรงข้ามกับเขา

เหมือนมีแรงดึงดูดระหว่างขั้ว เธอดึงดูดเขาและเขาก็ดึงดูดเธอ พวกเขาเติมเต็มกันและกันร่วมกันดูแลต้นรักที่ค่อยๆเติบโตตามการเวลา ทั้งสองคบหาดูใจกันจนจบการศึกษา คยูฮยอนตัดสินใจจะไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เพราะไม่อาจทิ้งเธอไว้เพียงลำพังที่เกาหลีได้ เขาจึงขอเธอแต่งงาน แรกเริ่มซอฮยอนไม่ตกลงเพราะเธอไม่อยากแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยยังมีหลายสิ่งเหลือเกินที่เธออยากทำ หากแต่คยูฮยอนยืนยันหัวชนฝาว่ายังไงเสียก็จะแต่งและจะพาเธอไปอยู่เสียด้วยกัน จนในที่สุดซอฮยอนก็ใจอ่อนกับความพยายามของคนรักที่สรรหาวิธีมาโน้มน้าวจิตใจเธอ วิธีที่คยูฮยอนนอกจากจะตื้อไม่เลิกแล้วยังมาพร้อมเหตุผลล้านแปดแบบที่จะไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน เข้าท่าบ้างไม่เข้าท่าบ้าง สุดท้ายเธอยอมตกลงไปเรียนต่อกับเขา ส่วนเรื่องแต่งงานเธอขอตัดสินใจอีกครั้ง แค่เท่านั้นคยูฮยอนก็พอใจแล้ว

ทั้งคู่ไปศึกษาต่อด้วยกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยครอบครัวของคยูฮยอนช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายของซอฮยอน เขาและเธอตกลงใจแต่งงานกันที่นั่นหลังจากเรียนจบ คยูฮยอนได้รับข้อเสนอให้ทำงานต่อซึ่งเขาตอบรับเพราะต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะกลับมารับช่วงธุรกิจต่อจากทางบ้าน คยูฮยอนทำงานด้านการตลาดในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในขณะที่ซอฮยอนทำงานเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ จนเมื่อทั้งซอฮยอนตั้งครรภ์เธอก็ถูกขอร้องแกมบังคับว่าให้ออกจากงานประจำทั้งๆเธอกำลังไปได้สวย แต่เพราะงานที่เครียดและแสนจะหนักบวกกับร่างกายของเธอที่ไม่แข็งแรงจนเกือบแท้งไปครั้งหนึ่งเธอจึงจำนนต่อเหตุผล ซอฮยอนได้แต่หางานเล็กๆน้อยๆทำไปเป็นครูสอนดนตรีตามที่เธอถนัด จนหลังคลอดคยูฮยอนก็ยังยืนยันว่าไม่ให้ทำงาน .. เหตุผลของเขาคือค่าจ้างพี่เลี้ยงในสหรัฐอเมริกานั้นราคาสูงลิบลิ่วแต่ก็ไม่ได้วางใจได้ว่าจะดูแลลูกได้ดีเช่นเธอ ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างเขาจะไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกเมีย

ซอฮยอนอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนมองเด็กน้อยแก้มยุ้ยที่เพิ่งหลับไปหลังจากที่เธอป้อนนม เด็กชายมีเค้าหน้าของพ่อฉายชัดเจนแต่กลับได้รับผิวพรรณขาวใสและเค้าหน้าหวานๆจากเธอไป ใครๆเห็นต่างก็ทักว่าพ่อลูกชายตัวน้อยนั้นคงจะหล่อกระชากใจสาวยิ่งกว่าคยูตัวพ่อเสียอีกทำเอาเธอหวั่นใจไม่น้อย หากนิสัยเหมือนพ่อจริงคยองคยูคงทำให้สาวๆอกหักรายวันเป็นแน่แท้ คยูฮยอนสมัยก่อนนั้นก็คาสโนว่าดีๆนี่เองจนกระทั่งมาพบเธอนั่นแหละเขาถึงได้เลิกนิสัยเจ้าชู้ประตูดินเพื่อหยุดที่เธอ

“ว่ายังไงนะฮะ” เสียงเครียดของสามีถามปลายสายเป็นภาษาเกาหลีทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมาดู ทุกครั้งที่เป็นสายจากทางบ้านเขามักจะอารมณ์ดีเสมอ หากแต่ครั้งนี้แปลกไป สีหน้าของสามีของเธอตอนนี้ปะปนกันไปหมด .. ทั้งสูญเสียและสับสน

“ครับ แล้วผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด” เสียงทุ้มตอบก่อนจะวางสาย

ร่างสูงเดินเข้ามาหาเธอและลูกน้อยก่อนจะโอบกระชับแน่น เขาซบศรีษะลงบนไหล่บางๆก่อนที่เธอจะสามารถรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นที่ซึมผ่านเสื้ิอผ้าชั้นดี คยูฮยอนกำลังร้องไห้ ทั้งๆที่สับสนแต่เธอก็ยังใช้มืออีกข้างโอบกอดเขาให้แน่นเท่าที่ทำได้ แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เธอก็อยากจะให้กำลังใจเขา

“อัปป้าเสียแล้วซอฮยอน เราคงต้องรีบกลับเกาหลีให้เร็วที่สุด” เขาเอ่ย น้ำเสียงยังคงสั่น น้ำตาของเธอไหลพรั่งพรูลงมาทันทีที่ได้ยินคำเขา เธอและทงเฮเป็นเด็กกำพร้าทำให้เธอรักครอบครัวของคยูฮยอนเหมือนเป็นครอบครัวของตัวเอง พ่อของคยูฮยอนคือคนที่เธอรักเสมือนบิดาแท้ๆ เธอรู้สึกไม่น้อยไปกว่าที่เขารู้สึก คยูฮยอนกลืนก้อนเหนียวๆลงคอก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของภรรยา เขาเอื้อมมือหนามาเช็ดน้ำตาให้กับเธอแต่เหมือนกับว่าเช็ดยังไงก็ไม่มีทางหมด “ร้องไห้ขนาดนี้ เดี๋ยวน้ำก็หมดตัวหรอกโจว ซอฮยอน .. แล้วลูกจะมีนมไว้กินเหรอเนี่ย” เขากล่าวอย่างขำๆ

หญิงสาวแม่ลูกอ่อนตีสามีขี้แกล้งก่อนจะหัวเราะเบาๆ เพราะเขาทำให้เธอมีรอยยิ้ม เพราะรอยยิ้มของเธอทำให้เขามีพลัง

…ผมโชคดีที่สุดที่มีเธอ

…เมื่อเศร้าก็มีไหล่ไหล่ให้ซบ

…เวลาเหนื่อยก็มีคนคอยซับเหงื่อให้

 

 

คยูฮยอนพาครอบครัวเล็กๆของเขากลับมาถึงเกาหลีสองวันหลังจากทราบข่าวเพื่อมาร่วมพิธีศพของบิดา การจากไปก่อนเวลาอันควรของประธานโจวเป็นเรื่องที่สร้างความตกใจให้กับคนรอบข้างไม่น้อย นอกเหนือจากอำนาจแล้วท่านยังมีทั้งพระเดชพระคุณล้นเหลือกับผู้คนมากมาย การสิ้นท่านในครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นสูญเสียของครอบครัวโจวแต่เพียงเท่านั้น ผู้ใกล้ชิด ผู้ที่อยู่ภายใต้บารมี ผู้ที่ท่านประธานโจวเคยให้ความช่วยเหลือ หรือแม้แต่คู่แข่งทางธุรกิจต่างก็เสียใจกับการจากไปในครั้งนี้

เพียงแค่เขาก้าวเดินเข้ามาในงานศพแบบคริสต์ตามแบบศาสนาของครอบครัว เขาเองเกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขอบคุณมารดานักที่ยอมเลื่อนพิธีศพให้เขาได้พบบิดาเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเอ่ยคำลา การจากลาในครั้งนี้….คือตลอดกาล

เชาสามารถสัมผัสถึงไออุ่นที่สัมผัสเบาๆที่หลังเขาอย่างปลอบโยน ซอฮยอนละมือข้างหนึ่งจากการอุ้มลูกน้อยมาให้กำลังใจเขาอย่างทุกครั้งที่เป็นมา เธอยื่นใบหน้ามากระซิบกับเขาเบาๆว่าให้เข้าไปบอกรักบิดาอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิต ร่างสูงจึงรวบรวมพลังเดินเข้าไปหาบิดาที่นอนหลับไหลอย่างไม่มีวันตื่น สีหน้าของชายชราไม่ต่างอะไรจากคนที่นอนหลับสนิทจนเขานึกว่าพ่ออาจจะแค่หลับเพลินจนลืมตื่นเท่านั้น หากรออีกนิดท่านอาจจะลุกขึ้นมาตบไหล่เขาแรงๆก็เป็นได้ เขาจ้องหน้าบิดาก่อนจะโผตัวเข้าไปกอดแน่น “พ่อครับ ผมรักพ่อ”

เขาถอนตัวเองออกมาแล้วเดินกลับมาหาเธอที่ยืนมองรอยยิ้มจางๆให้ ซอฮยอนบอกกับเขา “คุณยังบอกรักท่านได้ทุกวันเพราะท่านไม่ได้จากไปไหน แต่ท่านยังอยู่ในใจคุณเสมอ”

อีกครั้งที่คำพูดซอฮยอนเหมือนยาวิเศษ ทั้งที่ความจริงนั้นแสนเศร้าแต่เธอทำให้เขาเข้าใจมัน น่าแปลกที่เขาอยู่ไกลแสนไกลทั้งบิดามารดาถึงคนละทวีปแต่กลับไม่เคยรู้สึกว่าห่างไกล อาจจะเพราะมีหัวใจที่ผูกกันไว้ หากแต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงคำว่าจากลา .. และมันช่างแสนจะเจ็บปวดทรมาน

หลังจากพิธีทางศาสนาจบลง ผู้คนที่เข้ามาร่วมงานต่างก็ทยอยกันกลับ บ้างก็เดินมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวและคนใกล้ชิด ซอฮยอนคอยประคองคุณนายโจวที่ร้องไห้ด้วยอาลัยรักกับสามีจนแทบจะยืนไม่อยู่โดยมอบหมายให้คุณแม่บ้านดูแลคยองคยู อาร่าพี่สาวของคยูฮยอนเองก็คอยพัดพร้อมกับอังยาหอมที่ปลายจมูกของมารดาเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น ส่วนคยูฮยอนทำหน้าที่รับรองแขกที่กำลังกลับเคียงคู่กับมาริลูกพี่ลูกน้องที่วัยใกล้เคียงกัน

ร่างอวดอัดในชุดสีดำที่ดูล่อแหลมปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา คยูฮยอนนิ่งไปชั่วอึดใจเมื่อเห็นคนตรงหน้า “คัง จงฮี” อดีตคนรักของเขา หรือถ้าจะพูดให้ถูกแล้วควรจะเรียกว่ารักแรกของเขามากกว่า เขารู้ว่าครอบครัวของเธอรู้จักกับครอบครัวเขาเป็นอย่างดีด้วยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันมาตั้งแต่เขายังเล็กแต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะมา เท่าที่เขาทราบล่าสุด เธอแต่งงานอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ การได้พบเธอจึงเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจไม่น้อย และยิ่งได้พบกันต่อหน้าครอบครัวของเขาโดยมีซอฮยอนอยู่ไม่ไกลนักแบบนี้มันอึดอัดสิ้นดีเลย

“สวัสดี คยูฮยอน” เธอทักทาย พยายามอย่างยิ่งที่จะให้เขาประทับใจโดยไม่ดูแม้แต่สถานที่และเวลา

“สวัสดี จงฮี ขอบคุณมากที่มาร่วมงาน” เขากล่าวตอบสั้นๆ มาริยิ้มทักทายจงฮีอย่างคุ้นเคยตามประสาคนเคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ก่อนจะขอตัวเดินแยกไปส่งผู้ร่วมงานที่เป็นแขกของตัวเอง

“ฉันคิดไว้แล้วว่าต้องพบคุณที่นี่” ดวงตาที่กรีดอายไลน์เนอร์คมกริบปรายตามองร่างบอบบางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลังของคยฺูยอน ใบหน้าขาวแลดูซูบซีดเมื่อเห็นเธอและยิ่งไร้สีเลือดมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของเธอ “ฉันอยากจะคุยเรื่องของเรา”

จงฮีนึกกระหยิ่มในใจเมื่อเห็นท่าทางของผู้หญิงตรงหน้า เธอรู้ว่านั่นคือภรรยาของเขา และเธอก็รู้ว่าเธอได้สร้างอะไรบางอย่างไว้ในใจของผู้หญิงคนนั้นแล้ว

“ไปหาที่คุยที่อื่นไปคุณ” เสียงทุ้มกล่าวก่อนจะดึงร่างของเธอไปโดยที่ไม่รู้ว่าตกอยู่ภายใต้สายตาของใครบางคน จงฮีปรายตามองพร้อมกับส่งยิ้มเยาะไปให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงข้ามเธอ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ ไม่สิ..มันดีกว่าที่เธอต้องการเสียอีก เธอแค่ต้องการมาหาเขา แต่กลับได้แสดงตัวให้ภรรยาที่รักยิ่งของเขารู้ด้วยนี่สิ มันเริ่ดเสียยิ่งว่าเริ่ดอีก

คยูฮยอนลากหญิงสาวมาเสียไกลลิบเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นที่ปลอดคนและจะไม่มีใครๆได้ยินเรื่องที่เขากำลังจะพูดกับคนตรงหน้าเขาจึงได้ปล่อยแขนเธอ

“ฉันอยากจะนัดวันหย่า”

 

 

“พรุ่งนี้ผมมีนัดกับชางมินนะ คุณอยู่กับพี่อาร่าซักวันก็แล้วกัน” คยูฮยอนบอกซอฮยอนสั้นๆก่อนที่จะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

ในขณะที่อีกคนหนึ่งหลับสนิท อีกคนกลับข่มตายังไม่ก็ไม่หลับ เธอนอนลืมตาอยู่ในความมืดฟังเสียงหายใจของเขาที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่กล้าจะขยับตัวแม้เพียงนิด ภาพเมื่อกลางวันยังคงมีผลเต็มที่กับเธอ หญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความร้อนแรงที่ขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังสัมผัสได้ เธอคนนั้นมีตรงที่ผู้หญิงพึงมี…หรืออาจจะมีมากเกินไปด้วยซ้ำ เสื้อผ้าที่เปิดเผยทำให้บอกได้ไม่ยากนัก ประโยคที่เธอคนนั้นพูดยังดังวนเวียนอยู่ในหูของเธอราวกับเพิ่งได้ยิน “ฉันอยากจะคุยเรื่องของเรา” และสายตายิ้มเยาะที่ฉายมองมาทางเธอก่อนจะเดินไปพร้อมกับสามีของเธอ สิ่งเหล่านั้นคืออะไรกัน

…คิดมากไปเองน่าซอฮยอน คยูฮยอนไม่ทำแบบนั้นหรอก

เธอบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่จะหลับไปในที่สุด

แสงแดดอ่อนๆยามเช้าเล็ดรอดมาทางผ้าม่านที่ขยับไปมาตามแรงลม หญิงสาวขยับตัวเบาๆก่อนจะปรือตาขึ้นมองความเคลื่อนไหวภายในห้อง คยูฮยอนกำลังกลัดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายก่อนจะจัดการกับกระดุมข้อมือ สามีของเธอกำลังแต่งตัวอย่างนั้นหรือ? หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจเมื่อนึกว่าตนเองคงสายมากแล้ว

“นอนต่อก็ได้นะยังเช้าอยู่เลย คุณเพิ่งตื่นมาให้นมลูกไปไม่ใช่เหรอ” เขาเอ่ย ซอฮยอนเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะหันมามองเขาอย่างประหลาดใจปรกติคยูฮยอนจะตื่นตอนสายๆหลังจากที่เธอดูแลลูกและทำอาหารเสร็จนั่นแหละเขาถึงจะตื่น แต่วันนี้เขาจัดการตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ แถมยังแต่งตัวเสียเนี๊ยบเกินปรกติเสียด้วย

“จำไม่ได้เหรอ วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนไง”

…อ้อ ใช่ นัดกับชางมินสินะ

“ยังพอมีเวลาไหมคะ เดี๋ยวฉันทำอาหารเช้าให้” เธอถามเขาพร้อมกับดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนนุ่มไปยังห้องครัวทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดนอน

“เอาสิ ผมกำลังหิวพอดี” เขาตอบก่อนจะตะโกนสำทับเธอไป “เอาง่ายๆก็พอนะซอฮยอน เดี๋ยวผมไปไม่ทันนัด”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีที่เธอเดินลงมาถึงชั้นล่าง หญิงสาวรับโทรศัพท์เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่โดยรอบเพราะคงยังไม่มีใครตื่น เสียงผู้หญิงที่ปลายสายเอ่ยขอสายคยูฮยอน เธอตอบกลับไปว่าเขาไม่สะดวกรับสายตอนนี้ แต่ฝั่งตรงข้ามไม่ยอมจบบทสนทนายังคงถามคำถามต่อไป

“พี่อาร่าหรือเปล่าคะ”

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันซอฮยอน .. มีอะไรจะฝากไว้ไหมคะ” เธอถามปลายสาย

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่จะโทรมาเตือนคยูเค้าน่ะค่ะว่าอย่าลืมเอาทะเบียบสมรสมาด้วย”

“ทะเบียบสมรส?” เธอทวนคำอย่างไม่มั่นใจ ทะเบียบสมรสอะไรกัน ในเมื่อคยูฮยอนนัดกับชางมินแล้วทำไมถึงต้องใช้ทะเบียนสมรส

“ใช่ค่ะทะเบียบสมรส”

“ได้ค่ะ ฉันจะบอกเขาให้” ซอฮยอนตอบอีกฝ่ายไปสั้นๆก่อนจะวางสาย เธอพาร่างเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหารให้กับเขาทั้งที่ยังงุนงงสับสนกับโทรศัพท์เมื่อครู่ ซอฮยอนทำอาหารเช้าง่ายๆให้เขาและนั่งร่วมโต๊ะจนคยูฮยอนทานอาหารเช้าหมดเกลี้ยง ดวงตากลมโตมองซองเอกสารสีน้ำตาลที่อยู่ข้างๆสามีอย่างข้องใจ จนเมื่อเขาลุกจากโต๊ะอาหารแล้วเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งเพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าสตางค์ซอฮยอนจึงตัดสินใจเปิดซองสีน้ำตาลนั้นดู

กระดาษสีขาวระบุหัวเป็นภาษาเกาหลีว่า “ทะเบียนสมรส” ไม่ใช่ทะเบียบสมรสของเขาและเธอแน่ๆ ทะเบียนสมรสของพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษเพราะจดทะเทียนแต่งงานกันที่สหรัฐอเมริกา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยก่อนจะเลื่อนมาอ่านบรรทัดด้านล่าง “สามี โจว คยูฮยอน” และในอีกด้านระบุ “ภรรยา คัง จงฮี” ด้านล่างของเอกสารระบุปีก่อนที่เขาจะแต่งงานกับเธอเสียอีก มือเรียวยาวเก็บเอกสารนั้นลงในซองอีกครั้งอย่างสั่นระรัวพอดีกับที่คยูฮยอนเดินกลับลงมาพอดี

“คยูฮยอนคะ เอกสารค่ะ” เธอกลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆลงไปในคอก่อนจะบังคับตัวเองให้พูดประโยคสั้นๆนั้นออกมาได้ เธอยื่นซองเอกสารไปให้เขาพยายามอย่างยิ่งไม่ให้มันสั่น

“ขอบคุณมากซอฮยอน” เขารับเอกสารไปจากมือเธอราวกับไม่มีอะไรก่อนจะประทับจูบบางเบาลงที่หน้าผากกลมมนแล้วจึงเอ่ยลา

เธอฝืนยิ้มให้สามีในขณะที่เขาเอ่ยคำลาก่อนจะแสร้งเดินเข้าไปหยิบนั่นจับนี่ในห้องครัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันแน่ เธอได้ยินเสียงปิดประตูเบาๆตามด้วยเสียงรถยนต์ เขาออกจากบ้านไปแล้ว ซอฮยอนก้มลงมองของให้มือก่อนจะวางลงเบาๆ บอกไม่ถูกว่าจะรู้สึกอย่างไรดีที่ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ .. แต่ก่อนเธอคิดว่าเธอเป็นภรรยาคนเดียวมาตลอดทั้งๆที่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่มาทีหลัง เมียที่มาจากการจดทะเบียนสมรสซ้อน .. หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้นเหมือนคนหมดแรง ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอยู่อย่างนั้น

คยูฮยอนนัดเจอกับจงฮีเพื่อเดินทางไปยังเมืองเล็กๆในแดกูที่ที่เขาจดทะเบียนแต่งงานกับเธอเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มรุ่น การหย่าเป็นไปอย่างง่ายดายเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขามาสมรส น่าขันนักที่เขาแทบจะลืมไปเสียสนิทว่าเคยแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อคัง จงฮี จนเมื่อพบเธออีกครั้งวันที่เธอต้องการจะขอหย่า

ร่างสูงยืนมองวิวรอบๆจุดพักรถระหว่างทางกลับ ในขณะที่เขาขับรถหมายว่าจะกลับโซลให้เร็วที่สุดแต่จงฮีกลับขอให้หยุดรถซักครู่ทั้งๆที่ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางเต็มที เธอให้เหตุผลสั้นๆว่าเธอเมื่อย เขายืนมองร่างที่ค่อยๆเยื้องย่างอย่างใจเย็นไม่เห็นใจคนที่ใจร้อนจะกลับบ้านอย่างเขาบ้าง เขาไม่ได้บอกความจริงซอฮยอนว่าจะไปไหน นับประสาอะไรที่จะบอกว่ากลับดึก เพราะคำนวนเวลาแล้วว่าการขับรถไปกลับระหว่างโซล-แดกูคงไม่เกิน 8 ชั่วโมง ยังไงถ้าไม่ออกนอกเส้นทางเสียเขาก็ทำเวลาทัน

“จะรีบกลับไปไหนคะคยู เมียคุณไม่หนีไปไหนหรอกน่า” จงฮีพูดเสียงอ่อนหวานทันทีที่กลับขึ้นมาบนรถ หญิงสาวเอื้อมมือมาวางบนหน้าอกกว้างก่อนจะลูบไล้ ดวงตาที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามฉายความต้องการชัดเจนว่าเธออยากได้อะไร .. และเธอต้องได้!

 

 

คยูฮยอนไม่ได้กลับบ้าน เธอนั่งรอเขาที่ห้องรับแขกทั้งคืนด้วยความเป็นห่วงแต่กลับได้รับโทรศัพท์เพียงครั้งเดียวในตอนรุ่งสางว่าเขาไปต่างจังหวัดกระทันหันกับชางมินและคงจะกลับถึงในตอนบ่ายๆก่อนจะวางสายไปอย่างรีบร้อน คยูฮยอนไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น

อาร่าเห็นแม่ลูกอ่อนต้องมาห่วงทั้งสามีและลูกก็กังวลไม่น้อย คยูฮยอนไม่ได้กลับเกาหลีมานาน อาจจะมีอะไรให้พูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนมากตามประสา แต่ก็ไม่น่าทิ้งเมียทั้งคน! ซอฮยอนเองก็ใช่ว่าจะมีใครที่ไหนที่จะคอยดูแลเธอระหว่างที่อยู่เกาหลี หญิงสาวไม่มีครอบครัว มีเพียงแค่พี่ชายคือทงเฮที่ทำงานอยู่ไกลถึงยอซู จะเดินทางไปหาทีก็แสนลำบาก อาร่าจึงชวนน้องสะใภ้ที่รักไม่ต่างจากน้องแท้ๆไปเข้าเมืองไปเดินเที่ยวเพื่อผ่อนคลายเสียบ้าง ให้คุณแม่บ้านช่วยดูแลตาหลานชายสักครู่ระหว่างที่คุณแม่และคุณป้าทำการช้อปปิ้งบำบัด

การมาเดินเล่นทำให้ซอฮยอนผ่อนคลายไปได้มาก อย่างน้อยก็มีอย่่างอื่นให้เธอได้ทำนอกเหนือไปจากเฝ้าคิดถึงเรื่องของคยูฮยอน อาร่าเลือกเสื้อผ้าตัวนั้นตัวนี้ให้เธอลองอย่างสนุกหลักจากที่ไปขนซื้อของเด็กน่ารักๆกันมา

“เธอควรจะให้รางวัลกับตัวเองบ้าง เธอเป็นคนสวยถึงไม่แต่งก็ยังสวย แต่ถ้าแต่งเธอก็จะยิ่งสวยไปอีกไง” พี่สะใภ้ตัวเล็กเอ่ย ซอฮยอนได้แต่ยิ้มรับบางๆก่อนจะยอมเลือกเสื้อผ้าบนราวบ้าง

ในขณะที่สองสาวกำลังเลือกเสื้อผ้าอย่างเพลิดเพลิน เสียงของชายหนุ่มเอ่ยเรียกอาร่าก็ดังขึ้น ทั้งคู่หันไปตามต้นเสียงเพื่อพบกับชายหนุ่ม ร่างสูงหนาส่งรอยยิ้มทะเล้นมาให้อย่างคุ้นเคย .. ชิม ชางมินมาทำอะไรที่นี่ เขาควรจะอยู่กับสามีของเธอไม่ใช่หรือ?

“สวัสดีฮะพี่อาร่า” เขาทักก่อนจะหันหน้ามาทันเธอที่ยืนหน้าซีดเผือด “สวัสดีซอฮยอน ไม่เจอกันตั้งนาน เมื่อวันงานก็มัวแต่ยุ่งจนไม่ได้ทักกันเลย เธอสบายดีใช่ไหม”

…ฉันสบายดี จนกลับมาที่นี่

…ฉันสบายดี จนเมื่อมาเจอคุณที่นี่และรู้ว่าสามีของฉันโกหก

…ฉันคงต้องบอกว่าฉันเคยสบายดีสินะ

 

 

NOTE:

*เรื่องนี้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงนะคะ เพราะว่าเกิดขึ้นจริงเลยไม่ขอเขียนให้ตรงเป๊ะ 100% ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง อย่างแรกเรื่องเวลา ต้องขอตัดให้สั้นลงเพราะความจริงแล้วถ้าเล่าทั้งหมดคงกินเวลากันเกือบยี่สิบสามสิบปีทีเดียว มันมีช่วงเวลาที่ขาดหายแยกย้ายกันไปจนคิดว่าปรับ timeline ซะคงดีกว่า อย่างที่สองซอฮยอนไม่ได้”รู้”ได้ด้วยวิธีการแบบเดียวกันค่ะ ที่ปรับเล็กๆเพราะอยากให้เห็นชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง แต่ผู้หญิงอีกคนนึงนั้นเลวร้ายอย่างในเรื่องจริงๆ อย่างที่สามคือคาแรคเตอร์ของตัวละคร สุดท้ายคือตอนจบค่ะ
* ถ้าบอกว่าตรงกับเรื่องจริงประมาณเท่าไรก็คง 60-70% เป็นอย่างน้อยเพราะเล่าเรื่องแบบเขียนเป็นฟิคกับชีวิตจริงจะให้เหมือนเป๊ะคงยากไป ขอเรียกว่าได้แรงบรรดาลใจมาดีกว่าคำว่า Based on true story เนอะ >< ><
* เรื่องนี้เขียนยากมากและเขียนช้ามากเพราะเขียนไปอึนไป อาจจะเพราะว่าใกล้ตัวมากและก็เห็นสิ่งต่างๆเอง การเล่าเรื่องเลยเล่าย๊ากกกกยาก แถมตัวเรื่องก็โศกสลดมันเข้าไป ทีนี้ยากแบบปวดหัวตุ้บๆทีเดียว .. เรื่องนี้เลยจะเขียนไปอัพไปทีละหน่อยแก้อึนรุนแรง
* คิดว่าแบ่งเป็นสองตอนน่าจะดีกว่า ยาวปื้ดดดมาเลย .. ตัดชั้บที่จุดที่”คิดว่า” 50% ค่ะ