Archive

Special Project

“กุยเซี่ยน”

“กุยเซี่ยน!”

เสียงเรียกชื่อเขาเข้มขึ้นจนเสียงหวานๆนั่นแทบจะกลายเป็นเสียงตะโกน แต่ชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศยังคงไม่ไหวติง ดวงหน้าที่เคยขี้เล่นบัดนี้ดูเคร่งขรึม มือทั้งสองชี้ไปในอากาศในขณะที่ตาสีน้ำตาลเข้มจดจ้องไปที่ภาพหน้าที่ฉายขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ท่าอย่างนี้คงไม่พ้น .. เล่นสตาร์คราฟ!

ร่างโปร่งบางและเกือบจะโปร่งแสงทำหน้ามู่อย่างขัดใจ ก่อนไปปรากฎตัวอยู่ข้างกายเขา เธอป้องสองมือน้อยไว้ข้างหูแล้วตะโกนใส่จนสุดเสียง “กุยเซี่ยน!!!”

เดวิลหนุ่มสะดุ้งจนตีลังกาไปนอนอยู่ที่พื้นจนเกือบจะกระเด็นตกไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆขาว ดวงตาสีน้ำตาลมองนางฟ้าตัวน้อยในชุดเดรสสั้นระบายสีขาวทั้งตัวอย่างขัดใจ เดวิลกุยเซี่ยนโปรดปรานการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะเกมสตาร์คราฟ หากสวรรค์ไม่มีสตาร์คราฟก็เป็นไปได้ว่ากุยเซี่ยนคงขอไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์เพื่อให้ได้เล่นเกมนี้ กุยเซี่ยนเดวิลขี้เล่นแสนเกรียนจะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้จริงจังเวลาเล่นเกมทุกครั้งและจะขัดใจขั้นสุดหากมีคนมารบกวนเขาในเวลาแห่งความเป็นจริง(?)เช่นนี้

“ซูเซี่ยน! ไม่ห็นเหรอะว่่าว่าเค้าทำอะไรอยู่” เสียงทุ้มระเบิดออกมาด้วยความขัดใจ ผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเหมือนทุกครั้งที่เขาหงุดหงิด

“เค้าเรียกเสียงเบาตั้งหลายทีแล้ว ตัวไม่ได้ยินเอง” นางฟ้าลอยตัวออกห่างเขาแล้วพูดต่อ “ก่อนจะโวยใส่เค้า ตัวไปดูภารกิจของตัวก่อนเหอะ”

สิ้นคำร่างสวยก็หายตัวปุ๊บก่อนจะไปปรากฎตัวนั่งห้อยเท้าสบายอกสบายใจอยู่บนดวงจันทร์ที่อยู่ไม่ไกลนัก หากเอื้อมมือคว้าก็คงเอื้อมถึง .. บ้านหลังนี้ใกล้ดวงจันทร์ดีจริงๆ

ส่วนเจ้าเดวิลเมื่อได้ยินคำกล่าวของนางฟ้าช่างเจรจาก็ผุดลุกขึ้นมามองไปยังโลกมนุษย์พร้อมกับเริ่มร่ายมนต์ เดวิลอย่างเขาได้ภารกิจให้ทำโทษคนเกเรมากมายจนแทบจะไม่ซ้ำกัน หากแต่กุยเซี่ยนก็ชอบงานแบบนี้มากกว่าจะเป็นเทวดาผู้พิทักษ์อย่างหญิงสาวที่วันทั้งวันต้องตามติดนั่งเฝ้าอยู่กับคนคนเดียว

“ฟู่ว์~ เกือบไปแล้ว” กุยเซี่ยนถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น เกือบจะไม่ทันแท้ๆหากนางฟ้าซูเซี่ยนไม่เรียกไว้ ไม่งั้นเขาคงโดนผู้คุมกฎแทแทร่ายมนต์งานงอกใส่เพื่อทำโทษเหมือนครั้งที่แล้วเป็นแน่ แล้วภารกิจของเขาก็จะเพิ่มเป็นเท่าตัว .. แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

“ขอบคุณมากนะ ซูเซี่ยน” เสียงหญิงสาวพูดขึ้นหวานราวกับเสียงดนตรีต่างกับเมื่อครู่ “ตัวต้องพูดกับเค้าแบบนี้”

“ขอบคุณมาก” เขาเอ่ย

“ขอโทษนะ ซูเซี่ยน .. ตัวต้องพูดกับเค้าแบบนี้” เธอพูดต่อคราวนี้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “ไม่งั้นเค้าจะไปฟ้องพี่นางฟ้าแทแท ตัวจะต้องโดนทำโทษ .. คราวนี้เค้าจะขอพี่ร่ายมนต์งานงอกใส่ตัวเองกับมือเลย กี่บทดีนะ?”

“ก็ต้องขอโทษอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องขู่กันเลยซูเซี่ยน” เขาตอบ กุยเซี่ยนอยากจะตายอีกซักรอบที่เสียท่าให้กับเธอ

…รักน่ะก็รักหรอกนะ แต่แบบนี้มันเสียฟอร์มชะมัด

“เค้าว่าตัวควรจะเลิกเล่นเกมซักทีได้แล้ว” เธอกล่าว “ไม่งั้นอาจจะร่ายมนต์ดนตรีของเค้าใส่ตัวซักวัน”

“เค้ายังไม่บอกให้ตัวเลิกดูการ์ตูนกบครองโลกเลยนะ!” เขาย้อนโดยยกการ์ตูนประหลาดของมนุษย์ที่เธอชอบนักชอบหนามาพูดบ้าง นางฟ้าองค์นี้ชอบอะไรเพี้ยนๆ กบที่ไหนจะมาครองโลก .. ไหวรึเปล่า!

ดวงตาสีน้ำตาลมองเธอพร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจที่โต้กลับเธอได้ ซูเซี่ยนแกล้งทำแก้มป่องอย่างขัดใจเมื่อโดนย้อนกลับ แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ดวงตากลมโตมองเขาอย่างสำรวจ ร่างสูงในเสื้อยืดสีเท่ากับกางเกงยีนส์แล้วสวมทับด้วยชุดลายตารางสีแดงพับแขนขึ้นมาถึงศอกอย่างลำลอง

…หล่อบาดใจไปเลย กุยเซี่ยน

แต่ถึงอย่างนั้นนางฟ้ารูปงามกลับพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจออกไป “ตัวน่ะเป็นเดวิลภาษาอะไรกัน ทั้งตัวมีสีแดงอยู่แค่เสื้อลายสก็อตตัวนั้นน่ะ ไม่ผิดกฎสวรรค์หรือไงนะ!”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยซูเซี่ยน ตัวก็ชอบเค้าแบบนี้ไม่ใช่หรือไง” เดวิลหนุ่มตอบก่อนจะยิ้มให้เธออย่างล้อๆ เขาดีดนิ้วเปาะก่อนจะหายตัวไปปรากฎอยู่ข้างกายเธอบนดวงจันทร์แล้วประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากสวยหวานพร้อมกระซิบที่ข้างหู “เค้าขอบคุณตัวมากนะซูเซี่ยน”

Love Fight แบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำระหว่างกุยเซี่ยนและซูเซี่ยน ผลัดกันงอนผลัดกันง้อ เถียงชนะบ้างแพ้บ้าง แต่ไม่นานซักพักก็คืนดีกลับไปจี๋จ๋ากันใหม่ เหล่าเทพองค์อื่นๆที่สนิทสนมกันต่างก็เห็นจนเคยชิน บางครั้งที่ทั้งสององค์ทะเลาะจนรำคาญเพื่อนที่สนิทๆก็มีคำถามถามขึ้นมาว่าไม่เบื่อบ้างหรือไร กุยเซี่ยนก็มักจะตอบไปเรียบๆเหมือนกันทุกครั้ง “คบกันมาตั้งเป็นร้อยปี ไม่ทะเลาะกันสิน่าเบื่อ”

จะว่ากันไปนางฟ้าน้อยแสนสดใสซูเซี่ยนกับเดวิลหนุ่มรูปงามแสนเจ้าเล่ห์ต่างก็เป็นที่รู้จักในหมู่มวลเทพ เธอเป็นนางฟ้าที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ เธอสวย สง่า และน่ารักจนเป็นที่หมายปองของเหล่าเทพและเดวิลหนุ่มทั้งหลาย พวกเขาต่างก็แข่งกันเพื่อจะแย่งชิงหัวใจของเธอมาครอง ส่วนกุยเซี่ยนเป็นเดวิลผู้มีรูปโฉมงดงาม สติปัญญาหลักแหลมและความสามารถเป็นเลิศไม่เป็นรองใคร บรรดานางฟ้าและเดวิลสาวๆต่างก็หวังจะได้เป็นผู้กุมหัวใจของเขา … หากแต่เขาทั้งสองกลับมีหัวใจเดียวกัน

ดวงตากลมโตของเธอจับจ้องอยู่กับภาพมนุษย์เบื้องล่างท่ามกลางเสียงเจี้ยวจ๊าวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้บนสวรรค์ เหล่านางฟ้านางแปดองค์ต่างก็มารวมตัวกันเฝ้ารอนางฟ้าน้องเล็กอย่างซูเซี่ยนที่ยังคงไม่ยอมทิ้งความรับผิดชอบ

“เลิกงานได้แล้วมั้งซูเซี่ยน คนของเธอก็กลับถึงบ้านเรียบร้อยดีแล้วนี่”

“ใช่พักซะบ้าง … ถึงเธอจะบอกว่าเป็นนางฟ้าแล้วไม่ต้องนอนก็เถอะ”

“มาเล่นกับพี่ๆดีกว่านะ”

“เป็นน้องเล็กมาปล่อยให้พี่ๆรอได้ยังไงกัน”

เสียงจากเหล่านางฟ้าผู้พี่ทำให้เธอยอมละสายตาจากเป้าหมายในที่สุด นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนเป็นหนึ่งในนางฟ้าผู้พิทักษ์ตระกูลโจวที่แสนจะอบอุ่นและรักเสียงเพลง เธอสนิทกับนางฟ้าบรรดาศักดิ์สูงที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติอีกแปดองค์ด้วยทั้งวิ่งเล่นและช่วยเหลือกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนางฟ้าฝึกหัดจนมาถึงทุกวันนี้ .. เป็นนางฟ้าใช่จะเป็นกันง่ายๆที่ไหน เสียน้ำตาไปก็ตั้งมากกว่าจะได้เป็นนางฟ้าเต็มตัว .. ด้วยความผูกพันธ์กว่าหลายร้อยปีทำให้พวกนางสนิทสนมกันมากพอที่จะใช้คำพูดแบบสามัญชนแทนที่คำอย่างหมู่มวลเทพทั่วไปบนนี้

“พี่ว่าเธอกำลังจะได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่” นางฟ้าแทแทผู้รับหน้าที่เป็นผู้คุมกฎเป็นผู้ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสงบในสวรรค์กล่าวขึ้นกับนางฟ้ารุ่นน้อง

“เอ๊ะ” นางฟ้าผู้อ่อนเยาว์ที่สุดด้วยอายุ 510 ปีขมวดคิ้วเป็นคำถามด้วยไม่เข้าใจความหมายของนางฟ้ารุ่นพี่

“โจว ฮยอนอากำลังจะให้กำเนิดบุตรในไม่ช้า” นางฟ้าแทแทเอ่ยยิ่งทำให้นางฟ้ารุ่นน้องสับสน จะไม่สับสนได้อย่างไรในเมื่อเทพด้านการปกครองทราบเรื่องนี้ก่อนเทพจุติอย่างนางฟ้าชิกชิน

…พี่รู้ได้ยังไงนะ หรือมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

“พี่รู้ได้ยังไงคะ” ซูเซี่ยนถาม

นางฟ้าตัวเล็กผู้เริ่มเรื่องกลับปิดปากเงียบไม่พูดอะไร หน้าที่ของเธอคือการลงโทษเทพที่ทำผิดกฎ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรบอกให้ใครรู้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของเดวิลกุยเซี่ยน เดวิลคนสนิทของนางฟ้ารุ่นน้อง คราวนี้กุยเซี่ยนทำเกินไป เขากำลังติดพันเล่นเกมสตาร์คราฟในเวลาทำงาน(อีกแล้ว)เลยพลั้งมือร่ายมนต์ผิดคาถา เสียแต่ว่าครั้งนี้ผิดพลาดมากเกินไปหน่อย จากแค่ต้องร่ายมนต์ให้ภารกิจสะดุดหิมะล้มกลับพลาดจนถึงกับหิมะถล่ม เดือดร้อนและเกือบจะสิ้นชีวิตกันไปทั้งมนุษย์และเทพที่อยู่ในละแวกนั้น … เป็นเทพ ต้องเสี่ยงตายซ้ำซ้อนอย่างนี้เป็นเธอเธอก็โกรธ

“พี่รู้ก็แล้วกันน่ะ” แทแทตอบรุ่นน้องแบบเลี่ยงๆก่อนจะไปสมทบกับเพื่อนนางฟ้าที่กำลังสนุกสนานกันอยู่

ซูเซี่ยนไม่ได้ติดใจอะไรนัก เธอไปเล่นสนุกกับเหล่านางฟ้ารุ่นพี่ทั้งแปดองค์แก้เหงาเนื่องจากกุยเซี่ยนไม่มาหาเธอสองสามสัปดาห์แล้ว นานจนเธอไม่สบายใจ เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาหายไปนานขนาดนี้ ปกติแล้วเขาจะมาเล่นกับเธอเสมอไม่ว่าจะภารกิจเยอะแค่ไหน ต่อให้พี่แทแทร่ายมนต์งานงอกไปสิบบทกุยเซี่ยนก็ยังสามารถหาเวลามาพบกับเธอได้โดยที่ภารกิจไม่เสียหาย แต่นี่กลับเหมือนหายวับไปกับตา

…เกิดอะไรขึ้นกับตัวนะกุยเซี่ยน

“ซูเซี่ยน เจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์ของโจว คยูฮยอน บุตรของโจว ฮยอนอา เวลาจุติ…….” ซูเซี่ยนมองสาส์นสั่งการในมือที่ส่งเสียงตามข้อความที่ปรากฏ สติของเธอหลุดลอยไปตั้งแต่ได้รับรู้ภารกิจใหม่ทั้งๆที่ข้อความในสาส์นยังไม่จบด้วยซ้ำ มนุษย์ที่จะมาอยู่ภายใต้การดูแลของเธอคือกุยเซี่ยนแน่ๆ เธอรับรู้ได้

มือบางๆของเธอสั่นระริก สมองที่เคยประมวลผลอย่่างรวดเร็วกลับหยุดสั่งการกระทันหัน มีเพียงเสียงเบาๆเท่านั้นที่หลุดออกมาตอบกับนางฟ้าผู้พิทักษ์ฮโยยอนที่ขอทำหน้าที่เดินสาส์นแต่งตั้งนี้มาให้กับนางฟ้าน้องเล็กคนสนิทด้วยตัวเอง “ค่ะพี่ ขอบคุณมากคะที่เอาสาส์นมาให้ ฉันจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดค่ะ”

…อย่างน้อย ฉันก็ได้ดูแลเธอนะกุยเซี่ยน

ในขณะเดียวกันนางฟ้าที่เหลือต่างก็พร้อมใจกันไปรวมตัวที่บ้านของนางฟ้าแทแทเพื่อรอฟังข่าวคราวของน้องเล็กจากฮโยยอน บางก็ทอดถอนใจ บ้างก็เดินไปมาด้วยจนน่าเวียนหัว หากแต่ไม่มีใครสนใจจะตำหนิใจทั้งนั้นเพราะพวกนางอยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกันเท่าใดนัก

“พี่ว่าซูเซี่ยนจะเป็นยังไง” อิมยุน นางฟ้าอารมณ์ดีที่ดูจะหมองลงไปในวันนี้ถามพี่ๆอย่างห่วงใยในตัวน้องสาวคนเดียวของเธอ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันอิมยุน แต่พี่ก็พยายามที่สุดแล้ว โทษของกุยเซี่ยนไม่มีทางเลี่ยงได้ ยังไงเขาก็ต้องลงไปรับโทษที่โลกมนุษย์เป็นเวลาหกปีสวรรค์” แทแทอธิบายพร้อมกับทอดถอนใจ เธอลำบากใจขั้นสุดที่ต้องดูแลกรณีของกุยเซี่ยนเพราะเป็นคนสนิทของน้องสาว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ไว้ใจให้ใครมาดูแลกรณีนี้แทนด้วยเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำได้ดีกว่าตัวเธอแล้ว

“แค่นั้นก็สุดความสามารถของพี่แล้ว” แทแทเอ่ยก่อยจะทอดถอนใจ เธอไม่อยากทำแบบนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อหน้าที่ก็คือหน้าที่ .. ไม่มีทางหลีกเลี่ยง

เหล่านางฟ้าทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากันอย่างแสนอึดอัดใจ อยากช่วยแต่อับจนหนทางเสียเหลือเกินตอนนี้คงได้แต่รอฟังข่าวจากฮโยยอน ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันก็แล้วกัน

ท่ามกลางความกังวลของเหล่านางฟ้าผู้พี่ ซูเซี่ยนกลับสร้างความแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อน้องเล็กไม่มีน้ำตาแม้ซักหยด เธอเข้าใจและยอมรับคำตัดสินจากสวรรค์ เธอเฝ้าติดตามดูแลคยูฮยอนเป็นอย่างดีด้วยรู้ว่าเป็นหัวใจของเธอที่หายไป เธอใช้ชีวิตติดตามดูแลคยูฮยอนมากเสียจนโดนเหล่านางฟ้าผู้พี่ต่อว่าว่าใช้เวลาอยู่บนโลกมนุษย์มากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเฝ้าดูแลเขา บางครั้งซูเซี่ยนก็แอบจำแลงกายลงมาให้เขาเห็น

ในยามที่ทารกคยูฮยอนตื่นขึ้นกลางดึก นางฟ้ากุยเซี่ยนจะปรากฎกายขึ้นและร้องเพลงขับกล่อมจนทารกน้อยกลับไป

ในยามที่เด็กชายคยูฮยอนเล่นอยู่คนเดียว นางฟ้าผู้พิทักษ์จะจำแลงกายเป็นเด็กหญิงอายุไล่เลี่ยกันมาเล่นด้วยเสมอ

ในยามที่เขาร้องไห้ เธอจะจำแลงกายเป็นนูน่าแสนสวยมาปลอบโยน

ในยามที่เขาเริ่มเป็นหนุ่มและรู้จักความรัก ก็ไม่พ้นเธออยู่เคียงข้างในวันที่เขาอกหักจากรักครั้งแรก ซูเซี่ยนจำแลงกายเป็นเด็กหญิงที่มอบดอกไม้ให้กับเขาเพื่อเป็นกำลังใจ

เธออยู่เคียงข้างเขามาตลอดแม้เขาไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเธอ หากแต่อย่่างนั้นเธอกลับรู้สึกดีได้ดูแลเขา ได้มองเห็นเขา และได้รับรู้ความเป็นไปของเขาแบบนี้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ซูเซียนมองภาพที่ปรากฎตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่เธอหน้าที่ดูแลโจว คยูฮยอนที่เธอรู้สึกไม่ดี หญิงสาวตัดสินใจไม่พักแม้ซักนิดจนกว่าจะวางใจว่าวันนี้จะผ่านไปด้วยดี ดวงตากลมเฝ้าติดตามมองดูเขาตลอดไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ไม่เว้นแม้แต่เข้าห้องน้ำ (หะ?) จนเมื่อเหล่าพี่สาวใช้เทเลพอทตั้งวงสนทนากลุ่มขึ้นมานั่นแหละที่ทำให้นางฟ้าใจเสียอย่างซูเซี่ยนสมาธิกระจัดกระจายไปชั่วครู่ เมื่อเธอกลับมาติดตามเขาอีกครั้งกลับพบภาพรถยนต์เสียหลักหมุนคว้างอยู่กลางถนน นางฟ้าตัวน้อยดีดนิ้วเปาะหายตัวจากสวรรค์ในทันที เธอมาปรากฎกายขึ้นบนที่นั่งข้างคนขับด้านในรถฮุนไดสีขาว ก่อนจะใช้หลับตานิ่งอย่างพยายามร่ายเวทมนต์ทุกอย่างเพื่อจะหยุดมัน

รถฮุนไดสีขาวหมุนคว้างอยู่สามรอบก่อนจะพลิกคว่ำแม้ได้รับการช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถของนางฟ้าผู้พิทักษ์ หากแต่เธอมาช้าไป ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองหาผู้ชายที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอด้วยความห่วงใยและความหวังเต็มเปี่ยม .. บางทีเขาอาจจะปลอดภัย .. แต่เลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาไม่ได้บอกเธอเช่นนั้น

จากภาพที่เห็น แม้ไม่ได้เป็นหมอหญิงสาวก็สามารถบอกได้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัส ด้วยนิมิตนางฟ้าแม้จะอ่อนแรงจากการใช้พลังงานไปเมื่อครู่แต่เธอก็พอจะเห็นความหายนะข้างหน้า รถบรรทุกเบรคแตกกำลังมุ่งหน้ามาจากทิศทางตรงข้ามและกำลังจะพุ่งเข้าปะทะกับเศษเหล็กสีขาวนี้ในไม่ช้า .. ร่างโปร่งแสงหลับตาอีกครั้งก่อนจะเริ่มร่ายมนต์ทั้งน้ำตา เพียงเพื่อให้เขาปลอดภัยเธอยอมใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ นางฟ้ารูปงามใช้เวทมนต์ย้ายบุรุษผู้บาดเจ็บและสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพาหนะของเขากลับไปที่ที่พักของคยูฮยอน พร้อมกับเยียวยาชายหนุ่ม

รอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นที่ดวงหน้าสวยเมื่อเริ่มเห็นสีเลือดฝาดของชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอควรจะไปพักบ้างเช่นกัน ร่างขาวที่แสนจะรางเลือนลงทุกขณะหันกลับหลังเพื่อจะเดินทางกลับไปยังที่ของเธอ .. ก่อนที่แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างวาบขึ้นไปทั่วทั้งบ้านของโจว คยูฮยอน

ร่างของหญิงสาวนอนหมดสติอยู่บนพื้นกลับปรากฎชัดเจนขึ้น ชุดสีขาวระบายพริ้วกลับกลายเป็นเดรสสั้นสีขาวเรียบ ปีกนางฟ้าสีขาวค่อยๆหายไปกลับกลายเป็นจ้ีขนนกอยู่บนคอนางฟ้าผู้หลับไหล

เสียงลมพัดหวือเข้ามาในห้องปลุกผู้ที่นอนหลับสนิทอยู่ให้ตื่นขึ้น เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆก่อนจะกระพริบซ้ำๆเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างของเวลากลางวัน ห้องนอนสีขาวที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขรึมดูคุ้นตา หากแต่คนที่เพิ่งตื่นยังคงสับสน .. สิ่งที่เธอทำเรียกว่าหลับอย่างนั้นหรือเปล่า? .. หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตบ่งชัดถึงความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างชัดเจน ตลอดเวลา 510 ปีของการเป็นนางฟ้าซูเซี่ยนไม่เคยหลับ เธอชอบพักผ่อนด้วยวิธีอื่นไม่เหมือนเจสสิก้านางฟ้ารุ่นพี่ที่แสนจะขี้เซา ผู้มีงานอดิเรกคือการนอน

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆตัวอีกครั้งก่อนที่จะนึกได้ว่าห้องที่คุ้นตานั้นเป็นห้องของเขา ผู้ที่ิอยู่ภายใต้การดูแลของเธอ ก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างนึกขึ้นได้ .. ห้องของคยูฮยอน!

หญิงสาวรู้สึกได้ถึงมือหนาที่สัมผัสช่วงไหล่ของเธออย่างเบามือ ก่อนจะหันหน้าไปเพียงเพื่อพบว่าเจ้าของมือนั้นคือผู้ที่อยู้ภายใต้การดูแลของเธอ เขากำลังประคองเธอด้วยอาการห่วงใย .. เขาเห็นเธอ!!

“คุณบาดเจ็บอยู่ที่หน้าบ้านผม” ชายหนุ่มเปิดบทสนทนาขึ้นเมื่อเห็นแววตาสับสนระคนตกใจของคนที่เพิ่งฟื้น

เมื่อเช้าคยูฮยอนตื่นขึ้นมาตามเวลาปรกติของเขา เขารู้สึกเมื่อยล้าไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร อาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยเกินไปเพราะเมื่อคืนเขากลับถึงบ้านยังไงเขายังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนยังคงตั้งใจว่าจะไปทำงาน แต่ความตั้งใจของเขากลับถูกหยุดไว้เมื่อพบกับร่างหญิงสาวนอนหมดสติอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เขาพาเธอเข้ามาในห้องนอนของเขาก่อนจะเริ่มปฐมพยาบาลบาดแผลตามร่างกายของเธอ อีกครั้งที่เขาประหลาดใจเมื่อเข้าใกล้และได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอ เป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกสงบและอบอุ่น หอมเหมือนกับเพื่อนที่เคยมาเล่นกับเขาในวัยเด็ก เหมือนกับกลิ่นหอมจากนูน่าแสนสวย และกลิ่นของเด็กหญิงที่มาสารภาพรักกับเขา .. น่าแปลกที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงเหล่านั้นและเธอคนนี้เป็นที่สุด แม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน .. หลังจากที่เขาทำแผลให้เธอเสร็จเพียงชั่วครู่หญิงสาวก็ได้สติและทำท่าจะลุกขึ้นทั้งๆที่อ่อนแรงจนเขาต้องเข้าไปประคองนั่นแหละ ดวงตากลมโตของเธอมองเขาด้วยท่าทีตกใจราวกับเขาจะทำมิดีมิร้ายเธอก็ไม่ปาน

“คุณมีญาติหรือเพื่อนที่ไหนไหม ผมจะได้โทรตามให้เขามารับ” คยูฮยอนเอ่ยถาม

ร่างบางส่ายหัวช้าๆอย่างอับจนหนทาง นางฟ้าที่ไหนจะมีญาติเป็นมนุษย์เล่า แถมพลังของเธอตอนนี้คงหมดจนถึงขั้นติดลบเสียล่ะมั้ง มนุษย์อย่างคยูฮยอนจึงสามารถมองเห็นเธอได้อย่างนี้ ลองเทเลพอทไปหาเหล่าพี่ๆก็ไม่ประสบผล ไม่มีสัญญานยิ่งกว่าตอนที่สัญญานโทรศัพท์มือถือระบบดีแทคในเมืองไทยล่มเสียอีก

คยูฮยอนมองอาการของคนตรงหน้าอย่างประเมินก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “งั้นก็อยู่ที่นี่จนกว่าจะหายก็แล้วกัน” ในเมื่อเธอไม่พร้อมจะไปไหนและไม่มีญาติหรือเพื่อนแม้สักคน ทางที่ดีที่สุดคือดูแลเธอจนกว่าจะหายดี

คยูฮยอนเฝ้าดูแลหญิงสาวแปลกหน้าเป็นอย่างดีในขณะที่เธอก็หายวันหายคืน เขามักจะแวะกลับมาทานอาหารกลางวันกับเธอเพื่อไม่ให้เธอเหงา ส่วนเธอก็หัดทำกิจวัตรตามแบบมนุษย์ที่เธอเคยเห็นแต่ไม่เคยทำเองเสียที ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำ กินข้าว ทำความสะอาดบ้าน ซูเซียนเรียนที่จะทำมันทีละอย่าง ซึ่งมักจะผิดพลาดไปเสียทุกครั้ง เธอเอาไข่ไปใส่ในไมโครเวฟจนระเบิด อบเสื้อด้วยเตาอบอาหารเพราะอยากให้ผ้าแห้งไวๆ คยูฮยอนจะได้ใส่ แต่เสื้อกลับหดเหลือตัวจิ๋วจนเขาใส่ไม่ได้ ทุกอย่างที่นางฟ้าตกสวรรค์ทำเป็นหายนะไปเสียทั้งนั้น หากแต่คยูฮยอนกลับไม่ถือโทษ เขามักจะหัวเราะเบาๆก่อนจะจัดการหายนะเหล่านั้นแล้วจึงจัดการกับเธอ เขาสอนเธออย่างใจเย็นจนเธอค่อยๆเรียนรู้ ในช่วงที่คยูฮยอนออกไปทำงาน นางฟ้าน้อยก็จะพยายามเรียกพลังของเธอกลับคืนเพื่อติดต่อกับสวรรค์แต่ก็ไม่ประสบผลเป็นอย่างนี้ทุกวัน

วงเวียนชีวิตของนางฟ้าซูเซี่ยนดำเนินไปอย่างนี้ เธอมีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาแต่อีกใจก็กังวลเมื่อคิดว่าตนเองกำลังสูญเสียพลังและความรับผิดชอบที่มีอยู่ ซูเซี่ยนหวังเหลือเกินว่าพี่จะทราบเรื่องของเธอในเร็ววันนี้เพื่อช่วยกันหาทางแก้ไข ตอนนี้พี่ๆของเธอคงกำลังยุ่งกับภารกิจตัวเองอยู่เป็นแน่ ในเมื่อหนึ่งวันบนโลกเทียบเท่ากับเวลาเพียงชั่วครู่บนสวรรค์ เป็นไปได้ว่าคงยังไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน

จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เริ่มนานขึ้นจนคนแปลกหน้ากลายเป็นคนคุ้นเคย ความรักของชายหญิงแปลกหน้าเริ่มผูกพันกันทีละน้อย คยูฮยอนดูแลซูเซี่ยนเป็นอย่างดี ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เขาชอบดวงตาเป็นประกายใสแจ๋ว คำพูดที่ไร้พิษภัย ท่าทีที่แสนบริสุทธิ์ไม่ต่างกับเด็ก และความบ้ากฎระเบียบขั้นสุด รู้ตัวอีกทีก็กลับกลายเป็นความรักที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น

“ตัวทำอย่างนี้กับเค้าได้ยังไง” หญิงสาวโวยวายเมื่่อถูกมือหนาๆปิดตาในขณะที่กำลังง่วนอยู่หน้า วันนี้ซูเซี่ยนตั้งใจจะทำอาหารให้เขา ถึงกับไปค้นสูตรอาหารจากอินเตอร์เน็ตมาเลยทีเดียว

“ตัวนั่นแหละ ทำอย่างนี้กับเค้าได้ยังไง”เขาปล่อยมือออกจากคนตรงหน้าก่อนจะยกเสื้อที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมาชูอยู่หน้าคนที่ตัวเล็กกว่า ดวงตากลมผลุบมองพื้นทันทีอย่างรูัสึกผิด เธอใช้เวลาว่างในการทดลองทำขนม(อีกแล้ว?)ด้วยการนำผ้าที่ซักไว้มารีดให้กับเขา ครั้นเสียงกริ่งจากเตาอบดังเตือนขึ้น นางฟ้าน้อยก็ลืมตัววิ่งไปนำขนมออกมาจากเตาเพื่อชื่นชมในฝีมือของตัวเองอย่างลืมตัว เธอลืมไปเสียสนิทว่าได้ทิ้งเตารีดร้อนๆไว้กับเสื้อตัวเก่งของคยูฮยอน รู้ตัวอีกทีควันก็โขมงจะร่ายมนต์เหมือนที่เคยก็ไม่ได้จนเสื้อเชิ้ตตัวเก่งกลายเป็นรูรูปเตารีดอย่างที่เห็น ซูเซี่ยนรู้สึกผิดจับใจเหมือนทุกครั้งที่เธอทำผิดพลาด ตอนเป็นนางฟ้าเธอไม่เคยพลาดอย่างนี้เลย เพียงแค่ดีดนิ้วเปาะก็เนรมิตทุกอย่างได้

“เค้าขอโทษ เค้าแค่อยากมีส่วนช่วยให้ตัวบ้าง” เสียงที่เคยหวานใสสลดลงอย่างชัดเจน

“เค้าไม่ได้ว่า ถ้าตัวทำไม่เป็นก็ไม่เห็นเป็นไร เค้าไม่อยากให้ต้องลำบากทำในเมื่อเดี๋ยวก็มีคนมาทำความสะอาดให้” ชายหนุ่มอธิบายเมื่อเห็นอาการของหญิงสาว

“แล้วตัวจะให้เค้าทำอะไร อยู่เฉยๆก็น่าเบื่อ” เธอตอบแบบรั้นๆ

“อ่านหนังสือ เล่นดนตรี อะไรก็ได้ที่ตัวถนัด อย่างอื่นถ้าตัวอยากทำเค้าสัญญาว่าจะค่อยๆสอน……” คยูฮยอนพูดพร้อมกับลูบศรีษะของเธอเบาๆก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นแปลกๆจนเธอทำตาม

“ว้ายยย! ไหม้หมดแล้ว” ซูเซี่ยนโวยวายเมื่อหันไปเห็นวันดำขโมงออกมาจากอาหารที่ตั้งอยู่บนเตา หญิงสาวทำท่าเลิ่กลั่กหมุนตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูกจนมือหนาคว้าไหล่กลมมนแล้วดันเธอออกไปข้างๆ คยูฮยอนจัดการดับไฟแล้วโยนกระทะไปไว้บนอ่างล้างจานอย่างรวดเร็ว เขาเปิดน้ำใส่กระทะร้อนๆจนเสียงซ่าหายไปแล้วจึงหมุนปิดก่อนจะหมุนตัวกลับมาเพื่อจัดการคนตรงหน้าที่หาเรื่องปวดหัวมาให้เขาอีกแล้ว แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าสลดวูบพร้อมดวงตาหมาหงอยสิ่งเดียวที่หลุดออกมาจากปากเขาคือ

“อยากทานอาหารจีนไหมซูเซี่ยน”

เย็นวันนั้นอาหารเย็นจึงเป็นอาหารจีนแบบส่งถึงบ้าน คยูฮยอนและซูเซี่ยนจัดการอาหารเรียบไม่เหลือคราบ หลังอาหารหญิงสาวผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วไปหยิบคุ้กกี้ฝีมือตนเองเพื่อจะเอามาให้เขา แต่กลับกลายเป็นว่าคยูฮยอนย้ายมันไปวางบนชั้นสูงเพราะเกะกะการเก็บกวาดครัวเลอะเทอะด้วยฝีมือเธอ ซูเซี่ยนเขย่งจนสุดปลายมือของเธอก็ยังไม่ถึง ซูเซี่ยนรู้สึกได้ถึงร่างหนาที่ทาบทับอยู่ด้านหลังก่อนที่แขนยาวๆของเขาจะเอื้อมหยิบโหลนั้นลงมาอย่างง่ายดาย

“ซนอะไรอีกซูเซี่ยน” เขาถามพร้อมกับยื่นของในมือให้กับเธอ

“เค้าเปล่าซนนะ แค่จะเอาคุ้กกี้ไปให้ตัวกิน” เธอโต้พร้อมกับทำหน้างอใส่คนตรงหน้า แค่จะหยิบขนมก็ว่าเธอเล่นซน

…ฉันน่ะนางฟ้าอายุ 510 ปีนะ! ไม่ใช่เด็กซักหน่อย!!

“เค้าเคยกินแล้ว” ชายหนุ่มตอบกวนๆมองคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า ดวงหน้าไร้การเสริมแต่งหากแต่ผิวขาวราวกับเรืองแสงของเธอกับแก้มใสๆขึ้นสีเลือดฝาดตามธรรมชาติแลดูน่ามอง ผมสีน้ำตาลยาวตรงทิ้งตัวลงมาถึงกลางหลัง และเสื้อผ้าสีขาวที่เธอชอบนั่นทำให้เธอดูเด็กกว่าอายุที่เธอบอกเขาไว้เป็นกอง ยิ่งทำท่าแบบนี้ซูเซี่ยนเหมือนเด็ก 18 มากกว่าหญิงสาวอายุ 22 ปีด้วยซ้ำ ใช้คำว่าซนแหละเหมาะสมที่สุดแล้ว

“แต่ตัวไม่เคยกินฝีมือเค้า” เธอแย้ง มือเรียวบางปิดขวดโหลพร้อมกับยื่นไปตรงหน้าเขา

คยูฮยอนอ้าปากงับคุ้กกี้ชิ้นโตตรงหน้าก่อนจะเคี้ยว “พอใจยัง” ชายหนุ่มถามทั้งๆที่ขนมยังอยู่เต็มปาก มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอก่อนจะดึงเข้ามาใกล้จนน่าตกใจ

“อร่อยใช่ม้า~” เธอถามเขาอย่างภูมิใจ คุ้กกี้เป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ที่เธอทำสำเร็จโดยไม่พังอะไรซักอย่าง แค่ทำเสื้อไหม้ไปตัวเดียวเท่านั้นเอง หญิงสาวมัวแต่ปลาบปลื้มใจยังไม่รู้ถึงสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา

“อื้ม ก็ดี” เขาพนักหน้าแล้วนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “แต่เค้าว่าตัวอร่อยกว่า”

“ตัวรู้ได้ยังไง ตัวยังไม่เคยกินเค้าซักหน่อย” ซูเซี่ยนถามด้วยไม่ทันเล่ห์ของชายหนุ่ม เธอรู้สึกถึงริมฝีปากบางที่ทาบทับอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นตามอารมณ์

…อืมมม มนุษย์เค้ากินกันแบบนี้เหรอ เป็นผู้พิทักษ์มาตั้งหลายร้อยปีไม่ยักรู้

คยูฮยอนนำพาซูเซี่ยนไปยังดินแดนที่เธอไม่เคยไปมาก่อน หากเรียกว่าสวรรค์บนดินคงไม่ผิดนัก ที่นั่นเธอลืมทุกอย่างมีเพียงแค่เธอกับเขาและอ้อมกอดอันอบอุ่นที่กอดเธอไว้แน่นหนา เธอได้รู้สึกถึงความรู้สึกแปลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในร่างกาย ซูเซี่ยนลืมตาโพรงในความมืดด้วยความสับสนเมื่อทุกอย่างจบลง ทั้งสุขสมและกังวลใจในเวลาเดียวกัน เธอไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นแต่เธอรู้ว่าบัดนี้ความผูกพันธ์ระหว่างนางฟ้าตกสวรรค์อย่างเธอกับมนุษย์รูปงามอย่างเขามากมายจนน่าหวั่นใจ

ความสัมพันธ์ของเจ้าบ้านและผู้อาศัยแสนน่ารักแปรเปลี่ยนเป็นคนรักอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งนานวันความรักของทั้งคู่ก็ยิ่งเบ่งบานจนซูเซี่ยนลืมความพยายามของตนที่จะกลับสวรรค์ไปเสียสิ้น นางฟ้าน้อยรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ เธอได้ยินเสียงหัวใจอีกดวงที่เต้นไปพร้อมๆกับหัวใจของเธอ ด้วยความเป็นเพศแม่ เธอรู้ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร

“ตัวเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” คยูฮยอนถามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงคนรัก ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกับสีหน้าว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินมาหาเธอ มือหนาแย่งเอาแปรงหวีผมในมือเธอมาไว้ก่อนจะค่อยๆหวีผมยาวสลวยนั้นอย่างเบามือ

“เค้าเปล่าเป็นไร” เธอตอบเสียงหวาน พยายามจะปิดความกังวลไม่ให้ออกมาทางน้ำเสียง เธอลุกขึ้นหันตัวกลับไปเพื่อมองหน้าเขาแต่กลับปะทะกลับไหล่กว้างและมือหนาๆที่โอบกอดเธอไว้ ซูเซี่ยนตัดสินใจเอ่ยถาม “ถ้าเราจะมีลูก ตัวว่าจะเป็นไรไหม”

“ลูกเหรอ?” เขาถามกลับ คยูฮยอนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทนายหนุ่มโสดที่กำลังมือขึ้นอย่างเขาตั้งเป้าหมายแต่ด้านการทำงานมาตลอด เขาแทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่องครอบครัวเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแต่งงานหรือมีลูก หากนั่นเป็นเรื่องก่อนที่จะมาพบเธอ “เราจะมีลูกกันเหรอ ซูเซี่ยน” เขาเอ่ยถามพร้อมกับสีหน้ายินดีอย่างเปิดเผย

…ถึงจะไม่ได้ตั้งใจไว้ แต่ก็เป็นความบังเอิญที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ

เธอพยักหน้าเบาๆก่อนที่ร่างบางจะลอยหวือเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง เธอฝังหน้าลงบนอกเขาพร้อมกับลอบถอนหายใจเบาๆ เธอได้ยินเขาเอ่ยขอบคุณเธอครั้งแล้วครั้งเล่าที่ให้โอกาสเขาได้เป็นพ่อ ก่อนหลับตาลงคืนนั้นเธอได้ยินเขากระซิบบอกเธอเบาๆที่ข้างหู “เค้ารักตัวซูเซี่ยน เราแต่งงานกันนะ”

“ซูเซี่ยน!”

เสียงที่คุ้นหูเรียกชื่อเธอเบาๆปลุกเธอจากนิทรา ซูเซี่ยนลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาสวยมองร่างทั้งแปดที่ในที่สุดก็มาหาเธอ หญิงสาวค่อยๆพาตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาก่อนที่จะมาบรรดาพี่ๆมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่ิอไม่ให้รบกวนอีกคนที่กำลังนอนหลับอยู่

“เป็นยังไงบ้าง”

“น้องชั้นเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ไปเสียแล้ว”

“สนุกใหญ่นะเรา”

“ไหนเล่ามาซิว่าอะไรยังไง”

นางฟ้ารุ่นพี่ต่างก็แย่งคำถามถามเธอจนเธอตอบแทบจะไม่ทัน ซูเซี่ยนเล่าเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ใช้ชีวิตแบบไร้เวทมนต์ไม่ต่างกับปุถุชนทั่วไป พี่ๆต่างก็รับฟังและแสดงความห่วงใยนางฟ้าน้องเล็ก แต่ก็ยินดีที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับอดีตคนรัก เหล่านางฟ้าใช้เวลากว่าครึ่งคืนในการแลกเปลี่ยนความเป็นไป จนรุ่งสางเหล่านางฟ้าต่างก็แยกย้ายกันกลับสวรรค์ด้วยถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่และเกรงว่าเจ้าของบ้านผู้หลับไหลจะตื่นมาพบเข้าจริงๆ หากแต่นางฟ้าอีกองค์ยังคงยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน

นางฟ้าแทแท นางฟ้าตัวน้อยที่แม้จะดูท่าทางขี้เล่นน่าเอ็นดูนั้นสามารถหลอกเทพองค์อื่นให้เชื่ออย่างนั้นได้ แต่ในบรรดาหมู่นางฟ้าทั้งเก้าองค์ดีว่านางฟ้าแทแทเป็นผู้คุมกฎที่โหดขนาดไหน หากทำผิดกฎสวรรค์แล้ว แม้แต่เป็นเพื่อนสนิทกันเธอเองก็ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นว่า “ผิดต้องเป็นไปตามผิด” ให้เธอช่วยเรื่องอื่นเสียจะดีกว่า

“ซูเซี่ยน พี่ไม่รู้จะช่วยเธอยังไง” นางฟ้าผู้พี่กล่าวขึ้นเมื่อมั่นใจว่าอยู่กับซูเซี่ยนตามลำพัง “ท่านรู้และคงจะกำหนดโทษในไม่ช้า เรื่องนี้พี่คงจะช่วยเธอไม่ได้มากไปกว่านี้ นอกจากมาบอกเธอให้รู้ไว้ล่วงหน้าจะได้เตรียมตัวได้ทัน”

“ไม่เป็นไรค่ะอนนี่ ฉันเข้าใจ” ซูเซี่ยนตอบเสียงเรียบ เธอทราบดีทั้งหมด “สิ่งที่ฉันทำไป ฉันไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ฉันดีใจที่ฉันได้ใช้เวลาที่มีค่ากับกุยเซี่ยนไม่ว่าเขาจะอยู่ในร่างของใครหรือเขาจะจำฉันไม่ได้ก็ตาม”

บนโซฟาสีขาวหนานุ่มหญิงสาวหลับซุกตัวเองอยู่ในอ้อมอกอุ่นของคยูฮยอน ลมแผ่วๆที่พัดเข้ามาจากทางหน้าต่างพัดแรงขึ้นจนสิ่งของในห้องแทบจะปลิวว่อนไปทั่ว แสงสว่างจ้าส่องสว่างขึ้นกลางบ้านโจว คยูฮยอน ซูเซี่ยนลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะยืนสงบนิ่งอย่างรวดเร็วด้วยรับรู้ถึงการมาของท่านผู้ทรงอำนาจ ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงและสับสน

…นี่มันอะไรกันวะเนี่ย

“นางฟ้าซูเซียน เจ้าละเมิดกฎของสวรรค์” สุรเสียงอันทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ร่างชายกลางคนในชุดสีขาวงามสง่าปรากฎขึ้น คยูฮยอนสัมผัสได้ถึงไอของจิตเมตตาจากคนตรงหน้าจึงทำให้ความตกใจเริ่มคลายลง หากแต่ประโยคที่ได้ยินนั้นกลับสร้างความกังวลให้กับเขา .. นางฟ้า? สวรรค์? ละเมิดกฎสวรรค์? นี่เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า

“ท่านคะ ข้าขอให้กำเนิดเด็กผู้เกิดจากความรักบริสุทธิ์ของข้ากับคยูฮยอนเถอะนะคะ แล้วหลังจากนั้นข้ายินดีกลับไปรับโทษ”

คยูฮยอนหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงหวานจากคนข้างกายเอ่ยขึ้น แม้ไม่รู้ที่มาที่ไปแต่เขาพอจะเข้าใจได้รางๆ ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าเขาก็ไม่ควรจะเห็นเธอได้ (หรือควร?) หากคงมีเหตุผลกลใดที่ทำให้เธอมาปรากฎกายตรงหน้าเขา เขามองหญิงคนรัก แม้เพิ่งพบกันได้ไม่นานแต่เขาคิดว่าเขารู้จักเธอดี หญิงสาวไม่ชอบการทำผิดพลาด เธอไม่เคยทำผิดกฎแม้จะเป็นเพียงกฎเล็กน้อยๆของมนุษย์ แต่นี่นางฟ้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ เธอต้องมีเหตุผล ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเธอต้องทำความผิดอะไรมาซึ่งเขาควรจะปกป้องทั้งเธอและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา “หรือไม่อย่างนั้นก็ลงโทษผมแทนเธอเถอะครับ ให้เธอและลูกได้มีชีวิตที่ดีเถอะนะครับ”

“โจว คยูฮยอน เวลาของเจ้ายังมาไม่ถึง ด้วยสิ่งที่เจ้าทำทำให้เจ้าต้องใช้เวลาอยู่บนโลกมนุษย์อีกหลายสิบปี” เจ้าของเสียงทรงอำนาจกล่าวอย่างหนักแน่นก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวคนเดียวในที่นั้น “ส่วนนางฟ้าซูเซี่ยน เจ้าปกป้องเขานั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วสำหรับนางฟ้าผู้พิทักษ์ ความรักเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายและไม่สามารถห้ามได้ ไม่แปลกอันใดหากเจ้าจะรักและผูกพันธ์กับคนที่เจ้าดูแลเอาใจใส่คนคนนึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง .. แต่สิ่งที่สามารถห้ามได้คืออารมณ์และการกระทำของเจ้าต่างหาก”

“พวกเจ้าสามารถใช้เวลาอยู่ร่วมกับบนโลกมนุษย์จนกว่าซูเซียนจะให้กำเนิดบุตร จากนั้นนางจะต้องไปรับโทษที่สวรรค์ ส่วนเจ้าเองก็ต้องใช้เวลาที่เหลือของเจ้าในฐานะมนุษย์เช่นเดียวกัน .. เด็กที่เกิดมาจะอยู่ในการดูแลของเจ้าโจว คยูฮยอน” ท่านผู้ทรงอำนาจกล่าวอย่างเด็ดขาดก่อนจะหายตัวไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในที่สุดคยูฮยอนก็เข้าใจทุกอย่างเมื่อได้ยินคำตัดสิน คนรักของเขา แม่ของลูกที่กำลังจะเกิดมา จริงๆแล้วคือนางฟ้าผู้พิทักษ์ประจำตัวของเขา ความผิดของเธอที่ทำให้นางฟ้าผู้อยู่ในกรอบตลอดมาทำผิดใหญ่หลวงคือการที่มารักและมอบกายให้กับเขา .. ทั้งหมดเป็นเพราะเขา

ดวงตาสีน้ำตาลมองร่างบอบบางของหญิงสาวตรงหน้า ในใจอย่างจะทำลายข้าวของทุกอย่างให้สาแก่ใจเพื่อระบายความโกรธ เขาโกรธตัวเองที่เป็นต้นเหตุของปัญหา หากแต่ดวงหน้าสวยหวานนั้นกลับเงยขึ้นมองเขาพร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ทำให้เขาสงบลง

“จนกว่าลูกของเราจะเกิดมา เรามาใช้เวลาที่มีค่าที่เหลืออยู่ด้วยกันนะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับคำพร้อมกับโผเข้าหาคนตัวสูงกว่า ไม่มีน้ำตาหรือความกังวลอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้พวกเขาจะใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า … จนกว่าจะถึงวันนั้น

คยูฮยอนตัดสินใจจัดงานแต่งงานเล็กๆภายในครอบครัว เขาดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ทุกๆวันคยูฮยอนจะพาเธอไปเดินเล่นรับลมในตอนเย็น เขาบอกว่าอากาศบริสุทธิ์จะทำให้จิตใจของแม่และลูกเบิกบาน จวบจนถึงวันที่ซูเซี่ยนให้กำเนิดเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารัก เธอให้ชื่อเด็กหญิงว่าซองอึนที่แปลว่าพรจากสวรรค์ คยูฮยอนอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมแขนของเธอแล้วกับกอดหญิงสาวไว้แนบกาย ไม่ว่าจะเตรียมใจไว้แค่ไหนแต่เมื่อถึงเวลาแห่งการจากลาก็ยังใจหาย ซูเซี่ยนใช้เวลาอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของสามีอย่างต้องการซึบซับทุกความทรงจำไว้ .. อ้อมกอดแรกและคงเป็นอ้อมกอดสุดท้ายที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่และลูกน้อย

ซูเซี่ยนได้เห็นหน้าซองอึนเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะโดนพาตัวกลับสวรรค์ พรข้อสุดท้ายของเธอ เธอขอให้นางฟ้าอารมณ์ดีฮโยยอนดูแลคยูฮยอนแทนเธอ ในขณะที่คยูฮยอนเลี้ยงดูเด็กหญิงเพียงลำพังโดยรอแค่เพียงเธอ เขามักจะมองไปที่ท้องฟ้าไกลและพูดคุยราวกับจะบอกผ่านไปให้เธอได้รับรู้

…ความรักของเขาหนักแน่นราวกับหินผา ความรักของเธอบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอากาศที่หายใจ

…เขาเชื่อในความรักยิ่งใหญ่ว่าซักวันเขาและเธอจะได้กลับมาพบกัน และเขาจะรอวันนั้น จนกว่าจะหมดลมหายใจ

“ว่าอย่างไร เจสสิก้า” น้ำเสียงดังกังวานถามขึ้นเมื่อเห็นนางฟ้าแห่งความรักปรากฎกายขึ้นตรงหน้า

“ท่านคงจะไม่ใจร้ายกับทั้งคู่ใช่ไหมคะ เค้าและเธอคือคู่แท้ที่ควรจะถูกผูกกันไว้ด้วยด้ายแดง หากเป็นเช่นนี้….” นางฟ้าเจสสิก้ารวบรวมความกล้าเอ่ยถามท่านผู้ทรงอำนาจที่ใหญ่สุดของสวรรค์ ครั้งนี้นับป็นครั้งแรกที่เธอสงสัยในตัวท่าน เธอจะไม่สงสัยอื่นใดหากว่าคู่ที่ท่านตัดสินลงโทษไม่ใช่กุยเซี่ยนและซูเซี่ยน คู่รักที่ยิ่งกว่าคู่แท้ของสวรรค์กลับต้องมาพลัดพรากจากกันแบบนี้งั้นหรือ .. นางฟ้าแห่งความรักรับไม่ได้

“ข้ารู้ เจสสิก้า .. แต่ถึงอย่างนั้นกฎก็ยังคงต้องเป็นกฎ” ชายผู้สูงวัยกว่าตอบอย่างสุขุม

“แต่ท่านคะ….” เสียงแหลมสูงขัดขึ้น แต่กลับโดยหยุดโดยผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า

“ไม่มีแต่ เจสสิก้า กุยเซี่ยนทำผิดและควรได้รับบทลงโทษที่โลกมนุษย์จนถึงเวลาที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับซูเซี่ยนที่ละเมิดกฏสวรรค์ทั้งๆที่รู้ ไม่ว่าจะเป็นนางฟ้าความประพฤติดีเด่นหากทำผิดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ควรได้รับบทลงโทษเช่นเดียวกัน เจ้าไม่ว่าอย่างนั้นหรือ” เสียงทรงอำนาจยังคงกล่าวต่อ “เชื่อการตัดสินใจของข้าเถิด ข้ามั่นใจว่าความรักของกุยเซี่ยนและซูเซี่ยนจะยิ่งใหญ่และมั่นคงแม้จะยังไม่มีด้ายแดงผูกไว้ในตอนนี้ เจ้าอดทนรออีกหน่อยจนเมื่อถึงเวลา ถึงตอนนั้นข้ารับรองว่าเจ้าจะได้ดูแลความรักของเค้าทั้งคู่ .. เจ้าว่าอย่างนั้นเป็นไง”

ภายในห้องสีขาวที่เต็มไปด้วยจิตกรรมฝาผนังสีสันหลากสีโย้ไปเย้มาราวกับเป็นศิลปะแบบ Abstract ตกแต่งเครื่องเรือนขนาดเล็กสีชมพูไล่โทนตั้งแต่ชมพูอ่อนแบบ pastel ไปจนถึงชมพู shocking pink สุดจะแสบตา ตุ๊กตาและของเล่นจำนวนมากถูกวางเรียงไว้ที่มุมเล็กๆซึ่งจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นมุมให้เด็กน้อยได้เล่นอย่างสร้างสรรค์ได้เต็มที่ สีทั้งสีเทียน สีเมจิก และสีไม้วางรวมอยู่ในกล่องใบใหญ่บนโต๊ะพลาสติกขนาดจิ๋ว ไม่ไกลนักเก้าอี้ขนาดเดียวกันสองตัววางอยู่คู่กัน บนเตียงสีเสาขนาดเล็กสีชมพูดอ่อนสบายตาชายหนุ่มนอนเอนร่างสูงใหญ่เกินเตียงอยู่เคียงข้างเด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ชายหนุ่มปิดหนังสือนิทานในมือหลังจากที่เพิ่งเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ของเทพนิยายที่จบลงอย่างน่าประทับใจให้กับลูกสาวคนเดียวฟังก่อนนอนเช่นทุกวัน

“อัปป้า อมม่าอยู่ที่ไหนคะ” เด็กน้อยเอ่ยถาม ดวงตากลมโตพราวระยิบด้วยความใคร่รู้ เธอเห็นเพื่อนทุกคนมีคุณพ่อคุณแม่มาส่งอยู่บ่อยๆ แต่ตัวของเธอเองกลับไม่เคยเห็นมารดาแม้ซักครั้ง

“อมม่าอยู่บนสวรรค์ค่ะลูก” ร่างสูงใหญ่ตอบคำถามลูกสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าวันหนึ่งเธอจะต้องมีคำถามแบบนี้และเขาก็เตรียมรับมือไว้ตลอด ติดอยู่ตรงที่ว่าเขาไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้

“อัปป้า ซองอึนจะได้เจออมม่าไหมคะ” เด็กหญิงยังคงตั้งคำถามอย่างสงสัย สวรรค์ที่คุณพ่อบอกอยู่ที่ไหนกัน ไกลมากหรือเปล่า ถ้าไกลแล้วตอนนี้คุณแม่ของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง .. หากเดินทางมาที่นี่ยาก ถ้าอย่างนั้นซองอึนกับอัปป้าควรจะไปหาอมม่าแทนไหมนะ

“ต้องได้เจอสิคะ ซักวันนึงซองอึนต้องได้เจออมม่าแน่นอน” เขาตอบอย่างมั่นใจทั้งๆที่ยังไม่รู้ถึงอนาคต .. แม่ของซองอึน ภรรยาของเขา จากไปนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็ไม่เคยคิดจะหาแม่คนใหม่ให้กับลูก เขารักเธอและจะรักเธอตลอดไป เขาจะสอนให้ลูกรู้จักความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พ่อกับแม่มีให้กัน เขาจะสอนให้ลูกรู้จักความเชื่อที่แน่วแน่ของพวกเขา .. ซักวันนึงพวกเขาต้องได้พบกัน ซักวันนึงครอบครัวต้องกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง

ชายหนุ่มลุกขึ้นจัดผ้าห่มขึ้นคลุมร่างน้อยแล้วจึงหอมหน้าผากกลมมนเบาๆ เขายิ้มให้ลูกสาวอย่างอบอุ่นก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ ประตูไม้ค่อยๆปิดลงช้าๆ แสงไฟที่ลอดผ่านประตูค่อยๆหายไปคงเหลือเพียงแต่ความมืดมิด เด็กน้อยขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สองมือเล็กๆกุมอยู่ที่หน้าอกพร้อมกับเอ่ยคำอธิฐานออกมาเบาๆ

“พระเจ้าคะ ถ้าพระเจ้ามีจริง ช่วยพาอมม่ามาหาอัปป้าด้วยนะคะ”

“เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหมเฮ” เสียงหญิงสาวหวานแหลมฟังแล้วเย็นเยียบจับใจดังขึ้น “เจ้าต้องทำให้คำอธิษฐานที่โจว ซองอึนขอเป็นจริง หาคู่แท้ของโจว คยูฮยอนและผูกด้ายแดงให้กับเขา”

ร่างบางในเอ่ยขึ้น หญิงสาวใส่ชุดสีขาวพริ้วไหวราวกับต้องลมอ่อนๆ ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตาชั้นดีและผมสีบลอนด์ขับให้เธอเปล่งประกายเจิดจ้าจนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยต้องหยีตาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสีขาวบนนี้ เฮแตกต่างกับคนที่อยู่บนนี้ เขาเป็นเดวิลเกือบตลอดชีวิตของเขา เขาคุ้นชินกับชุดทำงานสีแดงแรงฤทธิ์มากกว่าชุดสีขาวสว่างของนางฟ้าที่พอสะท้อนแสงสวรรค์แล้วแสบตาเสียเหลือเกินจนเขาอยากจะหยิบแว่นกันแดดออกมาใส่ให้รู้แล้วรู้รอด .. เท่าที่เขาจำได้ 210 ปีบนนี้เขาใช้ชีวิตเป็นเดวิลคอยลงโทษพวกมนุษย์แสนเกเร ส่วนเรื่องก่อน 25 ปีก่อนที่เขาจะมาเป็นเดวิลนั้น เฮไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของความจำเลยแม้แต่น้อย เกือบตลอดชีวิตของเขาเป็นคนลงทัณฑ์ทั้งๆที่ลึกๆแล้วเขากลับอยากเป็นผู้ให้พรมากกว่า เมื่อโอกาสมาถึงเขาจึงขอร้องนางฟ้าเจสสิก้า นางฟ้าบรรดาศักดิ์สูงอายุกว่า 500 ปีให้รับเขาเข้าเป็นคิวปิด และภารกิจนี้จะเป็นภารกิจแรกของเขาในฐานะผู้ให้พร .. ชายหนุ่มผู้พร้อมด้วยใบหน้าสมบูรณ์แบบมองนางฟ้าแสนงามตรงหน้าด้วยรู้ว่าเธอมีสิ่งอื่นที่จะพูดต่อ

“เจ้าสามารถทำให้สองคนมาพบและช่วยให้เขารักกันได้ แต่มีข้อแม้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าจะไม่สามารถบังคับหรือใช้เวทมนต์พวกเขาให้รักกันหรือหมดรักกัน และห้ามเด็ดขาดที่จะใช้เวทมนต์ขัดขวางการทำงานของคิวปิดองค์อื่น” เสียงหวานๆพูดต่อ ดวงตาคู่สวยมองจรดนิ่งชายผู้มีจิตใจงดงามตรงหน้า “หากเจ้าทำได้ก่อนวาเลนไทน์ เจ้าจะได้ย้ายงานจากเดวิลมาเป็นคิวปิดฝึกหัดเต็มตัว”

เฮก้มลงมองร่างในชุดสีแดงของตัวเอง งานนี้เขาจะพลาดไม่ได้ เขาต้องหาแม่ให้ซองอึนเพื่อที่เขาจะได้เป็นคิวปิดฝึกหัดและได้เปลี่ยนยูนิฟอร์มเป็นสูทสีขาวอย่างเช่นเทพองค์อื่นบ้างคงจะดี

…คงจะเท่ไม่เบาเลยนะเรา หึหึหึ

คิวปิดทดลองงานเดินเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ในบ้านหลังเล็กอย่างใจเย็นด้วยรู้ว่าไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถเห็นร่างของเขาได้ เขาสำรวจที่ที่เขาจะต้องมาใช้เวลาอยู่ด้วยซักระยะด้วยภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ชายหนุ่มพาตัวเองเข้ามาในห้องครัวขนาดย่อยก่อนจะเปิดประตูตู้เย็นหยิบเอาแอ็ปเปิลสีแดงสดเข้ากับสีเสื้อของเขามากัดคำโต

“คุณลุง .. คุณลุงคือใครเหรอคะ เข้ามาในบ้านของซองอึนทำไม”

ร่างสูงในชุดสีแดงทั้งตัวหันมองซ้ายขวาเพื่อหาที่มาของเสียงจนพบเข้ากับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่ยืนมองเขาอยู่ด้วยแววตาฉงน เฮขัดใจลึกๆเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหญิงเรียกเขา .. ลุงงั้นเรอะ!?!?!

“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน มาเรียกฉันว่าคุณลุงได้ยังไง .. ฉันน่ะว่าที่คิวปิดเชียวนะ” เขาโวยวายเสียงดังลั่น

“คุณลุงจะเป็นคิวปิดได้ยังไงคะ คิวปิดเค้าต้องเป็นเด็กมีปีกน่ารักๆสิคะ แต่นี่ …”

“แต่อะไร” เขาขัดขึ้นทั้งๆที่เด็กหญิงยังพูดไม่ทันจบประโยคดี

“ใส่ชุดแดงอย่างกับเดวิล แบร่~!” ซองอึนกล่าวตอบอย่างไม่กลัวชายหนุ่มแปลกหน้าพร้อมกับแลบลิ้นให้เมื่อจบประโยค เท่าที่เด็กน้อยรู้คิวปิดไม่ควรจะมีรูปพรรณสันฐานแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ชุดสีแดง .. ชุดสีแดงน่ะมันของเดวิลเกเรต่างหาก

ว่าที่กามเทพฝึกหัดของขึ้นทันทีที่ได้ยินคำเรียก เดวิลงั้นเรอะ! ครั้งนี้เขามาในฐานะผู้ให้พรจะเป็นเดวิลได้ยังไงกัน!! เด็กบ้า!!! เฮนับหนึ่งถึงร้อยในใจเพื่อระงับอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดก่อนที่จะใช้เวทมนต์ในทางที่ผิดไปซะก่อน ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เฮร้องเรียกเด็กน้อยอย่างตกใจ “นี่!”

“คะ?” โจว ซองอึนรับคำอย่างเป็นคำถาม ดวงตากลมโตมองหน้าคุณลุงในชุดแดงอย่างไม่เข้าใจ ลุงเดวิลเรียกเธอ”นี่”ทำไมกัน แล้วทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย

“ว่าแต่ .. เธอเห็นฉันได้ยังไง” ชายหนุ่มในชุดแดงตั้งคำถาม มนุษย์ไม่ควรเห็นร่างของเหล่าเทพ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา นางฟ้า หรือแม้แต่เดวิลอย่างเขาไม่ใช่หรือ แต่เจ้าเด็กน้อยนี่กลับมองเห็น แถมยังโต้ตอบอย่างไม่เกรงกลัวเสียด้วย ราวกับคุ้นชินกับพวกเขาอย่างนั้นแหละ

“ซองอึนไม่ควรจะเห็นเดวิลเหรอคะ” เด็กน้อยตั้งคำถาม แก้มเล็กพองลมออกพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบ “อืมมม .. ซองอึนเจออามิน อามินใจดีช่วยสอนการบ้านซองอึนบ่อยๆ แล้วก็เจอนางฟ้าผู้พิทักษ์ฮโยยอนกับท่านฮยอกแจบ่อยๆ นางฟ้าองค์อื่นก็รู้จักบ้างเหมือนกัน แต่ซองอึนไม่ค่อยเห็นเดวิลหรอกค่ะ …. หรือซองอึนไม่ควรเห็นเดวิลนะ”

เดวิลอยากย้ายงานตนนี้อึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ตอบกลับมาเป็นคำถามของเด็กหญิงตัวจ้อย เธอรู้จักนางฟ้าผู้พิทักษ์ของทั้งตัวเอง ของบิดา และเทพองค์อื่นๆอีกด้วย คงไม่ใช่ความบังเอิญที่เด็กหญิงตรงหน้าสามารถเห็นเหล่าเทพทั้งหลายรอบตัวเธอ เขามองเธออย่างพิจารณาอีกครั้ง

…เธอคงเป็นพวกจิตบริสุทธิ์สินะ

“ช่างมันเถอะ .. ฉันแค่อยากมาดูบ้านของโจว คยูฮยอนซะหน่อย จะได้รู้ว่าจะจับคู่เขากับใครดี” เฮพูดขึ้นก่อนจะบอกลาเด็กน้อย “ไปล่ะ ฉันไปทำงานต่อดีกว่า”

ร่างหนาพาตัวเองเดินออกไปแต่กลับมีอะไรรั้งเขาเอาไว้ไม่ได้สามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้ เฮก้มลงมอง เขาเห็นมืออูมเล็กจับชายเสื้อหนาวตัวหนาสีแดงของเขาแน่น “เฮ้! เธอมาจับเสื้อฉันทำไมแม่หนูน้อย”

“ให้ซองอึนไปด้วยได้ไหมคะ ซองอึนอยากเลือกอมม่าด้วย” เด็กหญิงถาม เธอเอียงคอเล็กๆมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างน่ารัก

“ไม่ได้!” เฮตอบอย่างหนักแน่น เขามองนิ่งลึกเข้าไปในดวงตาใสของเด็กน้อยราวกับจะอ่านความคิด น้ำใสๆที่เริ่มก่อตัวในดวงตาคู่นั้นทำให้เขาเริ่มจะลังเลใจจนยอมเธอในที่สุด “อะ ก็ได้ .. แต่เธอห้ามวุ่นวายกับงานของฉันนะ”

“คนนั้น”
“ไม่เอาค่ะ ไม่เห็นสวยเลย”

“คนนั้นล่ะ”
“หวา ดูใจร้ายออกนะคะคุณลุง”

“สาวเสื้อแดงคนนั้นดูน่าสนใจดีนะ”
“อี๋ โป๊”

เสียงผู้ทำหน้าที่คิวปิดในชุดแดงถามความเห็นจากเด็กน้อยผู้ที่น่าจะให้ความร่วมมือในการหาคู่ในโจว คยูฮยอน แต่กลับกลายเป็นว่าแม่หนูน้อยปฏิเสธหญิงสาวทุกคนที่เขาชี้ให้เธอดูโดยแทบจะไม่คิด เด็กน้อยหาเหตุมาแย้งเขาคนแล้วคนเล่าจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าจนเขาเองชักจะเริ่มเหนื่อยกับการตามล่าหาคู่แท้เสียแล้ว

“นี่ซองอึน เธอจะชอบคนไหนที่ฉันเลือกไหม” เฮถามอย่างขัดใจ

“ก็คุณลุงเลือกแต่อะไรก็ไม่รู้นี่คะ แบบนี้เลือกยังไงอัปป้าก็ไม่ชอบหรอก” เด็กหญิงตอบพร้อมกับทำหน้ามู่ มือเล็กๆเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมมาตามใบหน้ากลมพร้อมด้วยเครื่องหน้าน่ารักจนทำให้ผมยุ่งไปหมด แต่เธอยังคงน่ารักราวกับตุ๊กตาตัวน้อย

…ตุ๊กตาผีน่ะสิ เด็กอะไรวุ่นวายชะมัด!

“ก็แล้วเธออยากได้แบบไหนกันเล่า” ร่างสูงถามขึ้น อย่างน้อยเด็กหญิงก็รู้จักภารกิจของเขาดีที่สุด เขาควรจะหาข้อมูลจากเธอ

“ผิวขาว ตาโต ผมยาว สวย ใจดี มีรอยยิ้มที่จริงใจและอบอุ่น” ซองอึนร่ายยาวก่อนจะหันหน้ามาถามคุณลุงเดวิลของเธอ “จะหาได้ไหมคะคุณลุง”

เฮถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหยิบสมุดเล่มหนาออกมาก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงไปราวกับพิมพ์ดีดก่อนจะยื่นสมุดเล่มโตนั้นมาให้เด็กหญิงก่อนจะถาม “มีชอบซักคนไหมซองอึน”

มือเล็กเปิดหนังสือที่เต็มไปด้วยภาพและประวัติของหญิงสาวหน้าแล้วหน้าเล่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคุณลุง “อืมมมมม .. มันพูดยากนะคะ”

“แล้วอย่างนี้เราจะหาแม่ให้เธอได้ทันวาเลนไทน์ไหมล่ะซองอึน” เขาเห็นอาการเลือกเยอะของเด็กตรงหน้าแล้วถึงกับท้อ นี่ขนาดเปิดบัญชีสาวโสดให้เลือกอย่างกับแคทตาล็อกแล้วเธอก็ยังไม่พอใจ ภารกิจของเขาครั้งนี้ท่าจะเจองานหิน แค่คิดเฮก็ยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างท้อใจ

…จะได้เป็นไหม คิวปิดฝึกหัดเนี่ย

“อัปป้า” ชายหนุ่มหันหน้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องเรียก คยูฮยอนนั่งรอลูกสาวที่ออกไปเล่นกับเพื่อนข้างบ้านแต่กลับบ้านช้าผิดเวลาจนเขาเริ่มเป็นห่วงจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เขากำลังคิดจะไปตามหาลูกที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้านหากแต่แม่หนูกลับมาถึงบ้านเสียก่อน

“ซองอึน ไปไหนมาคะลูก” ชายหนุ่มถาม น้ำเสียงบ่งชัดถึงความห่วงใย

“ไปหาอมม่ากับคุณลุง… อุ๊บ!” เด็กหญิงตอบตามความจริงอย่างลืมตัวก่อนจะนึกได้ เธอเปลี่ยนคำตอบให้ปลอดภัยสำหรับลุงเฮและภารกิจหาแม่ “ไปหาอมม่าของจีฮโยมาค่ะอัปป้า”

ชายหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้าลูกสาว ดวงตาคมปราบมองแม่ตัวน้อยอย่างพินิจแต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขากลับฉายแววอ่อนโยนและอบอุ่น มือหนาเอื้อมจับไหล่เล็กทั้งสองข้าง “ซองอึน ลูกรู้ใช่ไหมคะว่าความหมายของชื่อลูกแปลว่าอะไร” เขาถาม

“อัปป้าบอกว่าแปลว่าพรจากสวรรค์ค่ะ” เด็กน้อยตอบเจื้อยแจ้ว

“ลูกเป็นพรจากสวรรค์ของทั้งอัปป้าและอมม่า อมม่าที่อยู่บนสวรรค์ต้องคอยมองพวกเราอยู่แน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าน้อยใจที่ซองอึนไม่ได้เจอคุณแม่ทุกวันเหมือนคนอื่นนะคะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอบอุ่นราวกับกำลังร้องเพลงกล่อมเด็ก เขารู้ว่าซองอึนก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ต้องการความรักและการดูแลจากทั้งพ่อและแม่ หากแต่แม่ของเธอจากไปแล้ว ลูกถึงโหยหาความรักจากแม่ขนาดนี้ การที่ได้ยินว่าเธอไปหาแม่ของเพื่อนสนิทยิ่งทำให้เขาคิด หรือเขาควรจะหาแม่ให้ลูก ในเมื่อหัวใจของเขามีไว้เพื่อเธอ ภรรยาของเขา แล้วเขาควรจะทำอย่างไร

…อดทนหน่อยนะลูกรัก อัปป้าเชื่อว่าอมม่าต้องกลับมาหาพวกเรา

“ค่ะอัปป้า” เด็กหญิงตอบรับก่อนจะโผเข้ากอดบิดาที่ไม่ทันตั้งตัวจนเสียหลักก้นจ้ำเบ้าไปนั่งกับพื้น สองพ่อลูกหัวเราะขันก่อนจะพากันลุกขึ้น

“ถึงมีอัปป้าอยู่ ซองอึนก็ยังอยากมีอมม่าอยู่งั้นเหรอเนี่ย .. น่าน้อยใจชะมัด” คยูฮยอนบ่นอย่างน้อยใจ เขาอุ้มลูกสาวคนเดียวมานั่งบนตักที่โซฟาตัวหนา

“อัปป้า~ ซองอึนรักอัปป้านะคะ” เด็กน้อยกอดบิดาอีกครั้ง ครั้งนี้แถมด้วยหอมที่แก้สากหนึ่งฟอดใหญ่เพื่อง้อไม่ให้เขาน้อยใจก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อหยิบการบ้านในกระเป๋าออกมาทำ

ชายหนุ่มมองภาพเด็กหญิงที่เหมือนเธออย่างกับถอดพิมพ์เดียวกัน ทั้งดวงตา แก้มนุ่มนิ่มสีชมพู และริมฝีปากเล็ก ทุกครั้งที่เขามองซองอึนทำให้เขาคิดถึงเธอ หญิงอันเป็นที่รัก คยูฮยอนมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาจ้องไปที่ปลายฟ้าพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ลูกสาวเราโตขนาดนี้แล้ว เธอเห็นใช่ไหม”

เดวิลหนุ่มอายุ 210 ปีเดินตามเด็กหญิงตัวจ้อยไปเรื่อยๆ แทนที่จะไปติดตามเจ้าตัวภารกิจ เขากลับรู้สึกว่าเด็กหญิงเป็นกุญแจสำคัญในการตามหาคู่แท้ของคยูฮยอนมาผูกด้ายแดงมากกว่า ดวงตาสีเทาวาบวับของเดวิลมองตามเด็กน้อยไป เธอทักทายคนอื่นไปทั่ว เห็นก็รู้ว่าเด็กน้อยเป็นที่รักของคนรอบข้าง … อาจจะเป็นเพราะออร่าบางอย่างที่ออกมาจากตัวเธอ เขาสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และจริงใจของเด็กน้อย

ร่างสูงลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กที่เด็กน้อยนำมาวางไว้ข้างๆโต๊ะเรียนของเธอโดยบอกกับเพื่อนๆว่าเธออยากจะใช้มันวางกระเป๋าเป้ใบโตที่ทำให้เธออึดอัดกับการนั่ง เด็กหญิงคุยหยอกล้อกับเพื่อนๆก่อนที่จะเดินแยกตัวมานั่งที่โต๊ะเมื่อได้ยินเสียงระฆัง เพียงไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวร่างเล็กก็เดินเข้าห้องมาด้วยท่าทางเป็นกันเอง หญิงสาวดูทั้งอ่อนเยาว์และสดใส ถึงอย่างนั้นเขารู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในแววตาคู่นั้น

…น่าสนใจทีเดียว เป็นตัวเลือกทีดีสำหรับโจว คยูฮยอนไม่ใช่รึ

“เด็กๆคะ คุณครูซันนี่ลาคลอดไปเลี้ยงน้อง เด็กๆรู้ใช่ไหมคะลูก” คุณครูใหญ่แทยอนเอ่ยถามเด็กๆอย่างสดใสและมีพลัง

“ทราบครับ/ทราบค่ะ” เด็กๆต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“เป็นคุณครูคนนี้ดีไหมซองอึน” เฮกระซิบถามเด็กน้อยข้างกาย

“ไม่ค่ะ!” ซองอึนตอบเดวิลข้างๆเสียงดังอย่างลืมตัวว่ามีเธอเพียงคนเดียวที่เห็นเขา

สิ้นเสียงตอบของเด็กน้อย เพื่อนร่วมห้องต่างก็หันมามองเธอเป็นตาเดียว คุณครูหน้าเด็กได้ยินถึงกับตั้งคำถามด้วยความสงสัย เนื่องจากซองอึนไม่เคยเกเรในห้องมาก่อน แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น “ว่าไงนะจ้ะซองอึน”

“ปะเปล่าค่ะ” เด็กหญิงปฏิเสธ มือน้อยๆโบกให้วุ่น “ซองอึนหมายถึง ทราบค่ะคุณครู” เธอตอบก่อนจะหันไปค้อนขวับให้กับเจ้าว่าที่คิวปิดฝึกหัดตัวแสบที่กำลังแลบลิ้นให้กับเธอ อยากจะแลบลิ้นกลับลุงเฮเป็นที่สุดแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าทำไปจริงคุณครูแทยอนคงจับเธอไปอบรมเป็นแน่ เด็กน้อยทำจมูกย่นอย่างขัดใจ

“วันนี้เรามีคุณครูคนใหม่มาดูแลเด็กๆแทนคุณครูซันนี่นะจ้ะ” คุณครูแทยอนยังคงกล่าวต่อไปด้วยเสียงสดใสก่อนจะหันไปเรียกผู้มาใหม่ที่อยู่ด้านนอกห้อง “เชิญค่ะคุณครูซอ”

ร่างบางระหงเดินเข้ามาตามคำบอกของผู้เป็นหัวหน้า ผิวเนียนละเอียดของเธอขาวจนเกือบจะเรืองแสงได้ ผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอนสลวยราวกับกลุ่มไหมทิ้งตัวลงมาเกือบถึงเอว ดวงหน้าสวยหวานซึ้งรับกับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน “สวัสดีจ้ะเด็กๆ ครูชื่อซอ จูฮยอน .. เด็กๆเรียกครูว่าคุณครูจูฮยอนก็ได้จ้ะ”

เฮขมวดคิ้วก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นร่างระหงที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย เขาสัมผัสได้ถึงความพิเศษในตัวเธอ ความอบอุ่น รวมไปถึงไอของจิตบริสุทธิ์แบบเดียวกับที่แผ่มาจากโจว ซองอึน และยิ่งเสียงหวานๆราวกับร้องเพลงอยู่ข้างหูนั่นอีก เขามั่นใจว่าต้องใช่เธอแน่ๆ

“ดูแลคุณครูดีๆนะจ้ะเด็กๆ” แทยอนกล่าวเสียงสดใสก่อนจะเดินจากไปปล่อยให้คุณครูคนใหม่อยู่กับเด็กๆตามลำพังด้วยรู้ว่าคุณครูซอสามารถจัดการดูแลเด็กๆได้เป็นอย่างดี

“คุณลุงเฮคะ คุณลุง” เด็กหญิงกระซิบกระซาบกับสิ่งไร้ร่างที่อยู่ข้างตัวพร้อมรอยยิ้มยินดี “หนูเจอแล้วคู่แท้ของอัปป้า”

“นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนงั้นเหรอ” เฮพูดกับตัวเองเบาๆในใจก่อนจะหันไปถามเด็กน้อย “จะใช่เหรอซองอึน”

เขาเองพอจะรู้จักนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนอยู่บ้าง ใครเล่าจะไม่รู้จักนางฟ้าที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ เธอสวย สง่า และน่ารักจนเป็นที่หมายปองของเหล่าเทพและเดวิลหนุ่มทั้งหลาย พวกเขาต่างก็แข่งกันเพื่อจะแย่งชิงหัวใจของเธอมาครอง เฮไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากเขาเป็นเพียงเดวิลด้อยบรรดาศักดิ์จึงไม่อาจหาญไปจีบนางฟ้าในหมู่นางฟ้าอย่างเธอเช่นเดียวกับองค์อื่น แต่ถึงอย่างนั้นเขายังจำทั้งดวงหน้า แววตา และน้ำเสียง หรือแม้แต่กลิ่นหอมอ่อนๆจากเธอได้เป็นอย่างดี .. ช่วงครึ่งปีหลังตามเวลาสวรรค์เฮไม่ได้พบเธอบ่อยมากนักอย่างที่ผ่านมา แต่เขาไม่นึกเอะใจใดๆ อาจเพราะมัวยุ่งอยู่กับการทำเรื่องขอย้ายมาเป็นคิวปิดฝึกหัดภายใต้การดูแลของนางฟ้าเจสสิก้าก็เป็นได้

…แล้วอยู่ๆก็มากลายเป็นมนุษย์เนี่ยนะ มันจะใช่เหรอท่านซูเซี่ยน!

“ใช่สิคะ ซองอึนเห็นบ่อยๆในฝัน” เด็กน้อยตอบราวกับล่วงรู้คำถามในใจของเขายังไงอย่างงั้น

ไม่มีเสียงตอบจากเฮ ว่าที่คิวปิดฝึกหัดชุดแดงกำลังประมวลผลจนเริ่มจะปวดหัว หรือสมองน้อยๆที่ผ่านการใช้งานมากว่าสองร้อยปีเริ่มจะสึกหรอเสียแล้ว ทุกอย่างถึงดูสับสนไปหมดตอนนี้ .. หรือเขาพลาดอะไรบางอย่างไป

“คุณลุงเฮ จะทำยังไงให้อัปป้าพบกับอมม่าล่ะคะ” เด็กน้อยถาม “อัปป้าให้ป้าอาร่ามารับซองอึนตลอดเลย แล้วจะเจอกับคุณครูได้ยังไง”

“คุณลุงเฮ” ซองอึนเรียกเฮอีกครั้งให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด

“เดี๋ยวฉันมานะยัยเด็กน้อย” ชายในชุดแดงตอบก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วหายตัวไปจากห้องเรียน ปล่อยเด็กหญิงซองอึนไว้เบื้องหลังกับห้องเรียนที่ดูจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับเธอ มีเพียงอย่างเดียวที่น่าสนใจคือคุณครู สมองเล็กๆประมวลผลไปร้อยแปดวิธีที่จะทำให้อัปป้ามาเจอกับคุณครูแสนสวย

เด็กน้อยถอนใจเฮือกใหญ่ วันนี้กามเทพเฉพาะกิจดูจะเงียบผิดปรกติตั้งแต่เห็นหน้าคนที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคุณแม่ หรือว่าคนที่เธอเลือกมันจะยากเกินไปสำหรับลุงเฮและอัปป้าก็ไม่รู้

…เฮ้อ ก็ซองอึนอยากให้คุณครูซอฮยอนเป็นอมม่านี่นา

…เป้าหมายมีไว้พุ่งชนไม่ใช่เหรอ

…แล้วลุงเฮหนีไปไหนในเวลาอย่างนี้ล่ะเนี้ย! ไม่มาอยู่พุ่งชนด้วยกัน หรือลุงเฮจะกลัวเจ็บ

…กระซิบอามินดีไหมเนี่ยว่าให้ไปฟ้องเทพผู้ดูแลลุงเฮว่าลุงเฮหนีไปแล้ว

ท่ามกลางอากาศที่ยังคงหนาวของกรุงโซลในเดือนกุมภาพันธ์ แดดรำไรยังคงสาดส่องแม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้วก็ตาม เด็กน้อยต่างก็วิ่งเล่นอย่างร่าเริงภายในสนามเด็กเล่นเล็กของโรงเรียนอนุบาลเพื่อรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน บ้างก็วิ่งไล่กัน บ้านก็เล่นเครื่องเล่นผลัดกันปีนป่าย ร่างน้อยๆของโจว ซองอึนอยู่บนชิงช้าที่แกว่งไกวอย่างช้าๆภายใต้สายตาอบอุ่นที่ทอดมองมายังเด็กน้อยโดยที่เธอไม่รู้ตัว คุณครูสาวรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงเป็นที่สุดทั้งๆที่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ความผูกพันก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ หญิงสาวมองเด็กน้อยที่ผุดตัวลุกขึ้นจากที่นั่งวิ่งไปหาใครซักคนที่หน้าประตูโรงเรียน ขาเรียวบางก้าวตามร่างจิ๋วไปอย่างไม่รู้สาเหตุ เด็กหญิงวิ่งไปกอดหญิงสาวร่างเล็กผิวขาวนวลราวกับหยวกกล้วย ดวงหน้ารูปไข่รับกับผมม้าที่ทำให้เธอดูเด็กเกินกว่าจะเป็นแม่ของเด็กวัยห้าปีอย่างซองอึน

“คุณป้าอาร่า!” ไม่ต้องพูดถึงการเป็นป้าด้วยซ้ำ! ซอ จูฮยอนมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ไม่ต่างกันกับสายตาครุ่นคิดที่อีกฝ่ายส่งมาให้

“วันนี้มีคุณครูคนใหม่มาแทนคุณครูซันนี่ด้วยค่ะ” เด็กหญิงเล่าให้คุณป้ายังสาวฟังเจื้อยแจ้ว ดวงตาบ่งชัดถึงอาการตื่นเต้น “คุณครูจูฮยอนค่ะ”

จูฮยอนโค้งศรีษะเก้าสิบองศาอย่างนอบน้อมให้กับหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มเป็นมิตรไปให้จากใจจริง “สวัสดีค่ะ”

หญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าตอบรับ หากไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นเสียงทุ้งดังขึ้นจากเบื้องหลังส่งผลให้คุณครูสาวยิ้มด้วยประกายเจิดจ้า “ซอฮยอน”

หญิงสาวกล่าวลาทั้งผู้ปกครองและลูกศิษย์ตัวน้อยเบาๆก่อนจะขอตัวไปหาผู้มาใหม่ เธอวิ่งไปหยิบกระเป๋าสะพายส่วนตัวที่วางไว้ไม่ไกลนักก่อนจะเดินกลับมาหาร่างสูงสมบูรณ์แบบนั้น เด็กหญิงลอบมองภาพตรงหน้าอย่างครุ่นคิด … หรือคุณครูอาจจะมีแฟนแล้วก็เป็นได้ .. ดวงตากลมโตที่มักฉายแววร่าเริงอยู่เสมอหม่นลงเล็กเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอไม่อยากให้กลายเป็นความจริง

ถัดไปไม่ไกลนัก วิญญาณรูปหล่อยังคงสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล สีหน้าครุ่นคิดแต่ไม่ได้ฉายแววตึงเครียดหรือซึมเศร้าเฉกเช่นเด็กน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจะหายตัวไปในพริบตา

“คุณลุงเฮ เราจะทำยังไงกันดีคะ” เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างชายหนุ่มปรากฎกายขึ้นในห้องนอนของเธอหลังจากที่หายไปตั้งแต่เมื่อกลางวัน อามินเทวดาผู้พิทักษ์ประจำตัวเธอก็บอกว่าลุงเฮไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คงไปที่ไหนซักแห่งของสวรรค์ … จริงๆเธอควรจะให้อามินหรือไม่ก็ลุงเฮพาไปหาอมม่าที่สวรรเสียจะได้สิ้นเรื่อง เสียแต่คิดช้าไปหน่อย นี่อมม่ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนแบบนี้คงไม่ต้องหนีอัปป้าไปสวรรค์แล้ว ที่จำเป็นตอนนี้คือความสามารถที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ของลุงเฮต่างหาก

“อะไรยังไงล่ะ” เดวิลที่รับหน้าที่เป็นผู้ให้พรถามกลับเมื่อได้ยินคำถามที่ได้ที่มาที่ไป

“ก็อมม่ามีแฟนแล้วได้ยังไงล่ะ คุณลุงต้องจัดการนะคะ” เด็กหญิงร้องโวย

“ฉันจะจัดการได้ยังไงล่ะ” จะจัดการยังไงที่ไม่ใช่ร่ายมนต์ผูกใจใส่คยูฮยอนกับคุณครูสุดสวย และก็ต้องไม่ใช่ร่่ายมนต์สิ้นสิเน่หาใส่พ่อหนุ่มหน้ามนที่เทียวไล้เทียวขื่อคุณครูซอ .. ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบแม้ในใจยังคงครุ่นคิด จะแก้ปมนี้ได้อย่างไรดีในเมื่อการเป็นกามเทพดูจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว

“ก็คุณลุงเฮเป็นคิวปิดนี่คะ ทำไมทำไม่ได้ล่ะ ก็แผลงศรใส่สิคะ” ซองอึนกล่าวอย่างขัดใจเมื่อเห็นท่าทางเรียบเฉยของเขา “เป็นคิวปิดปลอมล่ะสิ เห็นไหมหนูว่าแล้วเชียว”

“ฉันเป็นคิวปิดฝึกหัดเฉยๆ ไม่ได้เป็นคิวปิดปลอมซักหน่อย” “นี่ซองอึน ความรักน่ะนะ มันบังคับกันไม่ได้ซักหน่อย ฉันแค่สามารถช่วยให้พวกเค้าได้พบกันในเวลาที่เหมาะสม ช่วยทำให้เขาเพาะบ่มความรักได้งอกงามขึ้นเท่านั้นแหละ แต่ฉันน่ะทำให้คนเลิกกันไม่ได้หรอกนะ มันไม่ใช่วิถีของคิวปิด”

“เวทมนต์ทำให้คนรักหรือหมดรักกันไม่ได้หรอกนะเด็กน้อย” เขาอธิบายหลักการข้อแรกของคิวปิด แรกเริ่มที่นางฟ้าเจสสิก้าอธิบาย เขาเองไม่เข้าใจนัก หากแต่เมื่อมีเวลาใคร่ครวญก็เข้าใจได้ว่าหากรักนั้นมาจากเวทมนต์ เมื่อถึงเวลาเวทมนต์คลาย ความรักก็เสื่อมถอย ในทางตรงข้าม หากรักนั้นมาจากหัวใจเพาะบ่มไว้ด้วยความเข้าใจและศรัทธาอันหนักแน่น รักนั้นจะอยู่ยืนยง

“ว้า” เด็กหญิงทอดถอนใจเมื่อดูแล้วความหวังของเธอจะเลือนรางลงทุกที มือน้อยคว้าหมอนมากอดไว้ที่อกพร้อมทำหน้าย่น เธอซุกใบหน้าเล็กๆนั่นลงกับหมอนใบโตอย่างท้อใจ

…การจะมีแม่ซักคนเหมือนคนอื่นเค้ามันยากอย่างนี้เลยหรือ

…คนอื่นจะต้องพยายามอย่างนี้บ้างไหมนะ

“อย่าเพิ่งหมดหวังสิ ก็บอกแล้วไงว่าเราช่วยพวกเค้าให้รักกันได้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่น ท่าทางของเด็กน้อยทำให้เขามุ่งมั่นขั้นสุดว่าภารกิจนี้ต้องไม่มีทางพลาด ยังไงเขาต้องทำให้ซอ จูฮยอนมาเป็นอมม่าของเด็กน้อยให้ได้ มือหนาลูบที่ศรีษะเล็กอย่างเบามือพร้อมกับเอ่ยประโยคสั้นๆแต่กลับสร้างความมั่นใจให้กับเธอ “เชื่อมือลุงเฮสิ”

ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เฮยังคงเฝ้ารอจังหวะเหมาะๆที่จะร่ายมนต์วิเศษเพื่อช่วยให้เด็กน้อยสมหวัง เขายังไม่ได้ใช้ร่ายมนต์ซักบทตั้งแต่ลงมาโลกมนุษย์เพื่อทำภารกิจหากไม่ได้นับมนต์เดินเหินหรือหายตัว เด็กหญิงซองอึนยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง เธอเชื่อสุดหัวใจในความสามารถของเฮและเชื่อลึกๆว่าคุณครูซอ จูฮยอนคือคนที่ฟ้าสร้างมาเพื่อคู่กับบิดาของเธอ เธอรู้สึกอย่างนั้น

ร่างสูงใหญ่ในชุดแดงนั่งนิ่งอยู่บนคานเสาข้างเคียงสัญญานไฟจราจรกลางสี่แยกที่พลุกพล่าน แต่หามีใครเห็นไม่ ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ตามปกติ สายตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นคนอย่างเขา .. เฮ

วันนี้เฮตัดสินใจมาตามดูชายหนุ่มคนสนิทของซอ จูฮยอนหญิงสาวที่เขาหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะให้เป็นเนื้อคู่ของภารกิจนี้แทนที่จะไปนั่งดูการเรียนการสอนเหมือนทุกวัน วาเลนไทน์ใกล้มาทุกที เขาคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ดวงตาคมมองรถสปอร์ตหรูสีแดงที่เคลื่อนตัวมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะดีดนิ้วเปาะ

ปัง!

ยางล้อรถคันสวยแตกเสียงดังลั่นจนรถหมุนคว้าง เฮมองรถรอบๆคอยระวังไม่ให้ได้ผลจากมนต์ของเขานอกเหนือไปจากชายหนุ่มรูปงามที่กำลังรีบไปยังที่นัดหมายเพื่อคุยธุรกิจกับคู่ค้า เสียงหวีดร้องดังไปทั่วบริเวณเมื่อกลายเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์หวาดเสียว สายตากว่าสิบคู่จ้องมาที่รถสวย บ้างก็เข้ามาใกล้เพื่อดูว่าผู้อยู่ในรถต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ประตูรถค่อยๆเปิดอย่างช้าๆก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะออกมาจากรถที่บัดนี้กลายเป็นพาหนะสามล้อไปเสียแล้ว เขากล่าวขอบคุณคนที่เข้ามาช่วยเหลือก่อนจะรีบคว้าเอาโทรศัพท์ออกมาทันทีแทบจะไม่มีโอกาสได้หายใจ

โจว อาร่าผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่สำนักงานของบริษัทก่อสร้างชื่อดัง อันที่จริงเธอมอบหมายให้เลขาส่วนตัวเป็นผู้มาติดต่อเรื่องแบบแปลนก่อสร้างโรงเรียนสาขาใหม่แต่กลับกลายเป็นว่าเลขาของเธอป่วยกระทันหันจนไม่สามารถมาทำงานได้ เธอจึงต้องรับหน้าที่นี้แทน แต่นี่ก็เลยเวลาไปมากแล้วสถาปนิกที่เธอนัดไว้ยังมาไม่ถึงเสียที ร่างเล็กผุดลุกผุดนั่งเมื่อไม่มีแม้เงาของผู้ที่เธอนัดไว้และเธอเองก็กำลังจะไปรับหลานไม่ทัน!

“คุณโจวคะ” เสียงหญิงสาวประชาสัมพันธ์ของสำนักงานหยุดร่างเล็กนั้นไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกไป “คุณซงเกิดอุบัติเหตุ อาจจะมาถึงช้าไปซักหน่อยแต่เขากำลังเดินทางมา ใกล้จะถึงแล้วค่ะ”

อาร่ายกนาฬิกาขี้นดูก่อนจะขมวดคิ้วอย่างชั่งใจ หากเธอบอกคยูฮยอนให้ไปรับซองอึนเองวันนี้จะเป็นไรไหมนะ เธอไม่อยากเสียเวลากว่าชั่วโมงที่นั่งอยู่ที่นี่ไปฟรีๆ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือคู่ใจออกกมาพร้อมกับกดเบอร์โทรด่วนไปหาน้องชายทันที

“ขอโทษครับ ผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ร่างสูงเดินเข้ามาให้ส่วนรับรองของสำนักงานก่อนจะโค้งแสดงความขอโทษที่ทำให้ลูกค้าอย่างเธอรอนาน เขามองคนที่ลุกยืนโค้งกลับเขาอย่างสุภาพก่อนจะนึกไว้ว่าไม่ใช่หน้าคุ้นๆของคนที่เคยเจรจาตกลงงานด้วยกันบ่อยๆ

“เลขาปาร์คป่วยน่ะค่ะฉันเลยต้องมาคุยเอง” เธอตอบตามความจริง

“เหมือนเราจะเคยพบกันมาก่อน” ซง ซึงฮุนสถาปนิกชื่อดังเจ้าของสำนักงานนี้เอ่ย “แต่ไม่น่าจะใช่เพราะงานนี้ เพราะผมติดต่อเลขาปาร์คมาตลอดหากเป็นงานจาก AC Music Academy”

“คงเป็นที่โรงเรียนอนุบาลละมังคะ” เธอตอบเสียงเรียบ .. จะลืมได้อย่างไรในเมื่อเพิ่งพบกับไปเมื่อวานแถมเขายังน่าจดจำเสียขนาดนี้

ซึงฮุนพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เขาผายมือให้เธอแล้วเดินนำเธอไปในห้องทำงานส่วนตัวเพื่อคุยโครงการสร้าง AC Music Academy สาขาใหม่

คยูฮยอนละมือจากงานทั้งหมดเพื่อเดินทางมายังโรงเรียนอนุบาล โชคดีแท้ๆที่เขาไม่เหลืองานเร่งด่วนอย่างเช่นทุกวัน เขาเลยสามารถไปรับลูกสาวได้ประจวบเหมาะกับที่อาร่าไม่ว่างพอดี รถฮุนไดสีขาวจอดสนิทนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเรียน ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังสถานที่ที่นานๆทีเขาจะได้มาเยือน ไม่ใช่เขาไม่รับผิดชอบหรือไม่อยากดูแลลูกหรืออย่างไร แต่ด้วยงานทนายความที่มักจะมีลูกความขอความช่วยเหลือเสมอและส่วนใหญ่ก็จะเป็นกรณีเร่งด่วนทำให้เขาต้องเลิกงานดึกอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะกำหนดตัวเองให้เลิกดึกสุดแค่หนึ่งทุ่มเพื่อที่จะกลับไปดูแลลูกน้อยต่อจากอาร่าพี่สาว อาร่าเองก็ยินดีเหลือเกินที่ได้ดูแลเด็กน้อยเพราะเธอเองก็ยังไม่มีครอบครัว การที่อาร่ามารับซองอึนไปดูแลในช่วงเย็นจึงกลายเป็นสิ่งที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย

คยูฮยอนเดินมายังห้องเรียนของลูกสาวเมื่อพบว่าเธอไม่อยู่ที่สนามเด็กเล่นอย่างที่เคย ในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยของเล่นเด็กเล็กสีสันสดใส ดวงตาคมมองเห็นเบื้องหลังร่างระหงที่ย่อตัวเล่นอยู่กับเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แม้เธอจะหันหลังให้เขาแต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่หญิงสาวหันกลับมาตามซองอึนที่วิ่งไปหาบิดาอย่างดีใจ วินาทีที่เขาเห็นหน้าเธอเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ดวงตาคมสบนิ่งอยู่กับเธอ มีเพียงคำพูดออกมาจากปากเขาที่เบาจนเหมือนกระซิบ

“ซูเซี่ยน”

“สวัสดีค่ะ ฉันซอ จูฮยอนคุณครูประจำชั้นคนใหม่ของซองอึนค่ะ” ครูสาวแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร เธอจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของเขาที่เหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ จูฮยอนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นอย่างประหลาด หากแต่บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร .. ทั้งๆที่เธอเข้ากับคนยากแท้ๆ

ในอาคารแบบโรมันขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายวัย เกือบจะทั้งหมดอยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวที่คล้ายๆกับจะเรืองแสงเมื่อสะท้อนกับแสงสีขาวที่ตกกระทบลงบนอาคารหินอ่อนดูแสบตา วิญญานรูปหล่อในชุดแดงที่ปรากฏตัวขึ้นในหอสมุดกลางของสวรรค์จึงเป็นจุดสนใจ(เล็กๆ)ซึ่งเจ้าตัวพยายามคิดว่าเป็นเพราะความหล่อของเขามากกว่าชุดแดงแรงฤทธิ์นั่น เฮเดินดุ่มไปยังชั้นหนังสือหมวดชีวประวัติ เขาหยิบหนังสือวิเศษขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วตั้งคำถาม

“หนังสือวิเศษ ข้าอยากรู้ชีวประวัติของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยน”

“นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนเป็นหนึ่งในนางฟ้าผู้พิทักษ์ตระกูลโจว นางเป็นนางฟ้าที่อบอุ่นและรักเสียงเพลง ความสามารถพิเศษคือการใช้เสียงเพลงขับกล่อมให้ทั้งมนุษย์และเทวดาทำตามประสงค์ราวกับร่ายมนต์

30 ปีที่แล้วตามเวลาโลกมนุษย์โจว คยูฮยอนได้กำเนิดบนผืนโลก นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซียนจึงได้รับมอบหมายให้เป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์เขา

จนเมื่อ 6 ปีที่แล้วตามเวลามนุษย์นางฟ้าผู้พิทักษ์บาดเจ็บสาหัสจากการช่วยเหลือโจว คยูฮยอนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้เวทมนต์นางฟ้าเสื่อมนางจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลโจวอย่างมนุษย์ปุถุชนและได้รับการดูแลจากโจว คยูฮยอนจนในที่สุดความรักต้องห้ามก็เกิดขึ้น นางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนตั้งครรภ์กับโจว คยูฮยอน นางขอให้ให้กำเนิดเด็กน้อยอันเป็นตัวแทนแห่งความรักของทั้งคู่ก่อนที่จะรับบทลงโทษตามสมควร ด้วยจิตบริสุทธิ์ความรักที่ยิ่งใหญ่ของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซียนและโจว คยูฮยอน

บทลงโทษของความรักต้องห้ามครั้งนี้คือนางฟ้าซูเซี่ยนถูกปลดจากการเป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์และลงไปใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์เช่นเดียวกับคนธรรมดาโดยไร้ความทรงจำเกี่ยวกับอดีตไม่เว้นแม้แต่อดีตกับโจว คยูฮยอนคนรัก บุตรสาวของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนได้รับการเลี้ยงดูโดยโจว คยูฮยอน เด็กหญิงชื่อว่าซองอึนอันแปลว่าพรแห่งสวรรค์………” หนังสือวิเศษร่ายยาวถึงชีวประวัติของนางฟ้าผู้พิทักษ์ซูเซี่ยนก่อนจะเงียบลงไปเพราะแรงปิดหนังสือของเฮ แม้จะแว่วเสียงโวยวายจากหนังสือวิเศษที่เขาปิดไปโดยที่เธอยังรายงานผลการค้นหาไม่จบแต่มือก็ก็วางมันไปแล้วจึงเดินจากมาพร้อมด้วยแววตาครุ่นคิด

…รักบริสุทธิ์ของนางฟ้าผู้พิทักษ์กับมนุษย์อย่างนั้นหรือ

“ทำไมท่านให้ง่ายอย่างนี้ให้กับข้าเล่า” เฮในชุดสีขาวเอ่ยถามดวงตาจับจ้องมองดูผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ คยูฮยอนและจูฮยอนกำลังเดทกันอย่างหวานชื่นในสวนสาธารณะโดยมีซองอึนไปด้วย

“ง่ายงั้นหรือ เฮ” เสียงหวานแหลมถามขึ้น

“ก็ทั้งคู่ผูกพันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่มาตั้งแต่แรก ทั้งคู่รักกันแม้เขาจะต้องไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือเธอจะต้องโดนลบความทรงจำ ไม่ยากเลยที่จะเกิดความรักขึ้นอีกครั้งถึงความทรงจำของเธอจะเป็นศูนย์ก็ตาม .. ข้าเลยแทบจะไม่ได้แสดงฝีมือเลย”” เขาตอบตามจริงพร้อมกับบ่นอย่างเสียดาย จริงอยู่ภารกิจอาจจะออกมาสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แต่ถ้าได้แสดงฝีมือมากกว่านี้ก็คงดี

“ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าโชว์ฝีมือนะเฮ ข้าอยากให้เจ้ารู้จักรักบริสุทธิ์ หากเจ้าเป็นคิวปิดเต็มตัว เจ้าต้องเห็นคุณค่าของทุกความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักของนางฟ้าผู้พิทักษ์ที่มีต่อมนุษย์ภายใต้การดูแล ความรักของคนธรรมดาสองคน ความรักของพ่อแม่กับลูก หรือความรักของพี่กับน้อง” นางฟ้าแสนงามอธิบายด้วยเสียงแหลมจนปวดหูของเธอ “เห็นไหมล่ะ กับบางครั้งความรักก็แทบจะไม่ต้องการการแผลงศร แค่ร่ายมนต์ให้รถยางแตกกับคนท้องเสียนิดหน่อยเท่านั้นเองว่าไหมเฮ”

“โธ่ท่าน” เฮโอดครวญ

… ถึงจะรุนแรงไปหน่อยแต่ข้าก็ระวังทุกฝีก้าวไม่ให้ไปกระทบใครนะท่านเจสสิก้า

“เจ้าบรรลุเป้าหมายโดยไม่ได้ละเมิดข้อบังคับใด ไม่ได้ขัดขวางความรักของคนอื่น ไม่ได้ขัดขวางการทำงานของคิวปิดตัวอื่น แต่เจ้า….เกือบทำคนชะตาขาดทั้งๆที่ยังไม่ถึงฆาต” เทพธิดารูปงามประเมินผลงานของเขาก่อนจะอธิบายถึงผลของเวทมนต์ที่เฮได้ร่ายไป ทั้งที่ทำให้รถของซึงฮุนยางระเบิดและที่ทำให้เลขาปาร์คท้องเสีย

“เจ้าคิวปิดฝึกหัด เจ้าต้องเรียนรู้อีกเยอะ จากที่ข้าเห็นคงซักอีก 10 ปีล่ะมั้ง” เธอสรุปสั้นๆ

“นะนั่นมัน…..ร้อยปีมนุษย์เลยนะท่าน” ชายหนุ่มในร่างกายทิพย์ร้องโอดโอยทันทีที่สิ้นคำของเจสสิก้า

“เจ้ายังมีเวลาอีกเยอะนี่ใช่ไหมเฮ ยังไงเสียเจ้าก็ยังไม่ได้อยากจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ไหนไม่ใช่รึ”

Valentine Cupid และ Angel Love
เป็นเรื่องที่เขียนไว้เมื่อวาเลนไทน์ปีที่แล้ว โพสลงบนบล็อคเก่าเมื่อวาเลนไทน์ 2012 พอดี
ตอนที่ย้ายบล็อคก็ตั้งใจว่าจะลงเรื่องนี้ในวันวาเลนไทน์ปีนี้ (2013) แต่ลืม
สุดท้ายเลยได้อัพในวัน White Day แทน

ทั้ง Valentine Cupid และ Angel Love ยังไม่ได้รีไรท์นะคะ
ภาษายังเป็นของเมื่อปีที่แล้ว ต้องขอโทษถ้ามันจะกากไปบ้าง อ่อนด้อยไปบ้าง
เราติดโปรเจกท์อื่นอยู่คงไม่ได้รีไรท์ในเร็ววัน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทำใจ ^^”

แล้วเจอกันใหม่นะคะ

นัยน์ตาคมมองจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แน่นิ่ง คิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่นอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมหยิบปากกาที่ใกล้ตัวมาจดอะไรลงลงไปบนกระดาษสีขาว ดวงตาคมกริบเหลือบขึ้นมองหน้าจอสว่างไสวตรงหน้าสลับกับกระดาษตรงหน้าของตน ที่จดมานี้เขาเองก็ไม่ได้เข้าใจนักหรอกว่ามันคืออะไรบ้าง ก็แค่รู้ว่าสิ่งของตรงหน้าคือสิ่งที่เขาต้องใช้เท่านั้นเอง เขายกกระดาษที่มีลายมือยุกยิกขึ้นมามองอย่างชั่งใจก่อนที่จะหายใจยาวเมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มือแกร่งเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือคู่ใจขึ้นมากดต่อหาใครบางคน

“ฮัลโหล เจสสิก้าเหรอ ผมต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง” คริสกรอกเสียงทุ้มไปตามสาย ด้วยความที่ชายหนุ่มไม่มีญาติในเกาหลี ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่แคนาดา ประเทศที่เขาเกิดและเติบโตจนย้ายถิ่นฐานมาทำงานอยู่ที่นี่ เขาจึงมีเพียงแค่เพื่อนเท่านั้นที่จะสามารถขอความช่วยเหลือได้อย่างเร่งด่วนในตอนนี้ แต่หลังจากที่พิจารณาถ้วนถี่แล้วเพื่อนสนิทของเขาที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายคงช่วยอะไรเขาไม่ได้ ซ้ำร้ายอาจจะยิ่งสร้างปัญญา เขาจึงตัดสินใจต่อสายหาเจสสิก้า เพื่อนผู้หญิงที่เขาคิดว่าสนิทและคิดว่าพอจะช่วยได้ ยังไงเสียเธอน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพื่อนสนิทคนอื่นๆ เขาแจ้งรายละเอียดเธอไปและขอร้องจนอีกฝ่ายตกลงมาพบอย่างเสียไม่ได้

คริสวางหูโทรศัพท์ก่อนที่จะรีบไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับเจสสิก้าไว้ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน ร่างสูงกระชับเสื้อหนาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้นก่อนจะเดินฝ่าลมหนาวเข้าไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ทันทีที่เขาเห็นร่างเล็กกะทัดรัดในชุดชายหนุ่มก็ก้าวยาวๆเข้าไปหา ต่างกับเธอที่ส่ายหัวเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายในเสื้อโค้ทสีเหลืองตัวโต

“อะไรของนาย บอกมาซะดีๆนี่มันเรื่องอะไรลากฉันออกมาซุปเปอร์มาร์เก็ตเอาตั้งแต่นกยังไม่ออกหากินแบบนี้ ถ้านายไม่บอกก็เชิญอยู่ที่นี่ไปคนเดียวเถอะ ช้อปให้สนุกนะ” คนตัวเล็กโวยวายทันที่ที่เขาเดินเข้ามาใกล้ มีอย่างหรือ นึกจะนัดก็นัดเธอออกมา บอกแค่ว่าให้มาที่ไหนและสำคัญมากโดยไม่ยอมอธิบายซักคำว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เป็นเวลาเช้าตรู่อย่างนี้ในสถานที่แบบนี้ แค่คิดเจสสิก้าก็พร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อ

มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวแล้วหยิบเอากระดาษที่เต็มไปด้วยรอยปากกาขึ้นมายื่นที่ตรงหน้าเธอ หญิงสาวปราดตาอ่านเพียงชั่วครู่ก็พอรู้ว่าเป็นอะไร “ช่วยซื้อให้หน่อยสิ ผมไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แล้วเค้าต้องใช้ยี่ห้อไหนกัน” คริสเอ่ย

เพียงแต่ได้ยินเจสสิก้าก็แทบอยากจะตายไปซะตรงนั้น ก็เธอน่ะเป็นตัวช่วยที่ผิดมหันต์ หญิงสาวกระดาษที่คริสจดรายการส่วนผสมด้วยคิ้วขมวดมุ่นก่อนจะตัดสินใจคว้ามันมาไว้ในมือแล้วเดินนำไป ปล่อยให้ร่างสูงสาวเท้ายาวๆตามไปไม่ไกลนัก

หญิงสาวร่างเล็กเดินหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้จากชั้นมาอ่านดูก่อนจะโยนใส่รถเข็นที่ชายหนุ่มเข็นตามมา เปล่าเลย เจสสิก้าไม่ได้รู้เรื่องการทำอาหารหรอก เธอแค่อ่านสลากแล้วเลือกเอาที่เหมือนกับรายการของคริสก็เท่านั้น แล้วก็เลือกเอาที่เธอคุ้นๆว่าเคยเห็นที่บ้าน อันไหนที่ไม่คุ้นเธอก็เลือกที่ราคา เจสสิก้าถือคติที่ว่าของแพงมักดีกว่าเสมอ คริสได้แต่เดินเข็นรถมองตัวช่วยข้างหน้าอย่างมีหวังว่าอย่างน้อยสิ่งที่เขาตั้งใจไว้มันอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด

แต่เจสสิก้าก็ไม่ทำให้เขาจะดีใจมากไปกว่านั้น หญิงสาวเอ่ยลาทันทีที่เลือกของและชำระเงินเสร็จ “ทำเองเถอะนะคริส ฉันว่านายทำเองน่าจะดีกว่า อีกอย่าง..ฉันทำอาหารไม่เป็น” สิ้นคำคนตัวเล็กก็เดินจากไปทิ้งเขาให้ยืนมองข้าวของที่ซื้อมาตรงหน้า อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

…อย่าบอกนะว่าไอ้ที่ซื้อมานี่เลือกโดยคนทำอาหารไม่เป็น อย่าได้เลือกผิดเชียวนะเจสสิก้า

…ขอโทษนะคริส ฉันพอจะรู้ว่าเธออยากจะทำอะไร แต่ถ้าฉันช่วยมันจะพังกันไปหมดน่ะสิ

ร่างสูงใหญ่เดินถือข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาในห้องชุดขนาดใหญ่อย่างทุลักทุเลก่อนจะวางลงบนโต๊ะทานอาหารในห้องครัว เขาค่อยๆหยิบของที่ซื้อมาออกมาจากถุงทีละอย่าง นัยน์ตาสีเข้มค่อยๆอ่านสลากเพื่อเทียบกับกระดาษที่เขาจดไว้เมื่อครู่ เขาเปิดตู้ขนอุปกรณ์ทำครัวทุกอย่างเท่าที่มีออกหมายจะมาวางบนเคาท์เตอร์ครัวในคราวเดียว แต่กลับหลุดมือหล่นกระจายอยู่ที่พื้น คริสใช้มือข้างนึงค่อยๆหยิบมาไว้ในแขนแกร่งก่อนจะหอบเอาทุกอย่างขึ้นมาวางสำเร็จ เขาเดินไปหยิบชุดกันเปื้อนลายน่ารักที่เธอมักจะใส่มาสวมทับเสื้อยืดแขนยาวสีขาวแล้วถกแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะให้กำลังใจตัวเองอย่างกับคนจะออกรบ สุดท้ายเขาก็เริ่มจากการตวงส่วนผสมตามที่ตัวเองจดไว้ มือหนาทำทุกอย่างอย่างเงอะๆงะๆตามประสาคนไม่เคย ปากก็พลางท่องจำนวนส่วนผสมพร้อมๆกับที่กำลังตวง

“แป้งหนึ่งถ้วยครึ่ง หนึ่ง ครึ่งถ้วยคืออันไหนเนี่ย” เขาหยิบถ้วยตวงขึ้นมาส่องอ่านตัวหนังสือที่ด้านข้างเพื่อความมั่นใจว่าเป็นครึ่งถ้วยก่อนจะใช้ตวง

ส่วนผสมค่อยๆวางเรียงอยู่ในถ้วยตรงหน้าทีละอย่างจนกินพื้นที่เกือบเต็มเคาท์เตอร์ยาวในห้องครัว มือหนาเอื้อมหยิบชามผสมใบใหญ่กับตะกร้อตีไข่ขนาดถนัดมือขึ้นมา ดวงตาคมเข้มอ่านกระดาษบันทึกอีกครั้ง นึกถึงภาพที่ตนเองได้ค้นคว้าหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี เขาหยิบเนยกับน้ำตาลใส่ลงไปในชามอ่างค่อยๆผสมให้เข้ากันอย่างทุกลักทุเล เสียงก๊องแก๊งยังคงดังได้ยินเป็นระยะๆเพราะเขายังคงไม่คุ้นกับการทำอาหาร เดี๋ยวก็ทำไม้ตีบ้างชามที่ใช้ผสมแป้งบ้างหลุดมือ ชายหนุ่มค่อยๆใส่ส่วนผสมลงไปทีละอย่างและค่อยๆทำมันอย่างพยายามจนแป้งเหมือนจะเข้ากันดี เขาตักส่วนผมใส่ในถ้วยคักเค้กแล้วนำเข้าเตาอบที่ตั้งความร้อนไว้ ระหว่างรอเวลาให้ขนมอบได้ที่ร่างสูงเดินไปเดินมาอย่างกับหนูติดจั่น สายตานั้นแทบจะไม่ละไปจากวัตถุที่อยู่ในเตาอบเลย เพียงไม่นานคริสก็นำถาดขนมที่อบร้อนๆออกจากเตามาวาง ชายหนุ่มกอดอกยืนมองคัพเค้กที่ได้อย่างภูมิใจทั้งๆที่ยังไม่เสร็จดี เหงื่อเม็ดโตไหลซึมลงมาตามไรผมแต่เขากลับเช็ดด้วยแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นบอกการมาถึงของใครบางคน ร่างสูงใหญ่ละจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารีบไปเปิดประตูให้ทันทีราวกับคนกำลังรอผู้มาเยือนคนนี้ ทันทีที่คริสเปิดประตูรับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมวงก็ดังขึ้น “พี่คริส! นี่พี่กำลังทำอะไร!!”

ภาพชายหนุ่มอกสามศอกใส่ชุดกันเปื้อนสั้นเต่อ ทั้งตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่นแป้งสีขาวไม้เว้นแม้แต่ศรีษะ แป้งที่เกาะจนแห้งอยู่ที่ใบหน้าหล่อนั่นทำให้ซูโฮไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ง่ายๆแม้ได้รับการตอบโต้ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายของคนตัวโตกว่า “หัวเราะอะไรของนาย” เขาเอ่ยก่อนที่ร่างสูงใหญ่หันขวับเดินเข้าห้องไปทำเอาซูโฮชักใจคอไม่ดี ก็จะอะไรเสียอีก ใครๆต่างก็รู้กันว่าคริสอารมณ์เสียน่ะเลวร้ายแค่ไหน

ซูโฮเดินตามเขาเข้าไปในห้องอย่างคุ้นเคย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร คริสกลับเรียกเขาให้เดินตามเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับยื่นอะไรบางที่หน้าตาคล้ายกับขนมสีน้ำตาลเข้มมาตรงหน้า “อะ ลองกินดู”

ซูโฮยื่นมือไปรับของชิ้นนั้นมาอย่างเกร็งๆ เดาไม่ออกว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นอยู่ในอารมณ์ไหน เมื่อแรกดูเหมือนจะโกรธแค่กลับยื่นขนมประหลาดมาให้แทน ซูโฮมองขนมในมือสลับกับเพื่อนของเขาอย่างพิจารณา เขากับคริสรู้จักกันมานานจึงทำให้ทั้งเป็นเพื่อน พี่และที่ปรึกษา ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักที่แม้แต่บุรุษเพศด้วยกันอย่างเขายังอิจฉาไม่ได้ฉายแววความมั่นใจอย่างทุกครั้ง กลับแดงไปจนถึงใบหู ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยจึงทำให้พอรู้ว่าแท้จริงแล้วคริสไม่ได้โกรธ เขาก็แค่..อาย ชายหนุ่มไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ เขาเป็นคนที่มีความเป็นผู้ชายสูงลิบ ห้องครัวและการทำอาหารห่างไกลความเป็นคริสนัก แล้ววันนี้เกิดอะไร

“เป็นยังไงบ้างวะ” คริสถามขึ้นทันทีที่ซูโฮยกขนมอบฝีมือเขาขึ้นกินก่อนที่จะแสดงสีหน้าแสนประหลาดก่อนจะไอค่อกแค่กจนเหมือนสำลัก คริสรีบยื่นไปไว้ตรงหน้าเพื่อนทันทีในขณะที่ซูโฮเองก็รับไปดื่มอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“มันก็ไม่แย่นะ พอกินได้อ่ะ” รสชาติมันก็ไม่แย่นัก จัดว่าดีผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกเลยทีเดียว หากแต่มันร้อน แข็ง และขมจนเกินคำว่าอร่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง

“งั้นนายว่าถ้าใส่สตรอว์เบอร์รี่ลงไปจะได้ไหม” คนสูงวัยกว่าถามแบบไม่มั่นใจเท่าไรนัก

” หา! สตรอว์เบอร์รี่!” ซูโฮร้องเสียงหลง ก็จะไม่ให้ตกใจขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ในเมืองคัพเค้กที่เขาเพิ่งเสี่ยงชีวิตกินไปเป็นคัพเค้กขนาดจิ๋วแต่สตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดตรงหน้าเขามองยังไงก็ดูใหญ่เกินไป ขนาดมันน่าจะเท่าหรือใหญ่กว่าคัพเค้กที่เขาเป็นหนูทดลองด้วยซ้ำไป “พี่จะใส่มันไปทำไม!”

คริสไม่ตอบอะไร เขาเองก็รู้ดีว่าว่าสตรอว์เบอร์รี่นั้นมันขนาดเกินที่จะใส่ลงไปในคัพเค้กจิ๋ว แล้วเขาควรจะทำอย่างไร ก็ในเมื่อทำตามที่จดมาทุกอย่างแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ดวงตาคมมองไปที่คัพเค้กขนาดเล็กสีน้ำตาลเข้มกับสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่

…แค่ทำเค้กให้เป็นเค้กก็ยากแล้ว เอาเป็นว่าทำวานิลาคัพเค้กธรรมดาให้สำเร็จก่อนดีไหม

…ผมว่าพี่อย่าทำเลยจะดีกว่า ซื้อเอาเถอะ ผมสงสารคนกิน ㅠㅠ

พ่อครัวขนมหวานมือสมัครเล่นมองของตรงหน้าอย่างชั่งใจ ระหว่างไปซื้อสตรอว์เบอร์รี่ลูกเล็กจิ๋วมาใหม่เพื่อให้ใส่ลงไปในคัพเค้กนั้นได้หรือไปซื้อถ้วยคัพเค้กขนาดปกติมาแทน คิดแล้วเคืองตัวเองไม่หายที่ไม่รู้จักเอะใจว่าทำไมขนาดถ้วยมันถึงได้เล็กนัก

“นายนั่งเล่นไปก่อนอย่าเพิ่งไปไหนนะ เดี๋ยวพี่มา” ชายหนุ่มพูดก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป

“เฮ้ย! ฮยอง!” ซูโฮร้องเรียกชายหนุ่มผู้พี่เสียงดังแต่ก็รั้งเขาไว้ไม่ทัน คริสเดินผลุนผลันออกไปทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลายน่ารัก

ร่างสูงเดินกลับเข้ามาในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เพิ่งมากับเจสสิก้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วแต่แตกต่างกันที่ครั้งนี้เขามาเพียงคนเดียว คริสเดินไปตรงชั้นวางที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นถ้วยคัพเค้กกระดาษหลากสีโดยไม่ได้ใส่ใจสายตาหลายต่อหลายคู่ที่มองมาที่เขาหรือแม้แต่เสียงหัวเราะคิกคักที่แว่วมาให้เขาได้ยิน ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบเอาถ้วยกระดาษมาก่อนจะเดินไปเลือกซื้อสตรอว์เบอร์รี่สีสดขนาดเล็กลงมาอีกหนึ่งแพค .. ไม่ว่ายังไงก็คงสำเร็จซักทางสิน่า เขาพยายามบอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น

ระหว่างทางเดินไม่ไกลนักจากอพาร์ทเมนท์ของชายหนุ่ม คริวเดินถือถุงถ้วยกระดาษฝ่าสายลมหนาวพลางนึกก่นด่าตัวเองในใจที่รีบร้อนออกมาจนไม่ได้หยิบแม้แต่เสื้อหนาวก่อนที่จะชะงักกึก ดวงตาคมเหลือบลงมองตัวเองในชุดผ้ากันเปื้อน วูบนั้นเขาลืมความเย็นเฉียบไปชั่วขณะ ทั้งตัวร้อนผ่าวเมื่อนึกได้ว่าตัวเองน่าอายขนาดไหน ยิ่งคิดถึงสายตาหยอกล้อที่เขาเห็นและเสียงหัวเราะขันที่เขาได้ยินยิ่งทำให้เขายิ่งอับอาย ขายาวๆนั้นก้าวอย่างรวดเร็วจนเกือบวิ่งเพื่อจะพาตัวเองกลับบ้านไปให้เร็วที่สุด

“ย่าห์! คิม จุนมยอน!” เสียงเรียกชื่อจริงของซูโฮดังลั่นพร้อมกับเสียงเปิดประตูปัง ซูโฮที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเปล่งเสียงหัวเราะทันทีที่ร่างสูงใหญ่ผูกผ้ากันเปื้อนติดระบายสีหวานสั้นเต่อยืนหอบอยู่ตรงหน้า หาได้เกรงกลัวกับท่าทางแข็งๆอาการโวยวาย และใบหน้าที่แดงก่ำ ด้วยรู้ว่าคริสก็แค่อายจริงๆ

“ไม่บอกกันซักคำวะว่าไม่ได้ถอดผ้ากันเปื้อน”

“ก็ผมบอกไม่ทัน” ซูโฮตอบพลางหัวเราะจนคริสเองไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็พาตัวเองเดินกลับเข้ามาในห้องครัวปล่อยซูโฮให้ขําให้พอใจจนเหนื่อยและหยุดไปเองในที่สุด

หลังจากที่วางของที่ซื้อมาไว้ที่เคาท์เตอร์ห้องครัว ชายหนุ่มก็เริ่มตั้งสติอีกครั้งก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คริสเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องวุ่นวายทำอะไรที่ไม่คุ้ยเคยและแสนจะยุ่งยากขนาดนี้ แต่เมื่อนึกถึงดวงหน้าใสและรอยยิ้มหวานเหตุผลทุกอย่างก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เขายังจำได้ดีเมื่อครั้งที่เธอมักจะถามเขาว่าทำไมถึงชอบเรียกเธอว่ามายคัพเค้กนัก

“ทำไมต้องมายคัพเค้กละคะ”

“ทำไมคนอื่นเค้าเรียกกันว่าที่รักแล้วทำไมเค้าถึงเป็นขนมละคะ!”

“คัพเค้กมันอ้วนไม่ใช่เหรอคะ เค้าอ้วนเหรอคะ”

รอยยิ้มละมุนเผยขึ้นช้าๆบนใบหน้าหล่อสมบูรณ์นั้นเพียงแค่คิดถึงเธอที่รัก มือหนารวบหยิบอุปรณ์เครื่องครัวที่เลอะเทอะไปทำความสะอาดก่อนจะเริ่มลงมือทำใหม่อีกครั้ง

ร่างสูงเฝ้าเวียนวนอยู่หน้าเตาอบ ดวงตาคมคอยแต่จะมองสังเกตความเปลี่ยนแปลงของของที่อยู่ด้านในนั้น ขนมที่ค่อยๆฟูขึ้นทีละน้อยและกลิ่นหอมหวานที่อบอวลไปทั่ว ทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้เขาก็ปรี่เข้าไปนำเอาขนมอบใหม่ออกมาด้วยใจระทึก ครั้งนี้ผลงานออกมาคัพเค้กสีเหลืองทองสวยดูน่ารับประทาน ดูดีกว่าครั้งที่แล้วอย่างไม่น่าเชื่อ เขายิ้มอย่างยินดีก่อนจะหยิบเอากระดาษที่เริ่มยับยู่ยี่ออกมาดูอีกครั้งก่อนที่สายตาจะพลันเหลือบไปเห็นถุงถ้วยคัพเค้กที่เรียงกันอยู่เกือบจะครบทุกสีทุกขนาดตั้งแต่ขนาดมินิ ขนาดกลาง ขนาดปกติ

…เจสสิก้า! เธอจะหยิบถ้วยคักเค้กมาให้ทำไมทุกไซส์!!

…ขอโทษน่ะคริส ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันทำอาหารไม่เป็น

มือหนาหยิบเอาคัพเค้กที่ตั้งไว้จนเย็นขึ้นมาพิจารณา เขาตัดสินใจหยิบช้อนตักเอาตรงกลางออกบางส่วนแล้วลองวางสตรอว์เบอร์รี่ลงไปก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองลืมทำไอซิ่งเหลว คริสหยิบเอาชามอ่างขึ้นมาผสมน้ำตาล ผิวมะนาว และน้ำมะนาวจนเข้ากันดี เขามองก้อนเค้กที่ตักออกมาแล้วจึงหยิบเข้าปากเสีย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฎอยู่บนใบหน้าทันทีที่ได้รู้ว่าครั้งนี้ฝีมือของเขาไม่แย่อย่างที่คิด ครั้งที่แล้วเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีผิดพลาดกันบ้างแล้วมันก็เป็นความโชคร้ายของซูโฮก็เท่านั้น ครั้งนี้เขารับประกันว่ามันจะต้องออกมาดี ชายหนุ่มค่อยๆเทน้ำตาลไอซิ่งเหลวที่ละลายไว้บนหน้าคัพเค้กแล้วโรยผงน้ำตาลสีเขียวและตกแต่งให้สวยงาม

ร่างสูงเกินมาตรฐานชายเกาหลีที่เดินเข้ามาหาเธอในร้านกาแฟขนาดเล็กเป็นจุดสนใจของคนเกือบจะทั้งร้าน ด้วยหน้าตาหล่อเหลาและผมสีทองเจิดจ้าแตกต่างจากชายเกาหลีทั่วไป สายตาที่ต่างจับจ้องว่าใครหนอจะเป็นหญิงสาวผู้โชคดีที่ได้ครอบครองหัวใจของหนุ่มรูปงามคนนี้ เพียงแค่เขาไปยืนหยุดอยู่ที่โต๊ะความสนใจก็เปลี่ยนจากเขาไปเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่แทน เธองดงามหมดจด สีหน้าท่าทางอ่อนหวานราวกับนางฟ้าในชุดสีโอล์ดโรส

“ไปไหนมาคะ เค้าโทรมาไม่เห็นรับสาย แถมไม่ตอบข้าความเค้าด้วย .. เคืองชะมัด” เสียงหวานเอ่ยถามแกมตัดพ้อทันทีที่เห็นคนคุ้นตาอยู่ตรงหน้า

กล่องสีขาวลายจุดสีเขียวประดับด้วยริบบิ้นสีเดียวกันดูน่ารักถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว ดวงหน้าหวานเผยผิวขาวใสแต่งแต้มแค่เพียงลิปกลอสสีชมพูอ่อนบนริมฝีปากสวย นัยน์ตาที่มักจะเปล่งประกายระยับมองเขาอย่างสงสัย เมื่อวานเธอติดต่อคนรักหนุ่มไม่ได้ตลอดทั้งวันจนเริ่มกังวล แต่เจสสิก้ากลับบอกว่าคริสไม่เป็นอะไรหรอก แค่ทำบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ว่าเธอจะพยายามถามเท่าไรว่าเจสสิก้ารู้ได้อย่างไรว่าคริสกำลังทำอะไรแต่พี่สาวก็ไม่ยอมขยายความ บอกเธอแค่เพียงว่า .. เดี๋ยวก็รู้

ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างๆหญิงสาวอย่างคุ้นเคย เขามองมือเรียวบางค่อยๆแกะริบบิ้นสีหวานออกอย่างทนุถนอมก่อนจะเปิดดูด้านในด้วยความระมัดระวัง ดวงตาสวยเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นสิ่งของที่อยู่ด้านใน คัพเค้กที่ไม่ได้แต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมหนาๆหากแต่เป็นไอซิ่งบางๆสีเขียวอ่อนจนเกือบจะกลายเป็นขาวเกาะอยู่บนเนื้อเค้กสีเหลืองสวยน่ารักประทาน ด้านบนประดับด้วยใบสตรอว์เบอร์รี่สีเขียวสดดูน่ารัก หญิงสาวหันไปมองคนข้างๆอย่างตื่นเต้นระคนสงสัย

“คุณทำเองเหรอคะ คริส”

“เธอคิดว่ายังไงล่ะซอฮยอน” เขาตอบอย่างไว้ทีทั้งๆทีในใจแสนยินดีที่เห็นรอยยิ้มเจิดจ้า ชะรอยของขวัญที่เขาตั้งใจทำให้คนจะถูกใจเธอไม่น้อยทีเดียว

“มันจะทานได้ไหมคะ” เธอเอียงคอถามอย่างหยอกเย้าจนคริสหน้าแดงไปถึงหูด้วยรู้ว่าคนรักไม่เคยแม้แต่จะทำรามยอนด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงการทำขนมอบหรือเบเกอร์รี่ที่ซับซ้อนกว่านั้น มือหนาเอื้อมมาทำทีว่าจะดึงของที่สู้อุตส่าห์ทำข้ามคืนกลับหากแต่เธอฉวยไว้ได้ทัน

“ให้แล้วไม่เอาคืนสิคะ คริส” เธอตอบพลางส่งยิ้มหวานที่เขามองยังไงก็แสนจะกวนส่งมาให้ ก่อนที่จะหยิบคัพเค้กขึ้นมาลองทาน “เค้าลองชิมนะ”

หญิงสาวทำหน้าประหลาดใจอีกครั้งที่ภายใต้เนื้อเค้กนุ่มและไอซิ่งรสเปรี้ยวหอมกลิ่นมะนาวกลับมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆจากเนื้อนุ่มฟูของสตรอว์เบอร์รี่เกาหลีไม่ได้เป็นแค่เนื้อเค้กอย่างที่เธอเข้าใจ ดวงตาคมมองคนข้างๆอย่างสังเกตอาการ คริสมองเธอค่อยๆเคี้ยวทีละคำจนกลืนลงคอไปก็ยังจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นราวกับเป็นคำถาม

“มองเค้าอย่างนั้นทำไมคะ อร่อยขนาดนี้เค้าไม่ตายหรอกค่ะ” เธอพูดพลางส่งรอยยิ้มหวานมาให้ก่อนจะพูดอีกประโยคถัดมาเบาๆ “แต่อาจจะท้องเสีย”

มือหนารวบคนตัวเล็กเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแน่นอย่างต้องการจะทำโทษคนขี้แกล้ง เธอจะรู้บ้างไหมว่าคัพเค้กชิ้นเล็กๆที่เธอกินอยู่น่ะทำเขาสาหัสเพียงใด “ว่าไงนะคะ มายคัพเค้ก”

“ไม่ว่ายังไงนะคะ หูไม่ดีหรือเปล่า” เธอตอบ ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อจนเกือบจะเป็นสีเดียวกับสตรอว์เบอร์รี่

ริมฝีปากหนากดประทับลงที่ปากเรียวบางได้รูปลิ้มรสหอมหวานจนแทบไม่อยากถอน หญิงสาวจูบตอบเขาอย่างอ่อนหวานหลังจากที่หายตกใจ เป็นครั้งแรกที่คริสแสดงความรักกับเธอต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะในที่สาธารณะ ปกติแล้วเขามักจะชอบทำท่านิ่งขรึมจนใครๆต่างก็สงสัยว่าเธอรักคนอย่างเขาไปได้ยังไง น้อยคนนักที่จะรู้ถึงความน่ารักของผู้ชายคนนี้ น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสอย่างที่เธอสัมผัส

“ทำไมต้องเป็นคัพเค้กล่ะคะ” เธอกระซิบถามอย่างแผ่วเบาทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงสัมผัสกันจนคนถูกถามใจเต้นไม่แพ้กับจูบแรก ซอฮยอนทำให้เขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กชายอายุสิบห้าที่ไม่ประสาเรื่องรักอีกครั้ง

“คัพเค้กมันทั้งหอมหวาน กลิ่นวานิลลาจางๆเหมือนกับเธอ ชิมแล้วก็อยากจะชิมอีกบ่อยๆน่ะสิ” เขาหยุดคำตอบไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเริ่มชิมคัพเค้กแสนรักของเขาอีกครั้งอย่างละมุนละไม

…Happy Valentine’s, My Cupcake

One Shot คริส ซอฉลองวาเลนไทน์ค่า
เหตุเกิดเพราะชื่อเล่นหรือ pet name ที่ซอฮยอนพูดถึงใน Romantic Fantasy เลยลองเอามาแต่งดู
เนื้อเรื่องเทไปทางพ่อรูปหล่อซะเป็นส่วนมาก ถึงจะคู่กันน้อยไปนิดแต่ก็น่ารักใช่ไหมคะ ><
รูปที่แปะเป็นหน้าตาคัพเค้กที่เอามาใช้ในเรื่องค่ะ คนเขียนก็ต้องไปหาสูตรมาเหมือนกัน
เพราะเรื่องนี้ทำให้อยากกินคัพเค้กทุกครั้งที่เขียน ถ้าอ้วนจะโทษซอฮยอน บู่~!
สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะทุกคน ขอให้มีความรักที่อร่อยหอมหวานเหมือนคัพเค้ก ^^

20130214-215858.jpg

Strawberry Lime Cupcake

ที่มา : Food network
http://www.foodnetwork.com/recipes/food-network-kitchens/strawberry-lime-stuffed-cupcakes-recipe/index.html

Life is a tragedy when seen in close-up, but a comedy in long-shot.” – Charlie Chaplin

1.

ในห้องทำงานสีขาวสะอาดตา ร่างสูงมองออกไปนอกหน้าต่างที่ขึ้นเป็นฝ้าจางๆ เกร็ดน้ำแข็งจากหิมะยังคงเกาะบางๆอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ด้านนอกทั้งอาคารและทางเดินเต็มไปด้วยสีสันประดับประดาไปด้วยของขวัญ ต้นคริสต์มาส กวางเรนเดียร์ และซานตาครอส ผู้คนต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองทำให้บรรยากาศของโซลในตอนนี้อบอวลไปด้วยความสุข ความอบอุ่น รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ช่างแตกต่างกับห้องทำงานเงียบๆของเขาเสียเหลือเกิน

ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก มือหนาหยิบตำราแพทย์ด้านหัวใจที่อ่านค้างไว้มาเปิดดู ดวงตาคมไล่อ่านทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นแพทย์เฉพาะทางแต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นแพทย์เวรประจำแผนกฉุกเฉินในคืนวันคริสต์มาสอีฟอย่างนี้เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยที่เป็นหนุ่มโสดไร้พันธะ คงดีกว่าที่จะให้คนที่มีครอบครัวหรือคนรักได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างนี้ ส่วนเขายินดีฉลองกับเพื่อนร่วมงานและคนไข้ในโรงพยาบาล อาจจะเป็นโชคดีที่ตั้งแต่เข้าเวรวันนี้เคสฉุกเฉินมีแค่อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น แค่ทำแผลนิดหน่อยก็ปล่อยให้กลับบ้านได้ เขาจึงได้ใช้เวลาว่างจากการตรวจที่แผนกฉุกเฉินมาค้นคว้าเพิ่มเติม เผื่อว่าจะมีข้อมูลดีๆน่าสนใจสามารถใช้รักษาผู้ป่วยภายใต้การดูแลของเขาได้

“คุณหมอจองคะ!” เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจากภายนอกพร้อมกับเสียงอึกทึก

ยุนโฮรีบฉวยเอาเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดมาใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าโดยไม่ลืมหยิบสเตทโตสโคปที่วางอยู่ไปด้วย ร่างสูงกำยำก้าเท้ายาวๆไปตามทางที่คุณพยายาลเดินนำไป ไม่ทันไรก็ไปหยุดข้างเตียงเลื่อน หญิงสาวท้องแก่ใกล้คลอดนอนอยู่บนเตียงอย่างกระสับกระส่าย ดวงตาคมสะดุดไปชั่วครู่เมื่อเห็นเจ้าของดวงหน้าหวานที่ตอนนี้ชื้นด้วยไรเหงื่อ

“ซอฮยอน…” เสียงครางเบาๆหลุดออกมาจากคุณหมอหนุ่มทันทีที่เห็นเธอ

…ซอฮยอนท้องอย่างนั้นหรือ กับใครกัน แล้วคริสล่ะ

“ซอ จูฮยอน ตั้งครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ เจ็บท้องคลอด ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตรแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลรายงานฉุดเรียกเขาขึ้นจากความสงสัย ตอนนี้ยังไงคงต้องทำคลอดก่อนแล้วค่อยเรียบเรียงเคียงถาม

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับที่มือน้อยแน่น เขาเอ่ยกับว่าที่คุณแม่ที่กำลังอยู่ในความเจ็บปวดด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “ซอฮยอน-อาห์ จำพี่ได้ไหม พี่จะเป็นคุณหมอทำคลอดให้เธอเองนะ”

“พี่ยุนโฮ” เสียงหวานแหบแห้งเรียกชื่อเขาเมื่อมองได้ถนัดขึ้น

“พี่จะดูแลทั้งเธอและลูกให้ปลอดภัย ไว้ใจพี่นะซอฮยอน” เขาเอ่ยกับเธอก่อนหันไปบอกพยาบาลให้พาเธอไปยังห้องเตรียมคลอด ส่วนเขาแยกไปเตรียมตัวเพื่อทำหน้าที่เป็นคุณหมอทำคลอดให้กับเธอ

กว่าชั่วโมงที่ซอฮยอนอดทนกับความเจ็บปวด โดยมียุนโฮรับหน้าที่เป็นทั้งคุณหมอและญาติเพียงคนเดียวที่คอยให้กำลังใจ จนก้าวเข้าสู่วันใหม่หญิงสาวก็ได้ให้กำเนิดทารกน้อยเพศชายหน้าตาน่ารักน่าชัง .. เด็กชายเกิดในวันคริสต์มาส ราวกับว่าเป็นของขวัญชิ้นน้อยๆแสนล้ำค่าที่ซานตาครอสมอบให้เธอ

รอยยิ้มอบอุ่นเคลือบริมฝีปากทันทีที่เธอเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและคนรัก หญิงสาวรับทารกน้อยจ้ำม่ำจากพยาบาลมาไว้ที่แนบอก ดวงตากลมสวยพินิจมองเจ้าตัวเล็กทีละส่วน ดวงหน้ากลมและแก้มยุ้ยๆ ผิวขาวจัดออกชมพูของทารกแรกคลอด ดวงตาที่ยังคงปิดสนิทรับกับจมูกเล็กและปากแดงจุ๋มจิ๋ม .. น่ารักเกินกว่าจะเป็นลูกชาย โตขึ้นคงสวยเหมือนพ่อ .. คุณหมอหนุ่มเฝ้ามองทุกอากัปกิริยาของคุณแม่คนใหม่อย่างอ่อนโยนแม้ในใจยังเต็มไปด้วยความสงสัย

“ซอฮยอน..” เขาเรียกเธออย่างคนตั้งใจที่จะถามแต่สุดท้ายกลับกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป เหลือเพียงเสียงเรียกชื่อเธออย่างแผ่วเบา

หญิงสาวละสายตาจากลูกน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขา เธอพอจะรู้ได้ถึงความข้องใจที่บุรุษหนุ่มตรงหน้ามี “ถามมาเถอะค่ะ ฉันตอบได้”

ยุนโฮนิ่งไปอยู่อึดใจ เขาถอนหายใจหนักก่อนที่จะเอ่ย “เด็กคนนี้…”

“เค้าคือลูกของคริสค่ะ” เธอตอบอย่างสัตย์จริง ดวงตาหลุบมองลงที่ลูกชายตัวน้อย หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆเพื่อไม่ให้เขาได้เห็นหยาดน้ำใสที่กำลังเอ่อล้นอยู่ริมสองตา

“แต่คริส…” ยุนโฮถามกลับเกือบจะทันที

“คริสเสียไปก่อนที่จะได้รู้ว่าเค้าจะได้เป็นพ่อ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนอยากมีแท้ๆ .. พี่คะ พี่ว่าคริสจะดีใจไหมคะที่เค้ามีลูกชายน่ารักขนาดนี้” หญิงสาวตอบพร้อมกับคำถามที่ถามราวกับว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง

ดวงตาคมมองภาพสองแม่ลูกตรงหน้าอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร คริส วูเป็นรุ่นน้องนักศึกษาแพทย์ที่เรียนตามกันมา คริสรักกับซอฮยอนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย เขารู้จักคริสครั้งแรกก็เพราะครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมรุ่นเคยเข้าใจผิดว่าเขาไปเดทกับเด็กภาษาศาสตร์ผมม้าหน้าใส แต่สุดท้ายกลับเป็นคริสที่ไปเดทกับซอฮยอน ด้วยส่วนสูงและรูปร่างที่คล้ายคลึงกันจนทำให้เพื่อนที่เห็นเพียงแค่ด้านหลังเข้าใจผิด ก็ใครเลยจะนึกว่าผู้ชายเกาหลีร่างสูงกำยำท่าทางดีจะเรียนแพทย์มากกว่าดารา

ที่เขารู้คริสและซอฮยอนอาศัยอยู่ด้วยกันฉันท์คนรักหลังจากเรียนจบ ทั้งสองไม่เคยทะเลาะกันแม้สักครั้ง คริส…ชายหนุ่มหน้าตานิ่งขรึมมักจะกลายเป็นคนขี้แกล้งและยิ้มเสมอเมื่ออยู่กับเธอ เธอ..ซอฮยอน หญิงสาวแสนอ่อนหวานจะกลายเป็นเด็กผู้หญิงช่างพูดคอยบ่นคอยดุคนรักไม่เว้นวัน เขามองแล้วก็นึกแปลกใจอยู่ทุกครั้งว่าความรักมันช่างประหลาดนัก คนเรามักจะมีด้านที่ไม่น่าเชื่อเสมอเมื่ออยู่กับคนคนนั้น หากความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่นึกฝัน คริสจากไปด้วยอุบัติเหตุ ปิดฉากอนาคตแสนสวยงามตรงหน้าของคุณหมอหนุ่มรูปงามและนักประพันธ์สาวแสนสวย

ไม่มีข่าวคราวใดจากซอฮยอนอีกเลยหลังจากงานศพคริสที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หญิงสาวหายเงียบไปจนทุกคนรอบข้างเป็นห่วง บ้างก็ว่าซอฮยอนยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิิดขึ้น บ้างก็ว่าเธอย้ายไปอยู่อาศัยที่เมืองอื่นตามลำพังอย่างคนไร้ญาติ เขาเองไม่ได้ติดใจไถ่ถามจนเมื่อได้พบเธอวันนี้ … วันที่หนึ่งชีวิตน้อยๆลืมตาขึ้นดูโลกโดยมีสองมือของเขาเป็นสองมือแรกคอยโอบอุ้ม

…แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปซอฮยอน

2.

เสียงนกร้องประสานกับเสียงหวานละมุนจากเพลงกล่อมเด็ก ซอฮยอนมองทารกน้อยที่เธออุ้มไว้แนบกาย เด็กชายหลับสนิทหลังจากที่เธอเพิ่งป้อนนมไปเมื่อครู่ หญิงสาวค่อยๆวางลูกน้อยลงที่บนเตียงก่อนจะตระคองกอดไว้อย่างเบามือเธอหยุดร้องเพลงกล่อมเด็กที่ฟังแล้วแสนเศร้าก่อนจะเปลี่ยนมาลูบศรีษะทุยน้อยพร้อมกับค่อยๆปล่อยตัวเองไปกับความคิด

“มีลูกกันเถอะนะซอฮยอน เธอก็รู้ว่าฉันอยากมีลูก” เสียงกระเง้ากระงอดของชายหนุ่มร่างโตดังขึ้น อีกครั้งแล้วที่คริสยังคงแสดงความตั้งใจในเรื่องเดิมๆ “อย่าคุมเลยนะซอ” เค้าพูดก่อนจะโยนแผงยาคุมกำเนิดขนาดเล็กทิ้งลงถังขยะไปต่อหน้าต่อตาอย่างที่อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหัวยิ้ม

…ทำตัวเป็นเด็กอีกตามเคย แล้วอย่างนี้จะเป็นพ่อคนได้ยังไงกัน

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองที่คนตัวเล็กกว่าพลางส่งสายตาอ้อนวอน ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือหนาเอื้อมไปจับกุมมือน้อยๆของเธอเขย่าเบาๆอย่างต้องการขอความเห็นใจ เขาเองรักเธอจะตายอยู่แล้ว คบกันอยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ตัวเขาเองก็อยากจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเสียที ถึงแม้ใครจะบอกว่าพวกเขายังไม่พร้อมที่จะมีลูก คริสเพิ่งเริ่มทำงานได้เพียงไม่กี่ปีและยังต้องศึกษาแพทย์เฉพาะทางต่อ ในขณะที่งานเขียนบทละครของซอฮยอนกำลังก้าวหน้า แต่เขาเชื่อแสนเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ซอฮยอนมองคนตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหากแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดวงหน้าสวยราวกับรูปสลักเข้ากับผมสีอ่อนทอประกายผิดจากชายชาวเอเชียทั่วไป ดวงตากลมโตคมกริบเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนยากจะอธิบาย ทั้งหยอกเย้า ซุกซน ดื้อรั้น จริงจัง และอ้อนวอน คนรักหนุ่มของเธอนี้ไม่เหลือภาพรุ่นพี่มาดเท่แสนเคร่งขรึม คุณหมอคนเก่งของไข้หรือนักเรียนแพทย์ดีเด่นของอาจารย์ เขาเป็นแค่คริส วู ผู้ชายที่รักเธอหมดหัวใจ

“ใครบอกว่าซอคุม อันนั้นมันของเมื่อเดือนที่แล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยทิ้งให้” เธอบอกเขากลับไปนิ่งๆพร้อมกับรอยยิ้มหวานละไมไปให้

เพียงแค่ได้ยินชายหนุ่มก็ดีใจจนตัวลอย “ไม่คุมแล้วจริงๆนะซอ อย่ามาหลอกให้ฉันดีใจเล่นนะ”

สองสัปดาห์หลังจากนั้นคริสก็ต้องพาซอฮยอนมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเมื่อหญิงสาวมีความปกติบางอย่างกับร่างกาย เขาทั้งสวดภาวนาอ้อนวอนกับพระเจ้า ขอให้ความหวังของเขาเป็นจริงเสียที .. พระเจ้า ได้โปรดประทานพรให้ลูกด้วย ให้ลูกได้มีบุตรสมใจหวังด้วยเถิด

ชายหนุ่มกุมมือเรียวบางของคนที่อยู่ข้างๆแน่นขณะที่รอผลตรวจ มือของเขาเย็บเฉียบแต่กลับชื้นไปด้วยเหงื่อ ซอฮยอนรู้ดีว่าเขาซ่อนความสับสนวุ่นวายใจภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยนั้น

“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะ ซอฮยอนแท้ง อายุครรภ์ยังแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้นเอง ผมคงต้อง….” เพียงเท่านั้นเองที่เขาสามารถจับใจความได้ เสียงนายแพทย์หนุ่มยังคงดำเนินต่อไป หากแต่สมองของเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว

แท้ง..คำเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัว คริสเสียใจไม่น้อยที่สิ่งที่เขาหวังไม่เป็นดั่งใจคิด แพทย์ผู้ดูแลซอฮยอนอธิบายให้เขาเข้าใจอีกครั้งเมื่อเขามีสติมากขึ้น “เด็กเพิ่ง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นเอง เขายังไม่เป็นตัวเลย อายุครรภ์เด็กขนาดนี้ปกติแล้วจะเป็นความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งก็เป็นไปตามการคัดเลือกตามธรรมชาติ คุณเองเรียนทางด้านนี้มาน่าจะรู้”

…รู้แล้วยังไง ในเมื่อความรู้ด้านการแพทย์ที่เรียนมาไม่อาจช่วยเขาได้ในเวลานี้

…รู้แล้วยังไง จะทำให้เธอเสียใจน้อยลงหรือยังไง

คริสได้แต่หันไปหยอกเย้าร่างบอบบางที่อยู่บนเตียง ดวงตาหวานแดงก่ำ หยาดน้ำตาพร่าพราวเกาะอยู่ที่แพขนตางอนหากแต่ไม่ได้ปล่อยให้รินไหลออกมา สำหรับเธอแล้วคงเจ็บปวดมากกว่าเขาหลายเท่านัก ทั้งเจ็บกายและผิดหวัง..เสียใจ แม้จะผิดหวังที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไข แต่เธอสำคัญมากกว่าสิ่งใดในตอนนี้ เขาควรจะต้องดูแลคอยให้กำลังใจเธอเพื่อที่จะก้าวผ่านเวลานี้ไปด้วยกัน

“ว้า แล้วที่ฉันแพ้ท้องแทนเธอล่ะซอ ฉันรู้สึกเหมือนฉันแพ้ท้อง ไม่ใช่หรอกเหรอเนี่ย” เขาแกล้งทำโวยวาย มือหนาเอื้อมไปยีที่ผมม้าด้านหน้าของเธอจนยุ่งไปหมด

“……..” ไม่มีเสียงตอบใดจากอีกฝ่าย น้ำใสแจ๋วเอ่อล้นที่สองตา จมูกได้รูปแดง หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นอย่างไม่รู้เจ็บ ดวงหน้าหวานบอกอาการราวกับจะร้องไห้ได้ทุกขณะจิต

“ไม่เป็นไรหรอกนะซอ ไว้เราค่อยพยายามใหม่อีกก็ได้นี่ เธอก็แข็งแรง ฉันก็แข็งแรง เห็นไหม ปล่อยแค่ไม่ทันไรเธอก็ท้องแล้ว แต่ถ้าเธอไม่มั่นใจ ฉันยินดีจะสร้างความมั่นใจด้วยการทำมันบ่อยๆ ดีไหมซอ”

“คริส คนบ้า!” ร่างบอบบางลุกขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินคำเขา มีอย่างหรือ คนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวานกลับมัวแต่มาพูดจาสองแง่สามง่ามแบบนี้ กำปั้นเล็กทุบรัวซ้ำๆไปที่หน้าอกของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มพยายามปัดป้องก่อนที่จะตัดสินใจรวบเธอไว้ด้วยสองแขนแกร่ง หญิงสาวยังคงพยายามทำโทษเขาแล้วก็หยุดนิ่ง เพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของเขา เพียงแค่ได้รับอุ่นไอที่คุ้นเคย ความแข็งแกร่งที่เธอพยายามสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงกลับพังทลายลงในพริบตา เสียงร้องไห้สะอื้นสะอึ้นดังขึ้นพร้อมกับความเปียกชื้นจากหยาดน้ำตาที่ชุ่มอยู่ตรงหน้าอกเสื้อ คริสปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มกระชับกอดแน่นขึ้นราวกับจะบอกเธอว่า .. ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร

เขาดันตัวเธอออกเมื่อเห็นเธอดีขึ้น สองมือหนาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะอยู่บนแก้มนวลใสอย่างทนุถนอม คริสก้มลงประทับจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากสีชมพู หยาดน้ำตาที่่เหมือนกับจะแห้งไปกลับไหลลงมาอีกครั้ง

…ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา ทำไมถึงต้องเป็นเราสองคน

ซอฮฮยอนใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ไม่นาน ความจริงแล้วเธอปกติที่สุดเท่าที่เธอจะเป็นได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของคริส เขาจึงขอร้องให้เธอพักผ่อนอยู่ซักหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยดำเนินชีวิตตามปกติอีกครั้ง น่าแปลกที่ความผิดหวังได้รับการเยียวยาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ควรเป็น อาจเป็นความรักของเขา .. ความรักของเรา .. ที่ช่วยรักษาทุกอย่างให้หายดีราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

สุขภาพจิตใจของซอฮยอนดีจนน่าตกใจ แต่สุขภาพกายกลับน่าเป็นห่วง หญิงสาวมักจะมีอาการอาหารไม่ย่อยและเสียดท้องจนต้องแอบตื่นขึ้นมากลางดึก เธอรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเธอ หากแต่ไม่อาจรู้ว่ามันคืออะไร ซอฮยอนไม่กล้าบอกคนรักด้วยกลัวเขาเป็นห่วง คริสมักจะทำอะไรเกินไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของเธอ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึกปลุกหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมา ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาของวันใหม่ แต่คริสยังไม่กลับบ้าน ซอฮยอนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มาไว้ที่แนบหู

“ซอฮยอนใช่ไหม คริสเกิดอุบัติเหตุ เธอรีบมาที่โรงพยาบาลด่วนเลยได้ไหม” เสียงใครซักคนที่แสนคุ้นหูดังขึ้นมาตามสาย

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบดี ซอฮยอนก็แทบจะหายตัวไปที่โรงพยาบาล ในยามวิกาลอย่างนี้ ด้วยคำพูดอย่างนี้ ทุกอย่างทำให้เธอร้อนรนจนแทบหายใจไม่ออก จากที่เป็นคนขับรถช้าอย่างที่คริสมักว่าว่าเธอขับรถรอไฟแดง เธอกลับใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีจากบ้านมายังที่หมาย หญิงวิ่งออกจากรถที่จอดเทียบไว้ส่งๆโดยที่ประตูยังไม่ปิดสนิทมายังห้องฉุกเฉิน ที่เบื้องหน้านายแพทย์อาวุโสกำลังยืนหน้าเครียดกับยุนโฮรุ่นพี่ของคริสที่เธอเคยเจอตั้งแต่สมัยเรียน ไม่นานนักผู้สูงวัยกว่าจะเดินจากไป หญิงสาวอีกคนในชุดเสื้อกาวน์สีเขียวเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วคุยอะไรกับนายแพทย์หนุ่มอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ทั้งคู่จะสังเกตเห็นเธอ

…ได้โปรดอย่าเดินมา ได้โปรดอย่าบอกฉันว่าเขาเป็นอะไร ได้โปรด

คำภาวนาของเธอเหมือนกับจะไม่เป็นผล แพทย์หญิงอีกคน แทยอนเพื่อนสนิทของคริส เธอคนนั้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจ ก้าวแต่ละก้าวช่างแสนช้าในสายตาของซอฮยอน ยิ่งใกล้ก็ยิ่งบีบหัวใจเหลือเกิน เธอคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าแล้วพูดอะไรบางอย่างที่ซอฮยอนได้ยินไม่ถนัด

คริส… สาหัส .. เราช่วยจนถึงที่สุดแล้ว .. ไม่ทำงาน .. จากไป .. ซอฮยอนไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินได้ถนัดนัก ราวกับว่าสมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ ความรู้สึกเจ็บปวดไหลปรี่ขึ้นมาจนเธอเจ็บไปหมดทั้งหน้าอก ยิ่งกว่ามีใครเอาหัวใจของเธอออกมาทั้งเป็น เรือนร่างบอบบางในชุดนอนสีขาวทรุดลงทั้งยืนจนหญิงสาวอีกคนที่ตัวเล็กกว่าต้องช่วยประคอง

“แทยอน แท… คริส… เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ” ซอฮยอนถามอีกฝ่ายขาดๆหายๆด้วยแรงสะอื้น หยาดน้ำใสแข่งกันไหลรินลงมาตามนวลแก้ม ใบหน้าหวานสวยตอนนี้ซีดยิ่งกว่ากระดาษขาว ดวงตากลมโตที่เคยส่องประกายวาวระยับกลับว่างเปล่า

“เขาไปแล้วซอฮยอน คริส… เสียแล้ว” แทยอนเจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องเป็นคนแจ้งข่าวร้ายให้กับคนรักของเพื่อนสนิท ยิ่งได้เห็นดวงหน้าที่เปื้อนเปรอะไปด้วยน้ำตาโดยที่เธอไม่อาจะช่วยอะไรได้เธอก็ยิ่งเสียใจ คุณหมอสาวโอบประคองคนที่กำลังร้องไห้อย่างต้องการเป็นที่พึ่งแทนอีกคนที่จากไป

…แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรโดยไม่มีเธอ

หญิงสาวตัดสินใจจัดงานศพของคริสเงียบๆ คริสไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากคุณป้าที่อาศัยอยู่ที่แคนาดา นางเดินทางมาร่วมพิธีศพหลานชายคนเดียวก่อนที่จะเดินทางกลับไปแคนาดาดังเดิม หญิงสาวตัดสินใจหยุดงานประพันธ์ไว้ชั่วคราวเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัด ที่ที่เธอและคริสมักจะไปเสมอๆเมื่อคราวที่เขายังมีชีวิตอยู่ เธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากแทยอนโดยบอกแค่เพียงว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอรู้ร่างกายของเธอกำลังอ่อนแอเช่นเดียวกับจิตใจที่แสนเปราะบาง ซอฮยอนตั้งใจไว้ในทีแรกว่าจะไม่ไปปรึกษาแพทย์เรื่องอาการป่วยของตนเอง แต่เมื่อคิดถึงคำที่อีกคนคอยบ่นเสมอก็ทำให้เธอพาตัวเองมาที่โรงพยาบาลเล็กๆในเขตต่างจังหวัด

“คุณกำลังตั้งครรภ์…” คำพูดแสดงความยินดีที่คุณหมอพูดตามปกติกลับไม่ปกติสำหรับเธอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่าสั้นๆง่ายๆนั้น หญิงสาวยังสับสนจนต้องถามซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ “คุณตั้งครรภ์ได้ 10 สัปดาห์แล้วนะครับ หมอขอแสดงความยินดีด้วย”

เหมือนเสียงอื้ออึงดังอยู่เต็มหัว เธอเห็นภาพคริสยิ้มตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กๆ ภาพคริสมากอดเธออย่างอบอุ่น ภาพคริสเดินอวดใครๆว่ากำลังจะได้เป็นพ่อคน ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาได้จากไปแล้ว อยู่ๆคำถามมากมายต่างก็พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากสวย

“ฉันท้องเหรอคะ ฉันท้องได้ยังไงกัน”

“ฉันเพิ่งแท้งไปเองนะคะ เมื่อสองเดือนที่แล้ว เพิ่งขูดมดลูกมาด้วยซ้ำ คุณหมอแน่ใจแล้วเหรอคะ”

“แล้วลูกของฉันจะเป็นอะไรไหมคะ เขาจะปลอดภัยไหมคะ จะแข็งแรงเป็นปกติไหม”

นายแพทย์อารมณ์ดีหัวเราะขันที่ได้ฟังคำถามจากว่าที่คุณแม่ เขาขอตรวจสุขภาพของมารดาและความสมบูรณ์ของครรภ์ก่อนแล้วจึงค่อยๆอธิบายให้เธอฟังอย่างคนใจเย็น “ผลการตรวจออกมาว่าคุณกำลังตั้งครรภ์จริงๆ เด็กในครรภ์แข็งแรงสมบูรณ์เท่าที่เด็กอายุ 10 สัปดาห์ควรเป็น ที่อัลตร้าซาวด์เมื่อครู่คุณคงได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้น อาการผิดปกติของคุณตลอดระยะเวลาสองเดือนนั่นคงเป็นอาการแพ้ท้องของคุณ ซึ่งคุณแม่แต่ละคนจะมีอาการแพ้ท้องแตกต่างกันไป”

หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่านี่มันใช่เรื่องจริงหรือเปล่า มือเล็กๆที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปให้เธอรู้สึกเจ็บคงเป็นสิ่งเดียวที่บอกว่าเธอไม่ได้ฝัน หูของเธอไม่ได้ฝาด สมองของเธอไม่ได้เลอะเลือนเพราะคิดถึงเขามากเกินไป ที่ผ่านมาที่เธอคิดว่าตัวเองป่วยแท้จริงแล้วเธอกำลังตั้งครรภ์

“เป็นไปได้ว่าไข่ใบนี้ได้รับการผสมและอาจจะเจริญเติบโตช้ากว่าแล้วก็ไปฝังตัวอยู่ในมดลูกตามปกติ ปาฏิหาริย์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างน่าตกใจใช่ไหมคุณซอฮยอน”

…ปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ ถ้าเพียงแต่เขาได้มีส่วนร่วมในปาฏิหาริย์ของเธอก็คงดี

ซอฮยอนเฝ้าดูแลทนุถนอมทารกในครรภ์น้อยๆ หญิงสาวมีความสุขที่ได้อุ้มท้องลูกที่เกิดจากความรักของทั้งเขาและเธอแม้คริสจะไม่มีโอกาสได้ร่วมยินดี แต่เธอมั่นใจว่าเขาจะยังคงมองเธอ เฝ้าดูแลเธอและลูกจากบนฟ้าไกล รอยยิ้มของเธอกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ใจร้ายกับเธอจนเกินไปนัก พระองค์ยังใจดีพอที่จะประทานความสุขเล็กๆหล่อเลี้ยงจิตใจเธอ

3.

“เธอย้ายไปอยู่กับพี่ดีไหมซอฮยอน”

ยุนโฮแทบจะกัดลิ้นตัวเองทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกไปจากปาก เขาเห็นดวงตากลมโตฉายแววประหลาดใจ หญิงสาวทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ยั้งไว้ได้ทัน คุณหมอหนุ่มอยากจะเขกศรีษะตัวเองแรงๆที่มัวแต่มองคุณแม่ลูกอ่อนเห่กล่อมลูกน้อยที่กำลังหลับไหลจนเผลอหลุดอะไรแปลกๆออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทุกๆวันเขามักจะมาเยี่ยมสองแม่ลูกเสมอจนเพื่อนร่วมงานต่างก็ประหลาดใจกับพฤติกรรมใหม่นี้ ถ้าพูดกันตามจริงแล้วเขาก็ยังแปลกใจตัวเอง แม้จะเหนื่อยล้าจากการตรวจคนไข้แค่ไหน เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องของเธอและลูก ความเหน็ดเหนื่อยกายใจกลับมลายหายไปเสียสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความสบายใจ

แน่นอนว่าซอฮยอนปฏิเสธไม่รับความปรารถนาดีจากเขา ผู้หญิงที่ตั้งท้องคนเดียวอย่างเด็ดเดี่ยวทั้งๆที่เพิ่งเสียพ่อของลูกไปอย่างเธอไม่มีทางรับความช่วยเหลือจากใครได้ง่ายๆแม้จะเป็นความช่วยเหลือจากรุ่นพี่สมัยเรียน เพียงไม่ถึงสัปดาห์ซอฮยอนและลูกชายก็แข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาล หญิงสาวกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านที่เธอและคริสเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เธอทั้งดูแลลูกอ่อนด้วยตัวคนเดียวและยังต้องทำงานหนักโดยแทบจะไม่ได้พักบวกกับความเครียดที่ถาโถม กายที่อ่อนล้าจึงประท้วง ซอฮยอนล้มป่วยจนทรุดป่วยหนักจนเธอต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากทั้งยุนโฮและแทยอนให้มาช่วยดูแลลูกน้อย

แทยอนมองหญิงสาวที่นอนซมไข้ตรงหน้า ร่างระหงผอมบางผิดจากหญิงแรกคลอดทั่วไป ใบหน้าขาวไร้สีเลือดแลดูซีดเผือดอย่างน่าตกใจ แต่คนที่นอนอยู่กลับไม่รู้ถึงสภาพอันน่าเป็นห่วงของตัวเอง ยังคงพยายามจะลุกขึ้นมาทำงานทั้งๆที่ลุกขึ้นเองยังไม่ไหว กระทั่งแทยอนเองทนไม่ไหว เอื้อมมือไปจับคนตรงหน้าให้นอนนิ่งๆเสียที

“นอนไปเถอะน่าซอฮยอน อย่าดื้อนักเลย เธอคิดบ้างไหมว่าถ้าเธอเป็นอะไรไปอีกคนแล้วลูกจะอยู่ยังไง” คำพูดของแทยอนเหมือนกับตบหน้าเธอแรงๆให้เธอรู้สึกตัวว่าเธอทั้งดื้อทั้งบ้าแค่ไหนที่ทำอย่างนี้ ฝืนทำทุกอย่างทั้งๆที่ตัวเองไม่ไหว “ย้ายไปอยู่กับพี่ยุนโฮเถอะนะซอ ฉันจะได้สบายใจ คริสก็จะได้สบายใจ”

แทยอนพูดกับคนรักของเพื่อนอย่างเห็นว่าเป็นเพื่อนของเธออีกคน ถ้าเป็นไปได้เธออีกก็อยากจะช่วยซอฮยอนได้มากกว่านี้ หากว่าครอบครัวของเธอมีคนน้อยกว่านี้ซักเท่านึงเธอคงทำได้ แต่ในความเป็นจริงบ้านของเธอคือสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะในการเลี้ยงดูเด็ก ทั้งพ่อแม่ที่ทะเลาะกันทุกวันจนแก่ ลูกชายคนโตที่วันๆเอาแต่กินกับนอนไม่เอาถ่าน ไหนจะน้องสาวคนเล็กที่แสนเอาแต่ใจ แทยอนจึงไม่กล้าแม้แต่จะเสนอความช่วยเหลือ เมื่อรู้ว่ายุนโฮรุ่นพี่คนสนิทพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เธอจึงรับอาสามาเกลี้ยกล่อมอีกแรง

“พอปิดต้นฉบับเล่มนี้เธอก็หยุดโหมงานซักพัก ไปพักกับพี่ยุนโฮ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหมดเอง แถมคุณป้าแม่บ้านก็ยังช่วยเลี้ยงเด็กได้ด้วย อยู่ไปก่อนเถอะนะซอฮยอนแล้วค่อยๆคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

คนป่วยซมไข้ได้แต่นอนนิ่งราวกับตุ๊กตา มีเพียงหยาดน้ำที่รินไหลออกมาเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเธอมีชีวิต เธอรู้ว่าการเป็นคุณแม่ลูกอ่อนนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะการดูแลคนเดียวโดยที่ไม่มีใครช่วยแบ่งเบา เธอรู้ทั้งหมดเพียงแต่คิดว่าจะสามารถทำมันได้ ถ้าเพียงแค่เธอสามารถส่งต้นฉบับบทประพันธ์เรื่องนี้ได้ทันแล้วทุกอย่างก็คงจะคลี่คลาย แต่อะไรๆมันก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด หญิงสาวต้องตื่นมาให้นมลูกน้อยที่ตื่นมาร้องทุกๆสี่ชั่วโมง บางครั้งก็ร้องโยเยแบบที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจนสุดท้ายคนเป็นแม่ก็ร้องไห้ไปพร้อมๆกัน เวลาเพียงน้อยนิดที่ว่างจากการดูแลลูกเธอก็ต้องทำงาน ต้นฉบับที่ถูกส่งกลับมาให้แก้ครั้งแล้วครั้งเล่า คงถึงเวลาที่เธอต้องยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง ดวงตากลมโตปิดลงอย่างช้าๆทั้งที่น้ำตากำลังไหล มันคงไม่ผิดอะไรใช่ไหมที่ฉันจะตัดสินใจแบบนี้

“แล้วชิน…” จู่ๆหญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมาถามถึงลูกชายตัวน้อย เธอตั้งชื่อเขาว่าชิน .. ชิน วู .. ชินที่แปลว่าศรัทธา และความเชื่อ เหมือนที่พ่อและแม่ของเขาเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นจริงๆราวกับฝัน

“อยู่กับพี่ยุนโฮน่ะ ขานั้นรักเด็ก แค่อุ้มก็เงียบกริบเลย ถ้าไม่รู้ฉันคงนึกว่าเขาเคยมีลูกมาก่อน” แทยอนตอบ เธอไม่ได้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบใดจากซอฮยอนต่อไป แม้ไม่มีคำตอบใดแต่เธอก็รู้ดีว่าคนตรงหน้าตัดสินใจยอมรับความช่วยเหลือแล้ว

ซอฮยอนย้ายมาพักอยู่ที่บ้านของยุนโฮ ไม่ไกลนักจากโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ชายหนุ่มจัดห้องให้เธอและลูกแยกออกมาแบบเป็นส่วนตัว ข้าวของเครื่องใช้มากมายถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่จัดตกแต่งอยู่ภายในห้องเล็กโปร่งสบายสมกับเป็นห้องเด็กอ่อน เพียงแค่ไม่นานที่เธอย้ายเข้ามา นายแพทย์หนุ่มก็มีกิจวัตรใหม่ ยุนโฮกลายเป็นคนตื่นเช้า เขาตื่นมารับประทานอาหารเช้าที่เธอทำ เลิกงานแล้วตรงกลับบ้านทันที ไม่แวะไปสังสรรค์ที่ไหน เขาปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าสุขใจแค่ไหนที่มีเธออยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน สิ่งที่ชายหนุ่มที่มีดีกรีเป็นถึงนายแพทย์ไม่เคยเข้าใจคืออะไรบางอย่างในตัวเธอดึงดูดเขา ทำให้เขามองเธอได้ไม่รู้เบื่อ ซ้ำร้ายยังเผลอยิ้มตามอยู่เสมอ

เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ชินอารมณ์ดีและเลี้ยงง่าย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเด็กน้อยรับรู้อารมณ์ได้จากคนเป็นแม่ เด็กชายชินติดคุณลุงยุนโฮที่สุด แค่ได้ยินเสียงทุ้มอบอุ่นของคุณลุง ชินก็แทบจะถลาไปให้อุ้ม ซอฮยอนเองก็เริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นเนื่องจากมีคนแบ่งเบาภาระ แม้ว่าในตอนแรกเธอจะอึดอัดด้วยไม่เคยใกล้ชิดขนาดอยู่ร่วมชายคากับชายใดนอกเหนือไปจากคริส แต่เพราะยุนโฮเข้ากับคนง่าย ไม่นานหญิงสาวก็คุ้นเคยกับการมีเขาเคียงข้างทุกวันจนเธอรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว

“พี่ยุนโฮ ซอจะพาชินไปซื้อของที่ห้างนะคะ” เสียงหวานปลุกเขาให้ตื่นทั้งๆที่เพิ่งนอนไม่ไปไม่กี่ชั่วโมง ชายหนุ่มลืมตาช้าๆก่อนจะเห็นหญิงสาวยืนอยู่หน้าประตูแต่งตัวพร้อมที่จะออกไปข้างนอก สองแขนเรียวเล็กอุ้มทารกน้อยในชุดหล่ออย่างชำนาญ

“ไปไหนกันคะแม่ลูก” เขาถามด้วยความสงสัย

“ซอต้องไปซื้อของใช้ของชินน่ะค่ะ อาจจะต้องซื้อชุดฤดูหนาวไว้ซักหน่อยด้วย อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวลูกจะป่วย” หญิงสาวบอกเขาถึงแผนการในวันนี้

“พี่ไปด้วย รอพี่แป๊บนึงสิ” ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากที่นอนทันทีที่พูดจบก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินหวือเข้าห้องน้ำไปไม่ทันให้อีกคนได้ทัดทาน

ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุงโซล ผู้คนมากมายต่างเดินกันขวักไขว่ ซอฮยอนเดินเข้าร้านออกร้านนี้โดยมียุนโฮอุ้มชินเดินตามอยู่ไม่ห่าง ภาพชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยแก้มยุ้ยหน้าตาน่ารักน่าชังนั้นทำให้คนเดินผ่านไปมองอย่างทั้งเสียดายปนอิจฉา

“พี่ยุนมาทำไมก็ไม่รู้ เพิ่งได้นอนไปแค่แป๊บเดียวเอง ซอกับชินมาเองก็ได้” เธอบ่นพลางเลือกของไปพลาง มือเรียวบางเอื้อมหยิบหมวกใบน้อยขึ้นมาสวมใส่ให้กับเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนเขา

“ซอฮยอน! คริส! มาทำอะไรในร้านเสื้อผ้าเด็กจ๊ะเนี่ย” เสียงเรียกคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของยุนโฮ “ฉันเกือบจะเดินผ่านไปแล้วนะเนี่ย มองอยู่ตั้งนานว่าเป็นเธอหรือเปล่า”

“ฮวานฮี กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” หญิงสาวทักขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเรียก ฮวานฮีเพื่่อนรักสมัยวิทยาลัยที่ห่างเหินกันไปเพราะอีกฝ่ายต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ

“อ้าว นี่ไม่ใช่…” ฮวานฮีเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงชัดๆ ด้วยส่วนสูง ลักษณะท่าทาง ช่างเหมือนอีกคนเหลือเกิน แต่กลับไม่ใช่

“นี่พี่ยุนโฮ เอ่อ.. รุ่นพี่ของคริสน่ะ”

“แล้ว…”

“ส่วนนี่ลูกชายของฉัน” ร่างระหงถูกเพื่อนสาวดึงออกไปจากตรงนั้นแทบจะทันที ฮวานฮีโค้งให้กับชายหนุ่มน้อยๆอย่างขออนุญาต มือก็ทั้งลากทั้งถูพาเพื่อนสาวไปหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนักจากยุนโฮ

“มันเกิดอะไรกันขึ้นซอฮยอน” ดวงตาเรียวเล็กที่มักจะเต็มไปด้วยประกายยิ้มมองอีกคนเครียดขึ้ง “ที่ฉันรู้เธอย้ายไปอยู่กับคริสและก็กำลังวางแผนอนาคตกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“คริสเสียได้ปีกว่าแล้วฮวานฮี” ซอฮยอนตอบเสียงเรียบ ปีกว่าแล้วที่เขาจากไป ภายใต้ท่าทางปกตินั้นหัวใจเธอยังกระตุกทุกทีที่นึกถึงคืนนั้น ความทรงจำอันแสนปวดร้าวที่สุดในชีวิตเธอ

“โธ่ ซอ แล้วชิน…?”

“ชินเป็นลูกคริส ฮวานฮี ลูกชายที่คริสเฝ้าฝันอยากจะมี โชคดีที่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากพี่ยุนโฮ ไม่งั้นเราสองแม่ลูกคงแย่ ฉันพยายามโทรหาเธอเพื่อจะบอกข่าวแต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย..” หญิงสาวอธิบายให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนรักที่ห่างหายใช้เวลาคุยกันชั่วครู่ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายไปทำธุระที่ค้างอยู่ ฮวานฮีไม่ลืมที่จะขอทั้งที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของซอฮยอน คราวนี้เธอสัญญาว่าจะไม่ทิ้งให้เพื่อนต้องผ่านช่วงเวลาโหดร้ายลำพังอย่างแน่นอน ฮวานฮีจากไปโดยทิ้งคำถามมากมายไว้ให้กับคนสองคนโดยที่เธอไม่รู้ตัว

ทั้งยุนโฮและซอฮยอนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายแพทย์หนุ่มสลัดเสื้อกาวน์ทำหน้าที่เป็นคุณพ่อบ้านดูแลคุณแม่และลูกน้อยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนเมื่อถึงเวลาที่ต่างคนต่างอยู่ลำพัง

ภายในห้องนอนอันมืดมิด เสียงเพลงจากโมบายที่ถูกเปิดทิ้งไว้กล่อมเด็กชายดังอยู่ก่อนจะค่อยๆดับลง ร่างบางระหงยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ใจหวนกลับไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน .. พี่ยุนโฮเหมือนกับคริสขนากนั้นเลยหรือ .. ในตอนแรกซอฮยอนเองยอมรับว่าคล้าย ไม่ใช่เพียงคล้ายแค่ภายนอก มันมากไปกว่านั้น การที่มียุนโฮอยู่ใกล้คอยดูแลเธอทำให้เธอรู้สึกเช่นเดียวกับที่เธอได้รับจากคริส แต่เมื่อนานไปเธอเริ่มมั่นใจว่ามันแตกต่าง สำหรับเธอคริสเป็นรักแรก คือความทรงจำที่จะอยู่ในใจของเธอเสมอ ส่วนยุนโฮคือปัจจุบัน คือความอบอุ่นปลอดภัย คือหัวไหล่ให้เธอพังพิง หัวใจของเธอสงบอย่างน่าประหลาดเวลาที่อยู่กับเขา

…นี่ฉันรักพี่ยุนโฮอย่างนั้นหรือ

ซอฮยอนเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น เธอรักเขา แน่ล่ะใครจะไม่รักผู้ชายแสนดีอย่างนั้น แต่เธอไม่ดีพอสำหรับนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกลที่แสนเพียบพร้อมอย่างเขา นักประพันธ์เงินเดือนเพียงแค่ครึ่งของเงินเดือนหมอ พ่อแม่ก็สิ้นไปแล้วทั้งสองท่าน มีเพียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน .. แต่นั่นมันข้อดีตรงไหนกัน

ตั้งแต่นั้นหญิงสาวก็รักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าเขาก็รู้สึก ยุนโฮเฝ้าสังเกตเธอ หลายครั้งที่ซอฮยอนปฏิเสธไม่ยอมทำบางอย่างที่เคยทำร่วมกัน ไม่ว่าจะไปซื้อของ ทานอาหาร หรือแม้แต่ดูรายการภาพยนต์ที่บ้าน จนเขาชักจะน้อยใจแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา ชายหนุ่มกลัวแสนกลัวว่าถ้าพูดอะไรไปเธอจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปพร้อมกับลูกชาย หากเป็นอย่างนั้นเขาคงทำใจไม่ได้ อย่างน้อยการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันคงดีกว่าการสูญเสียเธอไปอย่างไม่มีโอกาสแม้แต่จะเฝ้ามอง

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มมองออกไปที่นอกหน้าต่าง หิมะโปรยปรายอยู่ด้านนอกทำให้โซลอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขของเทศกาลคริสต์มาสที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน แขนแกร่งกอดเด็กชายที่ขยับตัวยุกยิกไม่เป็นสุขราวกับว่าหงุดหงิดอยากจะออกจากอ้อมกอดเขาเสียเต็มที แขนเล็กป้อมไขว่คว้าเปะปะพร้อมกับร้องเรียก “ม่ะ มัมมัมมา อมมะ” คำแรกและคำเดียวที่เรียกได้ในตอนนี้

“จะหาแม่อีกแล้วนะชิน ไม่เห็นร้องหาพ่อบ้างเลย .. อัปป้า .. พูดได้ไหมชิน อัป-ป้า” ชายหนุ่มมองหน้าทารกตัวจ้อยหวังว่าจะได้ยินคำเรียกอย่างที่หวัง ถึงเขาจะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ก็เลี้ยงดูกันมาจนทั้งรักและผูกพันเสมือนเลือดเนื้อเชื้อไข

“มัมมัมม่ะ อมมะ!” เด็กชายตัวน้อยร้องเรียกมารดา มือเล็กๆตีเข้าเบาๆที่แก้มสาก

ร่างบางระหงเดินออกมาจากพร้อมกับชามข้าวใบเล็กๆในมือ ดวงตาอ่อนโยนมองลูกชายตัวน้อยที่อยู่ในแขนแกร่งนั้น รอยยิ้มบางๆเคลือบอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ความรู้สึกอบอุ่นโอบล้อมหัวใจเธอเมื่อได้เห็นยุนโฮกับชินเข้ากันได้ดี แต่อีกใจนึงก็นึกหวั่น ถ้าวันที่เราไม่ได้อยู่ร่วมกันมันจะเป็นอย่างไร ซอฮยอนไล่ความคิดต่างๆออกไปจากหัว หญิงสาวนั่งลงที่ใกล้ๆก้มลงหยอกเย้าเด็กน้อย

“หิวล่ะสิ ไม่ได้คิดถึงแม่หรอกใช่ไหมคะชิน” เสียงหวานถาม มือยังคงคนอาหารเด็กที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน

“มะ ม่ำๆๆๆๆ มัมม่า!” เด็กน้อยพูดพร้อมกับตบมือชอบใจ ตัวกลมเล็กไต่ออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มสูงใหญ่แล้วจึงปีนป่ายไปนั่งที่ตักมารดา ซอฮยอนหัวเราะคิกกับท่าทางของเด็กน้อย ชินฉลาดเกินวัยสำหรับเด็กอายุขวบปี มือหนาที่ว่างจากการอุ้มเด็กชายเอื้อมมารับชามอาหารลายการ์ตูนจากมือของซอฮยอน เขาใช้ช้อนตักอาหารเพียงนิดก่อนจะยื่นไปป้อนเด็กชาย

“หม่ำมาเร็วครับชิน”

ชินอ้าปากว้างเพื่อรับอาหารไปเคี้ยวจ๊อบแจ๊บอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะอ้าปากรออีกครั้งจนผู้ใหญ่ทั้งสองขันนัก เด็กคนอื่นมีเลือกกิน เบื่ออาหารทานไม่ได้ แต่ชินเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง เด็กน้อยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

“ม่ำมะ .. อะอะ .. อะปะ ม่ำๆๆๆ อัป..ปะ..!” ดวงตาคบกริมเบิกกว้างอย่างตกใจที่ได้ยินคำเรียกที่เขาพยายามสอนมาตลอดตั้งแต่เด็กน้อยเริ่มพูดคำแรก

“อัปปะ”

เด็กทารกน้อยยังคงเรียกอยู่อย่างนั้น มือเล็กป้อมชี้มาที่ชามอาหารราวกับจะบอกว่าให้ป้อนคำต่อไปได้แล้ว ชินเอียงคอมองคนตัวโตตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ทั้งที่ปกติจะคอยป้อนเขาไม่ขาดและยังคะยั้นคะยอให้เขาเรียกว่า “อัปป้า” แต่พอเรียกแล้วไหงนิ่งไปอย่างนั้น เด็กชายหันหลังมองมารดาที่มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มตั้งสติเพียงชั่วครู่ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี มือหนาค่อยๆตักอาหารป้อนเด็กชายทีละน้อยๆ ดวงตากลมโตเฝ้ามองภาพตรงหน้าอย่างที่เธอเองก็บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ตื้นตัน .. แต่ความรู้สึกละอายที่ท่วมท้นอยู่นี่ล่ะ เธอควรจะได้รับกับสิ่งเหล่านี้แล้วอย่างนั้นหรือ เธอไม่ดีพอขนาดนั้น เธอจะให้คุณหมอหนุ่มอนาคตไกลมาหยุดที่การเป็นพ่อของลูกที่เกิดจากผู้หญิงหม้ายหนึ่งคนได้อย่างไรกัน ลำพังแค่ความช่วยเหลือช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาก็มากจนเธอไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร แล้วนี่ยังชิน..

กลางดึกคืนนั้นหลังจากที่ซอฮยอนพาชินเข้านอน เธอนอนไม่หลับ หลังจากที่คิดเรื่องราวมากมาย สุดท้ายหญิงสาวตัดสินใจเดินไปหายุนโฮที่ห้องนอนของเขา เธอเรียกเขาออกมาคุยที่ห้องรับแขกด้านนอกอย่างทุกครั้ง ร่างระหงเดินออกมาจากหห้องครัวพร้อมด้วยโกโก้อุ่นๆกรุ่นควันฉุย เธอยื่นมันมาให้กับเขาก่อนจะนั่งลงที่โซฟาอีกตัว

“พี่ยุนโฮคะ ซอขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่ดูแลเราสองแม่ลูกเป็นอย่างดีมาตลอดเวลาเกือบปีนี้” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ยุนโฮตั้งท่าจะพูดบางอย่างแต่กลับถูกเธอหยุดไว้ ท่าทีแปลกๆของเธอทำให้เขาต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ มือหนาเอื้อมวางแก้วโกโก้ที่เพิ่งดื่มไปเพียงจิบเดียวก่อนจะมองนิ่งที่ดวงหน้าหวานใส “ซอขอบคุณพี่ยุน แต่ซอก็ไม่อยากรบกวนพี่ยุนมากไปกว่านี้ ชินเริ่มโตขึ้นทุกวัน ซอกลัว…ว่าเราสองคนแม่ลูกจะสร้างความลำบากให้กับพี่ยุน ซอเลยตัดสินใจว่าจะย้ายออก”

“พี่ไปบอกซอตอนไหนงั้นหรือว่าพี่ลำบาก” เขาถามอย่างคนที่สติหลุดลอย ซอฮยอนพูดในสิ่งที่เขากลัว หัวใจที่ผลิบานด้วยความยินดีจากเสียงเรียกเล็กๆของเด็กชายที่เรียกเขาว่าพ่อแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อเธอบอกว่าจะไป .. ออกไปจากชีวิตของเขา

“พี่ยุนไม่เคยบอก แต่ซอแค่คิดว่าซอควรจะทำสิ่งที่ถูกต้องเสียที มีซอกับลูกอย่างนี้ พี่ยุนจะมีครอบครัวของตัวเองได้ยังไงกันล่ะคะ”

“ขอให้เธอรู้ไว้ว่า .. สำหรับพี่ ซอและลูกคือครอบครัว” เขาตอบ ชายหนุ่มกลืนก้อนฝืดๆลงไปในลำคอก่อนที่จะพูดต่อ “พี่จะไม่ห้ามซอไม่ว่าซอจะทำอะไร ขอให้ซอตัดสินใจให้ดี แต่พี่ขออย่างนึงก่อนจะเธอจะไป เธอย้ายออกหลังวันคริสต์มาสได้ไหม คุณพ่อคุณแม่ของพี่ท่านอยากพบเธอกับลูก ตามที่เราสัญญากันไว้ว่าเราจะพาชินไปพบท่านแล้วก็ฉลองคริสต์มาสด้วยกัน”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหม่นวูบ ยุนโฮหลุบสายตาลงมองที่พื้นตรงหน้า เขาไม่กล้าสบตาคู่นั้น ไม่กล้าแม้แต่จะมองเสี้ยวหนึ่งของดวงหน้าหวานซึ้งด้วยกลัวใจตัวเอง หากเขามอง เขาคงไม่อาจปล่อยเธอไป ชายหนุ่มคงต้องผิดคำพูดที่บอกเธอไว้เมื่อครู่ “ถ้าหลังจากที่ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่แล้วเธอตัดสินใจได้อย่างไร พี่จะเคารพการตัดสินใจของเธอ ได้ไหมซอฮยอน อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง”

ร่างสูงกล่าวทิ้งไว้ก่อนจะเกินเข้าห้องนอนทิ้งเธอไว้ให้อยู่ลำพังท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว

เวลาแค่เพียงไม่กี่วันกลับเหมือนนานนับปีสำหรับเขา ยุนโฮพาสองแม่ลูกไปยังกวางจูบัานเกิดของเขาเพื่อพบกับบิดามารดาตั้งแต่วันคริสต์มาสอีฟ ทุกเวลาทุกนาทีชายหนุ่มแทบจะไม่ปล่อยให้เด็กชายห่างกายด้วยอาจจะซึบซับทุกอย่างไว้ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร เขาคงได้แต่ยอมรับ เขาเพียงแต่เสียใจและเสียดายที่ไม่อาจอยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้มากกว่านั้น การปล่อยเธอจากไปโดยไม่มีสิทธิ์แม้จะรั้งไว้ ที่ทำได้คือรอวันนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกักขังเขาไว้เพื่อรอเวลาประหาร

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปที่หญิงสาวสองวัยที่กำลังคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ซอฮยอนเข้ากับมารดาของเขาได้ดีอย่างน่าหนักใจ การเป็นแพทย์ทำงานในเมืองหลวงจะทำให้ยุนโฮต้องทำงานไกลบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงติดต่อกับที่บ้านอย่างสม่ำเสมอไม่มีขาด ชายหนุ่มมักจะเล่าเรื่องของสองแม่ลูกที่เขาอาศัยอยู่ด้วยให้มารดาฟังเสมอจนท่านอยากพบ เขาเคยเปรยกับท่านด้วยซ้ำเรื่องของซอฮยอน อย่างน้อยเขาก็อยากให้ครอบครัวยอมรับหากเขาจะเลือกเธอเป็นภรรยาโชคดีที่บิดามารดาของเขาทันสมัยพอดีที่ยอมรับเรื่องราวเหล่านี้ได้ โชคร้ายก็ตรงที่ซอฮยอนไม่ได้เลือกเขา .. แล้วเขาจะบอกแม่ได้อย่างไรกันว่าแม่จะชวดทั้งลูกสะใภ้และหลานชายหน้าตาน่าเอ็นดู

“เหนื่อยไหมลูก ซอ” คุณนายจองถามหญิงสาวที่ลูกชายคนเดียวพามาอย่างเอ็นดู

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะคุณนายจอง พี่ยุนโฮเหนื่อยกว่าซอเยอะเลยค่ะ ขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง” ซอฮยอนตอบ ดวงตาทอประกายมองไปที่ลูกชายคนเดียวที่กำลังจะครบขวบปีในอีกไม่ถึงวัน ชินเล่นกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากโดยมีประมุขแห่งบ้านตระกูลจองนั่งมองอยู่อย่างยินดี

“ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอกลูก เรียกว่าแม่เถอะซอฮยอน” หญิงสูงวัยกว่าพูดพลางแตะที่ไหล่กลมมนของอีกคนอย่างเอ็นดู

“ค่ะคุณแม่”

คุณนายจองและซอฮยอนใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบทั้งวันจนคุณจองกระเซ้าว่าเธอได้ลูกสาวคนใหม่จนลืมลูกชาย ซอฮยอนทั้งน่ารักแสนดี เธอคิดไว้แล้วไม่ผิดว่าลูกชายของเธอตาแหลม ยุนโฮพ่อลูกชายของเธอมักจะโทรมาเล่าเรื่องราวของสองแม่ลูกคู่นี้จนเธออยากจะพบหน้าคนที่สามารถทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนไปได้ ยุนโฮเคยบ้างาน ทำงานข้ามวันข้ามคืน ทั้งตรวจคนไข้และทำงานวิจัยอย่างไม่ว่างเว้น ช่วงหลังเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกชายคนเดียวที่แทบจะกลับจากขั้วโลกเหนือเป็นขั้วโลกใต้ ยุนโฮอ่อนโยนมากขึ้น ใส่ใจครอบครัวและคนรอบข้างมากขึ้น ที่สำคัญดูแลตัวเองมากขึ้นโดยชายหนุ่มให้เหตุผลว่าเขามีคนอีกสองคนต้องดูแล อย่างนี้จะให้เธอตั้งแง่กับหญิงสาวที่เปลี่ยนลูกชายเธอให้จากนายแพทย์หนุ่มสมบูรณ์แบบเป็นผู้ชายธรรมดาหนึ่งคนได้อย่างไรกัน และจากที่เธอเจอวันนี้เธอก็ไม่ผิดหวัง กลับประทับใจเกินกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ

“แหม พ่อก็ ก็แม่ดีใจนี่ที่พ่อยุนพาสาวมาให้แม่ดูตัวซะที แม่น่ะรอมานานจนคิดว่าจะต้องรอเก้อเสียแล้ว” คุณนายซอพูดแก้เก้อกับคำหยอกเย้าของสามีที่กลางโต๊ะอาหาร ครอบครัวจองและแขกคนสำคัญกำลังรับประทานอาหารมื้อพิเศษในคืนวันคริสต์มาสอีฟร่วมกัน

“พี่ยุนไม่เคยพาผู้หญิงมาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักเหรอคะ” หญิงสาวถาม เธอลอบมองชายหนุ่มเจ้าของเรื่องโดยไม่ให้เขารู้ตัวก่อนเสมาตักอาหารให้คุณนายจอง

“ก็มีซอนี่แหละ คนแรก แล้วก็…คนเดียว” ยุนโฮตอบ

“อ่าวเฮ้ย เจ้ายุน! แกจะมาจีบน้องต่อหน้าพ่อทำไม ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี มดขึ้นหมดแล้ว” คุณจองกล่าวด้วยน้ำเสียงดังกังวาล หากแต่ข้อความหยอกเย้าลูกชายอย่างคนอารมณ์ดี “กินข้าวก่อนไปแล้วค่อยไปจีบกันต่อ เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูหลานให้เอง”

สองสามีภรรยาหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้หนุ่มถามที่ถูกแซวนั่งหน้าแดงราวกับสตรอว์เบอร์รี่จนในที่สุดคุณนายจองต้องพูดขึ้น “พ่อนี่ก็ ไปแซวลูกทำไม ทานข้าวไปยุนโฮ ซอฮยอน อย่าไปฟังพ่อขี้แกล้งของเรามากนักเลย”

กลางดึกคืนคริสต์มาสอีฟ หลังจากที่สมาชิกครอบครัวจองและสองแม่ลูกแลกของขวัญกันตามทำเนียม คุณนายจองได้แต่ปิติยินดีที่ได้รับผ้าพันคอเนื้อดีจากซอฮยอนเช่นเดียวกับคุณจองที่เห่อเนคไทใหม่ไม่เลิก จนยุนโฮบ่นอุบว่าของขวัญของเขาไม่ได้รับการเหลียวแล ซอฮยอนได้รับสร้อยคอพร้อมจี้กับหนังสือจิตวิทยาของอริสโตเติลเล่มหนาที่ลูกชายบอกว่าหญิงสาวชอบอ่าน สำหรับยุนโฮ คุณนายจองเตรียมแหวนเก่าเอาไว้ให้โดยไม่ได้เอ่ยอะไรนอกเหนือไปจากนั้นและเขายังได้รับนาฬิกาเรือนหรูจากบิดา ส่วนชินเด็กชายที่ควรจะเข้านอนกลับนั่นเล่นของเล่นสารพัดที่ได้จากทั้งครอบครัวของยุนโฮและคุณแม่ของเขา เด็กน้อยปรบมือหัวเราะร่าอย่างยินดีแทบจะตลอดเวลาที่เห็นความรื่นเริงของทุกคนในบ้าน

หลังจากแลกของขวัญเสร็จสิ้นทุกคนในครอบครัวต่างก็แยกย้าย ยุนโฮชวนซอฮยอนออกมาเดินเล่นโดยมีคุณและคุณนายจองรับอาสาทำหน้าที่พาเด็กชายตัวน้อยเข้านอน ที่สวนหลังบ้านประดับประดาด้วยไฟระยิบ ตุ๊กตาเด็กในโรงนาเป็นสัญลักษณ์การเกิดของพระเยซูได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามท่ามกลางสวนกว้าง ในที่สุดเขาก็มีเวลาได้คุยกับเธออย่างลำพังเสียที ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะพูดกับเธอให้รู้เรื่องวันนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร

“ให้พี่ดูแลซอต่อไปได้ไหม อย่าเห็นพี่เป็นแค่เงาของคริสได้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างต้องการไออุ่น ถึงกวางจูจะอยู่ในตอนใต้ของเกาหลี แต่อากาศในตอนกลางคืนของฤดูหนาวก็ยังคงหนาวนัก

“ซอไม่เคยเห็นพี่ยุนเป็นตัวแทนของคริสเลยนะคะ ถึงจะเหมือนกันแค่ไหนแต่มันก็แค่ภายนอก คริสก็คือคริส พี่ยุนก็คือพี่ยุน คริสคือคนรักคนแรกที่ไม่มีใครแทนได้ เขาเป็นความทรงจำที่ดี ซอมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะคริส…”

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้อธิบายมากไปกว่านั้น เขาก็ถามขึ้นมาต่ออย่างอดรนทนไม่ไหว “แล้วสำหรับซอพี่เป็นอะไร”

“พี่ยุนเป็นซานต้า” ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบมองหน้าคนตัวโตกว่าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“หะ” เขาร้องถามอย่างฉงนนัก ซานตาคลอสอะไรกัน เขา..ไม่เข้าใจเอาซะเลย

“ซานต้าพี่ยุน” เสียงหวานใสยังคงหยอกเย้า รอยยิ้มขี้เล่นฉายอยู่เต็มใบหน้าจนเขาชักจะอ่อนใจ ตั้งใจว่าจะคุยเป็นเรื่องเป็นราวกลับโดนแกล้งเสียนี่

“โถ่ซอ” ชายหนุ่มร้องโอดโอย นายแพทย์หนุ่มแนวหน้าของเกาหลีเสียท่าให้กับหญิงสาวหน้าหวาน รู้ไหนถึงไหนคงอายไปถึงนั่น

“แหม ถ้าใส่ชุดแดงหน่อยละใช่เลยนะคะเนี่ย” เธอตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานไปให้ “ในชีวิตซอ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชิน ต้องขอบคุณซานต้าใจดีที่มอบชีวิตให้กับเขาเพื่อเป็นของขวัญให้กับซอ พ่อที่ตามสายเลือดของชินคือคริส แต่คนที่ให้ชีวิตกับเขา สองมือแรกที่อุ้มเขาคือพี่ ขอบคุณมากนะคะ .. ซานต้าของฉัน”

ยุนโฮมองสบดวงตาโตแน่นิ่ง ราวกับตกอยู่ในภวังค์ฝัน “แล้วเธอรักซานต้าบ้างไหมซอ” เขายังคงตั้งคำถาม

“ซอรักซานต้าไม่ได้หรอกค่ะ อ้วนก็อ้วน แก่ก็แก่ แถมยังใจดีกับทุกคน” รอยยิ้มและน้ำเสียงขี้่นกลับมาอีกครั้งจนคราวนี้เขาชักจะอ่อนใจขึ้นมาจริงๆ ซอฮยอนไม่เปิดโอกาสให้เขาได้โรแมนติกบ้างเลยแม้แต่น้อย

“แล้วซานต้าคนนี้ล่ะ เธอไม่รักซานต้าพี่ยุนคนนี้หน่อยเหรอซอ” เขาถาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองเข้าไปในดวงตากลมโตที่ส่องประกายใสแจ๋ว เขาถ่ายทอดทุกคำพูดทุกความรู้สึกผ่านทางแววตาคู่นั้นไปจนหมดสิ้น

“อัปป้า! อัปปะๆๆๆ” เสียงเด็กชายดังขึ้น สายตาทั้งสองคู่หันไปมองที่ต้นเสียง เด็กชายควรจะหลับไปแล้วไม่ใช่หรือ

“ขอโทษทีลูก เที่ยงคืนกว่าแล้วชินยังไม่ยอมนอน พอตั้งเริ่มตั้งไข่ได้ละเอาใหญ่เลย แม่เลยพาออกมารับลม นี่แม่นึกว่าเราไปอยู่แถวเรือนต้นไม้เสียอีก .. คุยกันไปต่อเถอะสองคน เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูหลานให้เอง” คุณนายจองที่กำลังอุ้มเด็กชายตัวน้อยเอ่ยขึ้น เพราะเธอแท้ๆที่ทำลายบรรยากาศดีๆของคู่รัก เธอตั้งใจจะพาหลานมาเล่านิทานก่อนนอนที่ในสวนก่อนด้วยคิดว่าลูกชายคงพาหญิงสาวไปคุยกันที่เรือนต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปมากกว่า เมื่อเธอเห็นว่าทั้งสองอยู่ในสวนแทนที่จะเป็นเรือนต้นไม้อย่างที่คิดไว้ชินก็ร้องเรียกขึ้นมาทันที เธอจะทำให้หลานเงียบก็ไม่ได้

“อมมะ อมมะ” เด็กชายร้องเรียกมารดาก่อนที่คุณนายจองจะทันได้พากลับเข้าไปในบ้าน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ สงสัยชินจะตื่นเต้นที่โตเป็นหนุ่มครบขวบนึงแล้ว .. เดี๋ยวซอดูเองค่ะ” หญิงสาวตอบ ร่างระหงเดินไปรับเด็กชายมาอุ้มไว้แนบอก “ขอบคุณมากนะคะคุณแม่”

“อย่าดึกนักนะลูก น้ำค้างเริ่มลงแล้วจะเป็นหวัดเอากัน” หญิงสูงวัยกว่ากล่าวก่อนจะเดินลับตาไปโดยไม่ลืมยื่นผ้าผืนหนาที่ติดมือมาให้กับลูกชายด้วย บางทีปล่อยให้อยู่กันสามคนอย่างนี้อาจจะดีก็ได้ เผื่อว่ายุนโฮจะต้องการความช่วยเหลือจากชิน เด็กน้อยเรียก”อัปป้าๆ”คงช่วยทำให้มารดาใจอ่อนได้ไม่ยาก คุณนายจองคิดพลางเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี

หญิงสาวอุ้มบุตรชายไปนั่งที่ชิงช้าไม้เล็กๆภายในสวน เรือนร่างบอบบางออกแรงไกวชิงช้าเบาๆ ปากก็ร้องเพลงกล่อมลูกน้อย หากแต่เพลงวันนี้แตกต่างไปจากทุกวันหญิงสาวร้องเพลงวันเกิดให้กับเจ้าตัวน้อยแทนเพลงเด็กก่อนนอน

생일 축하합니다
생일 축하합니다
사랑하는 우리신
생일 축하합니다
Happy birthday to you
Happy birthday to you
Happy birthday, our Shin
Happy birthday to you

ทารกน้อยที่แสนซนของคุณนายจองหลับนิ่งเพียงแค่ได้ยินเสียงเพลงกล่อมจากมารดา หญิงสาวบรรจงจูบที่กระหม่อมบางของลูกชายพร้อมกับพูดเบาๆ “สุขสันต์วันเกิดนะชินลูกรัก แม่รักลูกนะครับ”

“อัปป้าก็รักชินนะครับ” เสียงทุ้มพูดขึ้น หญิงสาวรู้สึกถึงผ้าห่มผืนหนาที่ห่มกายเธอโอบไปถึงลูกน้อย วงแขนแกร่งโอบกระชับเรือนร่างบอบบางก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ตรงหน้า .. แหวนเก่าที่คุณนายจองมอบให้เมื่อค่ำ

“แหวนที่คุณแม่มอบให้เป็นแหวนประจำตระกูลที่คุณพ่อกับคุณแม่ได้มา ท่านใช้เป็นแหวนแต่งงานจนถึงวันนี้ที่ท่านมอบให้กับพี่เพื่อนำไปให้คำผู้หญิงที่พี่คิดว่าจะแต่งงานด้วย .. เป็นพี่ได้ไหมซอฮยอน ให้พี่ได้ดูแลเธอไปตลอดชีวิตเถอะนะ” ดวงตาคมกล้าฉายแววตาแห่งความรักอย่างสัตย์จริง ไม่มีความรู้สึกไหนที่เขาจะมั่นใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งได้เห็นเธอกับครอบครัวของเขาวันนี้ เขายิ่งมั่นใจ

ดวงตาหวานรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความยินดี ความรักที่อุ่นไปทั้งหัวใจ ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถตอบแทนเขาได้มากไปกว่า…

“ขอบคุณนะคะซานต้า ขอบคุณนะคะชินอัปป้า”

ฟิคฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
แต่รีบโพสก่อนเพราะกลัวโลกแตกแล้วจะไม่ได้อ่านกัน หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ
ขอให้มีความสุขน้า~ Merry Christmas & Happy New Year ค่ะ 😀

ถ้ายังไม่เคยอ่าน อ่าน Y, I’m so stupid ก่อนเพื่อความไม่งุนงงนะคะ ^^ https://seororolover.wordpress.com/2012/10/14/735/

เสียงท่วงทำนองดนตรีหวานดังอยู่ทั้งๆที่นาฬิกาบอกเวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว เสียงไล่โน๊ตจากคีย์บอร์ดดังขึ้นขาดๆหายๆเป็นห้วงๆราวกับว่าผู้เล่นกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นิ้วยาวละจากเครื่องดนตรีโปรดมาเคาะที่โต๊ะตรงหน้าก๊อกๆเหมือนว่ามันจะช่วยให้เขาคิดอะไรได้ง่ายขึ้น ชายหนุ่มปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในห้วงของความคิดช้าๆ ค่อยๆนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น .. เรื่องที่เป็นดั่งฝันร้าย

ทุกๆวันเขาตื่นขึ้นมาอย่างคนที่ไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ ทุกๆคืนเขาหลับไปอย่างคนที่ไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ชีวิตในแต่ละวันของเขาช่างหมองหม่น โลกสีสวยที่เขาเคยเห็นในวันที่มีเธอกลับกลายเป็นสีเทาเพียงเพราะเธอได้จากไปแล้ว และคงไม่มีวันได้หวนกลับมารักกันใหม่ได้อีกครั้ง

การทำงานที่ต่างประเทศของเขาสิ้นสุดลงแล้ว อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ที่ Super Junior กลับเตรียมงานเพื่ออัลบั้มใหม่ในเกาหลีอีกครั้ง แน่นอนว่าการกลับมาในครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังของใครๆหลายๆคนที่เฝ้ารอ หากแต่คนคนนั้นไม่ใช่เขา ไม่ใช่ในตอนนี้ที่เขายังไม่พร้อมก้าวเดินเพียงลำพัง การทำงานในต่างแดนช่วยให้เขาหนีความจริงไปได้แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมา กลับมายังมี่ที่มีเธออยู่ และนั่นทำให้เขาไม่อยากจะหายใจ .. ไม่ใช่เพราะเกลียด หากแต่เพราะรักคำเดียวเท่านั้น

กระดาษที่กองอยู่บนพื้นเต็มไปด้วยรอยขีดเขียน ลายมือที่เขียนอย่างไม่เป็นระเบียบถูกขีดทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับพยายามขัดเกลาให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เจ้าของลายมือกลับนอนไม่สนใจจะแยแส ทิ้งมันไว้อยู่อย่างนั้นจนชายหนุ่มรุ่นน้องทนดูต่อไปไม่ไหวจำต้องเก็บรวบเอากระดาษที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นขึ้นมาพร้อมกับบ่นยาวยืด .. จะมานั่งปลอบโยนก็ใช่ที่ จะกลายเป็นว่าเขาปฏิบัติกับทงเฮเปลี่ยนไปเพียงเพราะเลิกกับแฟน นั่นก็ดูจะเหยียดหยามความเป็นชายของคนเป็นพี่ไปหน่อย

คยูฮยอนได้แต่มองร่างสันทัดที่นอนอย่างไร้วิญญาณในห้องนั่งเล่นด้วยความห่วงใย เขาเองไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อตัวต้นเหตุเองก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาสักครั้งทั้งๆที่สนิทกัน เมมเบอร์ในวงเองต่างก็ได้แต่ส่ายหัวไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในเมื่อแต่ละคนพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะอธิบายให้รุ่นน้องสาวฟังเพื่อปรับความเข้าใจ ทงเฮจะได้เลิกแสดงอาการเหมือนคนขาดอากาศหายใจอย่างนี้ คยูฮยอนกดที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูที่แสดงชื่อยุนอาก่อนที่นิ้วจะเลื่อนไปหยุดที่ชื่อหญิงสาวอีกคน .. ซอฮยอนนี่

ยุนอามองหญิงสาววัยละอ่อนตรงหน้า ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวเหลืองอย่างคนจีน เครื่องหน้าเล็กจุ๋มจิ๋มหากแต่ได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ดวงตาชั้นเดียวเขียนทับด้วยอายไลน์เนอร์สีดำคมกริบ ริมฝีปาดสีสตรอว์เบอร์รี่ส่งยิ้มมาให้เธอแต่กลับเหมือนอาวุธร้ายทิ่มแทงเธอมากกว่า ซอฮยอนนัดเธอแต่กลับเป็นผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว คนเดียวกับที่เธอพบที่อพาร์ทเมนท์ของ Super Junior คนเดียวกับที่กอดคอทงเฮแน่นจนเธอทนมองไม่ได้ หญิงสาวแทบจะลุกหนีแต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น แม้แต่มักเน่ที่ควรจะหวังดีกับเธอที่สุดก็ทำร้ายเธอไม่เว้นอย่างนั้นหรือ ยุนอากลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆลงไปในอก มือเรียวบางกำแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ ทั้งๆที่ตอนนี้หัวใจเธอเหมือนจะสลายลงทุกที

“ฉันชื่อวิทนีย์ เป็นน้องสาวที่เฮนรี่ เราเคยพบกันแล้ว” ฝ่ายตรงข้ามเริ่มพูดพร้อมกับหยิบเครื่องดื่มตรงหน้าขึ้นมาจิบจากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะคะ .. ฉันชอบพี่ทงเฮ”

เหมือนโลกทั้งโลกทลายลงตรงหน้ายุนอา น้ำตาที่ใครต่างว่ายากนักที่จะได้เห็นกลับไหลลงมาตามดวงหน้าสวย ตาที่เคยสดใสบัดนี้เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างไม่รู้ว่าจะหยุดมันได้อย่างไร ยุนอาในตอนนี้อยากจะล้มโต๊ะตรงหน้า ทำลายข้าวของให้สมกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับ แต่เธอกลับไร้เรี่ยวแรงแม้จะลุกยืน

…ชาติที่แล้วเธอไปทำอะไรมา ทำไมถึงโดนทำร้ายได้อย่างนี้

ทงเฮยังคงใช้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อของเขาในอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของเขาและเหล่าเพื่อนร่วมวง วันนี้ทุกสิ่งรอบตัวดูเงียบผิดปกติ เงียบอย่างน่าประหลาดใจ แต่เขาไม่มีอารมณ์จะใส่ใจอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจแม้แต่จะทานอาหารที่เพื่อนร่วมวงเตรียมไว้ให้ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มทิ้งกายหนาลงบนโซฟาตัวเดิม คิดถึงเธอคนเดิม ทั้งๆที่รู้ว่ามันแสนจะทรมาน แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อหัวใจของเขาไม่อาจลืมเธอได้ซักวัน

เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นที่ประตูแต่ชายหนุ่มยังคงนอนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวด้วยคิดว่าคงเป็นเมมเบอร์ซักคนที่เสร็จงานแล้วกลับบ้านตามปกติ กระทั่งกระดาษขาวที่ปิดหนาอยู่ถูกดึงออกไปโดยใครบางคน ทงเฮผุดลุกขึ้นทันทีอย่างคนที่อารมณ์เสียแต่กลับนิ่งสนิทเมื่อได้เห็นคนที่ยืนอ่านข้อความในกระดาษนั้นอยู่ เนื้อเพลงที่เขาแต่งเพื่อเป็นคำขอโทษ ให้เธอยกโทษให้ผู้ชายโง่ๆหนึ่งคน

ดวงตาคู่งามช้ำราวกับคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก หญิงสาวกวาดไปตามข้อความในกระดาษขาวแล้วน้ำตาใสๆเอ่อล้นออกมา จมูกโด่งได้รูปกลายเป็นสีแดง ทงเฮมองคนตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอร้องไห้ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็แสนจะดีใจที่เธอมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ราวกับฝัน

…ทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหม

…ฝันร้ายของเขากำลังจะผ่านไปแล้วใช่ไหม

“อปป้าบ้า ทำไมไม่ยอมอธิบาย เขียนเพลงอยู่คนเดียวอย่างนี้เมื่อไรเค้าจะรู้” กำปั้นเล็กทุบไปที่หน้าอกหนาครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าที่แรงจะมีจนคนที่ยืนนิ่งอยู่เซจนแทบล้ม ชายหนุ่มปล่อยให้เธอระบายอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มือหนาจะรวบตัวเธอมากอดไว้

“อปป้าขอโทษ ก็มันไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกันจริงๆซักที” วงแขนหนาขยับแน่นขึ้น “เธอเองก็ไม่เห็นจะฟังเจ้าพวกเมมเบอร์เลย”

“เค้าไม่อยากฟังจากปากคนอื่น เค้าอยากฟังคำอธิบายจากอยากปากของคุณอี ทงเฮมากกว่า” ร่างหนาหยุดกึกชั่วขณะจนยุนอารู้สึกได้แต่หญิงสาวยังคงเอ่ยตัดพ้อ “แต่เค้าต้องมารู้จากวิทนีย์”

มือหนาจับที่ต้นแขนกลมกลึงแล้วดันเธอออกเล็กน้อย ดวงตาคมมองเข้าไปข้างในตาคู่สวยอย่างต้องการค้นหา คำถามมากมายลอยไปมาอยู่หัวจนเขาไม่รู้จะถามคำถามไหนก่อน มีเพียงคำที่เอ่ยมาลอยๆเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะถาม “วิทนีย์?”

“น้องสาวเฮนรี่ เธอชื่อวิทนีย์ไม่ใช่เหรอคะ” ยุนอาถามกลับเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าไม่เข้าใจ “เธอมาบอกว่าเธอแค่ชอบอปป้า แต่อปป้า…เห็นเธอเป็นแค่น้องสาว เธอก็ตรงๆดีนะคะ”

“แล้ว…”

“คยูฮยอนอปป้าวางแผนให้ซอฮยอนหลอกเค้ามา” หญิงสาวตอบราวกับล่วงรู้ความคิด “มันจะมากไปแล้วนะคะอปป้า เอามักเน่ไปเป็นพวกแบบนี้เนี่ย”

ทงเฮมองคนที่ยืนกอดอกบ่นเขาไม่ยอมเลิกก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวนุ่ม มือหนาที่ยังประสานแน่นไม่วายดึงเธอลงมาทาบทับ ชายหนุ่มโอบกอดเธอไว้พลางเอ่ยคำขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุด น้ำตาที่แห้งเหือดไปกลับมาไหลได้อีกครั้ง..ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ น้ำตาลูกผู้ชายครั้งนี้แทนคำขอบโทษที่เขาทำอะไรโง่ๆลงไปจนเกือบทำให้ความรักพังทลาย ทำเธอเสียใจ และยังแทนคำขอบคุณที่เขามีให้เธอ

…ขอบคุณที่กลับมาหาผู้ชายอย่างเขา

เสียงดนตรียังคงเล่นอยู่ แสงไฟที่ด้านนอกยังคงส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เสียงโน๊ตดังสอดประสานเข้าเป็นท่วงทำนองเพลงไพเราะ หากแต่คนแต่งเพลงไม่ได้สนใจเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์สำคัญเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมมองร่างบอบบางที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ชายหนุ่มมองเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ปล่อยให้เสียงเพลงจังหวะหวานบรรเลงไปอย่างช้าๆก่อนที่จะเดินเข้าไปขยับผ้าห่มให้ เขาประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากบางอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง มือหนาจับปากกาจรดลงบนกระดาษขาวตรงหน้า ฝันร้ายของเขาผ่านไปแล้ว จากนี้จะมีเพียงความรักที่เขายืนยันจะรักษามันไว้ด้วยหัวใจ .. ตลอดไป

난 그대만의 오빠
ฉันคือพี่ชายของเธอคนเดียว
그댄 나만의 여자
เธอคือผู้หญิงของฉันคนเดียว
항상 네 곁에 있어 줄게
เธอจะมีฉันอยู่ข้างๆตลอดเวลา
난 그대만의 오빠
ฉันคือพี่ชายของเธอคนเดียว
달콤한 우리 사랑
ความรักเรามันช่างแสนหวาน
오빤 너만 사랑할래
พี่จะให้ความรักแค่เธอคนเดียว

ถึงไพโรและผู้เสพฟิคยุนเฮทุกท่าน
ในที่สุด First Love ก็มาแล้ว
ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่แต่ง Y ว่าจะเอาตอนนี้เป็นตอนต่อไป อาจจะติดๆขัดๆไปบ้างขออภัยค่ะ
ปกติแต่งแต่คยูซอ OS สองเรื่องนี้เป็นตอนพิเศษเลยมาได้เท่าที่เห็น -__-:;
ที่หยิบมาเพลงนี้มาเพราะเราชอบเพลงนี้มาก ปลา(เคย)น้อยของพี่แต่งไว้ได้เพราะมากจริงๆ
ทุกครั้งที่ฟังจะรู้สึกดีจนอยากให้เป็นเพลงแต่งงานของทุกคู่ ขนาดนั้นเลยค่ะ
ถึงจะมีบางคนบอกว่าเพลงนี้ทงเฮแต่งให้เอล์ฟ .. แต่มันช่างเข้ากับฟิคตอนนี้จริงๆเลยเนอะ
ขอให้มีความสุขในการอ่านนะคะ

นี่ผมรู้สึกอยากตายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

 

ความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับคำถามมายมากในหัวที่ยังคงไม่มีคำตอบ ร่างสันทัดของชายหนุ่มนอนแผ่อยู่บนเตียงแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว ราวกับว่าเขาไม่ได้หายใจเลยด้วยซ้ำ

…หากหยุดหายใจได้ก็คงดี เขาอาจจะผ่านเวลาอย่างนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก

สุดท้ายไม่ว่าจะคิดไปเรื่องไหน บทสรุปก็กลับมาแบบเดิมๆทุกครั้ง ถ้าเขาตายไปอะไรๆคงดีกว่านี้ น้ำตาที่คลออยู่ตรงหางตากลับไม่ไหลหล่นลงมาเหมือนทุกครั้ง ผู้ชายอ่อนแอและร้องไห้ง่ายอย่างเขาร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วนเพราะคนคนเดียว เธอ .. อิม ยุนอา

ท่ามกลางข่าวลือมากมาย แรงสนับสนุน และแน่นอนแรงต่อต้าน ความรักของเขาและเธอกลับค่อยๆงอกงามเหมือนกับต้นไม้ต้นเล็กๆที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ในขณะที่ผู้ชายอย่างเขาเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหวขัดกับรูปร่างหน้าตา ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเข้าใจมอบให้ผู้ชายอย่างเขา ทุกๆวันเขาเฝ้ามองความรักที่ผลิบานทีละน้อยด้วยความสุข หากเพียงแค่มันไม่ได้สุขอย่างนั้นได้ตลอดไป

เขาไม่เคยเข้าใจกฎข้อห้ามการคบกันภายในบริษัท เหตุผลที่ว่า “ถ้าเลิกกันไปจะทำงานด้วยกันลำบาก” สำหรับเขามันเป็นเหตุผลที่งี่เง่าสิ้นดี ในเมื่อคนรักกันแล้วจะคิดไปถึงวันที่เลิกกันเพื่ออะไร จนมาวันนี้เขาถึงเข้าใจได้ดี อาจจะเข้าใจดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ

 

เขาและยุนอาเคยเป็นคู่ที่รักกันหวานเลี่ยนจนเป็นที่ยอมรับในค่าย คำน้ำเน่าของชายหนุ่มมักจะเรียกเสียงโห่จากเพื่อนๆและรอยยิ้มกว้างจากเธอได้เสมอ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่สิ่งเหล่านั้นกลับถูกทดแทนด้วยการทะเลาะและหยาดน้ำตา ด้วยตารางงานที่แน่นเอี้ยดจนแทบขยับตัวไม่ได้กันทั้งคู่ ผู้ชายที่ต้องการความรักอย่างเขากลับเรียกร้องต้องการเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างโหยหา คนที่ควรจะเข้าใจเธอที่สุดอย่างเขา..กลับไม่เข้าใจอะไรเลย คำถามที่เขาเฝ้าถามอีกฝ่ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักทั้งๆที่รู้ว่ามันจะสร้างปัญหาตามมาแต่เขายังเฝ้าเพียรถามซ้ำ ทำไมมาเจอกันไม่ได้ ทำไมคุยโทรศัพท์ไม่ได้ เขาในตอนนั้นคิดน้อยใจทุกอย่างโดยที่ลืมไปว่าเขาเองต่างหากที่อยู่ห่างไปไกลกว่าพันไมล์

ในเมื่อความห่างไกลไม่ได้มีผลแค่ระยะทาง มันมีผลต่อความสัมพันธ์ด้วย ความรักที่เขาคิดว่าเป็นตลอดกาลจบสิ้น เพราะความงี่เง่าของเขา ทุกอย่างเป็นเพราะเขาคนเดียว รอยยิ้มกว้างและดวงตากวางที่เคยเป็นประกายหม่นลงก็เพราะเขา เขาเสียใจ เพียงแค่คิดถึงน้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขายังยืนอยู่ได้ อย่างน้อยก็ในตอนนั้น

ต่างคนต่างอยู่คนละแผ่นดินเพื่อทำงาน ต่างคนต่างหน้าที่ ต่างความรับผิดชอบ เขาโหมงานหนักเพื่อลืมเธอ งานโหดๆอย่างการถ่ายละครในต่างแดนช่วยเขาได้มาก ถึงอย่างนั้นคนเราก็ไม่สามารถหนีความจริงได้ทุกวัน เขาเองก็หนีความจริงที่ว่าเขาไม่มีเธออีกต่อไปแล้วไม่ได้เช่นเดียวกัน

ดวงตาคมจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีภาพถ่ายแสนหวานตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมจนแน่นไปทั้งหน้าอกคือ…คิดถึง ยิ่งใกล้วันเกิดเธอก็ยิ่งคิดถึง เพียงแค่เขาสัมผัสนิ้วไปที่ปุ่มโทรออก เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กสาววัยรุ่นก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตู

“พี่ทงเฮ” เธอเรียกเขาเป็นภาษาจีนแมนดารินใสแจ๋ว สาวน้อยตัวเล็กใบหน้าคล้ายไปทางจีน หากแต่ดวงตาโตใส ผมยาวถูกรวบสูงที่กลางหลังสะบัดไปมาตามแรงเหวี่ยง

“ว่ายังไงวิทนี่ย์ เฮนรี่ล่ะ” ทงเฮถามถึงน้องเล็กใน Super Junior M ผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเด็กสาวรุ่นตรงหน้านิ้วหนากดปุ่มเพื่อวางสายและปิดหน้าจอทันที ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาคิดถึงเธออีกแล้ว

“ไม่ทราบสิคะ ฉันมาหาพี่ ไม่ได้มาหาพี่เฮนรี่ซักหน่อย” หญิงสาวตอบอย่างฉะฉานตามประสานักเรียนนอก

“มาหาพี่? มีธุระอะไรเหรอ” เสียงทุ้มถามกลับไปอย่างสงสัย เขาก้มลงมองเด็กสาวตัวเล็กกว่าที่ยืนเกาะแขนอยู่อย่างถือวิสาสะ ในใจไพล่คิดไปถึงผู้หญิงอีกคน หากเป็นเธอคนนั้นเขาคงแทบไม่ต้องก้ม แค่ยืนตรงๆก็สามารถมองสบไปที่ดวงตากวางของเธอได้

“ก็ฉันคิดถึงนี่คะ อยากเจอมายทงเฮ” สาวน้อยตอบอย่างจริงใจกับความรู้สึกของตัวเอง แขนเรียวเล็กกระชับแน่น ศรีษะน้อยเอนมาซบที่ตรงไหล่ ก่อนที่หนุ่มน้อยหน้าใสผู้เป็นพี่ชายเดินมาคว้าตัวน้องสาวออกไปเพื่ออบรม เฮนรี่เอ่ยขอโทษในความวุ่นวายของน้องสาวแล้วเริ่มอบรมยาวยืด เสียงดุๆของน้องเล็ก Super Junior M ดังสลับกับเสียงโอดโอยของสาวน้อยเป็นระยะ ใครเล่าจะรู้ว่าความรู้สึกของอี ทงเฮในตอนนี้เป็นอย่างไร

วันรุ่งขึ้นทงเฮตัดสินใจขอให้ผู้จัดการช่วยจัดตารางงานให้ใหม่เพื่อให้เขาสามารถบินกลับไปเกาหลี ชายหนุ่มต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อชดเชย แต่ในที่สุดวันที่ 30 พฤษภาคมเขาก็ได้มายืนอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์หรู มือหนาเอื้อมไปกดกริ่ง เพียงไม่นานประตูห้องก็เปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แบบที่ชอบใส่เสมอเวลาไม่มีงาน

“ทงเฮอปป้า” เธอนิ่งไปเพียงอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ยุนอาอนนี่ไม่อยู่หรอกนะคะ”

“แล้ว….” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบเสียงหวานใสก็พูดต่อราวกับรู้ว่าเขาจะถามว่าอะไร “เห็นบอกว่าจะไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะน่ะค่ะ”

“แล้วเธอล่ะจะไปไหน” เขาถามขึ้นอีกเมื่อมองไปเห็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ในมือของน้องเล็กคนสวยแห่ง Girls’ Generation

“ฉันมีซ้อมดูเอทกับคยูฮยอนอปป้าค่ะ .. ขอตัวก่อนนะคะอปป้า” เธอค้อมตัวเล็กๆก่อนจะบอกลา เพียงแค่เดินไปไม่กี่ก้าวเท่านั้นรุ่นน้องสาวก็หยุดหันกลับมาพูดบางอย่างกับเขา “ง้อให้สำเร็จแล้วอย่าทำแบบนี้อีกนะคะอปป้า”

หญิงสาวกล่าวสั้นๆไว้อย่างนั้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งเขาไว้อยู่ตรงหน้าประตูที่ปิดลงอย่างนั้น สมองของชายหนุ่มค่อยๆประมวลผลเพียงชั่วครู่ก็พอจะรับรู้ได้ถึงความหมายที่ซ่อนไว้ของรุ่นน้องสาว เขายังมีหวังที่จะกลับไปเริ่มต้นอีกครั้งกับเธออย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเขารั้งเธอกลับมา เธอจะกลับมาหาคนทึ่มๆบ้าๆอย่างเขาไหม คนที่คอยแต่บ่นเธอ คนที่ครั้งนึงเคยบอกเธอว่า “ถ้ามันจะเป็นอย่างนี้ เราอย่ารู้จักกันเลยจะดีกว่า”

…เขาควรจะได้รับโอกาสนั้นไหม

ขาของเขาก้าวยาวๆไปยังสถานที่ที่คุ้นเคย สวนสาธารณะเล็กๆริมแม่น้ำฮัน ที่ที่พวกเขาเคยมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเสมอสายตาแหลมคมเหลือบไปเห็นร่างผอมบอบบางที่แสนจะคุ้นตา นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาไม่ได้มองเธอแบบนี้ เขาหยุดยืนมองเธออยู่ครู่นึงก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ เขาเดินไปซ้อนด้านหลังของหญิงสาวที่ยืนเหม่อลอยราวกับคนไม่รู้ตัว มือหนาค่อยๆโอบเธอจากด้านหลังพร้อมกับค่อยๆกระซิบเบาๆที่ข้างหู “สุขสันต์วันเกิดนะคะกวางน้อยของพี่”

หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เธอเฝ้ารอมาตลอด เธอหันหลังขวับเพียงเพื่อมาพบว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของใครบางคน ใบหน้าที่เกือบชิดจนแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตากวางเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เห็นคนตรงหน้าก่อนที่จะนึกได้ .. เราเลิกกันแล้ว .. ยุนอาขยับตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมกอดนั้น ทำเอาเขาใจเสียไม่น้อย หากแต่ว่าเขาตั้งใจไว้แล้วว่ามาไกลขนาดนี้ ยังไงเสียวันนี้จะต้องง้อเธอให้ถึงที่สุด

“อปป้าขอโทษที่ทำตัวแย่ๆใส่เธอ ยกโทษให้คนโง่ๆคนนึงได้ไหม เขาสำนึกผิดแล้ว” เสียงทุ้มๆที่แสนอ่อนหวานกระซิบที่ข้างใบหูเล็กของหญิงสาว

ยุนอามองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไปไม่ว่านานแค่ไหน สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเข้าใจ ในที่สุดเธอก็พูดอะไรออกมาหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเกาะกินอยู่พักใหญ่ “ทำไมอปป้าช้านักละคะ เค้ารอมาตั้งนานนะ”

“เค้าน่ะ รอมาตั้งเกือบครึ่งปีแล้ว ทำไมเพิ่งมาหาเขา” น้ำตาใสๆที่คลอหน่วยหยดลงมาตามแก้มใสไม่ขาดสาย คนที่มักจะมีแต่รอยยิ้มและหัวเราะเสียงใสๆอย่างอิม ยุนอา เมื่อถึงเวลาร้องไห้ก็ร้องหนักเสียจนเขาทำอะไรไม่ถูก ทงเฮรั้งร่างบอบบางมาแนบอกแล้วกอดแน่น มือหนาลูบหลังเธอเบาๆอย่างต้องการจะปลอบโยน

“อปป้ามาแล้ว อปป้ามาแล้ว .. ขอโทษนะที่ปล่อยให้เธอรอนานอย่างนี้”

ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนถึงค่ำ เวลาผ่านไปราวกับติดปีกบิน บทสนทนาเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ผลัดกันพูดคุยเพื่อชดเชยเวลาที่หายไป จนเมื่อฟ้าเริ่มมืดลงเขาจึงเห็นว่าควรกลับเสียที เพราะเวลาที่มีอยู่ด้วยกันแสนน้อยนิด ทงเฮจึงตัดสินใจชวนเธอไปนั่งทานอาหารต่อที่อพาร์ทเมนท์ของเขา

เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปในห้องพักที่แสนคุ้นตา เสียงผู้หญิงใสแจ๋วก็ดังขึ้น “มายทงเฮ” ร่างเล็กกระทัดรัดโผเข้ามาหาเขาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เธอกอดเขาแน่นจนแทบกระดุกกระดิกไม่ได้ เขาหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มที่เขาเพียรสร้างมาตลอดทั้งวันกลับหายไปเหลือเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ความผิดหวังเสียใจฉายชัดเจนในแววตา .. แน่ล่ะ ยังไม่ทันที่แผลเก่าจะหายดี อยู่ดีๆเธอก็ต้องเห็นภาพเขากอดกับผู้หญิงคนใหม่ในห้องส่วนตัว!

ร่างบองบางหมุนตัวกลับทันทีเมื่อตั้งสติได้ ยุนอาวิ่งแทบจะสุดกำลังเพื่อที่จะออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด .. เสียดายที่เฝ้ารอ เสียใจที่เฝ้ารัก

“วิทนี่ย์!” เสียงชายหนุ่มสองคนประสานกันดังลั่นแทบทั้งทงเฮและเฮนรี่ ในที่สุดทงเฮก็เป็นอิสระจากสาวน้อย ดวงตาคมมองไปตามทางเดินที่บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของยุนอา เขาคงหมดแล้ว .. ไม่เหลือแม้เพียงโอกาสได้เป็นคนรู้จักของเธอด้วยซ้ำไป

ทงเฮพาร่างที่อยู่ดีๆก็หนักอึ้งเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้วลงกลอนดังลั่น ปล่อยสองพี่น้องไว้ให้อยู่ลำพัง ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้เสียแล้ว ยุนอาคงโกรธเขาจนไม่น่าที่จะยกโทษให้ ทั้งๆที่เหมือนทุกอย่างจะไปได้ดีแต่เขากลับมีผู้หญิงอื่นอยู่ในห้อง..ในวันเกิดเธอ

…เป็นใครก็ต้องโกรธ

...แต่ใครจะรู้ว่าเขาคิดกับวิทนีย์แค่น้องสาว ไม่มีได้รักแบบหญิงสาวเหมือนที่เขารักยุนอา

วันแต่ละวันของเขาดำเนินไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าใครบางคนกำลังหมุนเข็มนาฬิกาให้ช้าลง ยิ่งใกล้งานที่จะต้องทำด้วยกันเขายิ่งทรมาน ไม่เคยซักครั้งที่เขาจะมีความสุขจนสามารถยิ้มหัวเราะได้ดังเดิม หากเขายังคบกับเธออยู่เขาคงนับถอยหลังที่จะได้ทำงานร่วมกัน แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างนี้แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรได้

ท่ามกลางความวุ่ยวายที่หลังเวทีคอนเสิร์ท SM Town Live in Paris ทงเฮยืนมองตัวต้นเหตุของความหมองหม่นของตัวเองที่ตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับคู่รักมักเน่ตรงหน้า คยูฮยอนกับซอฮยอนที่แรกเริ่มมีแต่ความเคอะเขินขนาดที่จับมือยังเกี่ยวกันแค่นิ้วก้อย วันนี้สองคนกับคุยเล่นกันอย่างสบายใจ ช่างแตกต่างจากเขาที่ถอยหลังลงคลอง .. จากคนรักกลายเป็นคนที่ไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำไป

ตั้งแต่ซ้อมเต้นจนรันทรู ไม่รู้กี่ครั้งที่เขาต้องลอบถอนใจด้วยความอึดอัด ไม่รู้กี่ครั้งที่เขาพยายามหักห้ามใจไม่ได้ไปทัก และไม่รู้อีกกี่ครั้งที่เขาต้องกลั้นน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรการแสดงต้องดำเนินต่อไปทั้งๆที่หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้น เขาเลือกที่จะไม่มองดวงหน้าเล็กที่มักจะแสดงออกถึงความซุกซนเพียงเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาเพื่อประจานตนบนเวที

นี่ใช่ไหมที่ว่ากันว่า “ถ้าเลิกกันไปจะทำงานด้วยกันลำบาก” ตอนนี้เขาเข้าใจมันดีทีเดียว

ชายหนุ่มพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนกลับมาที่ห้องพักในโรงแรมก่อนจะทิ้งตัวหนาๆลงไปบนเตียงที่ใกล้ที่สุด Dance Battle ครั้งนี้ทำเขาแทบหมดพลังไร้เรี่ยวแรงจะยืน ไม่ใช่เพราะเหนื่อยจาก Dance Routine ที่แสนโหด หากแต่เพราะเหนื่อยใจ ทุกอย่างเลยหนักหนาไปหมด เขาเดินหนีจากงานเลี้ยงหลังคอนเสิร์ทที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพื่อขอเวลา..พัก

มือหนาลูบใบหน้าคมสันแรงๆ วันนี้น้ำตาที่มักจะไหลออกมาอย่างง่ายดายหายไป ไม่ใช่เพราะเข้มแข็ง หากแต่หมดจนไม่เหลือแล้วต่างหาก บางครั้งการที่ไม่มีน้ำตามันกลับเจ็บยิ่งกว่า หัวใจของเขาชาหนึบจนเหมือนจะเต้นต่อไปอีกไม่ไหว ตั้งแต่เมื่อไรที่รักทำให้เหนื่อยล้าได้ขนาดนี้

 

너를 울린 건 내가 바보라서
ที่ทำเธอร้องไห้ ก็เพราะว่าฉันมันโ ง่เอง
너를 보낸 건 내가 부족해서 널
ที่ปล่อยให้เธอไป ก็เพราะว่าฉันมันยังไม่ดีพอ
지우려 했던 그런 나를 용서해 [All] 줘 날
ที่พยายามลืม เธอจะยกโทษให้ฉัน ได้ไหม
제발 다시 숨을 쉴 수 있게
ได้โปรด ช่วยทำให้ฉันหายใจได้อีกครั้งเถอะ

 

 

Happy Birthday, Lee Donghae มีความสุขมากๆนะเจ้าปลาน้อยของพี่
ขอโทษที่แต่งของขวัญวันเกิดให้เป็นดราม่าแบบนี้ แต่หลังจากเรื่อวราวร้ายๆมักจะมีสิ่งสวยงามเสมอ
ขอให้ชีวิตจริงของปลาน้อยสวยงามตรงข้ามกับเรื่องนี้ .. และขอให้รักษาสิ่งดีๆไว้ตลอดไปนะคะ

ปล. ฟิคเรื่องแรกเป็นของขวัญให้ทงเฮและไพโร .. ขอบคุณน้องอูที่ให้ทั้งโจทย์ยากและแรงบันดาลใจ ^^
ขอโทษนะคะถ้าเกิดเขียนได้ไม่ดี ไว้มีโอกาสจะเขียน First Love น้าาา~

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– END – 

 

คยูฮยอนและซอยอนใช้เวลาช่วงวันหยุดพักร้องของเขาไปกับการตระเวนเมืองปารีส ตั้งแต่เดินถนนชองเอลิเซ่ (Champs-Élysées) ที่เต็มไปด้วยสีสันของคริสต์มาส ทั้งร้านค้าที่แข่งขันกันตกแต่งหน้าร้านอย่างงดงาม ยิ่งในงามค่ำคืนไฟประดับที่ถนนเป็นรูปต้นคริสต์มาสตลอดแนวทางเดินสวยจนอยากจะหยุดเวลาไว้ ประตูชัยที่คยูฮยอนเล่าประวัติแบบคร่าวๆ คร่าวมากๆแบบประโยคเดียวจบว่าสร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของกษัตริย์ซักองค์นี่แหละ ในขณะที่ไกด์นำเที่ยวมืออาชีพที่นำคณะทัวร์ยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันอธิบายฉากแล้วฉากเล่าอย่างกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ซอฮยอนใช้เวลาหนึ่งวันเต็มไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟเพื่อดูภาพศิลปะต่างๆและต่อคิวจ้องตากับโมนาลิซ่าซึ่งคยูฮยอนก็ไม่ขัดข้อง ระหว่างที่หญิงสาวดื่มด่ำกับภาพวาด เขาเองก็เพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่ดูกี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ คยูฮยอนพาเธอไปเยี่ยมชมพระราชวังแวร์ชายน์ วิหารนอร์ทเธอดาร์มและคาธีดรอลอีกหลายที่ มือเล็กๆกดชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเก็บภาพความประทับใจนั้นไว้ เช่นเดียวกับคยูฮยอน … เขาเก็บภาพของเธอ

และแน่นอนว่าเขาต้องพาเธอไปยังหอไอเฟลที่เหมือนกับเป็นสัญญลักษณ์ของปารีส เขาพาเธอมายืนดูอยู่ห่างๆก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ มือน้อยเกาะเกี่ยวมือหนาๆของเขาไว้เมื่อต้องเดินขึ้นสิ่งก่อสร้างเหล็กเพื่อขึ้นไปยังยอดสูงของหอไอเฟล เหนื่อย…ส่วนลิฟท์ก็สูงจนน่ากลัว แต่เมื่อถึงยอดสุดแล้วกลับลืมทุกสิ่งอย่าง แสงไฟจากเมืองปารีสที่ไม่ยอมหลับส่องแสงระยับแข่งกับดวงดาว จนเธออยากจะหยุดเวลาไว้แค่ตอนนี้

เวลาห้าวันที่ปารีสผ่านไปเร็วราวกับติดปีกบิน คยูฮยอนขับรถพาเธอกลับมายังที่พักของเธออีกครั้ง ซอฮยอนเช็คเอาท์ไปเพราะต้องไปปารีสถึงห้าวันเต็ม ทั้งๆที่ก่อนเดินทางพนักงานรับปากเป็นมั่นเหมาะว่ามีห้องพักแน่ๆเมื่อเธอกลับมา แต่พอถึงเวลาพนักงานกลับแจ้งว่าห้องพักเต็มหมด ค่ำแล้วแต่เธอกลับไม่มีที่นอน ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนใจ

…แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหนกัน

“ไปพักที่บ้านผมไหมซอฮยอน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากที่ประมวลผลอยู่นาน “ดีเสียอีก คุณจะได้ประหยัดเงินค่าที่พักเอาไว้เที่ยวไง”

ซอฮยอนสบตาคมนิ่ง เขารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา ข้อเสนอของเขาหอมหวานสำหรับคนไร้ทางเลือกอย่างเธอ แต่มันจะสร้างความลำบากให้กับคนอย่างเขาน่ะสิ

“หรือคุณกลัวผม” คิ้วหนาเลิกถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นท่าทางลังเลของคนตรงหน้า แน่ล่ะ เธอเป็นผู้หญิง สวยเสียด้วย เขาคงเสนออะไรไปไม่คิดสินะ คยูฮยอนอยากจะเอาศรีษะตัวเองโขกพื้นมันเสียตรงนี้จริงๆ

“เปล่านะคะ เปล่า” หญิงสาวรีบตอบอย่างร้อนรน เธอกลัวเขาเข้าใจผิด “ฉันจะกลับคุณทำไมเล่า ฉันแค่…เกรงใจคุณต่างหาก”

“ถ้าคุณเกรงใจก็ทำอาหารให้ผมทานแล้วกัน ถือเป็นค่าเช่าห้อง .. ดีไหม” เขาไม่ฟังคำตอบอื่นใด มือหนายกกระเป๋าของเธอเดินนำเธอลิ่วไปยังรถที่จอดอยู่ เขาหันหลังกลับมากวักมือเรียกเธอที่เดินตามมาช้าๆก่อนจะจับเธอยัดเข้าไปในที่ด้านข้างคนขับ

คยูฮยอนพาเธอมาที่อพาร์ทเมนต์ในย่านแอนทีบส์ (Antibes) ไม่ไกลนักจากทะเล หากมองจากห้องเขาจะสามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างชัดเจน ห้องนอนของเขาสะอาดเรียบร้อยเกินกว่าจะเป็นห้องนอนของหนุ่มโสดทั่วไป หากเมื่อเธอแซวเขาเขากลับตอบเพียงว่า “ผมอยู่คนเดียวแต่เด็กเลยต้องดูแลตัวเอง ถ้าปล่อยให้รกยังไงก็ไม่มีใครทำอยู่ดี”

หญิงสาวเดินสำรวจโดยรอบอพาร์ทเมนต์ ห้องนั่งเล่นโทนสีขาวสะอาดตา ตกแต่งเรียบง่ายแต่กลับดูอบอุ่น ในห้องนอนมีเตียงกว้างปูด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้ม สีโปรดของคยูฮยอน โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฮยอนบอกตามตรงว่าเธอรู้จักแค่แล็ปท็อปเท่านั้น ที่เหลือเป็นอะไรบ้างก็ไม่รู้ เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ กลิ่นหอมสะอาดลอยเข้ามาทันทีที่เธอย่างกรายเข้าไป ภายในมีผ้าสะอาดที่แขวนอยู่ตรง Cloth Heater สองสามผืนนอกนั้นทุกอย่างน้อยแต่ดูสะอาดตา ห้องพักของคยูฮยอนตกแต่งแบบเรียบง่ายตามสไตล์ของเขา ซอฮยอนนั่งนึกทบทวนอีกครั้ง .. หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น และแพนทรี … แล้วจะนอนกันยังไงล่ะทีนี้!

ร่างสูงยกกระเป่าเธอเข้าไปไว้ในห้องขณะที่เธอแปลงร่างเป็นนักสำรวจ เขากลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับชุดเครื่องนอน ชายหนุ่มเดินไปที่โซฟาจัดการย้ายนั่นนิดนี่หน่อยก็กลายเป็นเดย์เบด (Daybed) น่านอน

“คุณนอนข้างในก็แล้วกัน เดี๋ยวผมนอนข้างนอกเอง .. อย่าทำอะไรผมก็แล้วกันนะ” เขาบอกเธอพร้อมกับคลี่ยิ้มตาหยี

ซอฮยอนมองคนตรงหน้าด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แต่กลับตอบเขาออกไปแบบกวนๆ “โธ่ ทำไมไม่ชวนอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกเล่า ปล่อยให้ฉันเสียค่าห้องพักที่ Villa la Tour ไปตั้งหลายคืน”

ชีวิตประจำวันของซอฮยอนตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขาคือตื่นขึ้นมาก็ไปส่งเขาที่ที่ทำงานของเขาในเมืองใกล้ๆ จากนั้นเธอก็ขับรถไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่เธออยากไป แล้วจึงกลับไปรับเขาในตอนเย็น เป็นอย่างนี้ทุกวัน แรกเริ่มเดิมที่เธอปฏิเสธเขานับครั้งไม่ถ้วนที่ยัดเยียดรถให้เธอใช้…พร้อมกับหน้าที่คนขับรถส่วนตัวของเขา แต่สุดท้ายเธอก็แพ้เขาเพราะคยูฮยอนยกเหตุผลล้านแปดประการมาอ้าง

“มาเที่ยวแล้วต้องไปให้คุ้มสิ จะมัวมาอยู่บ้านทำไม”

“รถผมนี่แหละประหยัดดี ดีกว่าไปเช่ารถอีกคันหรือนั่งแท๊กซี่ ไม่งั้นผมก็จอดไว้เฉยๆที่ออฟฟิสอยู่ดี”

“นาวิเกเตอร์ก็มีซอฮยอนจะกลัวอะไร จิ้มๆไปเดี๋ยวก็มีคนบอกทาง”

แล้วเธอก็ต้องยอม .. เพราะหมดทางจะเถียง

ทุกเช้าซอฮยอนจะตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าและยังเตรียมอาหารกลางวันให้เขาไปทานที่ที่ทำงานอีกด้วย จนคยูฮยอนมักจะพูดเสมอๆว่าเธอทำให้เขาเคยตัว อาหารเย็นส่วนใหญ่ทั้งคู่ก็จะช่วยกันทำ หรือไม่เช่นนั้นก็จะออกไปหากินใกล้ๆ ในแอนทีบส์มีร้านอาหารขึ้นชื่อมากมาย หรือหากขับไปอีกนิดก็ถึงคานส์ (Cannes) หรือไบออท (Biot) แล้ว ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมห้องพัฒนาขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยคยูฮยอนเป็นเจ้าบ้านที่แสนดี ส่วนซอฮยอนก็เป็นผู้อาศัยที่แสนน่ารัก

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทั้งสองคนร่วมกันทำอาหารเย็น อาหารฝีมือของเธออาจจะไม่ได้อร่อยเท่าเชฟตามภัตตาคาร แต่เขารู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กิน .. มันอุ่นใจ

“ถ้าหิมะตกวันคริสต์มาสก็คงดีเนอะคยู จะได้เป็น White Christmas ไง” หญิงสาวเอ่ยขึ้นระหว่างมื้ออาหารเมื่อพูดถึงคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา คยูฮยอนบอกเธอว่าเขาปฏิเสธคำชวนของเพื่อนๆที่ให้ไปทานอาหารร่วมกันที่บ้านตามที่ตกลงกันไว้กับเธอว่าจะฉลองกันเงียบๆที่บ้าน  แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกเธอคือเขาอยากใช้เวลากับหญิงสาวร่วมบ้านให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่การมีเธออยู่เป็นสิ่งปกติสำหรับเขา

“ที่นีซหิมะไม่ตกหรอกนะซอฮยอนนี่” เขาตอบนิ่งๆ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นีซคยูฮยอนไม่เคยได้สัมผัสหิมะซักครั้ง นีซไม่หนาวจัดเหมือนประเทศทางแถบยุโรปเหนือ ดังนั้นความหวังของซอฮยอนจึงมีความเป็นไปได้เกือบจะเท่ากับศูนย์

“ว้า” หญิงสาวทำหน้าง้ำแต่ก็งอแงกับใครไม่ได้ เรื่องของธรรมชาติ เธอจะไปเรียกร้องเอากับใครได้ … อีกครั้งทีท่าทางเด็กน้อยของซอฮยอนทำให้เขาประทับใจ ถ้าเขามีความสามารถเสกหิมะให้เธอแลกกับรอยยิ้มได้ เขาคงทำโดยไม่ต้องคิด

 

 

ดวงตาสีน้ำตาลมองไปนอกหน้าต่าง ชายหาดที่มืดมิดแต่ยังมีแสงไฟจากร้านค้าและบ้านเรือน ภาพตรงหน้าเมืองกับเมืองในฝัน บางครั้งเธอเองก็คิดว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝันจริงๆ เธอบอกตัวเองตอนที่จากมาว่าหากแข็งแรงขึ้นเมื่อไรจะกลับไป ในวันนี้เธอไม่มีน้ำตาซักหยดตั้งแต่เท้าแตะที่เมืองนี้ หรือจริงๆแล้วอาจจะตั้งแต่เกิดเรื่องที่เกาหลี บางทีเธออาจจะไม่เคยอ่อนแอแต่แค่กลัวไปเอง บางทีเธออาจจะแค่กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงทำให้เธอหนีมา บางทีเธออาจจะไม่ได้รักยงฮวา .. บางทีอาจจะถึงเวลาที่เธอต้องกลับบ้านเสียที

เกร็ดหิมะขาวร่วงหล่นจากฟากฟ้าที่ตรงนอกหน้าต่าง เธอยกมือบางขึ้นขยี้ตาเบาๆ .. ไหนเขาบอกว่าที่นี่ไม่มีหิมะ

“คยู หิมะตก” เสียงใสร้องขึ้นอย่างยินดีกับภาพตรงหน้า .. White Christmas!

“ซอฮยอนนี่ อยากให้หิมะตกขนาดเห็นภาพลวงตาหรือไง .. ที่นี่ไม่ใช่เกาหลีนะ” คยูฮยอนตอบอย่างไม่เชื่อ แต่แขนเรียวเล็กกลับวิ่งมาคล้องเกี่ยวตัวเขาแถมยังดึงรั้งให้ไปดูด้วยกันที่หน้าต่าง

ภาพตรงหน้าสร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มอย่างมากมาย .. หิมะจริงๆ .. ซอฮยอนมองร่างสูงตรงหน้าอย่างอิ่มสุข เธอกอดแขนเขาไว้พร้อมกับเอนศรีษะซบลงตรงไหล่หนา ไหล่นี้อุ่นดีจริงๆ หากเป็นไปได้เธออยากซบลงบนไหล่นี้ตลอดไป มือหนาโอบกระชับที่ไหล่บางด้วยความคิดที่ไม่ต่างกัน

ท่ามกลางหิมะโปรย ชายหนุ่มกับหญิงสาวเอเชียคู่นึงเดินชมบรรยากาศของเมืองท้าทายอากาศหนาวเย็น บรรยากาศโดยรอบกลับกรุ่นด้วยความรักและอบอุ่นจนคนรอบข้างต้องยิ้มเมื่อได้เห็น

“คยูไม่เคยอยากกลับไปเกาหลีจริงๆน่ะเหรอ” เสียงหวานถามขึ้นอย่างอ่อนโยน เธอเงยหน้าเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้น

“ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับเกาหลีอีกแล้วซอฮยอน”

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แขนเรียวเล็กกระชับแขนของเขาแน่นขึ้น ที่ผ่านมาเธอไม่เคยบอกเขาว่าจะต้องกลับวันไหน ทั้งๆที่ตั๋วเครื่องบินมีอายุแค่หนึ่งเดือน เธอต้องบินกลับในวันรุ่งขึ้น “จริงๆแล้วนีซสวยเหลือเกิน แต่ว่าฉันต้องกลับไป” เธอเอ่ยด้วยเสียงบางเบา “อัปป้ารอฉันอยู่ … แล้วฉันก็คิดว่ายังมีอีกสองคนที่กำลังรอการกลับไปของฉัน”

ระหว่างเขาและเธอไม่เคยมีคำพูดใดนอกเหนือไปจากเพื่อน คนร่วมห้อง เจ้าของบ้านและผู้อาศัย คนที่ช่วยเหลือ หรือเพื่อนร่วมสัญชาติ ตั้งแต่เขารู้จักกับเธอ เธอไม่เคยบอกถึงเหตุผลที่มาที่นี่เลยซักครั้ง บางทีที่ที่เธอจากมาอาจจะมีคนรอเธออยู่ .. คนรักของเธอ

“กลับไปแล้วงานคงกองเต็มโต๊ะเลยล่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ความอึดอัดในใจที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ก่อ เธอยังคงรั้งแขนเขาไว้แน่น

…ไม่อยากปล่อยไปเลย

 

 

ไม่มีการเปลี่ยนใจใดๆทั้งสิ้น ซอฮยอนกลับเกาหลีโดยมีคยูฮยอนมาส่งที่สนามบิน ไม่มีการเอ่ยคำร่ำลาใดๆมากไปกว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัย .. แล้วเราคงได้เจอกันใหม่”

เพียงแค่หันหลังจากมาหญิงสาวกลับใจหาย หัวใจปวดแปลบไปทั้งดวง แตกต่างจากตอนที่มา น่าแปลก ทั้งๆที่เธอจากบ้านและครอบครัว โดนคนรักและเพื่อนหักหลังแต่กลับไม่เสียใจเท่าวันนี้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลจากดวงตาคู่สวย ซอฮยอนกลับปล่อยมันไว้อย่างนั้นโดยไม่คิดที่จะเช็ดมันออกไป

เธอเพิ่งรู้ว่าเวลาที่นีซเป็นเวลาที่มีค่าของเธอเหลือเกิน ….. และเขาก็มีค่ากับเธอเหลือเกิน

ซอฮยอนกลับมาเกาหลีท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของทั้งครอบครัวและเพื่อนสนิท รวมไปถึงยงฮวาและมินจอง หญิงสาวกลับมามีรอยยิ้มที่จริงใจให้กับทั้งสองคนตรงหน้าอีกครั้ง การตัดสินใจของเธอในตอนนั้นคงดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว แต่เธอยังสงสัยในการตัดสินใจของตัวเองในตอนนี้ว่ามันดีสำหรับใคร

 

เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอขาดการติดต่อจากเขา ซอฮยอนอยากจะตีตัวเองให้ลายไปทั้งตัวที่โง่ บ้า เซ่อ ไม่ได้ให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อเขาไว้ ส่วนเขาติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้จนเธอมารู้ทีหลังว่าเขาหมดสัญญาเช่าห้องพักที่แอนทีบส์ แต่คนเช่าห้องต่อจากเขาไม่รู้ว่าคยูฮยอนย้ายไปอยู่ที่ไหน เธอยอมรับว่าเธอยังคิดถึงหน้าหนาวที่แล้วที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับเขาในเมืองที่เงียบสงบอย่างนีซ เธอยังจำคำสุดท้ายที่เขาพูดก่อนจากกันได้ดี

…แล้วเราคงได้เจอกันใหม่

“ซอฮยอน จำได้ไหมที่พี่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จักกับที่ปรึกษาที่พี่ดึงตัวมาได้น่ะ” เสียงของยงฮวาดึงเธอออกมาจากความคิด วันนี้เขาและเธอมีนัดเจรจากันกับที่ปรึกษาด้านระบบคนใหม่ที่ยงฮวาใช้กำลังภายในดึงตัวมาได้จากบริษัทชื่อดังในยุโรป การพัฒนาระบบในครั้งนี้จะช่วยทำให้การทำงานของบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินอย่างซอฮยอนจะสามารถพัฒนาการบริการและทำรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว เธอจึงต้องร่วมรับประทานอาหารค่ะแบบธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ .. ทั้งๆที่ยงฮวาที่เป็นรองประธานบริษัทเพียงคนเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมจะต้องดึงเธอมาร่วมตกระกำลำบากในคืนคริสต์มาสอย่างนี้ด้วย

…นี่มันคริสต์มาสนะ! ฉันมาทำอะไรที่นี่!

“ใช่ นี่มันคริสต์มาส พี่เองก็ทำงานเหมือนเธอไม่ใช่เหรอ .. ไหนบอกจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไงซอฮยอน” เขาพูดตอนที่เธอปฏิเสธอาหารค่ำในครั้งนี้ “ยังไงเธอก็ต้องมา” ยงฮวาสรุปสั้นๆ แล้วเธอก็มาจริงๆ

ร่างสูงคุ้นตาเดินเข้ามา ซอฮยอนมองคนที่เดินเข้ามาใกล้ตาแทบไม่กระพริบ อาจจะเป็นคนหน้าเหมือน ไม่งั้นเธอก็อาจจะฝัน หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นคริสต์มาสเธอเลยคิดถึงเขามากเกินไปถึงได้เห็นเขาชัดเจนได้ขนาดนี้ เขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เธอยังจำคิ้วหนาๆที่รับกับตาคมปราบ ดวงตาที่มักจะยิ้มจนเป็นรูปเสี้ยงพระจันทร์เมื่อเธอทำอะไรเปิ่นๆ ปากได้รูป และเสียงที่อบอุ่น

“ทางนี้ครับคุณคยูฮยอน” ยงฮวายกมือเรียกชายหนุ่มตรงหน้า ย้ำชัดว่าซอฮยอนไม่ได้ฝัน เธอไม่ได้คิดไปเอง

“ซอฮยอน นี่ไงนักพัฒนาโปรแกรมที่ผมพูดถึงบ่อยๆ คุณโจว คยูฮยอน .. คุณคยูฮยอนครับ นี่ซอฮยอน เจ้าของบริษัท S Wealth Management ที่ผมพูดถึงบ่อยๆไงครับ” ยงฮวาแนะนำคนทั้งสอง เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาครั้งนี้จะเป็นไปด้วยดี โปรแกรมนี้จะทำให้บริษัททำรายได้อย่างงาม เพราะ S Wealth Management ในปัจจุบันใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการทำงาน หากมีโปรแกรมเป็นของตัวเองที่ได้รับการพัฒนามาให้เป็นไปตามที่บริษัทต้องการย่อมทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียไปกับค่าโปรแกรม แถมยังมีสินทรัพย์เป็นตัวโปรแกรมและยังทำงานได้มีประสิทภาพประสิทธิผลมากขึ้นด้วย

ตลอดเวลาอาหารค่ำเต็มไปด้วยเรื่องงาน งาน และงาน ซอฮยอนพยายามจะหาโอกาสถามสารทุกข์สุขดิบของคนตรงหน้าว่าช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ก็หาช่วงเวลาเหมาะๆไม่ได้แม้จนสิ้นสุดอาหารมื้อนั้น

“เอาเป็นว่าผมจะเข้าไปพูดคุยในรายละเอียดอีกครั้งหลังปีใหม่นะครับ ผมอาจจะร่างแนวความคิดมาแบบคร่าวๆก่อน แต่ผมไม่ได้มีความรู้ด้านการเงินมากนักคงต้องอาศัยพวกคุณช่วยในรายละเอียด” เขาจับมือกับยงฮวาและหันมาโค้งนิดๆให้กับเธอพร้อมกับบอกลา

คยูฮยอนเดินแยกตัวมา เขาแค่นยิ้มอย่างประชดประชันตัวเอง ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาที่เขาเฝ้าคิดถึง สุดท้ายเมื่อได้พบเธอกลับมีคนอื่นอยู่แล้วจริงๆ

…จอง ยงฮวา เขาสินะที่เป็นเหตุผลให้เธอกลับมา

“รอก่อนสิคะ อย่าเพิ่งไป” มือเรียวบางรั้งแขนเขาไว้ ร่างสวยหวานหอบเบาๆ “ยงฮวาเป็นเพื่อนของฉันค่ะ และเขาก็มีคู่หมั้นแล้วด้วย .. มินจอง” เธออธิบายทั้งๆที่ยังหอบ ซอฮยอนบอกลายงฮวาทันทีที่คยูฮยอนแยกตัวออกมา เธอต้องทั้งนั่งยันนอนยันว่าเธอกลับเองให้เขากลับไปหามินจองให้ทันก่อนคริสต์มาสจะผ่านไป เธอต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอ ทั้งยงฮวาและมินจองดูจะรักและห่วงเธอเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณตั้งแต่เกิดเรื่อง บางครั้งก็ดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อเธอปลีกตัวจากยงฮวาได้เธอจึงวิ่งตามเขามา .. เหนื่อยแทบขายใจ

“คุณบอกผมทำไม” เขาถามเสียงเรียบไม่บ่งถึงความรู้สึกใด

“ฉันคิดว่าใครบางคนคงจะเข้าใจผิด”

“คุณคิดถูกแล้ว”

หญิงสาวนิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่แสนตรงของเขา รอยยิ้มจางๆค่อยๆเคลือบบนปากสวยได้รูป

หากว่าเขาเข้าใจผิด….บางที เราอาจจะใจตรงกัน

“ในที่สุดคุณก็กลับมาเกาหลี” เธอเอ่ยขึ้นมากึ่งพูดกึ่งถาม หากว่าเขาปฏิเสธ เธอก็จะยื้อเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ดวงตามองสบเขาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก เธอปล่อยโอกาสไปแล้วครั้งนึงเมื่อคริสต์มาสที่แล้ว ครั้งนี้เธอจะขอเอื้อมมือคว้าของขวัญคริสต์มาสชิ้นนี้ไว้ ไม่ปล่อยให้ใครมาแย่งไปได้

“ครั้งมีเหตุผลให้ผมกลับมา” เขาพูด มือหนาดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมกับเอ่ย “เหตุผลนั้นคือคุณ”

คยูฮยอนเองก็เช่นกัน ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอจากไปไหนอีกแล้ว ขนาดเมื่อครู่ที่เขาคิดประชดประชันตัวเอง สมองอีกฝั่งยังคอยประมวลผลว่าจะทำให้เธอเป็นของเขาได้อย่างไร แล้วอย่างนี้เขาจะปล่อยเธอไปอีกครั้งได้เชียวหรือ ร่างหนากระชับอ้อมกอดแน่นท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาใจกลางกรุงโซล สองร่างกระซิบบอกรักกันอย่างไม่รู้เบื่อ มือเกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างนั้นแม้เหงื่อจะซึมชื้นอยู่ตามฝ่ามือ

 

คริสต์มาสที่แล้วเขาได้ฉลองร่วมกับเธอ .. เขาใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อที่จะมาพบเธออีกครั้งในวันคริสต์มาส .. แต่จากนี้ทุกๆปีจะมีเขาและเธอร่วมกันตลอดไป

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– 3 – 

 

 

คยูฮยอนมาหาซอฮยอนทุกเย็นตลอดทั้งสัปดาห์ตามที่เขาว่าไว้ ทั้งสองใช้เวลาหลังเลิกงานของคยูฮยอนร่วมกันจนเริ่มสนิทสนม ชายหนุ่มมักจะพาเธอไปทานอาหารยังร้านอาหารที่เขาชอบ ซอฮยอนเพิ่งรู้ว่าร้านอาหารที่เธอพบกับเขาวันแรกคือร้านโปรดของเขาในย่านเมืองเก่า

เย็นวันศุกร์คยูฮยอนตัดสินใจพาเธอไปทานอาหารที่แอนทีบส์ (Antibes) ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเล สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมและอาหารขนาดเล็กใหญ่คละเคล้ากันไป ซอฮยอนเลือกเข้าร้านอาหารร้านนึงที่ตกแต่งด้วยผนังกระจกที่มีน้ำไหลลงมาตามผนัง ภายในตกแต่งด้วยโทนสีขาว บริกรที่อยู่ในร้านแค่ดูก็รู้ว่ามากประสบการณ์ คยูฮยอนตัดสินใจสั่งปลาที่ไม่ระบุราคา โดยบอกว่าราคาตามน้ำหนัก ส่วนซอฮยอนตัดสินใจสั่งสแกลลอปแล้วปิดท้ายด้วยแพนนาคอตต้า

บริกรชายถือชามปลาจานโตมาที่โต๊ะทำเอาทั้งตัวคนสั่งและอีกคนที่นั่งด้วยตาโตด้วยความตกใจ บริกรชายถามเขาว่าจะให้แกะปลาเลยหรือไม่ซึ่งเขาก็ตอบรับ จนเมื่อพนักงานผู้นั้นมาเสิร์ฟอาหารอีกครั้งทั้งคยูฮยอนและซอฮยอนถึงกับตาวาวเป็นประกาย เนื้อปลาถูกแกะอยู่ในจานอย่างสวยงาม ด้านข้างในฐานมีก้อนเกลือรูปปลาที่ถูกกระเทาะวางอยู่ให้เห็น เป็นเหตุว่าทำไมเจ้าปลาที่มาเสิร์ฟตอนแรกเริ่มถึงได้ตัวโตนัก เพราะทางร้านพอกตัวปลาด้วยเกลืออย่างหนาเป็นรูปปลาก่อนนำไปอบ สแกลลอปของซอฮยอนที่ได้รับการปรุงอย่างดีดูน่าทานแถมการจัดวางยังดูราวกับเป็นศิลปะชั้นสูงมากกว่าจานอาหาร มื้อนั้นทั้งคยูฮยอนและซอฮยอนต่างก็ทานอาหารอย่างอร่อย ทั้งสองแบ่งกันทานเพื่อให้ได้ชิมอาหารรสเลิศกันทั้งคู่ สุดท้านซอฮยอนก็ปิดท้ายมื้อนั้นด้วยแพนนาคอตต้า ขนมหวานที่ทำจากนม ครีมและน้ำตาล ตกแต่งด้วยผลไม้ แค่ซอฮยอนได้ลิ้มรสหวานมันนุ่มลิ้นตัดรสเปรี้ยวนิดๆของผลไม้หญิงสาวก็เหมือนลอยอยู่ในอากาศ ทำเอาคนที่จิบกาแฟตรงหน้ายิ้มตาม

คยูฮยอนทำสัญญาณเรียกบริกรเพื่อให้เก็บเงิน เขารับสมุดพับที่มีใบเสร็จค่าอาหารมาจากพนักงานแล้วเปิดดูแต่หญิงสาวกลับคว้าไปจากมือเขาโดยไม่บอกกล่าว มือเรียวบางวางบัตรเครดิตอเมริกันเอ็กเพรซสีดำลงไปโดยไม่ตรวจเช็คค่าอาหาร

“ให้ฉันเลี้ยงขอบคุณคุณนะคะ .. ส่วนนี่เป็นที่ฉันยืมไป” ซอฮยอนยื่นซองจดหมายสีขาวฉลุลายมาตรงหน้า

“แต่เฉพาะค่าปลานั่นมันตั้ง 60 ยูโรนะซอฮยอน จะเลี้ยงผมได้ยังไง” คยูฮยอนโวย เขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ให้ผู้หญิงเลี้ยงมันน่าจะอายจะตายไป เขาไม่ได้ยากจนขนาดนั้นหรือเปล่า

“คุณให้เงินฉันยืมแล้วยังมาเลี้ยงข้าวฉันทุกวันจนฉันแทบจะไม่ได้ใช้เงินที่ยืมคุณมาเลย ให้ฉันเลี้ยงคุณซักมื้อเถอะนะคะ แล้วหลังจากนี้คุณจะเลี้ยงคืนอีกกี่มื้อฉันก็ยินดี แถมจะถล่มคุณเต็มที่เลย” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวาน ริมฝีปากเคลือบด้วยรอยยิ้มอย่างพึงใจที่ได้ทำอะไรตอบแทนเขาบ้าง

“งั้นก็ตามใจคุณเถอะ” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อเห็นท่าว่าทำยังไงเสียเธอก็คงจะไม่เปลี่ยนใจเป็นแน่

หลังมื้อค่ำทั้งสองใช้เวลาร่วมกันที่ริมทะเลกลางดึก เพราะคยูฮยอนบอกว่าเธอต้องการการออกกำลังกาย ส่วนเธอเองก็ไม่อาจห้ามใจให้ไม่เดินไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองได้ ร่างบอบบางวิ่งไปเกาะตู้ไอศครีมแล้วกวักมือเรียกเขา เธอบอกกับเขา “ถ้าคุณอยากขอบคุณค่าปลาตัวนั้นก็เลี้ยงไอศครีมฉันแทนนะคะ ฉันอยากกินตั้งแต่วันนั้นที่โดนล้วงกระเป่าแล้ว” แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด คยูฮยอนควักเหรียญยูโรออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เด็กสาววัยรุ่นที่เป็นพนักงานประจำร้าน มือเล็กๆรับไอศครีมโคนที่มองไปมองมาแล้วคล้ายๆกับดอกไม้ ดวงตาประกายเจิดจ้าอย่างกับเด็กได้ของเล่นไม่มีผิด คยูฮยอนมองคนที่เดินเคียงข้างที่กำลังละเมียดละไมไอศครีมรสโปรดท่ามกลางลมเย็นอย่างเอ็นดู แม้อากาศจะหนาวแต่กลับอบอวลไปด้วยความรู้สึกดีๆ อยู่ดีๆคยูฮยอนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ผมลางานอาทิตย์หน้าไว้ … เราขับรถไปเที่ยวปารีสกันดีไหม” เสียงทุ่มเอ่ยชวนพร้อมกับเล่าแผนการที่ผุดขึ้นมาในหัว “ผมไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า ช่วงเสาร์อาทิตย์ใกล้เทศกาลอย่างนี้ที่พักคงเต็ม เราไปวันธรรมดาน่าจะดีกว่า ส่วนพรุ่งนี้เราไปมอนติคาร์โลกันก่อน แล้ววันอาทิตย์ก็พักซักวัน คุณว่าดีไหม”

“มอนติคาร์โล?”

“โมนาโคน่ะ”

“ใกล้ที่นี่เหรอคะ” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างสงสัย

คยูฮยอนมองคนตรงหน้าอย่างขำๆ ซอฮยอนมาที่นี่แบบฉุกละหุกจริงอย่างที่เธอว่า เธอไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากมายอย่างคนที่ต้องการมาเพื่อเที่ยว ประเภทใช้เวลาให้คุ้มเที่ยวทุกที่ให้มากที่สุด ช่วงเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะมีบัทเจ็ตจำกัดจำเขี่ยหญิงสาวเลือกใช้มันอย่างคุ้มค่าโดยการเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ใกล้ๆ ไปเดินตามชายหาดส่วนตัว หญิงสาวสนุกกับการได้ยืนชมศิลปินเปิดหมวกที่หน้า Palais de Justice หรือศาลยุติธรรม ซอฮยอนชอบตึกทรง Neo-Classic  ซึ่งถูกสร้างในช่วงปี 1880 แต่ลานด้านหน้ากลับมีเด็กวันรุ่นมาเปิดหมวก ในบางครั้งก็เล่นกายกรรมอย่างน่าทึ่ง เธอบอกว่าเธอชอบดูคนที่มายืนดูกายกรรม ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองนีซช่างแตกต่างแต่กลมกลืน

“เช้าไปเย็นกลับยังได้เลย ใช้เวลาพอๆกับโซล-อินชอนล่ะมั้ง” เขาบอกเธอ

คยูฮยอนเดินทางส่งเธอตามปกติเหมือนที่เขาทำมาในช่วงสองสามวันให้หลังพร้อมกับบอกลาเธอ เขากำชับว่าให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะไปมอนติคาร์โลกัน

 

วันรุ่งขึ้นคยูฮยอนมารับซอฮยอนแต่เช้าตามที่เขารับปาก ชายหนุ่มยืนรอเธออยู่หน้ามินิคูเปอร์สีขาวคันเก่ง ซอฮยอนจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอเห็นรถของเขาเธอตกใจอ้าปากค้างเพราะมันคล้ายกับเจ้าคอนต้อนของเธอราวกับเป็นคันเดียวกัน “มันชื่อ Coton*” เขาบอกกับเธอเรียบๆ [อ่านว่า โคโต ในภาษาฝรั่งเศส]

“ภาษาฝรั่งเศสแปลว่าฝ้าย สะกดคล้าย cotton ในภาษาอังกฤษนั่นแหละ แค่ใช้ตัว t ตัวเดียว” เธอไม่เคยพูดถึงรถให้เขาฟังเท่าที่จำความได้ .. เป็นไปได้หรือไงที่จะใจตรงกับขนาดนั้น บ้าไปแล้ว

ทั้งคู่มุ่งหน้าสู่มอนติคาร์โล ประเทศโมนาโค รัฐอิสระเล็กๆอันดับสองของโลก ตลอดทางเป็นทางขึ้นเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวมีบ้านเรือนแซมดูน่ามอง ในบางช่วงยังสามารถมองเห็นชายฝั่งทะเลได้จากมุมสูง ทะเลสีฟ้าสะท้อนแสงแดดระยิบจนแสบตาหากแต่น่ามอง เรือยอร์ชกางใบเต็มที่อยู่กลางทะเล มองจากจุดที่เธอเห็นแล้วเหลือเพียงลำเล็กๆเท่านั้น

คยูฮยอนเล่าให้เธอฟังบนรถ มอนติคาร์โลเป็นเมืองหลวงของโมนาโค เป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงปรี๊ดอย่างน่าตกใจ เพราะเป็นเมืองศูนย์รวมความหรูหรา เมืองท่องเที่ยว และแหล่งคาสิโน เขาเหล่าอีกว่าเครื่องบินส่วนตัวที่จอดอยู่ในสนามนีซที่เธอเห็นส่วนใหญ่เป็นของคนที่มอนติคาร์โลแทบทั้งนั้น เพราะโมนาโคไม่มีสนามบินเป็นของตัวเอง ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนมีเครื่องบินส่วนตัวหรือ Private Jet นั้นก็คือจอดไว้ที่สนามบินนีซแล้วขับรถหรือนั่งเรือยอร์ชต่อไปยังโมนาโค

“มีเครื่องบินส่วนตัวแล้วลำบากได้ขนาดนี้ ฉันว่านั่งเครื่องโบอิ้งธรรมดาก็ได้” ซอฮยอนพูดอย่างขันๆ

ยิ่งใกล้เขตแดนของโมนาโคมากเท่าไรหญิงสาวก็ยิ่งรับรู้ได้ รถสปอร์ตคันหรูที่แล่นผ่านเธอไปเป็นระยะ สามารถพบเห็นได้มากขึ้นเมื่อเข้าสู่มอนติคาร์โลทำเอารถมินิคูเปอร์แทบจะกลายเป็นรถของเล่นไปเลย คยูฮยอนหาที่จอดรถใต้ดินแล้วจึงนำเธอเดินออกมายังหน้าลานกว้างที่สามารถมองเห็นวิวโดยรอบ คยูฮยอนบอกว่าที่นี่คือคาสิโนสแควร์ สถาปัตยกรรมหรูที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าหาใช่พระราชวังไม่ หากคือโรงแรมหรูใจกลางเมืองมอนติคาร์โลต่างหาก ตัวตึกตรงหน้าโอ่อ่าและหรูหราตัดกับสีของดอกไม้ที่ประดับประดาอยู่ริมทางเดินโดยรอบ ทิวลิปสีสันจัดจ้านชูช่อสวยงาม คยูฮยอนพาเธอเดินไปที่ใจกลางเมือง วงเวียนหน้าโรงแรมนั้นมีรถหรูราคาหลายล้านจอดอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส บ้างก็แวะเวียนไปถ่ายรูปร่วมกับรถราคาแพงที่หน้าโรงแรม เดินไปเพียงหน่อยก็พบกับคาสิโนขนาดใหญ่…สมชื่อคาสิโนสแควร์

ชายหนุ่มพาเธอเดินชมมอนติคาร์โลโดยรอบ ตั้งแต่จากแนวริมทะเล Port Hercule ไปยังอุโมงค์ยาวที่เขาบอกเธอว่าเป็นอุโมงค์แข่งรถ Formular 1 Grandprix หรือที่เรียกสั้นๆว่า F1 คยูฮยอนเล่าให้เธอฟังว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมาดูแข่ง F1 แต่อาศัยดูจากอพาร์ทเมนของเพื่อนด้วยคิดว่าดีกว่าไปเสียเงินค่าบัตรราคาแพง แต่ที่ไหนได้เขากลับไม่ได้เห็นอะไรเลย แถมยังต้องติดอยู่ในเมืองที่คนเยอะยิ่งกว่าหนอนเสียอีก หญิงสาวฟังได้แต่หัวเราะขัน

จากนั้นเขาจึงพาเธอไปยังท่าเรือยอร์ชซึ่งมีเรือยอร์ชจอดอยู่เรียงราย ริมท่าเรือมีร้านอาหารเล็กๆชื่อว่า Pattaya คยูฮยอนตัดสินใจเดินเข้าไป เขาเลือกกินแบบง่ายๆสบายๆดีกว่าไปสำรวมอาการตามร้านหรูในโรงแรมที่พร้อมจะฉีกกระเป๋าได้ทุกเมื่อ ซึ่งซอฮยอนเองก็เห็นด้วย อาหารที่ Pattaya เป็นเมนูง่ายๆแต่รสชาดดีทีเดียว เธอคิดไว้แล้วว่าอย่างคยูฮยอนต้องเลือกไม่ผิด

เมื่อเพิ่มพลังเรียบร้อยกันทั้งคู่ คยูฮยอนจึงพาเธอเดินทางไปยัง “วิหารโมนาโค” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมนีโอโรมาเนสก์ (Neo Romanesque) ภายในเป็นที่ฝังพระศพของเจ้าหญิงเกรซและเจ้าชายเรนิเยร์แห่งโมนาโค วังหลวงที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันสามารถเห็นได้จากรอบเมือง ซอฮยอนซึมซับบรรยากาศของมอนติคาร์โล เมืองชายทะเลเมดิเตอร์เนียนที่แสนสวย สวรรค์ของนักท่องเที่ยวไว้อย่างเต็มที่ก่อนกลับมาแวะซื้อโปสการ์สองใบเพื่อส่งหาคนไกล

…ใบนึงของพ่อ อีกใบสำหรับอดีตว่าที่เจ้าบ่าว เพื่อบอกให้ทั้งคู่รู้ว่าเธอสบายดี

 

 

“พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดีคะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยถามขึ้นระหว่างทางกลับมายังที่พัก

“พรุ่งนี้ไม่มีที่ไหนให้ไปหรอกซอฮยอน แทบทุกที่ในฝรั่งเศสปิดวันอาทิตย์หรืออย่างมากก็เปิดครึ่งวัน ส่วนใหญ่มีร้านอาหารเท่านั้นแหละที่เปิด” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

“จริงอ่ะ”

“จริงสิ”

“แล้วเค้าทำอะไรกันเหรอ” เธอถามอย่างสงสัยในวัฒนธรรมอันแตกต่างของชาวฝรั่งเศส

“ก็อยู่บ้าน พักผ่อน ไปเยี่ยมครอบครัว พ่อแม่เพื่อน … อะไรอย่างนั้นน่ะ” คยูฮยอนอธิบาย เขารู้ว่าคนที่มาเยือนส่วนใหญ่มักจะมีคำถามเช่นนี้ ตัวเขาเองตอนมาแรกๆก็ใช้เวลาอย่างมากในการปรับตัวเช่นเดียวกัน ที่นี่ไม่มีร้านค้า 24 ชั่วโมงอย่างเกาหลี ทั้งยังปิดทำการวันอาทิตย์ หากเปิดก็อาจจะเปิดแค่เพียงครึ่งวัน ทำเอาเขาเองก็อึดอัดไม่น้อยกับชีวิตที่ต้องวางแผนล่วงหน้า อย่างน้อยเขาต้องวางแผนการกินสำหรับวันอาทิตย์ไว้บ้าง ไม่งั้น…ลำบากแท้

“ปารีสก็ด้วยเหรอ” ซอฮยอนยังคงตั้งคำถามอย่างสงสัย

“ปารีสก็ด้วย”

“น่าเสียดายเนอะ ถ้าร้านค้าพวกนี้เปิดทำการทุกวันคงทำรายได้มากขึ้นยิ่งเยอะเลยทีเดียว”

ฝรั่งเศสในวันอาทิตย์เงียบอย่างที่คยูฮยอนว่าไว้จริงๆ ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าเขาคงจะพักผ่อน แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขามาหาเธอตอนบ่ายๆเพื่อพาเธอไปขับรถชมเมืองที่แสนจะเงียบเชียบก่อนจะไปทานอาหารค่ำในย่ายแอนทีบส์ และก็เป็นอีกครั้งที่คยูฮยอนเลือกร้านอาหารที่แสนวิเศษ หญิงสาวมองคนตรงหน้าเขารู้จักร้านอาหารดีๆ ดูแลผู้หญิงก็ดี ใครได้เป็นแฟนเขาคงโชคดีไม่น้อย

 

 

 

NOTE

* ตอนที่สามมาพร้อมปลาและแพนนาคอตต้า แผล็บๆ .. ในรูปเป็นแค่ส่วนเกลือที่พอก ส่วนตัวปลาไปอยู่ในจาสวยงาม ส่วนแพนนาคอตต้า อื้มมมมม

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– 2 – 

 

 

หญิงสาวเปิดสมุดท่องเที่ยวเล่มเล็กที่เพิ่งซื้อมาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลสวยกวาดไปตามหน้าหนังสือทีละบรรทัด ซอฮยอนต้องการศึกษาเมืองที่เธอเลือกขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจเพียงเพราะบิดากำลังเปิดหนังสือภาพการ์ตูนเล่มโปรดเป็นหน้านั้นอยู่ นึกอยากจะเขกหัวตัวเองเบาๆที่ไม่ยอมยักพูดชื่อเมืองอื่นที่คุ้นกว่านี้ อย่างโตเกียวหรือไทเปจะได้เดินทางใกล้หน่อย หรืออย่างน้อยหลุดเป็นชื่อเมืองหลวงของฝรั่งเศสอย่างปารีสก็ได้ … เมืองตากอากาศงั้นหรือ ใครจะอยากไปทะเลหน้าหนาวกันเล่า ยัยซอฮยอนแสนเพี้ยน!

หญิงสาวใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงในการเดินทางเพื่อศึกษาเมืองนีซ เมืองชายทะเลยุโรปที่หน้าหนาวอากาศหนาวน้อยกว่่าโซล หากในโซลหน้าหนาวหิมะตกหนาทุกปี คงดีเหมือนกัน .. อากาศหนาวน้อยคงเหงาน้อยหน่อย

ซอฮยอนย้อนนึกไปถึงเมื่อบิดามาส่งเธอที่สนามบิน เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงบิดาสามารถหาตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักเพื่อให้เธอเดินทางไปยังฝรั่งเศสในเช้าวันรุ่งขึ้นตามสวามต้องการของเธอ อย่างกับเนรมิตได้อย่างนั้น “เที่ยวให้สนุก พักผ่อนให้สบายใจแล้วค่อยกลับมาก็ได้ลูก อย่าได้ห่วงทางนี้เลยพ่อจะจัดการเอง”

หญิงสาวโอบกอดบิดาพร้อมกับสั่งลา “ลูกรักอัปป้านะคะ แล้วลูกจะโทรมาบ่อยๆ” หญิงสาวหันหลังกลับเพื่อจะออกเดินทางแต่กลับหันมาหาบิดาอีกครั้ง “ถ้าอัปป้าได้คุยกับยงฮวาอัปป้าหรือมินจอง ฝากบอกด้วยนะคะว่าลูกไม่ได้โกรธ .. อัปป้าอย่าลืมไปเอาคอทต้อนกลับมาบ้านนะคะ ลูกลืมไว้ที่คอนโดของยงฮวาอปป้า” หญิงสาวสั่งลาถึงบุคคลผู้เป็นสาเหตุของการจากไปและรถมินิคูเปอร์สีขาวแสนรักที่ลืมทิ้งไว้เพราะเหตุการณ์นั้น ซอฮยอนกระชับอ้อมกอดบิดาแน่นพร้อมบอกลา ครั้งนี้เธอไม่หันหลังกลับอีกแล้ว

 

กว่าสิบชั่วโมงกับการเดินทางข้ามทวีป หญิงสาวใช้เวลาไปกับการเปิดหนังสือเดินทางได้เพียงไม่กี่หน้าเท่านั้นเธอก็หลับด้วยความอ่อนเพลียจากความเครียดเมื่อวาน ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะได้อยู่ในยุโรป แต่เธอยังไม่ได้อ่านข้อมูลท่องเที่ยวเมืองนีซเลย!

….ตายละหวา

ซอฮยอนทานอาหารเช้าบนเครื่องบินเสร็จสิ้นก่อนจะเปิดหนังสือท่องเที่ยวไปมาอีกครั้ง เธอดูภาพสถานที่ท่องเที่ยวของนีซ ชายทะเล แกลอรี่ชื่อดัง เมืองเก่า (Old Town) ที่สร้างจากอิฐที่ทาสีสีโทนร้อนแบบโบราณแต่ด้านหน้ากลับมีรถไฟฟ้าทันสมัยของเมืองแล่นผ่าน ตลาดดอกไม้สีสันสวยงาม … หรือจริงๆแล้วเธออาจจะเลือกถูกก็ได้ที่มาที่นี่

สุดท้ายซอฮยอนก็ทำได้เพียงแค่เปิดหน้าหนังสือท่องเที่ยวแบบคร่าวๆว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอะไรบ้างในเมือง เธอตัดสินใจไม่เช่ารถตามประสาคนที่ชอบการเดินทางโดยใช้รถสาธารณะเพราะเธออ่านพบในหนังสือว่ามีรถแท็กซี่ตามจุดเรียกรถและมีจักรยานให้เช่า ณ เวลานี้ที่ซอฮยอนไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในใจมากนัก แถมที่พักยังอยู่ในย่านเมืองเก่าของนีซอีกด้วย เธอคิดแล้วว่าคงไม่ลำบากนักที่จะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในย่านนั้น

…ไว้เกิดอยากไปที่อื่นค่อยขยับขยายอีกทีก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นฉันอาจจะอยากกลับเกาหลีแล้วก็ได้ใครจะรู้

หญิงสาวเดินลากกระเป๋าเดินทางที่จับของใช้ส่วนตัวใส่ลงไปอย่างเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแค่เดินมาหน้าสนามบินเธอก็พบกับรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า เธอเดาเอาว่าคงเป็นแท็กซี่ ซอฮยอนเดินเข้าไปถามก่อนจะได้รับคำยืนยันว่าเป็นแท็กซี่จริง เธอจึงบอกสถานที่ปลายทาง “Villa la Tour, please”

ดวงตากลมโตมองออกไปนอกหน้าต่าง วิวทิวทัศน์ที่ริมทางหลวงสาย A8 ที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ บ้านหลังน้อยๆบนเขาที่ทาด้วยสีโทนร้อนดูอบอุ่น มองภาพตรงหน้าที่แตกต่างกับบ้านเกิดอย่างเพลิดเพลิน จนเมื่อรถเลี้ยวเข้ามายังตัวเมืองที่ตึกรามเริ่มหนาแน่นมากขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเอกลักษณ์เป็นตึกสูงไม่เกินสี่ชั้น ทาสีเหลืองอบอุ่น บ้างสลับด้วยแดงหรือส้ม หน้าต่างยาวทาสีสันต่างๆ ริมระเบียงแทบทุกบ้านตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้ใบเล็กๆแลดูน่ารัก เพียงไม่นานที่เข้าเขตเมืองหญิงสาวก็เดินทางมาถึงโรงแรมที่พัก Villa la Tour เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่ตัวอาคารสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยในสมัยนั้นเป็นคอนแวนต์มาก่อนที่จะถูกดัดแปลงเป็นสถานที่สำคัญและเป็นโรงแรมอย่างในปัจจุบัน ขาเรียวยาวก้าวเร็วๆเพื่อไปติดต่อพนักงานต้อนรับให้นำเธอไปยังห้องพัก

พนักงานต้อนรับสตรีกล่าวแนะนำเธอเป็นภาษาอังกฤษว่าโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้างและตั้งอยู่ที่ไหนในขณะที่เดินนำเธอไปยังที่พัก เพียงแค่ผู้นำทางเปิดประตูห้องเท่านั้น ดวงตากลมโตก็เป็นประกายใสขึ้นมาทันที เก้าอี้ยาวสีน้ำตาลน่านอนตั้งอยู่กลางห้องรับแขกถูกปูด้วยผ้าคาดสีขาว ผ้าม่านสีขาวปลิวไสวด้วยแรงลมจากหน้าต่าง ริมขอบหน้าต่างวางประดับด้วยแจกันดอกไม้และเครื่องกระเบื้องทำให้ห้องดูกรุ่นไปด้วยความเป็นบ้านมากกว่าโรงแรม

เมื่อหญิงสาวพาตัวเองมายังห้องพักเตียงคิงส์ไซส์สีขาวพร้อมด้วยหมอนขนาดเล็กใหญ่หลายใบวางอยู่บนเตียงเชิญชวนให้เธอลงไปนอน ผ้าม่านข่าวเปิดรับแสงแดดจากภายนอกรำไร อากาศเย็นจากภายนอกทำให้เธออยากจะซุกตัวลงในผ้าห่มอุ่นมากกว่าอะไรทั้งปวง

…ขอบคุณค่ะอัปป้าที่เลือกโรงแรมที่แสนน่ารักนี่ให้ลูก

ซอฮยอนลากกระเป๋าวางไว้ในห้องนอนแล้วจึงทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่มนั้น เธอเอื้อมหยิบหนังสือในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่านเพื่อทำความรู้จักกับเมืองที่เธอกำลังจะใช้ชีวิตอยู่จนกว่าเธอจะหายจากอาการเจ็บปวดเมื่อคิดถึงบุคคลสองคน

“Nice อ่านเป็นภาษาอังกฤษว่านีซ เป็นเมืองใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสที่อยู่ในเฟรนช์ ริเวียร่า (French Riviera) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ด้วยสามารถตอบสนองความต้องการสำหรับทุกเพศทุกวัย สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์เมืองนีซคือ โพรมองนาด เดส์ อองเกลส์ ทางเดินเท้าอันคึกคักที่ขนาบไปกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองเมื่อเดิน ความงามของอ่าวเบย์ ออฟ แองเจิล ชายหาดหินกรวด และท้องน้ำสีฟ้าครามเป็นที่มาของชื่อโกต ดาซูร์ (Cote d’Azur) ถนนแคบๆ หลังคากระเบื้องสีแดง โบสถ์ ตลาดกลางแจ้ง ร้านอาหารกลางแจ้ง สวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์มากมาย”

ซอฮยอนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เธอวางมันลงบนก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ผมเย็นเยียบพัดเข้ามาให้ห้องทันทีที่มือบางเลื่อนบานกระจกออก มืออีกข้างจับผ้าม่านสีขาวที่ปลิวไหวเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองตรงหน้าจากด้านบน อาคารสีเหลืองหลังคาแดง ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวหันหลังขวับคว้าเอากระเป๋าใบโปรดจับหนังสือท่องเที่ยวเล่มเล็กบนเตียงใส่ลงไปแล้วสำรวจความเรียบร้อยก่อนออกไปจากห้อง

…เมืองสวยขนาดนี้ อุดอู้อยู่ในห้องก็บ้าแล้ว

เพียงไม่กี่นาทีซอฮยอนก็พาตัวเองมายืนอยู่ที่ตลาดดอกไม้ ตลอดทางเดินเต็มไปด้วยร้านอาหารกลางแจ้ง ร้านกาแฟและไอศครีม หญิงสาวมองดูพลางนึกในใจว่ารอให้เธอเดินดูของในตลาดดอกไม้เสร็จก่อนแล้วเธอจะมานั่งจิบกาแฟหรืออาจจะทดลองไอศครีมท่ามกลางอากาศหนาวนี่บ้าง ยังไงเธอก็ยังมีเวลาอีกมากที่นี่

สองข้างทางของตลาดดอกไม้เต็มไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวสีสันสวยงาม เครื่องหอม เครื่องเทศ หากเดินไปจนสุดทางจะพบผลไม้เมืองหนาวลูกโตแลดูน่าทาน ซอฮยอนเดินผ่านร้านริมทางที่มีจิตกรวาดภาพทิวทัศน์ของเมืองนีซขนาดย่อมเหมาะกับเป็นของที่ระลึก สุดท้ายเธอก็ได้ภาพสวยๆติดมือกลับบ้านไปสามสี่ใบ ร่างสูงบางเดินเข้าออกร้านค้ารอบๆตลาดดอกไม้และย่านเมืองเก่าร้านแล้วร้านเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ ซอฮยอนหยุดดูจิตกรริมถนนที่ใช้สีและไฟในการสร้างสรรค์ภาพออกมาได้สวยอย่างน่าอัศจรรย์

เธอเพลิดเพลินกับบรรยากาศจนลืมเวลา จนเมื่ออากาศเริ่มเย็นลงจนฟ้าเริ่มค่ำหญิงสาวถึงได้รู้ตัวว่าเธอใช้เวลาอยู่กับตลาดดอกไม้และร้านค้าไปนานหลายชั่วโมง เธอตัดสินใจเลือกนั่งในร้านอาหารกลางแจ้งเล็กๆ หญิงสาวจัดการสลัดนีซัว ปลาดอรี่ และครีมบลูเร่อย่างไม่เหลือคราบ อาหารที่นี่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดเธอที่รักอาหารเกาหลียิ่งชีพยังติดใจในรสชาดราวกับขึ้นสวรรค์ทั้งที่เป็นร้านข้างทางเล็กๆแท้ๆ

…อร่อยขนาดนี้ซอ จูฮยอนไม่เสียดายเลยซักยูโรที่จะต้องจ่าย

มือบางทำสัญญาณกับพนักงานบริการเพื่อให้เก็บเงินแล้วจึงเอื้อมหยิบกระเป๋าถือใบโปรดขึ้นเพื่อหากระเป่าสตางค์ แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ! หัวใจของซอฮยอนตอนนี้ชาวาบ มือเย็นเฉียบยิ่งกว่าอากาศภายนอก กระเป๋าเงินของเหธอหายไป

…จูฮยอนเอ้ย จะเสียดายซักยูโรได้ยังไงในเมื่อเธอไม่มีซักยูโรจ่ายเขา

สมองเล็กๆประมวลผลอย่างหนัก โชคดีที่เธอเป็นคนรอบคอบแม้จะขาดความระวังตัว เธอมักจะเก็บเงินไว้หลายๆที่เพราะกลัวว่าจะถูกล้วงกระเป๋า ซอฮยอนล้วงหยิบเงินจากกระเป๋าซ้ายขวาตามที่ที่เก็บเงิบไว้ เอามานับรวมกันแล้วก็ยังไม่พอกับค่าอาหารมื้อนี้ที่ราคาเกือบ 30 ยูโร

“ตายแล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้” หญิงสาวพูดกับตัวเองเป็นภาษาเกาหลี ดังพอที่คนใกล้ๆจะได้ยิน ซอฮยอนมองพนักงานที่ยืนรอรับค่าอาหารจากเธอด้วยสายตาประเมิน เธอจะอธิบายกับเข้าว่าอย่างไรดี หวังว่าเขาคงจะไม่เตะเธอออกจากร้านหรอกนะ

เพียงชั่วอึดใจที่เธอกำลังจะอ้าปากอธิบาย ชายหนุ่มรูปพรรณสันฐานแบบชาวเอเชียที่หาได้ยากในเมืองก็มายืนอยู่ที่โต๊ะเธอพร้อมกับคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานเสิร์ฟชายเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อนที่พนักงานเสิร์ฟจะรับบัตรเครดิตของเขาไป ซอฮยอนคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจ แม้ไม่เข้าใจที่เขาคุยกันแต่ก็พอรู้ว่าพ่อหนุ่มเอเชียคนนี้ช่วยเธอ

“มาเที่ยวที่นี่ต้องระวังพวก Pick Pocket บ้างนะคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไรพนักงานเสิร์ฟชายก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมบัตรเครดิตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพียงชายหนุ่มจรดปากกาพร้อมลงลายมือชื่อเท่านั้นทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็บอกลาพนักงานคนนั้นแล้วจึงเดินออกจากร้านไปโดยไม่ใส่ใจหญิงสาวที่นั่งอึ้งอยู่

“นี่คุณ! คุณ!!” ขาเรียวก้าวยาวๆตามชายหนุ่มตรงหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต แขวเรียวยาวคว้าชายหนุ่มได้ในที่สุด ซอฮยอนหยุดหอบแฮ่กแต่มือยังไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

“ขะขอบ….”

ไม่ทันที่ซอฮยอนจะได้กล่าวจบประโยคชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแทบจะทันที “ผมไม่ได้ต้องการอะไร แค่เห็นคนลำบากก็เลยช่วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว” เขาดึงแขนออกจากมือเรียวบางที่เกาะแน่นอย่างกับตุ๊กแก

“เดี๋ยวก่อนสิคะ .. คุณควรจะรับคำขอบคุณจากฉัน” หญิงสาวยังคงไวคว้ามือเขาไว้ได้ทันอีกครั้ง “และก็ควรจะช่วยฉันอีกซักหน่อย…ในฐานะที่เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน”

ดวงตากลมโตพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า เขาสูงกว่าเธอไม่ต่ำกว่าสิบเซนติเมตรทั้งๆที่เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงเอเชียที่อยู่ในเกณฑ์สูง ชายหนุ่มคงสูงไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตรเป็นแน่ ผิวขาวๆของเขาขาวเกือบเท่าเธอ ดวงตาคมปราบฉายประกายกล้า คิ้วหนารับกับดวงตาคู่นั้น จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากหนากลายเป็นสีชมพูด้วยความหนาว ชายหนุ่มตรงหน้าหล่ออย่างกับเทพบุตรดีๆนี่เอง

ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางไม่พึงใจนัก “ก็ผมเพิ่งช่วยคุณไปเองไม่ใช่หรือไง จะให้ช่วยอะไรอีก” ก็สวยอยู่หรอก แต่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากความ เขาชอบชีวิตเรียบง่ายสบายๆอย่างที่เป็นอยู่มากกว่า เขาสังหรณ์ใจลึกๆว่าถ้าเข้าไปยุ่งกับเธอมากกว่านี้ชีวิตเขาคงจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

“เงินฉันทั้งหมดที่แลกมาจากเกาหลีเหลืออยู่แค่ 20 ยูโรเท่านั้นเอง แค่อาหารมื้อหน้าก็คงหมดแล้ว บัตรเครดิตของฉันก็อยู่ในกระเป๋าเงินนั่นทั้งหมด ฉันคงต้องอดตายถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณ”

ชายหนุ่มสบตาเธอนิ่ง บอกไม่ถูกว่ามีความหมายใดในแววตานั้น แต่เธอรู้ว่าเขากำลังชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรกับเธอดี เก็บเธอไว้และให้ความช่วยเหลือหรือตัดหางปล่อยวัดเพื่อนร่วมสัญชาติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดกับเธอ “ผมไม่ได้มีเงินมากหรอกนะคุณ ถ้าแค่ให้เลี้ยงข้าวมื้อสองมื้อน่ะพอไหว แต่ถ้าให้เงินคุณยืมค่าอาหารที่พักและค่าท่องเที่ยวผมคงกินแกลบไปถึงสิ้นเดือน … แล้วผมก็ไม่ได้เป็นพ่อพระขนาดนั้นซะด้วย”

“ฉันขอยืมเงินสดคุณให้พอใช้สำหรับอาทิตย์นี้ก่อนได้ไหมคะ ฉันจะโทรไปบอกอัปป้าให้โอนเงินและส่งบัตรเครดิตใบใหม่มาให้ให้เร็วที่สุด” หญิงสาวจับมือเขาเพื่อยืนยันความจริงใจ “นะคะ ฉันไม่ผิดสัญญากับคุณแน่ๆ .. นะคะ”

“ให้คุณมั่นใจฉันจะพาคุณไปที่โรงแรมที่ฉันพักอยู่ เราจะทำสัญญากู้ยืมก็ได้แล้วให้พนักงานที่โรงแรมเป็นพยาน ฉันไม่ขัดข้อง” หญิงสาวบอกกับเขา มือเล็กเย็บเยียบจับมือหนาวของเข้าไว้พร้อมกับเขย่าอย่างร้อนใจด้วยต้องการคำตอบ น้ำใสๆเอ่ออยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เธอไม่อยากจะคิดว่าจะอยู่อย่างไรหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ครั้งแรก…วันแรก..ที่พลัดถิ่นมาไกลขนาดนี้ กลับเจอปัญหา ซอฮยอนไม่เสียดายเงินร่วมพันยูโรที่หายไปซักนิด แต่เธอกลัวที่ต้องเผชิญปัญหาในโลกใบใหม่ที่ไม่รู้จักตั้งแต่วันแรกต่างหาก สถานีตำรวจอยู่ไหนเธอยังไม่รู้เลย ถึงคนที่นี่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้แต่ก็ไม่ดีนัก แถมภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสมาเจอกับภาษาอังกฤษสำเนียงเกาหลีอย่างเธอ สั่งน้ำเปล่าไม่ได้โซดาก็ดีเท่าไรแล้ว

“ได้ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น” เขาตอบนิ่งๆ อีกฝั่งลิงโลดด้วยความดีใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน .. คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย เอาซี้!

“ขอบคุณมากๆนะคะ ขอบคุณ”

สองคนเดินเคียงคู่กันท่ามกลางอากาศหนาว เธอได้รู้ว่าฮีโร่รูปงามของเธอชื่อว่าคยูฮยอน .. โจว คยูฮยอน .. ชายหนุ่มมาศึกษาต่อที่ยุโรปตั้งแต่มัธยมปลาย เขาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็มีบริษัทเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ชั้นนำที่นี่เรียกตัวเข้าไปทำงาน บิดาและมารดาของคยูฮยอนเสียเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาดังนั้นความคิดที่จะทำงานเก็บเงินเพื่อกลับไปทดแทนบุญคุณให้ผู้มีพระคุณจึงต้องพับเก็บไป เขาไม่มีญาติที่ไหนอีกจึงลงหลักปักฐานอยู่ที่นีซแทน

“คุณไม่ได้เช่ารถจริงๆน่ะเหรอ” ลายหนุ่มถามเธออย่างประหลาดใจ จริงอยู่ในเมืองมีรถสาธารณะอย่างรถเมล์และรถไฟแต่ก็ไม่สะดวกเท่าไรสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะไม่คุ้นเคยกับทางเดินรถ ส่วนแท็กซี่นั้นมีเฉพาะตามจุดเรียกรถเช่นโรงแรมใหญ่ๆหรือสนามบินเท่านั้น ส่วนค่าโดยสารรถนั้นไม่ต้องพูดถึง แพงลากไส้เลยทีเดียว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมเช่ารถเพราะสะดวกกว่า และพวกเขายังสามารถเดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงอย่างอิตาลีหรือมอนติคาร์โลได้อย่างสะดวกภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

“ค่ะ ทำไมเหรอคะ” ซอฮยอนเอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็คุณเห็นแท็กซี่ซักคันหรือยังล่ะตั้งแต่คุณเดินมาทั้งเย็นเนี่ย”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างราวกับนึกได้ จริงของคยูฮยอน ไม่มีแท็กซี่ซักคัน แถมแท็กซี่ที่เธอนั่งมาจากสนามบินนีซก็ปาเข้าไปตั้ง 70 ยูโร เงินในกระเป๋าตอนนี้มีแค่ 20 กว่ายูโรเท่านั้น คงทานอาหารได้เพียงมื้อเล็กๆซักหนึ่งวันหากโชคดี แค่คิดซอฮยอนก็ลมแทบจับ เธอมองหน้าเขา พูดอะไรไม่ออกได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น ท่าทางของซอฮยอนตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาหลงทางเลยแม้แต่นิดเดียว

“เอาเป็นว่าผมจะให้คุณยืมเงิน 500 ยูโร ไม่ต้องเซ็นต์สัญญาอะไรอย่างที่คุณว่าหรอก ไหนๆเราก็กำลังจะไปที่พักของคุณแล้วนี่” เขามองหน้าอ่อนใสนั่นอีกครั้งอย่างชั่งใจก่อนจะเสนอ “ผมว่างหลังเลิกงาน เอาเป็นว่าจะแวะมาดูคุณหลังเลิกงานทุกวันแล้วกันนะคุณ จะได้มั่นใจว่าคุณไม่หนีหนี้ด้วยไง”

อีกครั้งที่ซอฮยอนแทบจะคว้าตัวคนตรงหน้ามากอดด้วยความยินดี เธอเอ่ยคำขอบคุณพร้อมกับโค้ง 90 องศาให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนคยูฮยอนบอกว่าให้พอได้แล้วไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ให้เธอยืมเงินเธอถึงได้หยุด ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆจนถึงที่พักของซอฮยอนโดยไม่รู้ตัว

“พรุ่งนี้ผมคงมาถึงประมาณห้าโมงครึ่งนะ มาถึงแล้วผมจะโทรมาหาแล้วกัน” คยูฮยอนเอ่ยก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่คุณไม่มีโทรศัพท์นี่”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงไปไหนได้แค่ใกล้ๆเท่านั้น คุณอย่าลืมสิ” หญิงสาวตอบพร้อมกับชูกระเป๋าหลุยส์วิตตองโฮโบใบหรูที่ไร้กระเป๋าเงินอยู่ภายในขึ้นในเขาดูเพื่อเตือนความจำ “ถ้ามาถึงคุณโทรมาแล้วกันนะคะ หรือขึ้นไปตามก็ได้ ฉันพักอยู่ห้อง 301”

คยูฮยอนหัวเราะให้กับท่าทางการประชดประชันตัวเองของเธอ หญิงสาวทำเรื่องเครียดให้เป็นเรื่องตลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาคมยิ้มตามท่าอันน่ารักของเธอพร้อมกับเอ่ยลา

ซอฮยอนโทรกลับหาบิดาพร้อมเล่าเหตุการณ์ในวันแรกที่นีซในฟัง หากไม่จำเป็นเธอคงไม่เล่าด้วยไม่อยากให้บิดาเป็นห่วงมากไปกว่านี้ แต่เพราะว่าเธอมีความจำเป็นต้องระงับบัตรเครดิตกับบัตร ATM และออกบัตรใหม่จากที่เกาหลีซึ่งบิดาจะต้องส่งมาให้

หญิงสาวจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายตัว นึกถึงเรื่องราวในวันนี้คงอยู่ในความทรงจำเธอไปอีกนาน เพราะเป็นครั้งแรกที่คุณหนูตัวน้อยที่บิดาเฝ้าประคบประหงมและที่รักของเพื่อนอย่างซอฮยอนต้องประสบปัญหา หากว่าอยู่เกาหลีหญิงสาวคงสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ง่ายยิ่งกว่ากระดิกนิ้ว แต่อยู่ในต่างแดนอย่างนี้ทุกอย่างช่างแตกต่าง

คยูฮยอนขับรถออกมาจากเมืองเก่าอย่างอารมณ์ดี เขาแวะเข้ามารับประทานอาหารในเมืองเพราะอยากผ่อนคลายความเครียดจากงานที่เร่งไปเสียทุกอย่าง ปัญหาก็มีเข้ามาไม่เลิกตามประสาผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งต้องพัฒนาไม่หยุดตามสภาพการแข่งขันที่สูงเสียดฟ้า ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกร้านเล็กที่เคยมาทานเป็นประจำจนสนิทกับบริกรไปจนถึงเจ้าของร้าน ถึงจะเล็กแต่อาหารร้านนี้รสดีไม่แพ้ร้านใหญ่ๆที่ไหนเลย ระหว่างที่เขากำลังเอร็ดอร่อยพลันสายตาก็หันไปเห็นหญิงสาวที่เขาเดาว่าเป็นเพื่อนร่วมสัญชาติกำลังตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้าอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็พลอยอมยิ้มไปด้วย จนเมื่อเขาจัดการมื้อค่ำเสร็จเขาก็เหลือบไปเห็นเธอทำท่าเลิ่กลั่กเหมือนกับมีปัญหาพร้อมกับบ่นเป็นภาษาเกาหลีพอที่เขาจะได้ยิน “ตายแล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้” เกินกว่าจะทนไหวชายหนุ่มเลยยื่นมือเข้าไปช่วยและจับพลัดจับผลูถอนตัวไม่ได้อย่างนี้ ถึงอย่างนั้นเถอะเห็นหน้าเธอกับรอยยิ้มเขาก็ยินดีไม่น้อย

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– 1 – 

 

มือเรียวบางเอื้อมมือหยิบแปรงปัดแก้มขึ้นมาแตะบนพาเล็ตเครื่องสำอางก่อนจะไล้ลงบนแก้มเนียนใสอย่างเบามือหญิงสาวมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกอย่างพึงใจ ร่างบางตรวจเช็คความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอีกครั้งก่อนจะคว้ากระเป๋าถือใบหรูคู่ใจออกจากห้องไป วันนี้เธอมีนัดกับคู่หมั้นของเธอ ทั้งคู่ต้องไปรับชุดแต่งงานที่เตรียมไว้สำหรับงามแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในไม่ถึงสัปดาห์ ขาเรียวยาวก้าวอย่างรวดเร็วลงบันไดมาชั้นล่าง

“วันนี้ลูกสาวพ่อแต่งตัวซะสวยเชียว .. จะหนีพ่อไปเดทกับหนุ่มอีกแล้วสิ” ซอ ซึงฮยอนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์มองลูกสาวที่บรรจงแต่งตัวสวยเป็นพิเศษเหมือนทุกครั้งที่เธอมีเดทกับแฟนหนุ่มที่พ่วงฐานะเป็นว่่าที่เจ้าบ่าวด้วย ด้วยความรักที่มีต่อลูกสาวคนเดียวที่เป็นเสมือนดวงใจ ซอฮยอนเป็นเหมือนตัวแทนของมุนอาภรรยาที่เสียไปด้วยโรคประจำตัวตั้งแต่ลูกสาวยังเล็กเกินกว่าจะจำความได้ ดังนั้นเขาจึงรักและสนับสนุนในทุกสิ่งที่ซอฮยอนเลือก … ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก

“วันนี้ยงฮวาอปป้าจะมารับลูกไปรับชุดเจ้าสาวค่ะ” ร่างบอบบางเดินเข้าไปกอดแขนคุณพ่ออย่างเอาใจพร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “ชุดแต่งงานของลูกเสร็จแล้วนะคะอัปป้า” ใบหน้าหวานเงยหน้าบอกอย่างหน้ารัก ซอฮยอนรักพ่อยิ่งกว่าใดๆทั้งหมด ทุกครั้งที่เธออยู่กับบิดา หญิงสาวจะกลับกลายเป็นเด็กหญิงซอ จูฮยอนตัวน้อยเสมอไม่ว่าจะเติบใหญ่ซักเพียงไหน

“พ่อมั่นใจว่าจูฮยอนของพ่อจะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดแน่ๆเลยลูก” ชายสูงวัยโอบกระชับลูกสาวแน่นด้วยความรัก “แม่เค้าคงดีใจนะลูกที่ได้เห็นจูฮยอนเติบโตมาได้งดงามขนาดนี้” ซึงฮยอนกล่าวพลางนึกถึงภรรยา .. เสียดายที่เธอไม่ได้เห็นวันที่ลูกสาวตัวน้อยเติบโตจนจะถึงวันที่สร้างครอบครัวน้อยๆด้วยตนเอง

แขนบอบบางกอดบิดาแน่นขึ้นจนผู้เป็นพ่อต้องโวยวายเพราะหายใจไม่ออก “ก็ลูกกอดอัปป้ากับอมม่าสองคนในทีเดียวนี่คะ ถ้าอัปป้าคุยกับอมม่า ฝากบอกด้วยนะคะด้วยว่าลูกคิดถึงอมม่าเหลือเกิน อมม่าต้องอวยพรลูกด้วยนะคะ”

ซึงฮยอนหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบของลูกสาว ซอฮยอนเป็นเช่นนี้เสมอ เธอมักพูดถึงมารดาราวกับว่ามารดาไม่ได้จากไป เหมือนกับว่ามุนอาเพียงแค่ไปต่างจังหวัด .. ราวกับว่าลูกรู้ว่าเขายังคิดถึงภรรยาเสมอ ราวกับรู้ว่าเขามักจะคุยกับเธอที่อยู่บนฟากฟ้าคอยบอกเล่าความเป็นไปของลูกสาว บอกกล่าวความคิดถึงของเขาผ่านไปยังดวงดาวที่เธออยู่

มือหนากร้านตามอายุขัยโยกศรีษะลูกสาวไปมาเบาๆอย่่างแสนรักพร้อมกับเอ่ยบอก “แล้วพ่อจะบอกให้”

Rrrrrrr~

“อปป้า” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์คู่ใจมารับทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของบิดาด้วยเสียงสดใสเมื่อรู้ว่าคนที่รออยู่โทรมา

“งั้นหรือคะ” ใบหน้าสวยสลดวูบลง เสียงที่สดใสเมื่อครู่หม่นลงเล็กน้อย “ไม่เป็นไรค่ะอปป้า ฉันไปรับเองได้ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างบังคับให้เสียงสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยงฮวาผิดนัดเธออีกแล้ว เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะที่เป็นอย่างนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจงานแต่งงานนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอน้อยใจ

“สงสัยลูกจะต้องไปเองแล้วล่ะค่ะอัปป้า” เสียงหวานเอ่ยบอกบิดาทันทีที่วางโทรศัพท์

“ยงฮวาไม่ว่างหรือลูก” ซึงฮยอนถามบุตรสาว

“เห็นบอกว่ามีธุระด่วนน่ะค่ะ” ดวงตาสลดลงเพียงวูบหนึ่งก่อนที่จะกลับมาเป็นประกายสดใสอีกครั้ง ซอฮยอนเอี้ยวตัวขึ้นไปหอมแก้มบิดาฟอดใหญ่ก่อนเอ่ยอย่างร่าเริง “ลูกไปก่อนนะคะ จะได้ไม่กลับบ้านค่ำมืด อัปป้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

ซอฮยอนลุกยืนขึ้นคว้ากระเป๋าวิ่งตือไปทันทีที่บอกลาบิดา ซึงฮยอนมองลูกสาวก่อนจะคิดถึงภรรยาที่จากไป

… มุนอา ลูกเราโตเป็นสาวแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่เลย จูฮยอนจะมีครอบครัวในอีกไม่กี่วันแล้ว เธออวยพรให้ลูกได้มีครอบครัวที่ดีเหมือนเราด้วยนะ 

 

ซอฮยอนพาตัวเองเข้ามาใน Wedding Studio อย่างเคอะเขิน ไม่ว่าจะมาที่นี่กี่ครั้งเธอกลับไม่คุ้นชินซักครั้งที่ต้องมาคนเดียว ในขณะที่เหลียวมองคนอื่นที่มากันกลับมาเป็นคู่ๆดูกระหนุงหนิง แต่ของเธอมีเพียงเท่านั้นที่ว่าที่เจ้าบ่าวมาด้วยคือวันที่ลองชุดเท่านั้น นอกนั้นมีเพียงแค่เธอที่จัดการเองทั้งหมด บางครั้งซอฮยอนจะลากมินจองเพื่อนสนิทของยงฮวาที่บัดนี้สนิทกับเธอราวกับเป็นเพื่อนของตัวเองมาด้วย แต่ครั้งนี้เพราะเขาบอกจะมา เธอเลยไม่ได้นัดมินจอง .. พอโทรไป หญิงสาวก็บอกว่าเธอไม่ว่างเสียแล้ว

ร่างบางมองดูคนในกระจก เธอดูสวยสมบูรณ์แบบในชุดเจ้าสาวที่เธอและมินจองช่วยกันเลือก ยงฮวาบอกว่าไม่ขอออกความใดเพราะทุกชุดดูสวยเหมือนกันหมด หากแต่ว่าแววตาของซอฮยอนในตอนนี้หม่นเศร้า .. ยิ่งใกล้วันงานเธอยิ่งไม่มั่นใจว่ายงฮวาต้องการจะแต่งงานกับเธอจริงๆ หรือเขาเพียงต้องการแต่งเพราะว่าถึงเวลาที่ควรจะแต่งเท่านั้น

“คุณซอฮยอนคะ คุณซอฮยอนจะรับทักซิโด้ของคุณยงฮวาไปด้วยไหมคะ” พนักงานประจำร้านที่ดูแลเธอเอ่ยถามขึ้นอย่างนึกได้

“เอ๊ะ ชุดของอปป้าเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอคะ” ซอฮยอนถามอย่างสงสัย เธอจำได้ว่าชุดของยงฮวาเสร็จเรียบร้อยและไม่มีอะไรต้องแก้ไข ต่างจากชุดของเธอที่มีต้องแก้เก็บงานและรายละเอียดจนเสร็จล่ามาถึงวันนี้

“คุณยงฮวาส่งกลับมาแก้หลังจากรับไปน่ะค่ะ เธอบอกจะมารับพร้อมกับของคุณซอฮยอน” พนักงานสาวอธิบายอย่างเป็นมิตร บางครั้งคู่แต่งงานก็เป็ยอย่างนี้ วุ่นวายกับงานแต่งจนบางครั้งก็ลืมบอกกันไปบ้าง

“ได้ค่ะ งั้นฉันรับไปให้อปป้าก็ได้” หญิงสาวตอบพร้อมมอบรอยยิ้มหวานให้พนักงานร้าน ภายในสมองประมวลผลสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ เธอต้องเข้าบริษัทเพื่อเซ็นต์เอกสารด่วนบางอย่างแทนบิดา แต่นั่นน่าจะใช้เวลาเพียงไม่นาน เธอสามารถแวะไปที่คอนโดของยงฮวาเพื่อนำของไปให้เขาก่อนที่จะเข้าบริษัทได้

…ดีเหมือนกัน จะได้ไปดูด้วยว่าที่คอนโดเขาขาดเหลืออะไร จะได้ซื้อไปให้

หญิงสาวเดินถือข้าวของพะรุงพะรังจนบังตัวอันบอบบางของเธอไปหมด เสื้อทักสิโด้ของเขาหนักใช่เล่น แถมเธอยังซื้ออาหารที่เขาชอบมาให้เขาด้วย แม้รู้ว่าเขามีธุระด่วนและคงไม่ได้พบกันวันนี้ แต่เธอก็ยังอยากซื้ออยากหามาให้เพื่อที่เขาจะได้ทานอาหารดีๆใหัสมกับที่ทำงานหนักมาตลอด

มือเล็กใส่รหัสล็อคห้องอย่างทุลักทุเลก่อนจะดันประตูห้องอย่างเบามือ หญิงสาวพาดชุดทักสิโด้ที่คลุมไว้ด้วยพลาสติกไว้ที่เคาท์เตอร์ห้องครัว อีกมือวางถุงพะรุงพะรังไว้บนโต๊ะอาหาร เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากห้องนอนของชายหนุ่ม ยงฮวาบอกว่ามีธุระด่วนแล้วใครกันที่จะเข้ามาในนี้ได้ .. ขโมย?

หญิงสาวเอื้อมมือหยิบของใกล้ตัวโดยไม่ได้คิด เธอคว้ากระป๋องมันฝรั่งทอดที่เขาชอบทานมาจับอย่างถนัดมือ อย่างน้อยมีอะไรจะได้สู้เจ้าขโมยนั่นได้บ้าง เท้าเล็กๆย่องอย่างเบาไปยังต้นเสียง

เสียงคุ้นหูดังเข้ามาเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เสียงชายหญิงที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แต่บอกได้ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังสุขสม ดวงตากลมโตมองเข้าไปตามประตูที่เปิดแง้มอยู่ด้วยไม่ได้คาดหวังผู้มาเยือน ภาพที่ปรากฎตรงหน้าคือภาพสองร่างกำลังกอดก่ายกระหวัดแน่นกันจนเธอแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เธอพยายามบอกตัวเองว่าสองคนที่ตระคองกอดกันอยู่คงไม่ใช่คนที่เธอคิด แต่เสียงคร่ำครวญของทั้งคู่กลับยืนยันชัด

“อา ยงฮวา .. ฉันรักเธอ”

“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกว่าอะไร .. หืมมม มินจอง”

“อ๊า~ ทะที่รัก”

สมองของซอฮยอนแทบว่างเปล่าเมื่อได้ยิน เธอหันหลังกลับ สองเท้ายังคงก้าวอย่างเบาที่สุดแม้รู้ว่าทั้งคู่คงยุ่งอยู่กับภารกิจจนเกินกว่าจะได้ยินอะไร มือสั่นๆหยิบกระเป๋าคู่ใจแล้วจึงเดินจากมาอย่างไม่รู้ตัว

หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่หน้าคอนโดมิเนียมหรูท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บก่อนจะโก่งคออาเจียน สิ่งที่เธอเห็นคืออะไร .. เธอรู้ เธอรู้ว่าชายหญิงที่มีความสัมพันธ์กันต้องทำอย่างไร เธอไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น เพียงแต่เธอไม่คิดว่าเธอจะได้เห็นด้วยตาสองตา เธอไม่คิดว่าคนที่กำลังสัมพันธ์ลึกซึ้งจะเป็นคนที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วยเพียงแค่ไม่กี่วันกับคนที่เธอไว้ใจเสมือนเพื่อน

ซอฮยอนรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีโบกมือเรียกรถแท็กซี่ทันทีที่มองเห็น เธอพาร่างที่อ่อนแรงเข้าไปบนรถพร้อมกับบอกทางให้กับคนขับ ดวงตาสวยเหม่อมองไปนอกหน้าต่างตลอดทาง ความคิดของเธอตอนนี้สับสนไปหมด เสียใจจนเกินกว่าจะอธิบายได้เป็นคำพูด

…จะทำอย่างไรดี

 

ร่างสวยเดินเข้ามาในบ้านอย่างเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระเป๋าที่แสนเบาตอนนี้กลับหนักเกินกว่าจะถือไหว แค่ร่างกายเธอเธอยังคิดว่าหนักจนเกินจะประคองไว้อยู่ หญิงสาววางกระเป๋าถือไว้พร้อมพาร่างขึ้นบันไดไปช้าๆ ทีละก้าวละก้าว

ทุกอย่างไม่พ้นสายตาคมกริบของคนผู้เป็นพ่อ ความห่วงใยแล่นขึ้นมาจับใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขารู้ลูกสาวต้องมีเรื่องบางอย่าง เขาเลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้ แต่ซอฮยอนเก็บอารมณ์เก่งจนเขากลัว นั่นเหมือนเป็นความสามารถพิเศษของเธอ หากไม่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาคงไม่มีใครบอกได้อย่างเขา เพราะความเป็นพ่อ ในบางครั้งเขากลับอยากให้ลูกสาวทำอะไรตามใจตัวเองหรือแสดงอารมณ์ของเธอมาบ้างคงดีไม่น้อย เขากลัวว่าสุดท้ายแล้วลูกสาวจะระเบิดทุกอย่างจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

ชายสูงวัยเหลือบมองเข้าไปในกระเป๋าอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างโผล่พ้นกระเป๋าหลุยส์วิตตองโฮโบใบหรู .. กระป๋องมันฝรั่งทอดกรอบ? มันฝรั่งทอดกรอบงั้นหรือ?

…ล่องลอยขนาดมีมันฝรั่งทอดในกระเป๋าขนาดนี้ พรุ่งนี้พ่อต้องเตรียมรับมือเต็มที่ใช่ไหมลูก

ซอฮยอนทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงสวยเบาๆ ภาพและเสียงที่เธอเห็นเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในหัวอย่างกับโรงภาพยนต์เสมือนจริง เหมือนมีคนมารักกันตรงหน้าเธอ แค่คิดอาการคลื่นเหียนก็แล่นมาหาเธออีกครั้ง ความรู้สึกเปรี้ยวขมในคอหากซอฮยอนกล้ำกลืนมันลงไป หญิงสาวเอื้อมมือไปรินน้ำที่วางอยู่ยนโต๊ะหัวเตียงมาดื่มแล้ววางลงที่เดิม ดวงตาว่างเปล่าสับสน สองมือเรียงบางลูบหน้าตัวเองเบาๆ .. ไม่มีน้ำตาซักหยด มีเพียงความผิดหวังเสียใจ

…หากได้ร้องไห้ออกมามันคงดีไม่น้อย

เป็นไปดังที่ซึงฮยอนคิดไว้ เย็นวันนั้นซอฮยอนไม่ได้ลงมาทานอาหารเย็น เธอเก็บตัวเช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่เขารู้ดีซอฮยอนจะเปิดอกคุยกับเขาเมื่อเธอพบทางอออกสำหรับเธอเอง แม้ลูกจะเก็บอารมณ์แต่กับบิดาที่เลี้ยงแต่อ้อนแต่ออกเธอรู้ว่าเธอจะได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอ .. ครั้งนี้คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูกสาวไม่น้อย ลูกน้อยของเขาขับรถไปแต่กลับบ้านมาด้วยรถแท็กซี่แถมยังมีกระป๋องมันฝรั่งทอดกรอบที่เธอไม่เคยปลื้มอยู่ในกระเป๋า

ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นปลุกผู้เป็นพ่อ “อัปป้าคะ ลูกเองค่ะ” เสียงหวานของลูกสาวคนเดียวดังขึ้น หญิงสาวดันประตูออกแล้วชะโงกตัวมาตามช่องเล็กๆ “อัปป้านอนรึยังคะ ลูกมีเรื่องอยากคุยกับอัปป้า”

“ยังลูก” ชายสูงวัยพูดด้วยเสียงอบอุ่น “เข้ามาสิมา พ่อกำลังเปิดหนังสือที่ลูกชอบดูอยู่พอดี” ซึงฮยอนเรียกลูกสาวให้เข้ามานั่งด้วยกัน เขานึกครึ้มหยิบหนังสือโปรดสมัยเด็กของซอฮยอนมานั่งเปิดไปมาดูเล่นพลางคิดถึงลูกสาว ครั้งนึงพ่อแม่ลูกเคยใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ร่วมกันอย่างมีความสุข หนังสือการ์ตูนเคโรโระเที่ยวรอบโลกที่ทุกครั้งที่ซอฮยอนอ่านเธอจะจิ้มเมืองนั้นเมืองนี้อย่างสนุกสนาน

ร่างสูงบอบบางในชุดนอนเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างบิดา “อัปป้าคะ ลูกมีเรื่องอยากจะบอกอัปป้า”

“ลูกอยากยกเลิกงานแต่งงาน” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ดวงตาประเจิดจ้า ซึงฮยอนมองลูกสาวที่พูดเรื่องใหญ่ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา เขารู้ดีว่าลูกคงคิดถี่ถ้วยจึงเอ่ยออกมาเพราะเขาสังเกตได้ถึงความหนักแน่นในทั้งน้ำเสียงและแววตานั้น

“มีอะไรกันหรือลูก บอกพ่อได้ไหม” ซึงฮยอนโอบลูกสาวเข้ามาใกล้พร้อมถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“ลูกคิดว่าเราไม่ได้รักกันและลูกเองก็ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานค่ะอัปป้า” ซอฮยอนตอบตามที่เธอคิดไว้ “ลูกยังมีอะไรบกพร่องยังไม่สามารถเป็นเจ้าสาวที่ดีได้ ลูกเพิ่งรู้วันนี้เองค่ะ อัปป้าอนุญาติลูกนะคะ” เธอคงต้องมีอะไรซักอย่างที่บกพร่องแน่ๆ ยงฮวาดูแลเอาใจใส่เธอจริงแต่เขาไม่เคยแสดงออกทางความรักกับเธอฉันท์ชู้สาว แค่จูบเบาๆที่ศรีษะเพียงเท่านั้น แต่เท่าที่เธอเห็นเขารักกับมินจองลึกซึ้ง .. อย่างน้อยก็ลึกซึ้งกว่าเธอที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวของเขา

“ลูกก็รู้ว่าอัปป้าเคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ” ซึงฮยอนถอนหายใจเบาๆทว่าพูดกับลูกสาวอย่างอบอุ่นเช่นเคย ประโยชน์อะไรที่จะบังคับหากลูกไม่อยากแต่งงาน การแต่งงานเป็นเรื่องซับซ้อนมากพอๆกับความรู้สึก หากซอฮยอนมาบอกเขาเช่นนี้ลูกย่อมคิดดีแล้วตามนิสัย ซึงฮยอนเองไม่อยากขวางเรือในน้ำเชี่ยวด้วยรู้ว่าลูกสาวนั้นแสนจะดื้อรั้น รอสถานการณ์ดีกว่านี้ซักหน่อยลูกคงเล่าเรื่องราวทั้งหมดเอง

“อีกอย่างค่ะอัปป้า” ซอฮยอนเอ่ยต่ออย่างนึกได้ ซึงฮยอนก้มลงมองหน้าลูกสาวในอ้อมกอดอุ่นอย่างสงสัย “ลูกขอไปต่างประเทศซักพักนะคะแล้วลูกจะรีบกลับมา”

“หา! ว่ายังไงนะจูฮยอน” ชายสูงวัยร้องอย่างตกใจ เขาผละตัวออกจากลูกสาวสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “ลูกจะไปไหน กับใคร .. จูอฮยอนมีอะไรอยากบอกอัปป้าให้รู้มากกว่านี้ไหม”

“ลูกจะไป….” นั่นสิ เธอจะไปไหนดี เธอยังไม่ทันคิดเสียด้วย เธอเพียงแค่คิดว่าต้องไปที่ไหนซักที่ เธอต้องการเปลี่ยนบรรยากาศไป หากเธอยังคงอยู่ภาพเสมือนจริงและอาการอยากจะอาเจียนนั่นคงไม่ยอมหายไปแน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อเธอเห็นหน้าสองคนนั่น ดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นหนังสือที่อยู่ในมือของบิิดา ภาพการ์ตูนสวยที่ซีดลงเล็กน้อยตามกาลเวลาเป็นภาพของประเทศฝรั่งเศส .. นีซ (Nice) เมืองตากอากาศในแคว้นริเวียร่า (Riviera) ที่เลื่องชื่อ “นีซค่ะอัปป้า”

“ลูกจะไปได้ยังไงคนเดียวจูฮยอน ลูกไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าลูกยังไม่บอกพ่อว่าจะไปนานแค่ไหนด้วยซ้ำ” ซึงฮยอนตอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาตามใจซอฮยอนมาตลอดแต่ถึงอย่างนั้นต้องอยู่ในเหตุผล การที่ซอฮยอนจะยกเลิกงานแต่งและละทิ้งการงานแม้จะเป็นบริษัทของครอบครัว แถมยังจะไปอยู่ต่างแดนโดยไม่ให้เหตุผลคนเป็นพ่อคงยอมไม่ได้

“ยงฮวาอปป้ากับมินจอง….” เสียงหวานขาดหาย ทันทีที่พูดถึงภาพเมื่อกลางวันก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง ซอฮยอนกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “สองคนนั้นเค้ารักกันนะคะอัปป้า ลูกเพิ่งรู้วันนี้ … ลูกคงบกพร่องเอง อัปป้าอย่าโทษเค้าสองคนนะคะ แต่ได้โปรดอนุญาติให้ลูกไปพักผ่อนซักระยะเถอะค่ะ นะคะ”

เสียงลูกสาวเล่าเรื่องขาดๆหายๆ น้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาใส แขนเรียวบางเกาะเกี่ยวที่แขนแกร่งของบิดาอย่างเอาใจ “นะคะอัปป้า” ซึงฮยอนมองเลือกในอกที่นั่งกอดแขนเขาอยู่ ลูกเจอปัญหาหนักขนาดนี้เขาจะห้ามได้อย่างไรกัน ใบหน้าคร้ามพยักหน้ารับพร้อมกับเอ่ยเบาๆกับลูกสาว … ไปเถอะลูก ไปให้สบายใจแล้วค่อยกลับมา