Archive

Monthly Archives: สิงหาคม 2012

หลังจากไปเดินแบกเป้ดูนั่นนี่หลายอย่างมีทั้งเป็นไปตามแผนและไม่เป็นไปตามแผน นอกจากจะต้องทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่ควรรู้เล็กๆน้อยๆในการไปเที่ยวโซลมีต่อไปนี้ค่ะ

1. ถ้าคุณเป็นคนศึกษาข้อมูลจากหนังสือ บางทีแผนที่ในหนังสือไม่ค่อยแม่นเป๊ะเท่าแผนที่จริง ยิ่งหนังสือน่ารักเป็นแผนที่ทำมือนี่ยิ่งควรบอกผ่าน ไม่ควรนำมาเป็น reference ในการนำทาง ควรจะศึกษาที่ตั้งร้านอีกครั้งผ่านทางอินเตอร์เน็ต ถึงอย่างนั้น แผนที่ใน google หรือ daum บางทีก็ไม่ได้อัพเดตสุดๆอาจจะทำให้งงเล็กๆเวลาเดินทางได้ เช่น เราค้นหาทางไป Kona Beans กาแฟของคุณแม่หนุ่มๆ SJ ในแผนที่นั้นที่สี่แยกที่ควรจะเป็นปั๊ม S Oil แต่ในเว็บกลับเป็นปั๊มอื่นแทน เท่าที่ทราบแผนที่ที่อัพเดตที่สุดคือ naver ซึ่งอาจจะลำบากหน่อยสำหรับคนที่ไม่ใช้ภาษาเกาหลี…อย่างเรา ^^”

2. ถึงพิกัดจากแผนที่ในหนังสือจะไม่ผิดเพี้ยน ก็อาจจะหาร้านอาหารที่แนะนำในหนังสือไว้ไม่พบอยู่ดี เพราะบางร้านก็เปลี่ยนไปเป็นร้านอื่นซะแล้วทั้งๆที่หนังสือจะเพิ่งพิมพ์ไม่นาน ยกเว้นร้านดั้งเดิมที่อยู่กันมาเป็นสิบปีอะไรอย่างนั้น ดังนั้นถ้าเล็งร้านไหนไว้ก็ควรเช็คในอินเตอร์เน็ตไว้ด้วย แต่ถ้าไม่มีเว็บไซท์ทำใจหาแผนสำรองไว้ด้วยเผื่อแผนการล้มเหลว

3. การใช้อินเตอร์เน็ตมีอยู่สองทางเลือก คือ 1) Data Roaming ซึ่งแต่ละเครือข่ายก็มีโปรโมชั่นต่างกันไป แต่เท่าที่ทราบของ dtac จะไม่มีแบบ unlimited และต้องระวังการเลือกเครือข่ายดีๆถ้าต้องเดินทางไปในที่ที่สัญญาณมือถืออ่อนแรง 2) Wibro Egg เข้าไข่ไวไฟแบบพกพา น้องไข่ก็เป็น unlimited Internet เช่นเดียวกัน ข้อเสียของมันก็คือน้องไข่จะ stand by ทิ้งไว้ได้ 9 ชั่วโมงและต่อเชื่อมสัญญาณติดต่อกันได้แค่ 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นน้องไข่ก็จะหมดไฟ แต่น้องไข่สามารถต่อได้มากถึง 3 เครื่องและถ้าเป็นรุ่นอื่นก็จะได้มากกว่านั้น อัตราค่าเข่าของน้องไข่คือ KRW 8,000 ต่อวันหรือประมาณ 240 บาท หมายความว่าถ้าไปกันหลายๆคนแล้วหารกันน้องไข่จะคุ้มว่ามากมาย แต่ต้องจัดการการใช้ดีๆ เท่าที่ใช้พาน้องไข่ไปพาจูก็ต่อได้โอเคนะคะ แต่อย่าไปอยู่ในซอกเขาหรือชายแดนจริงๆอย่าง DMZ ถ้าเป็นแถบนั้นล่ะเจ้าไข่กลายเป็นไข่เน่าไปเลย

4. ไปเที่ยวให้ทำใจว่ายังไงก็จะเจอนักท่องเที่ยวมากถึงมากที่สุด ไม่มีทางจะถ่ายภาพแบบไม่ติดมนุษย์ได้เลยแม้แต่น้อย ขนาดเราไปเที่ยวหน้าร้อนฝนตกก็ยังมีแต่คน เพราะฉะนั้นจงเอาคนไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพไปซะแล้วชีวิตจะดีขึ้นมากๆ

5. หนังสือมากมายที่ซื้อมา สุดท้ายจะใช้อยู่เล่มเดียวและอาจจะไม่ได้เอาไปไหนด้วย การพกทุกอย่างไว้ใน smart phone หรือ tablet แล้วใช้ให้เป็นประโยชน์จะทำให้ชีวิตดีขึ้นมาก แอพที่ควรจะมีติดไว้หากจะเดินทางท่องเที่ยวในโซลคือ Jihachul และ Seoul Bus ซึ่งมีทั้งใน iOs และ Android เลย ^^

20120827-194922.jpg

20120827-194945.jpg

การเขียน Travel Diary คงยากจริงๆ เพราะสำหรับเราแล้วแค่เริ่่มต้นก็ยังเริ่มไม่ถูก – -” ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองพร้อมไหมที่จะเขียนแบบนี้ แต่เพราะการไปเกาหลีครั้งนี้คือการไปเที่ยวแบบที่ไม่ได้ไปกับเพื่อนสนิท ครอบครัว ไม่ได้ไปเป็นเพื่อนใคร ไม่ได้ไปเพราะต้องพาใครไป แต่ไปเพราะอยากไป และลงท้ายที่ต้องไปคนเดียวเป็นครั้งแรกก็เลยตั้งใจว่าจะทำ Travel Diary ทิ้งไว้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ลองดูแล้วกันเนอะว่าจะเป็นยังไงบ้าง

คนเราต่างก็มีสิ่งที่ต้องทำในชีวิตที่แตกต่างกันไป เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้วตอนที่เราเริ่มเรียนปริญญาโทแล้ววิทยากรให้ทำกิจกรรมว่าความฝันของตัวเองคืออะไร ให้เขียนมาทั้งหมดโดยไม่ต้องคิดถึงความเป็นไปได้ แค่เขียนตามใจเราเท่านั้น ความฝันของเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็มักจะมีเรื่องฐานะการเงิน ครอบครัว หน้าที่การงาน และการศึกษา มีเพียงกลุ่มน้อยๆที่มีความฝันแบบที่แปลกไป เช่น มีคนนึงอยากเป็นเด็ก AF6 ทั้งๆที่คนเจ้าของฝันอายุเกินไปแล้ว ก็อาจารย์บอกเองว่าไม่ต้องคิดถึงความเป็นไปได้ มันก็จริงของเค้า บางคนก็อยากเป็นนักแข่งรถรถฟอร์มูล่า 1 ความฝันที่อยู่ในกระดาษแผ่นเล็กๆของเราวันนั้นมีแต่เรื่องไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ถึงตอนนี้มันก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เราเองจำได้ไม่ทั้งหมดว่าประเทศที่อยู่ในรายชื่อว่าต้องไปของเราในตอนนั้นมีประเทศอะไรบ้าง แต่ที่รู้คือเกาหลีไม่อยู่ในรายชื่อประเทศที่เราอยากไปเลยแม้แต่น้อย เพราะเรายังไม่รู้จักเกาหลี .. เพราะเรายังไม่รู้จักพวกเธอ เด็กผู้หญิงที่น่ารักทั้ง 9 คน

พอมารู้จักและรักพวกเธอแล้วความฝันในกระดาษพวกนั้นมันก็งอกเพิ่มขึ้นโดยเป็นความฝันที่เกี่ยวกับพวกเธอ อยากไปดูพวกเธอแสดงในรายการเพลง อยากดูคอนเสิร์ทเธอ อยากไปร่วม fan meeting/fan signing กับพวกเธอ อยากดูเธอเป็น MC ในห้องส่ง อยากไปดูว่าที่ที่เธอไปทำงานไปเรียนทุกวันหน้าตาเป็นยังไง และรอเมื่อโอกาสที่เหมาะสมมาถึง เราก็จะได้ไปหาหัวใจของเรากัน

การรอคอยก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ถึงเราจะไม่ได้ไปช่วง Comeback ของสาวๆเลยอาจจะไม่ได้ดูในรายการเพลง แต่ก็จะเป็นการไปเกาหลีที่ได้ดูสาวๆและไปเที่ยวในที่ที่อยากไป เห็นใจสิ่งที่อยากเห็น การไปเกาหลีครั้งนี้เราตัดสินใจไม่นานแต่เตรียมตัวนานและเยอะที่สุดเท่าที่เคยไปมาเพราะว่าไปคนเดียว .. ปกติใช้แรงงานเพื่อนตลอด เค้าผิดไปแล้ว ㅠㅠ .. ไม่รู้ว่าการเตรียมตัวของเราจะช่วยได้บ้างไหม ยังไงช่วยภาวนาให้การเดินทางของเราปลอดภัยและเป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ด้วยนะคะ แล้วจะมาเล่าให้ฟัง ^^

20120816-121951.jpg
หนังสือกองโตที่บ้าซื้อมา

20120816-122203.jpg
T-money สามใบที่เพื่อนบอกว่า “เอ๋เอาไปทั้งสามใบเลยนะ เราไม่รู้ว่าอันไหนมีเงินเท่าไร”

20120816-122849.jpg
กระเป๋าที่อยากจะหยอดหมาลงไป

20120816-123138.jpg
เตรียมของจำเป็นให้แบมแบมเพราะต้องฝากให้แม่กับน้าดูแลชั่วคราว ㅠ ㅠ อยู่กับเค้าเยอะขึ้นหน่อยนึงชดเชยที่จะหนีเที่ยวสิบวัน ㅠ ㅠ

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– END – 

 

คยูฮยอนและซอยอนใช้เวลาช่วงวันหยุดพักร้องของเขาไปกับการตระเวนเมืองปารีส ตั้งแต่เดินถนนชองเอลิเซ่ (Champs-Élysées) ที่เต็มไปด้วยสีสันของคริสต์มาส ทั้งร้านค้าที่แข่งขันกันตกแต่งหน้าร้านอย่างงดงาม ยิ่งในงามค่ำคืนไฟประดับที่ถนนเป็นรูปต้นคริสต์มาสตลอดแนวทางเดินสวยจนอยากจะหยุดเวลาไว้ ประตูชัยที่คยูฮยอนเล่าประวัติแบบคร่าวๆ คร่าวมากๆแบบประโยคเดียวจบว่าสร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของกษัตริย์ซักองค์นี่แหละ ในขณะที่ไกด์นำเที่ยวมืออาชีพที่นำคณะทัวร์ยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันอธิบายฉากแล้วฉากเล่าอย่างกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ซอฮยอนใช้เวลาหนึ่งวันเต็มไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟเพื่อดูภาพศิลปะต่างๆและต่อคิวจ้องตากับโมนาลิซ่าซึ่งคยูฮยอนก็ไม่ขัดข้อง ระหว่างที่หญิงสาวดื่มด่ำกับภาพวาด เขาเองก็เพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่ดูกี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ คยูฮยอนพาเธอไปเยี่ยมชมพระราชวังแวร์ชายน์ วิหารนอร์ทเธอดาร์มและคาธีดรอลอีกหลายที่ มือเล็กๆกดชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเก็บภาพความประทับใจนั้นไว้ เช่นเดียวกับคยูฮยอน … เขาเก็บภาพของเธอ

และแน่นอนว่าเขาต้องพาเธอไปยังหอไอเฟลที่เหมือนกับเป็นสัญญลักษณ์ของปารีส เขาพาเธอมายืนดูอยู่ห่างๆก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ มือน้อยเกาะเกี่ยวมือหนาๆของเขาไว้เมื่อต้องเดินขึ้นสิ่งก่อสร้างเหล็กเพื่อขึ้นไปยังยอดสูงของหอไอเฟล เหนื่อย…ส่วนลิฟท์ก็สูงจนน่ากลัว แต่เมื่อถึงยอดสุดแล้วกลับลืมทุกสิ่งอย่าง แสงไฟจากเมืองปารีสที่ไม่ยอมหลับส่องแสงระยับแข่งกับดวงดาว จนเธออยากจะหยุดเวลาไว้แค่ตอนนี้

เวลาห้าวันที่ปารีสผ่านไปเร็วราวกับติดปีกบิน คยูฮยอนขับรถพาเธอกลับมายังที่พักของเธออีกครั้ง ซอฮยอนเช็คเอาท์ไปเพราะต้องไปปารีสถึงห้าวันเต็ม ทั้งๆที่ก่อนเดินทางพนักงานรับปากเป็นมั่นเหมาะว่ามีห้องพักแน่ๆเมื่อเธอกลับมา แต่พอถึงเวลาพนักงานกลับแจ้งว่าห้องพักเต็มหมด ค่ำแล้วแต่เธอกลับไม่มีที่นอน ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนใจ

…แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหนกัน

“ไปพักที่บ้านผมไหมซอฮยอน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากที่ประมวลผลอยู่นาน “ดีเสียอีก คุณจะได้ประหยัดเงินค่าที่พักเอาไว้เที่ยวไง”

ซอฮยอนสบตาคมนิ่ง เขารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา ข้อเสนอของเขาหอมหวานสำหรับคนไร้ทางเลือกอย่างเธอ แต่มันจะสร้างความลำบากให้กับคนอย่างเขาน่ะสิ

“หรือคุณกลัวผม” คิ้วหนาเลิกถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นท่าทางลังเลของคนตรงหน้า แน่ล่ะ เธอเป็นผู้หญิง สวยเสียด้วย เขาคงเสนออะไรไปไม่คิดสินะ คยูฮยอนอยากจะเอาศรีษะตัวเองโขกพื้นมันเสียตรงนี้จริงๆ

“เปล่านะคะ เปล่า” หญิงสาวรีบตอบอย่างร้อนรน เธอกลัวเขาเข้าใจผิด “ฉันจะกลับคุณทำไมเล่า ฉันแค่…เกรงใจคุณต่างหาก”

“ถ้าคุณเกรงใจก็ทำอาหารให้ผมทานแล้วกัน ถือเป็นค่าเช่าห้อง .. ดีไหม” เขาไม่ฟังคำตอบอื่นใด มือหนายกกระเป๋าของเธอเดินนำเธอลิ่วไปยังรถที่จอดอยู่ เขาหันหลังกลับมากวักมือเรียกเธอที่เดินตามมาช้าๆก่อนจะจับเธอยัดเข้าไปในที่ด้านข้างคนขับ

คยูฮยอนพาเธอมาที่อพาร์ทเมนต์ในย่านแอนทีบส์ (Antibes) ไม่ไกลนักจากทะเล หากมองจากห้องเขาจะสามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างชัดเจน ห้องนอนของเขาสะอาดเรียบร้อยเกินกว่าจะเป็นห้องนอนของหนุ่มโสดทั่วไป หากเมื่อเธอแซวเขาเขากลับตอบเพียงว่า “ผมอยู่คนเดียวแต่เด็กเลยต้องดูแลตัวเอง ถ้าปล่อยให้รกยังไงก็ไม่มีใครทำอยู่ดี”

หญิงสาวเดินสำรวจโดยรอบอพาร์ทเมนต์ ห้องนั่งเล่นโทนสีขาวสะอาดตา ตกแต่งเรียบง่ายแต่กลับดูอบอุ่น ในห้องนอนมีเตียงกว้างปูด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้ม สีโปรดของคยูฮยอน โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฮยอนบอกตามตรงว่าเธอรู้จักแค่แล็ปท็อปเท่านั้น ที่เหลือเป็นอะไรบ้างก็ไม่รู้ เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ กลิ่นหอมสะอาดลอยเข้ามาทันทีที่เธอย่างกรายเข้าไป ภายในมีผ้าสะอาดที่แขวนอยู่ตรง Cloth Heater สองสามผืนนอกนั้นทุกอย่างน้อยแต่ดูสะอาดตา ห้องพักของคยูฮยอนตกแต่งแบบเรียบง่ายตามสไตล์ของเขา ซอฮยอนนั่งนึกทบทวนอีกครั้ง .. หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น และแพนทรี … แล้วจะนอนกันยังไงล่ะทีนี้!

ร่างสูงยกกระเป่าเธอเข้าไปไว้ในห้องขณะที่เธอแปลงร่างเป็นนักสำรวจ เขากลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับชุดเครื่องนอน ชายหนุ่มเดินไปที่โซฟาจัดการย้ายนั่นนิดนี่หน่อยก็กลายเป็นเดย์เบด (Daybed) น่านอน

“คุณนอนข้างในก็แล้วกัน เดี๋ยวผมนอนข้างนอกเอง .. อย่าทำอะไรผมก็แล้วกันนะ” เขาบอกเธอพร้อมกับคลี่ยิ้มตาหยี

ซอฮยอนมองคนตรงหน้าด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แต่กลับตอบเขาออกไปแบบกวนๆ “โธ่ ทำไมไม่ชวนอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกเล่า ปล่อยให้ฉันเสียค่าห้องพักที่ Villa la Tour ไปตั้งหลายคืน”

ชีวิตประจำวันของซอฮยอนตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขาคือตื่นขึ้นมาก็ไปส่งเขาที่ที่ทำงานของเขาในเมืองใกล้ๆ จากนั้นเธอก็ขับรถไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่เธออยากไป แล้วจึงกลับไปรับเขาในตอนเย็น เป็นอย่างนี้ทุกวัน แรกเริ่มเดิมที่เธอปฏิเสธเขานับครั้งไม่ถ้วนที่ยัดเยียดรถให้เธอใช้…พร้อมกับหน้าที่คนขับรถส่วนตัวของเขา แต่สุดท้ายเธอก็แพ้เขาเพราะคยูฮยอนยกเหตุผลล้านแปดประการมาอ้าง

“มาเที่ยวแล้วต้องไปให้คุ้มสิ จะมัวมาอยู่บ้านทำไม”

“รถผมนี่แหละประหยัดดี ดีกว่าไปเช่ารถอีกคันหรือนั่งแท๊กซี่ ไม่งั้นผมก็จอดไว้เฉยๆที่ออฟฟิสอยู่ดี”

“นาวิเกเตอร์ก็มีซอฮยอนจะกลัวอะไร จิ้มๆไปเดี๋ยวก็มีคนบอกทาง”

แล้วเธอก็ต้องยอม .. เพราะหมดทางจะเถียง

ทุกเช้าซอฮยอนจะตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าและยังเตรียมอาหารกลางวันให้เขาไปทานที่ที่ทำงานอีกด้วย จนคยูฮยอนมักจะพูดเสมอๆว่าเธอทำให้เขาเคยตัว อาหารเย็นส่วนใหญ่ทั้งคู่ก็จะช่วยกันทำ หรือไม่เช่นนั้นก็จะออกไปหากินใกล้ๆ ในแอนทีบส์มีร้านอาหารขึ้นชื่อมากมาย หรือหากขับไปอีกนิดก็ถึงคานส์ (Cannes) หรือไบออท (Biot) แล้ว ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมห้องพัฒนาขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยคยูฮยอนเป็นเจ้าบ้านที่แสนดี ส่วนซอฮยอนก็เป็นผู้อาศัยที่แสนน่ารัก

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทั้งสองคนร่วมกันทำอาหารเย็น อาหารฝีมือของเธออาจจะไม่ได้อร่อยเท่าเชฟตามภัตตาคาร แต่เขารู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กิน .. มันอุ่นใจ

“ถ้าหิมะตกวันคริสต์มาสก็คงดีเนอะคยู จะได้เป็น White Christmas ไง” หญิงสาวเอ่ยขึ้นระหว่างมื้ออาหารเมื่อพูดถึงคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา คยูฮยอนบอกเธอว่าเขาปฏิเสธคำชวนของเพื่อนๆที่ให้ไปทานอาหารร่วมกันที่บ้านตามที่ตกลงกันไว้กับเธอว่าจะฉลองกันเงียบๆที่บ้าน  แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกเธอคือเขาอยากใช้เวลากับหญิงสาวร่วมบ้านให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่การมีเธออยู่เป็นสิ่งปกติสำหรับเขา

“ที่นีซหิมะไม่ตกหรอกนะซอฮยอนนี่” เขาตอบนิ่งๆ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นีซคยูฮยอนไม่เคยได้สัมผัสหิมะซักครั้ง นีซไม่หนาวจัดเหมือนประเทศทางแถบยุโรปเหนือ ดังนั้นความหวังของซอฮยอนจึงมีความเป็นไปได้เกือบจะเท่ากับศูนย์

“ว้า” หญิงสาวทำหน้าง้ำแต่ก็งอแงกับใครไม่ได้ เรื่องของธรรมชาติ เธอจะไปเรียกร้องเอากับใครได้ … อีกครั้งทีท่าทางเด็กน้อยของซอฮยอนทำให้เขาประทับใจ ถ้าเขามีความสามารถเสกหิมะให้เธอแลกกับรอยยิ้มได้ เขาคงทำโดยไม่ต้องคิด

 

 

ดวงตาสีน้ำตาลมองไปนอกหน้าต่าง ชายหาดที่มืดมิดแต่ยังมีแสงไฟจากร้านค้าและบ้านเรือน ภาพตรงหน้าเมืองกับเมืองในฝัน บางครั้งเธอเองก็คิดว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝันจริงๆ เธอบอกตัวเองตอนที่จากมาว่าหากแข็งแรงขึ้นเมื่อไรจะกลับไป ในวันนี้เธอไม่มีน้ำตาซักหยดตั้งแต่เท้าแตะที่เมืองนี้ หรือจริงๆแล้วอาจจะตั้งแต่เกิดเรื่องที่เกาหลี บางทีเธออาจจะไม่เคยอ่อนแอแต่แค่กลัวไปเอง บางทีเธออาจจะแค่กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงทำให้เธอหนีมา บางทีเธออาจจะไม่ได้รักยงฮวา .. บางทีอาจจะถึงเวลาที่เธอต้องกลับบ้านเสียที

เกร็ดหิมะขาวร่วงหล่นจากฟากฟ้าที่ตรงนอกหน้าต่าง เธอยกมือบางขึ้นขยี้ตาเบาๆ .. ไหนเขาบอกว่าที่นี่ไม่มีหิมะ

“คยู หิมะตก” เสียงใสร้องขึ้นอย่างยินดีกับภาพตรงหน้า .. White Christmas!

“ซอฮยอนนี่ อยากให้หิมะตกขนาดเห็นภาพลวงตาหรือไง .. ที่นี่ไม่ใช่เกาหลีนะ” คยูฮยอนตอบอย่างไม่เชื่อ แต่แขนเรียวเล็กกลับวิ่งมาคล้องเกี่ยวตัวเขาแถมยังดึงรั้งให้ไปดูด้วยกันที่หน้าต่าง

ภาพตรงหน้าสร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มอย่างมากมาย .. หิมะจริงๆ .. ซอฮยอนมองร่างสูงตรงหน้าอย่างอิ่มสุข เธอกอดแขนเขาไว้พร้อมกับเอนศรีษะซบลงตรงไหล่หนา ไหล่นี้อุ่นดีจริงๆ หากเป็นไปได้เธออยากซบลงบนไหล่นี้ตลอดไป มือหนาโอบกระชับที่ไหล่บางด้วยความคิดที่ไม่ต่างกัน

ท่ามกลางหิมะโปรย ชายหนุ่มกับหญิงสาวเอเชียคู่นึงเดินชมบรรยากาศของเมืองท้าทายอากาศหนาวเย็น บรรยากาศโดยรอบกลับกรุ่นด้วยความรักและอบอุ่นจนคนรอบข้างต้องยิ้มเมื่อได้เห็น

“คยูไม่เคยอยากกลับไปเกาหลีจริงๆน่ะเหรอ” เสียงหวานถามขึ้นอย่างอ่อนโยน เธอเงยหน้าเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้น

“ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับเกาหลีอีกแล้วซอฮยอน”

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แขนเรียวเล็กกระชับแขนของเขาแน่นขึ้น ที่ผ่านมาเธอไม่เคยบอกเขาว่าจะต้องกลับวันไหน ทั้งๆที่ตั๋วเครื่องบินมีอายุแค่หนึ่งเดือน เธอต้องบินกลับในวันรุ่งขึ้น “จริงๆแล้วนีซสวยเหลือเกิน แต่ว่าฉันต้องกลับไป” เธอเอ่ยด้วยเสียงบางเบา “อัปป้ารอฉันอยู่ … แล้วฉันก็คิดว่ายังมีอีกสองคนที่กำลังรอการกลับไปของฉัน”

ระหว่างเขาและเธอไม่เคยมีคำพูดใดนอกเหนือไปจากเพื่อน คนร่วมห้อง เจ้าของบ้านและผู้อาศัย คนที่ช่วยเหลือ หรือเพื่อนร่วมสัญชาติ ตั้งแต่เขารู้จักกับเธอ เธอไม่เคยบอกถึงเหตุผลที่มาที่นี่เลยซักครั้ง บางทีที่ที่เธอจากมาอาจจะมีคนรอเธออยู่ .. คนรักของเธอ

“กลับไปแล้วงานคงกองเต็มโต๊ะเลยล่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ความอึดอัดในใจที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ก่อ เธอยังคงรั้งแขนเขาไว้แน่น

…ไม่อยากปล่อยไปเลย

 

 

ไม่มีการเปลี่ยนใจใดๆทั้งสิ้น ซอฮยอนกลับเกาหลีโดยมีคยูฮยอนมาส่งที่สนามบิน ไม่มีการเอ่ยคำร่ำลาใดๆมากไปกว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัย .. แล้วเราคงได้เจอกันใหม่”

เพียงแค่หันหลังจากมาหญิงสาวกลับใจหาย หัวใจปวดแปลบไปทั้งดวง แตกต่างจากตอนที่มา น่าแปลก ทั้งๆที่เธอจากบ้านและครอบครัว โดนคนรักและเพื่อนหักหลังแต่กลับไม่เสียใจเท่าวันนี้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลจากดวงตาคู่สวย ซอฮยอนกลับปล่อยมันไว้อย่างนั้นโดยไม่คิดที่จะเช็ดมันออกไป

เธอเพิ่งรู้ว่าเวลาที่นีซเป็นเวลาที่มีค่าของเธอเหลือเกิน ….. และเขาก็มีค่ากับเธอเหลือเกิน

ซอฮยอนกลับมาเกาหลีท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของทั้งครอบครัวและเพื่อนสนิท รวมไปถึงยงฮวาและมินจอง หญิงสาวกลับมามีรอยยิ้มที่จริงใจให้กับทั้งสองคนตรงหน้าอีกครั้ง การตัดสินใจของเธอในตอนนั้นคงดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว แต่เธอยังสงสัยในการตัดสินใจของตัวเองในตอนนี้ว่ามันดีสำหรับใคร

 

เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอขาดการติดต่อจากเขา ซอฮยอนอยากจะตีตัวเองให้ลายไปทั้งตัวที่โง่ บ้า เซ่อ ไม่ได้ให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อเขาไว้ ส่วนเขาติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้จนเธอมารู้ทีหลังว่าเขาหมดสัญญาเช่าห้องพักที่แอนทีบส์ แต่คนเช่าห้องต่อจากเขาไม่รู้ว่าคยูฮยอนย้ายไปอยู่ที่ไหน เธอยอมรับว่าเธอยังคิดถึงหน้าหนาวที่แล้วที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับเขาในเมืองที่เงียบสงบอย่างนีซ เธอยังจำคำสุดท้ายที่เขาพูดก่อนจากกันได้ดี

…แล้วเราคงได้เจอกันใหม่

“ซอฮยอน จำได้ไหมที่พี่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จักกับที่ปรึกษาที่พี่ดึงตัวมาได้น่ะ” เสียงของยงฮวาดึงเธอออกมาจากความคิด วันนี้เขาและเธอมีนัดเจรจากันกับที่ปรึกษาด้านระบบคนใหม่ที่ยงฮวาใช้กำลังภายในดึงตัวมาได้จากบริษัทชื่อดังในยุโรป การพัฒนาระบบในครั้งนี้จะช่วยทำให้การทำงานของบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินอย่างซอฮยอนจะสามารถพัฒนาการบริการและทำรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว เธอจึงต้องร่วมรับประทานอาหารค่ะแบบธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ .. ทั้งๆที่ยงฮวาที่เป็นรองประธานบริษัทเพียงคนเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมจะต้องดึงเธอมาร่วมตกระกำลำบากในคืนคริสต์มาสอย่างนี้ด้วย

…นี่มันคริสต์มาสนะ! ฉันมาทำอะไรที่นี่!

“ใช่ นี่มันคริสต์มาส พี่เองก็ทำงานเหมือนเธอไม่ใช่เหรอ .. ไหนบอกจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไงซอฮยอน” เขาพูดตอนที่เธอปฏิเสธอาหารค่ำในครั้งนี้ “ยังไงเธอก็ต้องมา” ยงฮวาสรุปสั้นๆ แล้วเธอก็มาจริงๆ

ร่างสูงคุ้นตาเดินเข้ามา ซอฮยอนมองคนที่เดินเข้ามาใกล้ตาแทบไม่กระพริบ อาจจะเป็นคนหน้าเหมือน ไม่งั้นเธอก็อาจจะฝัน หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นคริสต์มาสเธอเลยคิดถึงเขามากเกินไปถึงได้เห็นเขาชัดเจนได้ขนาดนี้ เขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เธอยังจำคิ้วหนาๆที่รับกับตาคมปราบ ดวงตาที่มักจะยิ้มจนเป็นรูปเสี้ยงพระจันทร์เมื่อเธอทำอะไรเปิ่นๆ ปากได้รูป และเสียงที่อบอุ่น

“ทางนี้ครับคุณคยูฮยอน” ยงฮวายกมือเรียกชายหนุ่มตรงหน้า ย้ำชัดว่าซอฮยอนไม่ได้ฝัน เธอไม่ได้คิดไปเอง

“ซอฮยอน นี่ไงนักพัฒนาโปรแกรมที่ผมพูดถึงบ่อยๆ คุณโจว คยูฮยอน .. คุณคยูฮยอนครับ นี่ซอฮยอน เจ้าของบริษัท S Wealth Management ที่ผมพูดถึงบ่อยๆไงครับ” ยงฮวาแนะนำคนทั้งสอง เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาครั้งนี้จะเป็นไปด้วยดี โปรแกรมนี้จะทำให้บริษัททำรายได้อย่างงาม เพราะ S Wealth Management ในปัจจุบันใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการทำงาน หากมีโปรแกรมเป็นของตัวเองที่ได้รับการพัฒนามาให้เป็นไปตามที่บริษัทต้องการย่อมทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียไปกับค่าโปรแกรม แถมยังมีสินทรัพย์เป็นตัวโปรแกรมและยังทำงานได้มีประสิทภาพประสิทธิผลมากขึ้นด้วย

ตลอดเวลาอาหารค่ำเต็มไปด้วยเรื่องงาน งาน และงาน ซอฮยอนพยายามจะหาโอกาสถามสารทุกข์สุขดิบของคนตรงหน้าว่าช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ก็หาช่วงเวลาเหมาะๆไม่ได้แม้จนสิ้นสุดอาหารมื้อนั้น

“เอาเป็นว่าผมจะเข้าไปพูดคุยในรายละเอียดอีกครั้งหลังปีใหม่นะครับ ผมอาจจะร่างแนวความคิดมาแบบคร่าวๆก่อน แต่ผมไม่ได้มีความรู้ด้านการเงินมากนักคงต้องอาศัยพวกคุณช่วยในรายละเอียด” เขาจับมือกับยงฮวาและหันมาโค้งนิดๆให้กับเธอพร้อมกับบอกลา

คยูฮยอนเดินแยกตัวมา เขาแค่นยิ้มอย่างประชดประชันตัวเอง ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาที่เขาเฝ้าคิดถึง สุดท้ายเมื่อได้พบเธอกลับมีคนอื่นอยู่แล้วจริงๆ

…จอง ยงฮวา เขาสินะที่เป็นเหตุผลให้เธอกลับมา

“รอก่อนสิคะ อย่าเพิ่งไป” มือเรียวบางรั้งแขนเขาไว้ ร่างสวยหวานหอบเบาๆ “ยงฮวาเป็นเพื่อนของฉันค่ะ และเขาก็มีคู่หมั้นแล้วด้วย .. มินจอง” เธออธิบายทั้งๆที่ยังหอบ ซอฮยอนบอกลายงฮวาทันทีที่คยูฮยอนแยกตัวออกมา เธอต้องทั้งนั่งยันนอนยันว่าเธอกลับเองให้เขากลับไปหามินจองให้ทันก่อนคริสต์มาสจะผ่านไป เธอต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอ ทั้งยงฮวาและมินจองดูจะรักและห่วงเธอเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณตั้งแต่เกิดเรื่อง บางครั้งก็ดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อเธอปลีกตัวจากยงฮวาได้เธอจึงวิ่งตามเขามา .. เหนื่อยแทบขายใจ

“คุณบอกผมทำไม” เขาถามเสียงเรียบไม่บ่งถึงความรู้สึกใด

“ฉันคิดว่าใครบางคนคงจะเข้าใจผิด”

“คุณคิดถูกแล้ว”

หญิงสาวนิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่แสนตรงของเขา รอยยิ้มจางๆค่อยๆเคลือบบนปากสวยได้รูป

หากว่าเขาเข้าใจผิด….บางที เราอาจจะใจตรงกัน

“ในที่สุดคุณก็กลับมาเกาหลี” เธอเอ่ยขึ้นมากึ่งพูดกึ่งถาม หากว่าเขาปฏิเสธ เธอก็จะยื้อเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ดวงตามองสบเขาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก เธอปล่อยโอกาสไปแล้วครั้งนึงเมื่อคริสต์มาสที่แล้ว ครั้งนี้เธอจะขอเอื้อมมือคว้าของขวัญคริสต์มาสชิ้นนี้ไว้ ไม่ปล่อยให้ใครมาแย่งไปได้

“ครั้งมีเหตุผลให้ผมกลับมา” เขาพูด มือหนาดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมกับเอ่ย “เหตุผลนั้นคือคุณ”

คยูฮยอนเองก็เช่นกัน ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอจากไปไหนอีกแล้ว ขนาดเมื่อครู่ที่เขาคิดประชดประชันตัวเอง สมองอีกฝั่งยังคอยประมวลผลว่าจะทำให้เธอเป็นของเขาได้อย่างไร แล้วอย่างนี้เขาจะปล่อยเธอไปอีกครั้งได้เชียวหรือ ร่างหนากระชับอ้อมกอดแน่นท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาใจกลางกรุงโซล สองร่างกระซิบบอกรักกันอย่างไม่รู้เบื่อ มือเกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างนั้นแม้เหงื่อจะซึมชื้นอยู่ตามฝ่ามือ

 

คริสต์มาสที่แล้วเขาได้ฉลองร่วมกับเธอ .. เขาใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อที่จะมาพบเธออีกครั้งในวันคริสต์มาส .. แต่จากนี้ทุกๆปีจะมีเขาและเธอร่วมกันตลอดไป

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– 3 – 

 

 

คยูฮยอนมาหาซอฮยอนทุกเย็นตลอดทั้งสัปดาห์ตามที่เขาว่าไว้ ทั้งสองใช้เวลาหลังเลิกงานของคยูฮยอนร่วมกันจนเริ่มสนิทสนม ชายหนุ่มมักจะพาเธอไปทานอาหารยังร้านอาหารที่เขาชอบ ซอฮยอนเพิ่งรู้ว่าร้านอาหารที่เธอพบกับเขาวันแรกคือร้านโปรดของเขาในย่านเมืองเก่า

เย็นวันศุกร์คยูฮยอนตัดสินใจพาเธอไปทานอาหารที่แอนทีบส์ (Antibes) ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเล สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมและอาหารขนาดเล็กใหญ่คละเคล้ากันไป ซอฮยอนเลือกเข้าร้านอาหารร้านนึงที่ตกแต่งด้วยผนังกระจกที่มีน้ำไหลลงมาตามผนัง ภายในตกแต่งด้วยโทนสีขาว บริกรที่อยู่ในร้านแค่ดูก็รู้ว่ามากประสบการณ์ คยูฮยอนตัดสินใจสั่งปลาที่ไม่ระบุราคา โดยบอกว่าราคาตามน้ำหนัก ส่วนซอฮยอนตัดสินใจสั่งสแกลลอปแล้วปิดท้ายด้วยแพนนาคอตต้า

บริกรชายถือชามปลาจานโตมาที่โต๊ะทำเอาทั้งตัวคนสั่งและอีกคนที่นั่งด้วยตาโตด้วยความตกใจ บริกรชายถามเขาว่าจะให้แกะปลาเลยหรือไม่ซึ่งเขาก็ตอบรับ จนเมื่อพนักงานผู้นั้นมาเสิร์ฟอาหารอีกครั้งทั้งคยูฮยอนและซอฮยอนถึงกับตาวาวเป็นประกาย เนื้อปลาถูกแกะอยู่ในจานอย่างสวยงาม ด้านข้างในฐานมีก้อนเกลือรูปปลาที่ถูกกระเทาะวางอยู่ให้เห็น เป็นเหตุว่าทำไมเจ้าปลาที่มาเสิร์ฟตอนแรกเริ่มถึงได้ตัวโตนัก เพราะทางร้านพอกตัวปลาด้วยเกลืออย่างหนาเป็นรูปปลาก่อนนำไปอบ สแกลลอปของซอฮยอนที่ได้รับการปรุงอย่างดีดูน่าทานแถมการจัดวางยังดูราวกับเป็นศิลปะชั้นสูงมากกว่าจานอาหาร มื้อนั้นทั้งคยูฮยอนและซอฮยอนต่างก็ทานอาหารอย่างอร่อย ทั้งสองแบ่งกันทานเพื่อให้ได้ชิมอาหารรสเลิศกันทั้งคู่ สุดท้านซอฮยอนก็ปิดท้ายมื้อนั้นด้วยแพนนาคอตต้า ขนมหวานที่ทำจากนม ครีมและน้ำตาล ตกแต่งด้วยผลไม้ แค่ซอฮยอนได้ลิ้มรสหวานมันนุ่มลิ้นตัดรสเปรี้ยวนิดๆของผลไม้หญิงสาวก็เหมือนลอยอยู่ในอากาศ ทำเอาคนที่จิบกาแฟตรงหน้ายิ้มตาม

คยูฮยอนทำสัญญาณเรียกบริกรเพื่อให้เก็บเงิน เขารับสมุดพับที่มีใบเสร็จค่าอาหารมาจากพนักงานแล้วเปิดดูแต่หญิงสาวกลับคว้าไปจากมือเขาโดยไม่บอกกล่าว มือเรียวบางวางบัตรเครดิตอเมริกันเอ็กเพรซสีดำลงไปโดยไม่ตรวจเช็คค่าอาหาร

“ให้ฉันเลี้ยงขอบคุณคุณนะคะ .. ส่วนนี่เป็นที่ฉันยืมไป” ซอฮยอนยื่นซองจดหมายสีขาวฉลุลายมาตรงหน้า

“แต่เฉพาะค่าปลานั่นมันตั้ง 60 ยูโรนะซอฮยอน จะเลี้ยงผมได้ยังไง” คยูฮยอนโวย เขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ให้ผู้หญิงเลี้ยงมันน่าจะอายจะตายไป เขาไม่ได้ยากจนขนาดนั้นหรือเปล่า

“คุณให้เงินฉันยืมแล้วยังมาเลี้ยงข้าวฉันทุกวันจนฉันแทบจะไม่ได้ใช้เงินที่ยืมคุณมาเลย ให้ฉันเลี้ยงคุณซักมื้อเถอะนะคะ แล้วหลังจากนี้คุณจะเลี้ยงคืนอีกกี่มื้อฉันก็ยินดี แถมจะถล่มคุณเต็มที่เลย” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวาน ริมฝีปากเคลือบด้วยรอยยิ้มอย่างพึงใจที่ได้ทำอะไรตอบแทนเขาบ้าง

“งั้นก็ตามใจคุณเถอะ” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อเห็นท่าว่าทำยังไงเสียเธอก็คงจะไม่เปลี่ยนใจเป็นแน่

หลังมื้อค่ำทั้งสองใช้เวลาร่วมกันที่ริมทะเลกลางดึก เพราะคยูฮยอนบอกว่าเธอต้องการการออกกำลังกาย ส่วนเธอเองก็ไม่อาจห้ามใจให้ไม่เดินไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองได้ ร่างบอบบางวิ่งไปเกาะตู้ไอศครีมแล้วกวักมือเรียกเขา เธอบอกกับเขา “ถ้าคุณอยากขอบคุณค่าปลาตัวนั้นก็เลี้ยงไอศครีมฉันแทนนะคะ ฉันอยากกินตั้งแต่วันนั้นที่โดนล้วงกระเป่าแล้ว” แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด คยูฮยอนควักเหรียญยูโรออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เด็กสาววัยรุ่นที่เป็นพนักงานประจำร้าน มือเล็กๆรับไอศครีมโคนที่มองไปมองมาแล้วคล้ายๆกับดอกไม้ ดวงตาประกายเจิดจ้าอย่างกับเด็กได้ของเล่นไม่มีผิด คยูฮยอนมองคนที่เดินเคียงข้างที่กำลังละเมียดละไมไอศครีมรสโปรดท่ามกลางลมเย็นอย่างเอ็นดู แม้อากาศจะหนาวแต่กลับอบอวลไปด้วยความรู้สึกดีๆ อยู่ดีๆคยูฮยอนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ผมลางานอาทิตย์หน้าไว้ … เราขับรถไปเที่ยวปารีสกันดีไหม” เสียงทุ่มเอ่ยชวนพร้อมกับเล่าแผนการที่ผุดขึ้นมาในหัว “ผมไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า ช่วงเสาร์อาทิตย์ใกล้เทศกาลอย่างนี้ที่พักคงเต็ม เราไปวันธรรมดาน่าจะดีกว่า ส่วนพรุ่งนี้เราไปมอนติคาร์โลกันก่อน แล้ววันอาทิตย์ก็พักซักวัน คุณว่าดีไหม”

“มอนติคาร์โล?”

“โมนาโคน่ะ”

“ใกล้ที่นี่เหรอคะ” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างสงสัย

คยูฮยอนมองคนตรงหน้าอย่างขำๆ ซอฮยอนมาที่นี่แบบฉุกละหุกจริงอย่างที่เธอว่า เธอไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากมายอย่างคนที่ต้องการมาเพื่อเที่ยว ประเภทใช้เวลาให้คุ้มเที่ยวทุกที่ให้มากที่สุด ช่วงเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะมีบัทเจ็ตจำกัดจำเขี่ยหญิงสาวเลือกใช้มันอย่างคุ้มค่าโดยการเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ใกล้ๆ ไปเดินตามชายหาดส่วนตัว หญิงสาวสนุกกับการได้ยืนชมศิลปินเปิดหมวกที่หน้า Palais de Justice หรือศาลยุติธรรม ซอฮยอนชอบตึกทรง Neo-Classic  ซึ่งถูกสร้างในช่วงปี 1880 แต่ลานด้านหน้ากลับมีเด็กวันรุ่นมาเปิดหมวก ในบางครั้งก็เล่นกายกรรมอย่างน่าทึ่ง เธอบอกว่าเธอชอบดูคนที่มายืนดูกายกรรม ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองนีซช่างแตกต่างแต่กลมกลืน

“เช้าไปเย็นกลับยังได้เลย ใช้เวลาพอๆกับโซล-อินชอนล่ะมั้ง” เขาบอกเธอ

คยูฮยอนเดินทางส่งเธอตามปกติเหมือนที่เขาทำมาในช่วงสองสามวันให้หลังพร้อมกับบอกลาเธอ เขากำชับว่าให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะไปมอนติคาร์โลกัน

 

วันรุ่งขึ้นคยูฮยอนมารับซอฮยอนแต่เช้าตามที่เขารับปาก ชายหนุ่มยืนรอเธออยู่หน้ามินิคูเปอร์สีขาวคันเก่ง ซอฮยอนจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอเห็นรถของเขาเธอตกใจอ้าปากค้างเพราะมันคล้ายกับเจ้าคอนต้อนของเธอราวกับเป็นคันเดียวกัน “มันชื่อ Coton*” เขาบอกกับเธอเรียบๆ [อ่านว่า โคโต ในภาษาฝรั่งเศส]

“ภาษาฝรั่งเศสแปลว่าฝ้าย สะกดคล้าย cotton ในภาษาอังกฤษนั่นแหละ แค่ใช้ตัว t ตัวเดียว” เธอไม่เคยพูดถึงรถให้เขาฟังเท่าที่จำความได้ .. เป็นไปได้หรือไงที่จะใจตรงกับขนาดนั้น บ้าไปแล้ว

ทั้งคู่มุ่งหน้าสู่มอนติคาร์โล ประเทศโมนาโค รัฐอิสระเล็กๆอันดับสองของโลก ตลอดทางเป็นทางขึ้นเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวมีบ้านเรือนแซมดูน่ามอง ในบางช่วงยังสามารถมองเห็นชายฝั่งทะเลได้จากมุมสูง ทะเลสีฟ้าสะท้อนแสงแดดระยิบจนแสบตาหากแต่น่ามอง เรือยอร์ชกางใบเต็มที่อยู่กลางทะเล มองจากจุดที่เธอเห็นแล้วเหลือเพียงลำเล็กๆเท่านั้น

คยูฮยอนเล่าให้เธอฟังบนรถ มอนติคาร์โลเป็นเมืองหลวงของโมนาโค เป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงปรี๊ดอย่างน่าตกใจ เพราะเป็นเมืองศูนย์รวมความหรูหรา เมืองท่องเที่ยว และแหล่งคาสิโน เขาเหล่าอีกว่าเครื่องบินส่วนตัวที่จอดอยู่ในสนามนีซที่เธอเห็นส่วนใหญ่เป็นของคนที่มอนติคาร์โลแทบทั้งนั้น เพราะโมนาโคไม่มีสนามบินเป็นของตัวเอง ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนมีเครื่องบินส่วนตัวหรือ Private Jet นั้นก็คือจอดไว้ที่สนามบินนีซแล้วขับรถหรือนั่งเรือยอร์ชต่อไปยังโมนาโค

“มีเครื่องบินส่วนตัวแล้วลำบากได้ขนาดนี้ ฉันว่านั่งเครื่องโบอิ้งธรรมดาก็ได้” ซอฮยอนพูดอย่างขันๆ

ยิ่งใกล้เขตแดนของโมนาโคมากเท่าไรหญิงสาวก็ยิ่งรับรู้ได้ รถสปอร์ตคันหรูที่แล่นผ่านเธอไปเป็นระยะ สามารถพบเห็นได้มากขึ้นเมื่อเข้าสู่มอนติคาร์โลทำเอารถมินิคูเปอร์แทบจะกลายเป็นรถของเล่นไปเลย คยูฮยอนหาที่จอดรถใต้ดินแล้วจึงนำเธอเดินออกมายังหน้าลานกว้างที่สามารถมองเห็นวิวโดยรอบ คยูฮยอนบอกว่าที่นี่คือคาสิโนสแควร์ สถาปัตยกรรมหรูที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าหาใช่พระราชวังไม่ หากคือโรงแรมหรูใจกลางเมืองมอนติคาร์โลต่างหาก ตัวตึกตรงหน้าโอ่อ่าและหรูหราตัดกับสีของดอกไม้ที่ประดับประดาอยู่ริมทางเดินโดยรอบ ทิวลิปสีสันจัดจ้านชูช่อสวยงาม คยูฮยอนพาเธอเดินไปที่ใจกลางเมือง วงเวียนหน้าโรงแรมนั้นมีรถหรูราคาหลายล้านจอดอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส บ้างก็แวะเวียนไปถ่ายรูปร่วมกับรถราคาแพงที่หน้าโรงแรม เดินไปเพียงหน่อยก็พบกับคาสิโนขนาดใหญ่…สมชื่อคาสิโนสแควร์

ชายหนุ่มพาเธอเดินชมมอนติคาร์โลโดยรอบ ตั้งแต่จากแนวริมทะเล Port Hercule ไปยังอุโมงค์ยาวที่เขาบอกเธอว่าเป็นอุโมงค์แข่งรถ Formular 1 Grandprix หรือที่เรียกสั้นๆว่า F1 คยูฮยอนเล่าให้เธอฟังว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมาดูแข่ง F1 แต่อาศัยดูจากอพาร์ทเมนของเพื่อนด้วยคิดว่าดีกว่าไปเสียเงินค่าบัตรราคาแพง แต่ที่ไหนได้เขากลับไม่ได้เห็นอะไรเลย แถมยังต้องติดอยู่ในเมืองที่คนเยอะยิ่งกว่าหนอนเสียอีก หญิงสาวฟังได้แต่หัวเราะขัน

จากนั้นเขาจึงพาเธอไปยังท่าเรือยอร์ชซึ่งมีเรือยอร์ชจอดอยู่เรียงราย ริมท่าเรือมีร้านอาหารเล็กๆชื่อว่า Pattaya คยูฮยอนตัดสินใจเดินเข้าไป เขาเลือกกินแบบง่ายๆสบายๆดีกว่าไปสำรวมอาการตามร้านหรูในโรงแรมที่พร้อมจะฉีกกระเป๋าได้ทุกเมื่อ ซึ่งซอฮยอนเองก็เห็นด้วย อาหารที่ Pattaya เป็นเมนูง่ายๆแต่รสชาดดีทีเดียว เธอคิดไว้แล้วว่าอย่างคยูฮยอนต้องเลือกไม่ผิด

เมื่อเพิ่มพลังเรียบร้อยกันทั้งคู่ คยูฮยอนจึงพาเธอเดินทางไปยัง “วิหารโมนาโค” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมนีโอโรมาเนสก์ (Neo Romanesque) ภายในเป็นที่ฝังพระศพของเจ้าหญิงเกรซและเจ้าชายเรนิเยร์แห่งโมนาโค วังหลวงที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันสามารถเห็นได้จากรอบเมือง ซอฮยอนซึมซับบรรยากาศของมอนติคาร์โล เมืองชายทะเลเมดิเตอร์เนียนที่แสนสวย สวรรค์ของนักท่องเที่ยวไว้อย่างเต็มที่ก่อนกลับมาแวะซื้อโปสการ์สองใบเพื่อส่งหาคนไกล

…ใบนึงของพ่อ อีกใบสำหรับอดีตว่าที่เจ้าบ่าว เพื่อบอกให้ทั้งคู่รู้ว่าเธอสบายดี

 

 

“พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดีคะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยถามขึ้นระหว่างทางกลับมายังที่พัก

“พรุ่งนี้ไม่มีที่ไหนให้ไปหรอกซอฮยอน แทบทุกที่ในฝรั่งเศสปิดวันอาทิตย์หรืออย่างมากก็เปิดครึ่งวัน ส่วนใหญ่มีร้านอาหารเท่านั้นแหละที่เปิด” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

“จริงอ่ะ”

“จริงสิ”

“แล้วเค้าทำอะไรกันเหรอ” เธอถามอย่างสงสัยในวัฒนธรรมอันแตกต่างของชาวฝรั่งเศส

“ก็อยู่บ้าน พักผ่อน ไปเยี่ยมครอบครัว พ่อแม่เพื่อน … อะไรอย่างนั้นน่ะ” คยูฮยอนอธิบาย เขารู้ว่าคนที่มาเยือนส่วนใหญ่มักจะมีคำถามเช่นนี้ ตัวเขาเองตอนมาแรกๆก็ใช้เวลาอย่างมากในการปรับตัวเช่นเดียวกัน ที่นี่ไม่มีร้านค้า 24 ชั่วโมงอย่างเกาหลี ทั้งยังปิดทำการวันอาทิตย์ หากเปิดก็อาจจะเปิดแค่เพียงครึ่งวัน ทำเอาเขาเองก็อึดอัดไม่น้อยกับชีวิตที่ต้องวางแผนล่วงหน้า อย่างน้อยเขาต้องวางแผนการกินสำหรับวันอาทิตย์ไว้บ้าง ไม่งั้น…ลำบากแท้

“ปารีสก็ด้วยเหรอ” ซอฮยอนยังคงตั้งคำถามอย่างสงสัย

“ปารีสก็ด้วย”

“น่าเสียดายเนอะ ถ้าร้านค้าพวกนี้เปิดทำการทุกวันคงทำรายได้มากขึ้นยิ่งเยอะเลยทีเดียว”

ฝรั่งเศสในวันอาทิตย์เงียบอย่างที่คยูฮยอนว่าไว้จริงๆ ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าเขาคงจะพักผ่อน แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขามาหาเธอตอนบ่ายๆเพื่อพาเธอไปขับรถชมเมืองที่แสนจะเงียบเชียบก่อนจะไปทานอาหารค่ำในย่ายแอนทีบส์ และก็เป็นอีกครั้งที่คยูฮยอนเลือกร้านอาหารที่แสนวิเศษ หญิงสาวมองคนตรงหน้าเขารู้จักร้านอาหารดีๆ ดูแลผู้หญิงก็ดี ใครได้เป็นแฟนเขาคงโชคดีไม่น้อย

 

 

 

NOTE

* ตอนที่สามมาพร้อมปลาและแพนนาคอตต้า แผล็บๆ .. ในรูปเป็นแค่ส่วนเกลือที่พอก ส่วนตัวปลาไปอยู่ในจาสวยงาม ส่วนแพนนาคอตต้า อื้มมมมม

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– 2 – 

 

 

หญิงสาวเปิดสมุดท่องเที่ยวเล่มเล็กที่เพิ่งซื้อมาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลสวยกวาดไปตามหน้าหนังสือทีละบรรทัด ซอฮยอนต้องการศึกษาเมืองที่เธอเลือกขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจเพียงเพราะบิดากำลังเปิดหนังสือภาพการ์ตูนเล่มโปรดเป็นหน้านั้นอยู่ นึกอยากจะเขกหัวตัวเองเบาๆที่ไม่ยอมยักพูดชื่อเมืองอื่นที่คุ้นกว่านี้ อย่างโตเกียวหรือไทเปจะได้เดินทางใกล้หน่อย หรืออย่างน้อยหลุดเป็นชื่อเมืองหลวงของฝรั่งเศสอย่างปารีสก็ได้ … เมืองตากอากาศงั้นหรือ ใครจะอยากไปทะเลหน้าหนาวกันเล่า ยัยซอฮยอนแสนเพี้ยน!

หญิงสาวใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงในการเดินทางเพื่อศึกษาเมืองนีซ เมืองชายทะเลยุโรปที่หน้าหนาวอากาศหนาวน้อยกว่่าโซล หากในโซลหน้าหนาวหิมะตกหนาทุกปี คงดีเหมือนกัน .. อากาศหนาวน้อยคงเหงาน้อยหน่อย

ซอฮยอนย้อนนึกไปถึงเมื่อบิดามาส่งเธอที่สนามบิน เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงบิดาสามารถหาตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักเพื่อให้เธอเดินทางไปยังฝรั่งเศสในเช้าวันรุ่งขึ้นตามสวามต้องการของเธอ อย่างกับเนรมิตได้อย่างนั้น “เที่ยวให้สนุก พักผ่อนให้สบายใจแล้วค่อยกลับมาก็ได้ลูก อย่าได้ห่วงทางนี้เลยพ่อจะจัดการเอง”

หญิงสาวโอบกอดบิดาพร้อมกับสั่งลา “ลูกรักอัปป้านะคะ แล้วลูกจะโทรมาบ่อยๆ” หญิงสาวหันหลังกลับเพื่อจะออกเดินทางแต่กลับหันมาหาบิดาอีกครั้ง “ถ้าอัปป้าได้คุยกับยงฮวาอัปป้าหรือมินจอง ฝากบอกด้วยนะคะว่าลูกไม่ได้โกรธ .. อัปป้าอย่าลืมไปเอาคอทต้อนกลับมาบ้านนะคะ ลูกลืมไว้ที่คอนโดของยงฮวาอปป้า” หญิงสาวสั่งลาถึงบุคคลผู้เป็นสาเหตุของการจากไปและรถมินิคูเปอร์สีขาวแสนรักที่ลืมทิ้งไว้เพราะเหตุการณ์นั้น ซอฮยอนกระชับอ้อมกอดบิดาแน่นพร้อมบอกลา ครั้งนี้เธอไม่หันหลังกลับอีกแล้ว

 

กว่าสิบชั่วโมงกับการเดินทางข้ามทวีป หญิงสาวใช้เวลาไปกับการเปิดหนังสือเดินทางได้เพียงไม่กี่หน้าเท่านั้นเธอก็หลับด้วยความอ่อนเพลียจากความเครียดเมื่อวาน ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะได้อยู่ในยุโรป แต่เธอยังไม่ได้อ่านข้อมูลท่องเที่ยวเมืองนีซเลย!

….ตายละหวา

ซอฮยอนทานอาหารเช้าบนเครื่องบินเสร็จสิ้นก่อนจะเปิดหนังสือท่องเที่ยวไปมาอีกครั้ง เธอดูภาพสถานที่ท่องเที่ยวของนีซ ชายทะเล แกลอรี่ชื่อดัง เมืองเก่า (Old Town) ที่สร้างจากอิฐที่ทาสีสีโทนร้อนแบบโบราณแต่ด้านหน้ากลับมีรถไฟฟ้าทันสมัยของเมืองแล่นผ่าน ตลาดดอกไม้สีสันสวยงาม … หรือจริงๆแล้วเธออาจจะเลือกถูกก็ได้ที่มาที่นี่

สุดท้ายซอฮยอนก็ทำได้เพียงแค่เปิดหน้าหนังสือท่องเที่ยวแบบคร่าวๆว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอะไรบ้างในเมือง เธอตัดสินใจไม่เช่ารถตามประสาคนที่ชอบการเดินทางโดยใช้รถสาธารณะเพราะเธออ่านพบในหนังสือว่ามีรถแท็กซี่ตามจุดเรียกรถและมีจักรยานให้เช่า ณ เวลานี้ที่ซอฮยอนไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในใจมากนัก แถมที่พักยังอยู่ในย่านเมืองเก่าของนีซอีกด้วย เธอคิดแล้วว่าคงไม่ลำบากนักที่จะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในย่านนั้น

…ไว้เกิดอยากไปที่อื่นค่อยขยับขยายอีกทีก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นฉันอาจจะอยากกลับเกาหลีแล้วก็ได้ใครจะรู้

หญิงสาวเดินลากกระเป๋าเดินทางที่จับของใช้ส่วนตัวใส่ลงไปอย่างเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแค่เดินมาหน้าสนามบินเธอก็พบกับรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า เธอเดาเอาว่าคงเป็นแท็กซี่ ซอฮยอนเดินเข้าไปถามก่อนจะได้รับคำยืนยันว่าเป็นแท็กซี่จริง เธอจึงบอกสถานที่ปลายทาง “Villa la Tour, please”

ดวงตากลมโตมองออกไปนอกหน้าต่าง วิวทิวทัศน์ที่ริมทางหลวงสาย A8 ที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ บ้านหลังน้อยๆบนเขาที่ทาด้วยสีโทนร้อนดูอบอุ่น มองภาพตรงหน้าที่แตกต่างกับบ้านเกิดอย่างเพลิดเพลิน จนเมื่อรถเลี้ยวเข้ามายังตัวเมืองที่ตึกรามเริ่มหนาแน่นมากขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเอกลักษณ์เป็นตึกสูงไม่เกินสี่ชั้น ทาสีเหลืองอบอุ่น บ้างสลับด้วยแดงหรือส้ม หน้าต่างยาวทาสีสันต่างๆ ริมระเบียงแทบทุกบ้านตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้ใบเล็กๆแลดูน่ารัก เพียงไม่นานที่เข้าเขตเมืองหญิงสาวก็เดินทางมาถึงโรงแรมที่พัก Villa la Tour เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่ตัวอาคารสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยในสมัยนั้นเป็นคอนแวนต์มาก่อนที่จะถูกดัดแปลงเป็นสถานที่สำคัญและเป็นโรงแรมอย่างในปัจจุบัน ขาเรียวยาวก้าวเร็วๆเพื่อไปติดต่อพนักงานต้อนรับให้นำเธอไปยังห้องพัก

พนักงานต้อนรับสตรีกล่าวแนะนำเธอเป็นภาษาอังกฤษว่าโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้างและตั้งอยู่ที่ไหนในขณะที่เดินนำเธอไปยังที่พัก เพียงแค่ผู้นำทางเปิดประตูห้องเท่านั้น ดวงตากลมโตก็เป็นประกายใสขึ้นมาทันที เก้าอี้ยาวสีน้ำตาลน่านอนตั้งอยู่กลางห้องรับแขกถูกปูด้วยผ้าคาดสีขาว ผ้าม่านสีขาวปลิวไสวด้วยแรงลมจากหน้าต่าง ริมขอบหน้าต่างวางประดับด้วยแจกันดอกไม้และเครื่องกระเบื้องทำให้ห้องดูกรุ่นไปด้วยความเป็นบ้านมากกว่าโรงแรม

เมื่อหญิงสาวพาตัวเองมายังห้องพักเตียงคิงส์ไซส์สีขาวพร้อมด้วยหมอนขนาดเล็กใหญ่หลายใบวางอยู่บนเตียงเชิญชวนให้เธอลงไปนอน ผ้าม่านข่าวเปิดรับแสงแดดจากภายนอกรำไร อากาศเย็นจากภายนอกทำให้เธออยากจะซุกตัวลงในผ้าห่มอุ่นมากกว่าอะไรทั้งปวง

…ขอบคุณค่ะอัปป้าที่เลือกโรงแรมที่แสนน่ารักนี่ให้ลูก

ซอฮยอนลากกระเป๋าวางไว้ในห้องนอนแล้วจึงทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่มนั้น เธอเอื้อมหยิบหนังสือในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่านเพื่อทำความรู้จักกับเมืองที่เธอกำลังจะใช้ชีวิตอยู่จนกว่าเธอจะหายจากอาการเจ็บปวดเมื่อคิดถึงบุคคลสองคน

“Nice อ่านเป็นภาษาอังกฤษว่านีซ เป็นเมืองใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสที่อยู่ในเฟรนช์ ริเวียร่า (French Riviera) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ด้วยสามารถตอบสนองความต้องการสำหรับทุกเพศทุกวัย สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์เมืองนีซคือ โพรมองนาด เดส์ อองเกลส์ ทางเดินเท้าอันคึกคักที่ขนาบไปกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองเมื่อเดิน ความงามของอ่าวเบย์ ออฟ แองเจิล ชายหาดหินกรวด และท้องน้ำสีฟ้าครามเป็นที่มาของชื่อโกต ดาซูร์ (Cote d’Azur) ถนนแคบๆ หลังคากระเบื้องสีแดง โบสถ์ ตลาดกลางแจ้ง ร้านอาหารกลางแจ้ง สวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์มากมาย”

ซอฮยอนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เธอวางมันลงบนก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ผมเย็นเยียบพัดเข้ามาให้ห้องทันทีที่มือบางเลื่อนบานกระจกออก มืออีกข้างจับผ้าม่านสีขาวที่ปลิวไหวเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองตรงหน้าจากด้านบน อาคารสีเหลืองหลังคาแดง ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวหันหลังขวับคว้าเอากระเป๋าใบโปรดจับหนังสือท่องเที่ยวเล่มเล็กบนเตียงใส่ลงไปแล้วสำรวจความเรียบร้อยก่อนออกไปจากห้อง

…เมืองสวยขนาดนี้ อุดอู้อยู่ในห้องก็บ้าแล้ว

เพียงไม่กี่นาทีซอฮยอนก็พาตัวเองมายืนอยู่ที่ตลาดดอกไม้ ตลอดทางเดินเต็มไปด้วยร้านอาหารกลางแจ้ง ร้านกาแฟและไอศครีม หญิงสาวมองดูพลางนึกในใจว่ารอให้เธอเดินดูของในตลาดดอกไม้เสร็จก่อนแล้วเธอจะมานั่งจิบกาแฟหรืออาจจะทดลองไอศครีมท่ามกลางอากาศหนาวนี่บ้าง ยังไงเธอก็ยังมีเวลาอีกมากที่นี่

สองข้างทางของตลาดดอกไม้เต็มไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวสีสันสวยงาม เครื่องหอม เครื่องเทศ หากเดินไปจนสุดทางจะพบผลไม้เมืองหนาวลูกโตแลดูน่าทาน ซอฮยอนเดินผ่านร้านริมทางที่มีจิตกรวาดภาพทิวทัศน์ของเมืองนีซขนาดย่อมเหมาะกับเป็นของที่ระลึก สุดท้ายเธอก็ได้ภาพสวยๆติดมือกลับบ้านไปสามสี่ใบ ร่างสูงบางเดินเข้าออกร้านค้ารอบๆตลาดดอกไม้และย่านเมืองเก่าร้านแล้วร้านเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ ซอฮยอนหยุดดูจิตกรริมถนนที่ใช้สีและไฟในการสร้างสรรค์ภาพออกมาได้สวยอย่างน่าอัศจรรย์

เธอเพลิดเพลินกับบรรยากาศจนลืมเวลา จนเมื่ออากาศเริ่มเย็นลงจนฟ้าเริ่มค่ำหญิงสาวถึงได้รู้ตัวว่าเธอใช้เวลาอยู่กับตลาดดอกไม้และร้านค้าไปนานหลายชั่วโมง เธอตัดสินใจเลือกนั่งในร้านอาหารกลางแจ้งเล็กๆ หญิงสาวจัดการสลัดนีซัว ปลาดอรี่ และครีมบลูเร่อย่างไม่เหลือคราบ อาหารที่นี่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดเธอที่รักอาหารเกาหลียิ่งชีพยังติดใจในรสชาดราวกับขึ้นสวรรค์ทั้งที่เป็นร้านข้างทางเล็กๆแท้ๆ

…อร่อยขนาดนี้ซอ จูฮยอนไม่เสียดายเลยซักยูโรที่จะต้องจ่าย

มือบางทำสัญญาณกับพนักงานบริการเพื่อให้เก็บเงินแล้วจึงเอื้อมหยิบกระเป๋าถือใบโปรดขึ้นเพื่อหากระเป่าสตางค์ แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ! หัวใจของซอฮยอนตอนนี้ชาวาบ มือเย็นเฉียบยิ่งกว่าอากาศภายนอก กระเป๋าเงินของเหธอหายไป

…จูฮยอนเอ้ย จะเสียดายซักยูโรได้ยังไงในเมื่อเธอไม่มีซักยูโรจ่ายเขา

สมองเล็กๆประมวลผลอย่างหนัก โชคดีที่เธอเป็นคนรอบคอบแม้จะขาดความระวังตัว เธอมักจะเก็บเงินไว้หลายๆที่เพราะกลัวว่าจะถูกล้วงกระเป๋า ซอฮยอนล้วงหยิบเงินจากกระเป๋าซ้ายขวาตามที่ที่เก็บเงิบไว้ เอามานับรวมกันแล้วก็ยังไม่พอกับค่าอาหารมื้อนี้ที่ราคาเกือบ 30 ยูโร

“ตายแล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้” หญิงสาวพูดกับตัวเองเป็นภาษาเกาหลี ดังพอที่คนใกล้ๆจะได้ยิน ซอฮยอนมองพนักงานที่ยืนรอรับค่าอาหารจากเธอด้วยสายตาประเมิน เธอจะอธิบายกับเข้าว่าอย่างไรดี หวังว่าเขาคงจะไม่เตะเธอออกจากร้านหรอกนะ

เพียงชั่วอึดใจที่เธอกำลังจะอ้าปากอธิบาย ชายหนุ่มรูปพรรณสันฐานแบบชาวเอเชียที่หาได้ยากในเมืองก็มายืนอยู่ที่โต๊ะเธอพร้อมกับคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานเสิร์ฟชายเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อนที่พนักงานเสิร์ฟจะรับบัตรเครดิตของเขาไป ซอฮยอนคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจ แม้ไม่เข้าใจที่เขาคุยกันแต่ก็พอรู้ว่าพ่อหนุ่มเอเชียคนนี้ช่วยเธอ

“มาเที่ยวที่นี่ต้องระวังพวก Pick Pocket บ้างนะคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไรพนักงานเสิร์ฟชายก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมบัตรเครดิตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพียงชายหนุ่มจรดปากกาพร้อมลงลายมือชื่อเท่านั้นทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็บอกลาพนักงานคนนั้นแล้วจึงเดินออกจากร้านไปโดยไม่ใส่ใจหญิงสาวที่นั่งอึ้งอยู่

“นี่คุณ! คุณ!!” ขาเรียวก้าวยาวๆตามชายหนุ่มตรงหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต แขวเรียวยาวคว้าชายหนุ่มได้ในที่สุด ซอฮยอนหยุดหอบแฮ่กแต่มือยังไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

“ขะขอบ….”

ไม่ทันที่ซอฮยอนจะได้กล่าวจบประโยคชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแทบจะทันที “ผมไม่ได้ต้องการอะไร แค่เห็นคนลำบากก็เลยช่วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว” เขาดึงแขนออกจากมือเรียวบางที่เกาะแน่นอย่างกับตุ๊กแก

“เดี๋ยวก่อนสิคะ .. คุณควรจะรับคำขอบคุณจากฉัน” หญิงสาวยังคงไวคว้ามือเขาไว้ได้ทันอีกครั้ง “และก็ควรจะช่วยฉันอีกซักหน่อย…ในฐานะที่เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน”

ดวงตากลมโตพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า เขาสูงกว่าเธอไม่ต่ำกว่าสิบเซนติเมตรทั้งๆที่เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงเอเชียที่อยู่ในเกณฑ์สูง ชายหนุ่มคงสูงไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตรเป็นแน่ ผิวขาวๆของเขาขาวเกือบเท่าเธอ ดวงตาคมปราบฉายประกายกล้า คิ้วหนารับกับดวงตาคู่นั้น จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากหนากลายเป็นสีชมพูด้วยความหนาว ชายหนุ่มตรงหน้าหล่ออย่างกับเทพบุตรดีๆนี่เอง

ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางไม่พึงใจนัก “ก็ผมเพิ่งช่วยคุณไปเองไม่ใช่หรือไง จะให้ช่วยอะไรอีก” ก็สวยอยู่หรอก แต่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากความ เขาชอบชีวิตเรียบง่ายสบายๆอย่างที่เป็นอยู่มากกว่า เขาสังหรณ์ใจลึกๆว่าถ้าเข้าไปยุ่งกับเธอมากกว่านี้ชีวิตเขาคงจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

“เงินฉันทั้งหมดที่แลกมาจากเกาหลีเหลืออยู่แค่ 20 ยูโรเท่านั้นเอง แค่อาหารมื้อหน้าก็คงหมดแล้ว บัตรเครดิตของฉันก็อยู่ในกระเป๋าเงินนั่นทั้งหมด ฉันคงต้องอดตายถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณ”

ชายหนุ่มสบตาเธอนิ่ง บอกไม่ถูกว่ามีความหมายใดในแววตานั้น แต่เธอรู้ว่าเขากำลังชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรกับเธอดี เก็บเธอไว้และให้ความช่วยเหลือหรือตัดหางปล่อยวัดเพื่อนร่วมสัญชาติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดกับเธอ “ผมไม่ได้มีเงินมากหรอกนะคุณ ถ้าแค่ให้เลี้ยงข้าวมื้อสองมื้อน่ะพอไหว แต่ถ้าให้เงินคุณยืมค่าอาหารที่พักและค่าท่องเที่ยวผมคงกินแกลบไปถึงสิ้นเดือน … แล้วผมก็ไม่ได้เป็นพ่อพระขนาดนั้นซะด้วย”

“ฉันขอยืมเงินสดคุณให้พอใช้สำหรับอาทิตย์นี้ก่อนได้ไหมคะ ฉันจะโทรไปบอกอัปป้าให้โอนเงินและส่งบัตรเครดิตใบใหม่มาให้ให้เร็วที่สุด” หญิงสาวจับมือเขาเพื่อยืนยันความจริงใจ “นะคะ ฉันไม่ผิดสัญญากับคุณแน่ๆ .. นะคะ”

“ให้คุณมั่นใจฉันจะพาคุณไปที่โรงแรมที่ฉันพักอยู่ เราจะทำสัญญากู้ยืมก็ได้แล้วให้พนักงานที่โรงแรมเป็นพยาน ฉันไม่ขัดข้อง” หญิงสาวบอกกับเขา มือเล็กเย็บเยียบจับมือหนาวของเข้าไว้พร้อมกับเขย่าอย่างร้อนใจด้วยต้องการคำตอบ น้ำใสๆเอ่ออยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เธอไม่อยากจะคิดว่าจะอยู่อย่างไรหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ครั้งแรก…วันแรก..ที่พลัดถิ่นมาไกลขนาดนี้ กลับเจอปัญหา ซอฮยอนไม่เสียดายเงินร่วมพันยูโรที่หายไปซักนิด แต่เธอกลัวที่ต้องเผชิญปัญหาในโลกใบใหม่ที่ไม่รู้จักตั้งแต่วันแรกต่างหาก สถานีตำรวจอยู่ไหนเธอยังไม่รู้เลย ถึงคนที่นี่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้แต่ก็ไม่ดีนัก แถมภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสมาเจอกับภาษาอังกฤษสำเนียงเกาหลีอย่างเธอ สั่งน้ำเปล่าไม่ได้โซดาก็ดีเท่าไรแล้ว

“ได้ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น” เขาตอบนิ่งๆ อีกฝั่งลิงโลดด้วยความดีใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน .. คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย เอาซี้!

“ขอบคุณมากๆนะคะ ขอบคุณ”

สองคนเดินเคียงคู่กันท่ามกลางอากาศหนาว เธอได้รู้ว่าฮีโร่รูปงามของเธอชื่อว่าคยูฮยอน .. โจว คยูฮยอน .. ชายหนุ่มมาศึกษาต่อที่ยุโรปตั้งแต่มัธยมปลาย เขาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็มีบริษัทเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ชั้นนำที่นี่เรียกตัวเข้าไปทำงาน บิดาและมารดาของคยูฮยอนเสียเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาดังนั้นความคิดที่จะทำงานเก็บเงินเพื่อกลับไปทดแทนบุญคุณให้ผู้มีพระคุณจึงต้องพับเก็บไป เขาไม่มีญาติที่ไหนอีกจึงลงหลักปักฐานอยู่ที่นีซแทน

“คุณไม่ได้เช่ารถจริงๆน่ะเหรอ” ลายหนุ่มถามเธออย่างประหลาดใจ จริงอยู่ในเมืองมีรถสาธารณะอย่างรถเมล์และรถไฟแต่ก็ไม่สะดวกเท่าไรสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะไม่คุ้นเคยกับทางเดินรถ ส่วนแท็กซี่นั้นมีเฉพาะตามจุดเรียกรถเช่นโรงแรมใหญ่ๆหรือสนามบินเท่านั้น ส่วนค่าโดยสารรถนั้นไม่ต้องพูดถึง แพงลากไส้เลยทีเดียว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมเช่ารถเพราะสะดวกกว่า และพวกเขายังสามารถเดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงอย่างอิตาลีหรือมอนติคาร์โลได้อย่างสะดวกภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

“ค่ะ ทำไมเหรอคะ” ซอฮยอนเอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็คุณเห็นแท็กซี่ซักคันหรือยังล่ะตั้งแต่คุณเดินมาทั้งเย็นเนี่ย”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างราวกับนึกได้ จริงของคยูฮยอน ไม่มีแท็กซี่ซักคัน แถมแท็กซี่ที่เธอนั่งมาจากสนามบินนีซก็ปาเข้าไปตั้ง 70 ยูโร เงินในกระเป๋าตอนนี้มีแค่ 20 กว่ายูโรเท่านั้น คงทานอาหารได้เพียงมื้อเล็กๆซักหนึ่งวันหากโชคดี แค่คิดซอฮยอนก็ลมแทบจับ เธอมองหน้าเขา พูดอะไรไม่ออกได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น ท่าทางของซอฮยอนตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาหลงทางเลยแม้แต่นิดเดียว

“เอาเป็นว่าผมจะให้คุณยืมเงิน 500 ยูโร ไม่ต้องเซ็นต์สัญญาอะไรอย่างที่คุณว่าหรอก ไหนๆเราก็กำลังจะไปที่พักของคุณแล้วนี่” เขามองหน้าอ่อนใสนั่นอีกครั้งอย่างชั่งใจก่อนจะเสนอ “ผมว่างหลังเลิกงาน เอาเป็นว่าจะแวะมาดูคุณหลังเลิกงานทุกวันแล้วกันนะคุณ จะได้มั่นใจว่าคุณไม่หนีหนี้ด้วยไง”

อีกครั้งที่ซอฮยอนแทบจะคว้าตัวคนตรงหน้ามากอดด้วยความยินดี เธอเอ่ยคำขอบคุณพร้อมกับโค้ง 90 องศาให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนคยูฮยอนบอกว่าให้พอได้แล้วไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ให้เธอยืมเงินเธอถึงได้หยุด ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆจนถึงที่พักของซอฮยอนโดยไม่รู้ตัว

“พรุ่งนี้ผมคงมาถึงประมาณห้าโมงครึ่งนะ มาถึงแล้วผมจะโทรมาหาแล้วกัน” คยูฮยอนเอ่ยก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่คุณไม่มีโทรศัพท์นี่”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงไปไหนได้แค่ใกล้ๆเท่านั้น คุณอย่าลืมสิ” หญิงสาวตอบพร้อมกับชูกระเป๋าหลุยส์วิตตองโฮโบใบหรูที่ไร้กระเป๋าเงินอยู่ภายในขึ้นในเขาดูเพื่อเตือนความจำ “ถ้ามาถึงคุณโทรมาแล้วกันนะคะ หรือขึ้นไปตามก็ได้ ฉันพักอยู่ห้อง 301”

คยูฮยอนหัวเราะให้กับท่าทางการประชดประชันตัวเองของเธอ หญิงสาวทำเรื่องเครียดให้เป็นเรื่องตลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาคมยิ้มตามท่าอันน่ารักของเธอพร้อมกับเอ่ยลา

ซอฮยอนโทรกลับหาบิดาพร้อมเล่าเหตุการณ์ในวันแรกที่นีซในฟัง หากไม่จำเป็นเธอคงไม่เล่าด้วยไม่อยากให้บิดาเป็นห่วงมากไปกว่านี้ แต่เพราะว่าเธอมีความจำเป็นต้องระงับบัตรเครดิตกับบัตร ATM และออกบัตรใหม่จากที่เกาหลีซึ่งบิดาจะต้องส่งมาให้

หญิงสาวจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายตัว นึกถึงเรื่องราวในวันนี้คงอยู่ในความทรงจำเธอไปอีกนาน เพราะเป็นครั้งแรกที่คุณหนูตัวน้อยที่บิดาเฝ้าประคบประหงมและที่รักของเพื่อนอย่างซอฮยอนต้องประสบปัญหา หากว่าอยู่เกาหลีหญิงสาวคงสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ง่ายยิ่งกว่ากระดิกนิ้ว แต่อยู่ในต่างแดนอย่างนี้ทุกอย่างช่างแตกต่าง

คยูฮยอนขับรถออกมาจากเมืองเก่าอย่างอารมณ์ดี เขาแวะเข้ามารับประทานอาหารในเมืองเพราะอยากผ่อนคลายความเครียดจากงานที่เร่งไปเสียทุกอย่าง ปัญหาก็มีเข้ามาไม่เลิกตามประสาผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งต้องพัฒนาไม่หยุดตามสภาพการแข่งขันที่สูงเสียดฟ้า ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกร้านเล็กที่เคยมาทานเป็นประจำจนสนิทกับบริกรไปจนถึงเจ้าของร้าน ถึงจะเล็กแต่อาหารร้านนี้รสดีไม่แพ้ร้านใหญ่ๆที่ไหนเลย ระหว่างที่เขากำลังเอร็ดอร่อยพลันสายตาก็หันไปเห็นหญิงสาวที่เขาเดาว่าเป็นเพื่อนร่วมสัญชาติกำลังตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้าอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็พลอยอมยิ้มไปด้วย จนเมื่อเขาจัดการมื้อค่ำเสร็จเขาก็เหลือบไปเห็นเธอทำท่าเลิ่กลั่กเหมือนกับมีปัญหาพร้อมกับบ่นเป็นภาษาเกาหลีพอที่เขาจะได้ยิน “ตายแล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้” เกินกว่าจะทนไหวชายหนุ่มเลยยื่นมือเข้าไปช่วยและจับพลัดจับผลูถอนตัวไม่ได้อย่างนี้ ถึงอย่างนั้นเถอะเห็นหน้าเธอกับรอยยิ้มเขาก็ยินดีไม่น้อย

Nice Winter 
นีซ ในลมหนาว

– 1 – 

 

มือเรียวบางเอื้อมมือหยิบแปรงปัดแก้มขึ้นมาแตะบนพาเล็ตเครื่องสำอางก่อนจะไล้ลงบนแก้มเนียนใสอย่างเบามือหญิงสาวมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกอย่างพึงใจ ร่างบางตรวจเช็คความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอีกครั้งก่อนจะคว้ากระเป๋าถือใบหรูคู่ใจออกจากห้องไป วันนี้เธอมีนัดกับคู่หมั้นของเธอ ทั้งคู่ต้องไปรับชุดแต่งงานที่เตรียมไว้สำหรับงามแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในไม่ถึงสัปดาห์ ขาเรียวยาวก้าวอย่างรวดเร็วลงบันไดมาชั้นล่าง

“วันนี้ลูกสาวพ่อแต่งตัวซะสวยเชียว .. จะหนีพ่อไปเดทกับหนุ่มอีกแล้วสิ” ซอ ซึงฮยอนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์มองลูกสาวที่บรรจงแต่งตัวสวยเป็นพิเศษเหมือนทุกครั้งที่เธอมีเดทกับแฟนหนุ่มที่พ่วงฐานะเป็นว่่าที่เจ้าบ่าวด้วย ด้วยความรักที่มีต่อลูกสาวคนเดียวที่เป็นเสมือนดวงใจ ซอฮยอนเป็นเหมือนตัวแทนของมุนอาภรรยาที่เสียไปด้วยโรคประจำตัวตั้งแต่ลูกสาวยังเล็กเกินกว่าจะจำความได้ ดังนั้นเขาจึงรักและสนับสนุนในทุกสิ่งที่ซอฮยอนเลือก … ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก

“วันนี้ยงฮวาอปป้าจะมารับลูกไปรับชุดเจ้าสาวค่ะ” ร่างบอบบางเดินเข้าไปกอดแขนคุณพ่ออย่างเอาใจพร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “ชุดแต่งงานของลูกเสร็จแล้วนะคะอัปป้า” ใบหน้าหวานเงยหน้าบอกอย่างหน้ารัก ซอฮยอนรักพ่อยิ่งกว่าใดๆทั้งหมด ทุกครั้งที่เธออยู่กับบิดา หญิงสาวจะกลับกลายเป็นเด็กหญิงซอ จูฮยอนตัวน้อยเสมอไม่ว่าจะเติบใหญ่ซักเพียงไหน

“พ่อมั่นใจว่าจูฮยอนของพ่อจะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดแน่ๆเลยลูก” ชายสูงวัยโอบกระชับลูกสาวแน่นด้วยความรัก “แม่เค้าคงดีใจนะลูกที่ได้เห็นจูฮยอนเติบโตมาได้งดงามขนาดนี้” ซึงฮยอนกล่าวพลางนึกถึงภรรยา .. เสียดายที่เธอไม่ได้เห็นวันที่ลูกสาวตัวน้อยเติบโตจนจะถึงวันที่สร้างครอบครัวน้อยๆด้วยตนเอง

แขนบอบบางกอดบิดาแน่นขึ้นจนผู้เป็นพ่อต้องโวยวายเพราะหายใจไม่ออก “ก็ลูกกอดอัปป้ากับอมม่าสองคนในทีเดียวนี่คะ ถ้าอัปป้าคุยกับอมม่า ฝากบอกด้วยนะคะด้วยว่าลูกคิดถึงอมม่าเหลือเกิน อมม่าต้องอวยพรลูกด้วยนะคะ”

ซึงฮยอนหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบของลูกสาว ซอฮยอนเป็นเช่นนี้เสมอ เธอมักพูดถึงมารดาราวกับว่ามารดาไม่ได้จากไป เหมือนกับว่ามุนอาเพียงแค่ไปต่างจังหวัด .. ราวกับว่าลูกรู้ว่าเขายังคิดถึงภรรยาเสมอ ราวกับรู้ว่าเขามักจะคุยกับเธอที่อยู่บนฟากฟ้าคอยบอกเล่าความเป็นไปของลูกสาว บอกกล่าวความคิดถึงของเขาผ่านไปยังดวงดาวที่เธออยู่

มือหนากร้านตามอายุขัยโยกศรีษะลูกสาวไปมาเบาๆอย่่างแสนรักพร้อมกับเอ่ยบอก “แล้วพ่อจะบอกให้”

Rrrrrrr~

“อปป้า” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์คู่ใจมารับทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของบิดาด้วยเสียงสดใสเมื่อรู้ว่าคนที่รออยู่โทรมา

“งั้นหรือคะ” ใบหน้าสวยสลดวูบลง เสียงที่สดใสเมื่อครู่หม่นลงเล็กน้อย “ไม่เป็นไรค่ะอปป้า ฉันไปรับเองได้ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างบังคับให้เสียงสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยงฮวาผิดนัดเธออีกแล้ว เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะที่เป็นอย่างนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจงานแต่งงานนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอน้อยใจ

“สงสัยลูกจะต้องไปเองแล้วล่ะค่ะอัปป้า” เสียงหวานเอ่ยบอกบิดาทันทีที่วางโทรศัพท์

“ยงฮวาไม่ว่างหรือลูก” ซึงฮยอนถามบุตรสาว

“เห็นบอกว่ามีธุระด่วนน่ะค่ะ” ดวงตาสลดลงเพียงวูบหนึ่งก่อนที่จะกลับมาเป็นประกายสดใสอีกครั้ง ซอฮยอนเอี้ยวตัวขึ้นไปหอมแก้มบิดาฟอดใหญ่ก่อนเอ่ยอย่างร่าเริง “ลูกไปก่อนนะคะ จะได้ไม่กลับบ้านค่ำมืด อัปป้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

ซอฮยอนลุกยืนขึ้นคว้ากระเป๋าวิ่งตือไปทันทีที่บอกลาบิดา ซึงฮยอนมองลูกสาวก่อนจะคิดถึงภรรยาที่จากไป

… มุนอา ลูกเราโตเป็นสาวแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่เลย จูฮยอนจะมีครอบครัวในอีกไม่กี่วันแล้ว เธออวยพรให้ลูกได้มีครอบครัวที่ดีเหมือนเราด้วยนะ 

 

ซอฮยอนพาตัวเองเข้ามาใน Wedding Studio อย่างเคอะเขิน ไม่ว่าจะมาที่นี่กี่ครั้งเธอกลับไม่คุ้นชินซักครั้งที่ต้องมาคนเดียว ในขณะที่เหลียวมองคนอื่นที่มากันกลับมาเป็นคู่ๆดูกระหนุงหนิง แต่ของเธอมีเพียงเท่านั้นที่ว่าที่เจ้าบ่าวมาด้วยคือวันที่ลองชุดเท่านั้น นอกนั้นมีเพียงแค่เธอที่จัดการเองทั้งหมด บางครั้งซอฮยอนจะลากมินจองเพื่อนสนิทของยงฮวาที่บัดนี้สนิทกับเธอราวกับเป็นเพื่อนของตัวเองมาด้วย แต่ครั้งนี้เพราะเขาบอกจะมา เธอเลยไม่ได้นัดมินจอง .. พอโทรไป หญิงสาวก็บอกว่าเธอไม่ว่างเสียแล้ว

ร่างบางมองดูคนในกระจก เธอดูสวยสมบูรณ์แบบในชุดเจ้าสาวที่เธอและมินจองช่วยกันเลือก ยงฮวาบอกว่าไม่ขอออกความใดเพราะทุกชุดดูสวยเหมือนกันหมด หากแต่ว่าแววตาของซอฮยอนในตอนนี้หม่นเศร้า .. ยิ่งใกล้วันงานเธอยิ่งไม่มั่นใจว่ายงฮวาต้องการจะแต่งงานกับเธอจริงๆ หรือเขาเพียงต้องการแต่งเพราะว่าถึงเวลาที่ควรจะแต่งเท่านั้น

“คุณซอฮยอนคะ คุณซอฮยอนจะรับทักซิโด้ของคุณยงฮวาไปด้วยไหมคะ” พนักงานประจำร้านที่ดูแลเธอเอ่ยถามขึ้นอย่างนึกได้

“เอ๊ะ ชุดของอปป้าเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอคะ” ซอฮยอนถามอย่างสงสัย เธอจำได้ว่าชุดของยงฮวาเสร็จเรียบร้อยและไม่มีอะไรต้องแก้ไข ต่างจากชุดของเธอที่มีต้องแก้เก็บงานและรายละเอียดจนเสร็จล่ามาถึงวันนี้

“คุณยงฮวาส่งกลับมาแก้หลังจากรับไปน่ะค่ะ เธอบอกจะมารับพร้อมกับของคุณซอฮยอน” พนักงานสาวอธิบายอย่างเป็นมิตร บางครั้งคู่แต่งงานก็เป็ยอย่างนี้ วุ่นวายกับงานแต่งจนบางครั้งก็ลืมบอกกันไปบ้าง

“ได้ค่ะ งั้นฉันรับไปให้อปป้าก็ได้” หญิงสาวตอบพร้อมมอบรอยยิ้มหวานให้พนักงานร้าน ภายในสมองประมวลผลสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ เธอต้องเข้าบริษัทเพื่อเซ็นต์เอกสารด่วนบางอย่างแทนบิดา แต่นั่นน่าจะใช้เวลาเพียงไม่นาน เธอสามารถแวะไปที่คอนโดของยงฮวาเพื่อนำของไปให้เขาก่อนที่จะเข้าบริษัทได้

…ดีเหมือนกัน จะได้ไปดูด้วยว่าที่คอนโดเขาขาดเหลืออะไร จะได้ซื้อไปให้

หญิงสาวเดินถือข้าวของพะรุงพะรังจนบังตัวอันบอบบางของเธอไปหมด เสื้อทักสิโด้ของเขาหนักใช่เล่น แถมเธอยังซื้ออาหารที่เขาชอบมาให้เขาด้วย แม้รู้ว่าเขามีธุระด่วนและคงไม่ได้พบกันวันนี้ แต่เธอก็ยังอยากซื้ออยากหามาให้เพื่อที่เขาจะได้ทานอาหารดีๆใหัสมกับที่ทำงานหนักมาตลอด

มือเล็กใส่รหัสล็อคห้องอย่างทุลักทุเลก่อนจะดันประตูห้องอย่างเบามือ หญิงสาวพาดชุดทักสิโด้ที่คลุมไว้ด้วยพลาสติกไว้ที่เคาท์เตอร์ห้องครัว อีกมือวางถุงพะรุงพะรังไว้บนโต๊ะอาหาร เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากห้องนอนของชายหนุ่ม ยงฮวาบอกว่ามีธุระด่วนแล้วใครกันที่จะเข้ามาในนี้ได้ .. ขโมย?

หญิงสาวเอื้อมมือหยิบของใกล้ตัวโดยไม่ได้คิด เธอคว้ากระป๋องมันฝรั่งทอดที่เขาชอบทานมาจับอย่างถนัดมือ อย่างน้อยมีอะไรจะได้สู้เจ้าขโมยนั่นได้บ้าง เท้าเล็กๆย่องอย่างเบาไปยังต้นเสียง

เสียงคุ้นหูดังเข้ามาเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เสียงชายหญิงที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แต่บอกได้ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังสุขสม ดวงตากลมโตมองเข้าไปตามประตูที่เปิดแง้มอยู่ด้วยไม่ได้คาดหวังผู้มาเยือน ภาพที่ปรากฎตรงหน้าคือภาพสองร่างกำลังกอดก่ายกระหวัดแน่นกันจนเธอแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เธอพยายามบอกตัวเองว่าสองคนที่ตระคองกอดกันอยู่คงไม่ใช่คนที่เธอคิด แต่เสียงคร่ำครวญของทั้งคู่กลับยืนยันชัด

“อา ยงฮวา .. ฉันรักเธอ”

“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกว่าอะไร .. หืมมม มินจอง”

“อ๊า~ ทะที่รัก”

สมองของซอฮยอนแทบว่างเปล่าเมื่อได้ยิน เธอหันหลังกลับ สองเท้ายังคงก้าวอย่างเบาที่สุดแม้รู้ว่าทั้งคู่คงยุ่งอยู่กับภารกิจจนเกินกว่าจะได้ยินอะไร มือสั่นๆหยิบกระเป๋าคู่ใจแล้วจึงเดินจากมาอย่างไม่รู้ตัว

หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่หน้าคอนโดมิเนียมหรูท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บก่อนจะโก่งคออาเจียน สิ่งที่เธอเห็นคืออะไร .. เธอรู้ เธอรู้ว่าชายหญิงที่มีความสัมพันธ์กันต้องทำอย่างไร เธอไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น เพียงแต่เธอไม่คิดว่าเธอจะได้เห็นด้วยตาสองตา เธอไม่คิดว่าคนที่กำลังสัมพันธ์ลึกซึ้งจะเป็นคนที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วยเพียงแค่ไม่กี่วันกับคนที่เธอไว้ใจเสมือนเพื่อน

ซอฮยอนรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีโบกมือเรียกรถแท็กซี่ทันทีที่มองเห็น เธอพาร่างที่อ่อนแรงเข้าไปบนรถพร้อมกับบอกทางให้กับคนขับ ดวงตาสวยเหม่อมองไปนอกหน้าต่างตลอดทาง ความคิดของเธอตอนนี้สับสนไปหมด เสียใจจนเกินกว่าจะอธิบายได้เป็นคำพูด

…จะทำอย่างไรดี

 

ร่างสวยเดินเข้ามาในบ้านอย่างเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระเป๋าที่แสนเบาตอนนี้กลับหนักเกินกว่าจะถือไหว แค่ร่างกายเธอเธอยังคิดว่าหนักจนเกินจะประคองไว้อยู่ หญิงสาววางกระเป๋าถือไว้พร้อมพาร่างขึ้นบันไดไปช้าๆ ทีละก้าวละก้าว

ทุกอย่างไม่พ้นสายตาคมกริบของคนผู้เป็นพ่อ ความห่วงใยแล่นขึ้นมาจับใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขารู้ลูกสาวต้องมีเรื่องบางอย่าง เขาเลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้ แต่ซอฮยอนเก็บอารมณ์เก่งจนเขากลัว นั่นเหมือนเป็นความสามารถพิเศษของเธอ หากไม่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาคงไม่มีใครบอกได้อย่างเขา เพราะความเป็นพ่อ ในบางครั้งเขากลับอยากให้ลูกสาวทำอะไรตามใจตัวเองหรือแสดงอารมณ์ของเธอมาบ้างคงดีไม่น้อย เขากลัวว่าสุดท้ายแล้วลูกสาวจะระเบิดทุกอย่างจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

ชายสูงวัยเหลือบมองเข้าไปในกระเป๋าอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างโผล่พ้นกระเป๋าหลุยส์วิตตองโฮโบใบหรู .. กระป๋องมันฝรั่งทอดกรอบ? มันฝรั่งทอดกรอบงั้นหรือ?

…ล่องลอยขนาดมีมันฝรั่งทอดในกระเป๋าขนาดนี้ พรุ่งนี้พ่อต้องเตรียมรับมือเต็มที่ใช่ไหมลูก

ซอฮยอนทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงสวยเบาๆ ภาพและเสียงที่เธอเห็นเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในหัวอย่างกับโรงภาพยนต์เสมือนจริง เหมือนมีคนมารักกันตรงหน้าเธอ แค่คิดอาการคลื่นเหียนก็แล่นมาหาเธออีกครั้ง ความรู้สึกเปรี้ยวขมในคอหากซอฮยอนกล้ำกลืนมันลงไป หญิงสาวเอื้อมมือไปรินน้ำที่วางอยู่ยนโต๊ะหัวเตียงมาดื่มแล้ววางลงที่เดิม ดวงตาว่างเปล่าสับสน สองมือเรียงบางลูบหน้าตัวเองเบาๆ .. ไม่มีน้ำตาซักหยด มีเพียงความผิดหวังเสียใจ

…หากได้ร้องไห้ออกมามันคงดีไม่น้อย

เป็นไปดังที่ซึงฮยอนคิดไว้ เย็นวันนั้นซอฮยอนไม่ได้ลงมาทานอาหารเย็น เธอเก็บตัวเช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่เขารู้ดีซอฮยอนจะเปิดอกคุยกับเขาเมื่อเธอพบทางอออกสำหรับเธอเอง แม้ลูกจะเก็บอารมณ์แต่กับบิดาที่เลี้ยงแต่อ้อนแต่ออกเธอรู้ว่าเธอจะได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอ .. ครั้งนี้คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูกสาวไม่น้อย ลูกน้อยของเขาขับรถไปแต่กลับบ้านมาด้วยรถแท็กซี่แถมยังมีกระป๋องมันฝรั่งทอดกรอบที่เธอไม่เคยปลื้มอยู่ในกระเป๋า

ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นปลุกผู้เป็นพ่อ “อัปป้าคะ ลูกเองค่ะ” เสียงหวานของลูกสาวคนเดียวดังขึ้น หญิงสาวดันประตูออกแล้วชะโงกตัวมาตามช่องเล็กๆ “อัปป้านอนรึยังคะ ลูกมีเรื่องอยากคุยกับอัปป้า”

“ยังลูก” ชายสูงวัยพูดด้วยเสียงอบอุ่น “เข้ามาสิมา พ่อกำลังเปิดหนังสือที่ลูกชอบดูอยู่พอดี” ซึงฮยอนเรียกลูกสาวให้เข้ามานั่งด้วยกัน เขานึกครึ้มหยิบหนังสือโปรดสมัยเด็กของซอฮยอนมานั่งเปิดไปมาดูเล่นพลางคิดถึงลูกสาว ครั้งนึงพ่อแม่ลูกเคยใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ร่วมกันอย่างมีความสุข หนังสือการ์ตูนเคโรโระเที่ยวรอบโลกที่ทุกครั้งที่ซอฮยอนอ่านเธอจะจิ้มเมืองนั้นเมืองนี้อย่างสนุกสนาน

ร่างสูงบอบบางในชุดนอนเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างบิดา “อัปป้าคะ ลูกมีเรื่องอยากจะบอกอัปป้า”

“ลูกอยากยกเลิกงานแต่งงาน” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ดวงตาประเจิดจ้า ซึงฮยอนมองลูกสาวที่พูดเรื่องใหญ่ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา เขารู้ดีว่าลูกคงคิดถี่ถ้วยจึงเอ่ยออกมาเพราะเขาสังเกตได้ถึงความหนักแน่นในทั้งน้ำเสียงและแววตานั้น

“มีอะไรกันหรือลูก บอกพ่อได้ไหม” ซึงฮยอนโอบลูกสาวเข้ามาใกล้พร้อมถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“ลูกคิดว่าเราไม่ได้รักกันและลูกเองก็ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานค่ะอัปป้า” ซอฮยอนตอบตามที่เธอคิดไว้ “ลูกยังมีอะไรบกพร่องยังไม่สามารถเป็นเจ้าสาวที่ดีได้ ลูกเพิ่งรู้วันนี้เองค่ะ อัปป้าอนุญาติลูกนะคะ” เธอคงต้องมีอะไรซักอย่างที่บกพร่องแน่ๆ ยงฮวาดูแลเอาใจใส่เธอจริงแต่เขาไม่เคยแสดงออกทางความรักกับเธอฉันท์ชู้สาว แค่จูบเบาๆที่ศรีษะเพียงเท่านั้น แต่เท่าที่เธอเห็นเขารักกับมินจองลึกซึ้ง .. อย่างน้อยก็ลึกซึ้งกว่าเธอที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวของเขา

“ลูกก็รู้ว่าอัปป้าเคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ” ซึงฮยอนถอนหายใจเบาๆทว่าพูดกับลูกสาวอย่างอบอุ่นเช่นเคย ประโยชน์อะไรที่จะบังคับหากลูกไม่อยากแต่งงาน การแต่งงานเป็นเรื่องซับซ้อนมากพอๆกับความรู้สึก หากซอฮยอนมาบอกเขาเช่นนี้ลูกย่อมคิดดีแล้วตามนิสัย ซึงฮยอนเองไม่อยากขวางเรือในน้ำเชี่ยวด้วยรู้ว่าลูกสาวนั้นแสนจะดื้อรั้น รอสถานการณ์ดีกว่านี้ซักหน่อยลูกคงเล่าเรื่องราวทั้งหมดเอง

“อีกอย่างค่ะอัปป้า” ซอฮยอนเอ่ยต่ออย่างนึกได้ ซึงฮยอนก้มลงมองหน้าลูกสาวในอ้อมกอดอุ่นอย่างสงสัย “ลูกขอไปต่างประเทศซักพักนะคะแล้วลูกจะรีบกลับมา”

“หา! ว่ายังไงนะจูฮยอน” ชายสูงวัยร้องอย่างตกใจ เขาผละตัวออกจากลูกสาวสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “ลูกจะไปไหน กับใคร .. จูอฮยอนมีอะไรอยากบอกอัปป้าให้รู้มากกว่านี้ไหม”

“ลูกจะไป….” นั่นสิ เธอจะไปไหนดี เธอยังไม่ทันคิดเสียด้วย เธอเพียงแค่คิดว่าต้องไปที่ไหนซักที่ เธอต้องการเปลี่ยนบรรยากาศไป หากเธอยังคงอยู่ภาพเสมือนจริงและอาการอยากจะอาเจียนนั่นคงไม่ยอมหายไปแน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อเธอเห็นหน้าสองคนนั่น ดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นหนังสือที่อยู่ในมือของบิิดา ภาพการ์ตูนสวยที่ซีดลงเล็กน้อยตามกาลเวลาเป็นภาพของประเทศฝรั่งเศส .. นีซ (Nice) เมืองตากอากาศในแคว้นริเวียร่า (Riviera) ที่เลื่องชื่อ “นีซค่ะอัปป้า”

“ลูกจะไปได้ยังไงคนเดียวจูฮยอน ลูกไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าลูกยังไม่บอกพ่อว่าจะไปนานแค่ไหนด้วยซ้ำ” ซึงฮยอนตอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาตามใจซอฮยอนมาตลอดแต่ถึงอย่างนั้นต้องอยู่ในเหตุผล การที่ซอฮยอนจะยกเลิกงานแต่งและละทิ้งการงานแม้จะเป็นบริษัทของครอบครัว แถมยังจะไปอยู่ต่างแดนโดยไม่ให้เหตุผลคนเป็นพ่อคงยอมไม่ได้

“ยงฮวาอปป้ากับมินจอง….” เสียงหวานขาดหาย ทันทีที่พูดถึงภาพเมื่อกลางวันก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง ซอฮยอนกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “สองคนนั้นเค้ารักกันนะคะอัปป้า ลูกเพิ่งรู้วันนี้ … ลูกคงบกพร่องเอง อัปป้าอย่าโทษเค้าสองคนนะคะ แต่ได้โปรดอนุญาติให้ลูกไปพักผ่อนซักระยะเถอะค่ะ นะคะ”

เสียงลูกสาวเล่าเรื่องขาดๆหายๆ น้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาใส แขนเรียวบางเกาะเกี่ยวที่แขนแกร่งของบิดาอย่างเอาใจ “นะคะอัปป้า” ซึงฮยอนมองเลือกในอกที่นั่งกอดแขนเขาอยู่ ลูกเจอปัญหาหนักขนาดนี้เขาจะห้ามได้อย่างไรกัน ใบหน้าคร้ามพยักหน้ารับพร้อมกับเอ่ยเบาๆกับลูกสาว … ไปเถอะลูก ไปให้สบายใจแล้วค่อยกลับมา

แนะนำเมืองนีซ หนึ่งในเมืองท่องเที่ยงของฝรั่งเศสค่ะ

นีซเป็นเมืองหลวงของแคว้น Côte d’Azur (Provence-Alpes-Côte d’Azur) ถ้าข้อมูลทางวิชาการคงต้องขอคัดลอกมา .. นีซตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างเมืองมาร์แซย์ (Marseille) ของฝรั่งเศสกับเมืองเจนัวของอิตาลี มีประชากรอยู่ 347,060 คนโดยประมาณ ตามข้อมูลปี 2006 ถือเป็นเมืองการท่องเที่ยวและถือเป็นเมืองชั้นนำของรีสอร์ตแถบเฟรนช์ริเวียรา (French Riviera)

เมืองที่ครั้งหนึ่งเราเคยพลัดถิ่นไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมเดือน (จริงๆไปอยู่เมืองเล็กอย่าง Sophia Antopolis ที่ต้องขับรถประมาณนึงถึงจะได้เข้าไปในตัวเมืองนีซ)  ทำงานการเช้ายันเย็น มีเวลาเที่ยวบ้างเพราะโชคดีที่ยุโรปมืดช้ามากกกกก ทำให้ได้ไปนั่นนี่ตามอัตภาพ (เพราะไปนั่นนี่แบบไม่มีไกด์ มีเพียงแค่เพื่อนร่วมงานที่เคยอาศัยอยู่ที่นีซมาก่อนเป็นไกด์เฉพาะกิจเลยไม่ได้ไปเที่ยวแบบที่ได้ข้อมูลแน่นเอี๊ยด (ถึงได้มาจริง ตอนนี้ก็จำไม่ได้ 55) แต่กลับได้สัมผัสความเป็นนีซและฝรั่งเศสมาแทน เราเลยขอพูดถึงนีซในความคิดของเราก็แล้วกัน

นีซในความคิดเราคงเหมือนหัวหินหรือภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะฤดูร้อน เพราะเป็นเมืองชายทะเล พอเข้าพฤษภาคมปุ๊บเราก็จะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวในเมืองมากขึ้นทันตา ก่อนจะกลับไปประเทศบ้านเกิดเมื่อหมดฤดูท่องเที่ยว สำหรับหน้าหนาว นีซก็หนาว แต่ไม่เท่าพวกยุโรปตอนเหนือ สำหรับหิมะนั้นไม่ต้องพูดถึง ตกนับปีได้ทีเดียว .. ส่วนใหญ่แล้วเมืองชายทะเลอย่างนีซจะไม่มีหิมะตก มีเพียงแค่อากาศเย็นยะเยือกเท่านั้นเอง เวลาตกก็จะตกไม่มากไม่ถึงกับหนาตึ้บหรอก ดังนั้นถ้าอยากจะเล่นสกีจะต้องขับรถไปเมืองข้างๆขึ้นเขาสักหน่อยแล้วถึงจะได้เล่นหิมะ

นอกเหนือจากความเป็นเมืองท่องเที่ยวแล้ว Sophia Antopolis เองเป็นเมืองคล้ายๆกับอุตสาหกรรม ไม่แน่ใจจะบอกอย่างนั้นได้ไหม เพราะ Sophia ไม่ได้มีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอะไร แต่ที่มีคือบริษัทคอมพิวเตอร์อย่าง Amadeus และ HP ขนาดใหญ่อยู่ในเมือง เฉพาะ Amadeus ที่นีซถือว่ามีพนักงานมากถึงสี่พันคนเลยค่ะ ส่วน site เองก็ใหญ่มากจนเป็นเหมือนเมืองเล็กๆเลยทีเดียว แต่ด้วย Sophia เป็นเมืองเล็กๆเงียบๆ คนจึงมักจะมาทำงานที่นี่และไปพักที่เมืองข้างแทน เช่น เมืองเก่าหรือที่เรียกว่า Nice Old Town  กราซ (Grass) หรือแอนทีบส์ (Antibes)

คนที่นีซน่ารักแบบฝรั่งเศสค่ะ เค้าจะไม่ได้เป็นมิตรแบบที่เห็นเรายืนแปลกหน้าอยู่ในร้านอาหารก็เดินเข้ามาทักเหมือนคนอิตาลี แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายซึ่งขนาดเดินชน หยาบคาย หรือเชิดใส่อะไรอย่างนั้น ยิ่ิงถ้าเป็นตามร้านอาหารแล้ว พนักงานที่มีทักษะจะรู้ลูกล่อลูกชน สร้างความบันเทิงให้ลูกค้าอย่างเราได้ทีเดียวค่ะ สำหรับการสื่อสาร ก็อย่างที่รู้กันว่าเค้าใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก แต่ถ้าไปตามร้านอาหารส่วนใหญ่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว ถ้าเป็นตามร้านค้าอาจจะจำกัดหน่อย สำหรับเราจัดได้ว่าสื่อสารได้ในระดับที่ใช้ชีวิตได้ไม่ลำบาก

อาหารเป็นอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ถ้าทานอาหารต่างชาติได้ก็ไม่มีปัญหา สำหรับเราเท่าที่ลองมาอร่อยทุกอย่างเลย >< .. แต่อาหารที่นี่ portion ใหญ่มาก ถ้าสั่งครบคอร์สคนทานน้อยๆอาจจะจอดแค่สลัด! ที่ต้องลองนอกจากเครปหรือเครมบลูเล่ซึ่งเป็นขนมหวานอันเลื่องชื่อของฝรั่งเศส แนะนำว่าให้ลองไอศครีม ขออย่าเป็นพวก Hagen-daz นะคะ ไม่ใช่เพราะรังเกียจไอศครีมสัญชาติอเมริกัน แต่อยากให้ลองไอศครีมท้องถิ่นของฝรั่งเศส รับรองว่าอร่อยไม่แพ้กัน ถ้าทานเป็นโคนเค้าจะตักเป็นรูปดอกไม้น่าทานทีเดียว

ส่วนใครที่ชอบดื่ม Starbuck’s ขอบอกว่าหาไม่มี ในเมืองใหญ่อย่างปารีส (Paris) อาจจะมีซักร้านสองร้าน แต่ในนีซ โซเฟีย แอนทีบส์ หรือคานส์ ขอบอกว่าไม่เห็นซักร้าน เหตุผลก็คือร้านกาแฟพื้นเมืองของฝรั่งเศสเองอร่อยไม่แพ้ Starbuck’s เผลอๆอร่อยกว่าด้วย .. ถ้าไปแล้วนอกจากดื่มไวน์ลองดื่มกาแฟพื้นเมืองซักทีก็ดีนะ

เครื่องดื่มแน่นอนว่าต้องพูดถึงไวน์ ไวน์ที่นี่แค่ house wine บ้านๆก็อร่อยแล้วค่ะ ไม่ต้องถึงกับเป็นไวน์ที่ราคาขวดละหมื่นหรอก ที่สำคัญคือหลากหลายมากกกก ในเมืองกราซจะมี Champage House อยู่ที่นึงที่เจ้าของใจดีมากๆ ให้ Champage Testing ทีละเป็นขวดๆเลยทีเดียวค่ะ ที่นี่มี Rose Champage อร่อยมากๆทีเดียว (สำหรับคนที่เคยชินกับไวน์ขาวและไวน์แดง Rose คือตรงกลางระหว่างไวน์ทั้งสองประเภทเพราะมาจากการผสมไวน์ขาวกับไวน์แดงเข้าด้วยกัน) Rose Champage อร่อยมากๆค่ะ คอนเฟิร์ม!

คนฝรั่งเศสมีธรรมเนียมการกินอาหารของเค้าเอง อย่างเช่นถ้าเป็ดต้องกิน Medium ต่อให้สั่ง well-done ยังไงคุณก็จะได้ Medium .. หรือเค้าจะดื่มกาแฟหลังอาหาร ถ้าสั่งกาแฟมาเพื่อจะทานกับขนมหวาน ต่อให้บอกให้เสิร์ฟกาแฟเลย ยังไงก็จะได้กาแฟหลังอาหารอยู่ดี .. บางคนไม่ชอบ ขัดใจ แต่เราว่าเป็นความน่ารักอีกแบบนะ ขำดีเหมือนกัน 555!

ตัวเมืองบอกได้คำเดียวว่าเมืองน่ารักไปหมด  ส่วนใหญ่ตึกที่นีซจะทาสีโทนร้อน เหลืองๆแดงๆ ถ้ามองขึ้นไปตามระเบียงบ้านจะมีกระถามต้นไม้เล็กๆอยู่ตรงระเบียงแทบทั้งนั้น ดูน่ารักจริงๆค่ะ อาคารบ้านเรือนภายนอกอาจจะดูเก่าๆแต่จริงๆแล้วด้านในได้รับการดูแลอย่างดี ถ้าเดินไปตามโซนที่เป็นร้านค้า ถ้าร้านปิดคุณก็จะได้เห็นจิตกรรมฝาผนังอย่าง”กราฟฟิตี้”แทบจะทุกแบบเหล็ก แต่เค้าไม่มีบนผนังทั่วไปนะเออ

สำหรับเรานีซเป็นความทรงจำที่ดีแม้จะไปแค่ทำงาน เพราะเป็นครั้งแรกที่จากบ้านไปไกลๆนานๆ จากไปเพราะทำงานไม่ได้ไปเที่ยว ความรู้สึกแตกต่างๆกันสุดๆ แต่เมื่อเลือกที่จะไปแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำให้ ใช้เวลาที่นีซให้คุ้มค่า เราแทบจะไม่ทานมาม่าที่แม่ยัดใส่กระเป๋าไปให้ด้วยซ้ำ เพราะอยากจะทดลองทานอาหารให้มากเมนูที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าวันไหนอยู่บ้านก็จะพยายามทำอาหารไทยเองทั้งที่อยู่เมืองไทยไม่เคยแตะงานพวกนี้เลยด้วยซ้ำไป O_o!

พอเข้าหน้าหนาวแรกที่เริ่มเขียนฟิคเป็นเรื่องเป็นราวเลยคิดว่าอยากจะถ่ายทอดหน้าหนาวที่ดีๆในเมืองหนาวซักที่ เลยขอหยิบเมืองที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเราขึ้นมาเขียน ในใจอยากจะถ่ายทอดบรรยากาศของเมืองให้ได้ดีที่สุดแต่ก็ยากเหลือเกิน เอาเป็นว่าจะพยายามที่สุดเพื่อให้สมกับความพยายาม … หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะจบพร้อมกับคริสต์มาสสมใจและให้พอเหมาะกับเวลา สาทุ~

 

 

สุขสันต์วันเกิด .. มักเน่แห่งชาติ เด็กน้อยกุมา
ผู้หญิงบ้าสุขภาพ เด็กศอกแหลม
ซอ จูฮยอน

26 มิถุนายน 2012

กลางดึกที่เงียบสงัดในห้องนอนที่ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับของชายหนุ่ม ดวงตาคมมองหน้าจอเครื่องแมคบุ๊คตรงหน้าอย่างครุ่นคิด มือแกร่งเอื้อมไปหยิบแก้วไวน์ที่วางอยู่ไม่ไกลนักมาจิบเบาๆหากแต่ว่าดวงตายังคงจรดนิ่งอยู่กับหน้าจอขนาดสิบสามนิ้วที่ส่องแสงสว่างตรงหน้า เขานั่งอยู่อย่างนี้มานับหลายชั่วโมง จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรให้กับเธอในวันเกิดที่ใกล้เข้ามาทุกที การที่จะทำอะไรเพื่อให้เธอประทับใจและประหลาดใจดูจะยากขึ้นกว่่าคนปกติธรรมดาหลายเท่าตัวเนื่องจากการที่เขาและเธอเป็นไอดอลทำให้ไม่สามารถทำอะไรให้เป็นจุดสนใจได้ .. และเหตุผลอีกประการที่สำคัญมากกว่าคือผู้หญิงของเขาขึ้นชื่อเรื่องความคิดที่แปลกประหลาดและไม่เหมือนใครเป็นที่สุด

เขาตัดสินใจโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทหนึ่งในคยูไลน์เพื่อจะขอความเห็นแม้นาฬิกาจะบอกเวลาข้ามวันไปแล้วก็ตาม เจ้าพวกนี้นอนดึกอย่างกับอะไร ยิ่งไม่มีตารางทำงานแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เหตุผลที่เขาจะไม่ได้คำปรึกษาน่าจะเป็นเพราะว่าเมาหนักเกินไปมากกว่าจะเป็นหลับไปแล้ว

“เฮ้ย มีเรื่องจะปรึกษาวะ” คยูฮยอนกรอกเสียงทุ้มไปตามทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับโทรศัพท์

“ทำยังไงเธอถึงจะประทับใจวะ มันเป็นวันเกิดของเธอครั้งแรกตั้งแต่เราคบกัน .. ก็นั่นแหละ นายก็รู้ว่าเธอน่ะเหมือนใครที่ไหนกัน” เขาเอ่ยถามปลายสายพร้อมยกกับมือขึ้นยีผมอย่างคนขัดใจในคำตอบของอีกฝ่าย ชางมินตอบคำถามโลกแตกของเขาได้อย่างง่ายดายด้วยประโยคสั้นๆว่านายน่าจะรู้จักเธอดีที่สุด คำแนะนำแบบนั้นไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์การของเขาดีขึ้นเลย คยูฮยอนยังคงไม่มีความคิดดีๆว่าจะทำอะไรให้คนรักของเขา แต่อย่างน้อยชางมินก็พูดอะไรบางอย่างมาหลังจากนั้นที่ทำให้เขาคิดได้และสบายใจขึ้นกับวันสำคัญที่ใกล้เข้ามาทุกที

…สำหรับเธอแล้ว แค่มีนายอยู่ข้างๆก็น่าจะเพียงพอ นายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ

‘สำหรับเธอแล้ว แค่มีเขาอยู่ข้างๆก็เพียงพอ’อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เขาไม่รู้ เขารู้ เพียงแต่เขาต้องการให้เธอได้มากกว่านั้น อยากจะทำวันสำคัญของเธอให้น่าประทับใจและน่าจดจำมากขึ้นไปอีกต่างหาก

คยูฮยอนนั่งนึกถึงเธอคนที่เป็นเสมือนลมหายใจ คนที่เข้ามาครอบครองทุกห้วงความคิดของเขาในตอนนี้ ตอนนี้เธอคงหลับสนิทเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยๆอย่างทุกครั้ง แค่เพียงคิดถึงเธอรอยยิ้มอบอุ่นก็กลับมาฉายอยู่บนดวงหน้าคมโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มตัดสินใจว่าพอแล้วสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้เขาต้องเตรียมตัวกับวันสำคัญของเธอ เขาจัดการปิดคอมพิวเตอร์คู่ใจก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม เพียงไม่นานเขาก็หลับสนิทไปพร้อมๆกับดวงหน้าหวานใสที่คอยมาวนเวียนอยู่ในความคิด

27 มิถุนายน 2012

เสียงเพลงธรรมชาติดังขึ้นเมื่อถึงเวลาเจ็ดนาฬิกาตรง เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆขยับลืมขึ้นอย่างช้าๆก่อนที่ร่างบางจะลุกขึ้นนั่งทันทีที่รู้สึกตัว อย่างเช่นทุกวันหญิงสาวตั้งนาฬิกาปลุกทุกๆเจ็ดโมงเช้าเพื่อจะตื่นมาอ่านหนังสือ เธอเอื้อมมือไปกดปิดเสียงเตือนก่อนที่มันจะรบกวนฮโยยอนให้ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาที่ควรเป็น หญิงสาวพาร่างระหงเดินไปยังห้องนั่งเล่นโดยไม่ลืมหยิบหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้พร้อมโทรศัพท์คู่ใจไปด้วย ร่างน้อยในชุดนอนค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มมือก็ค่อยๆเปิดหนังสือออกอ่านทีละหน้าๆกี่ที่เธอจะค่อยๆก้าวเข้าไปสู่โลกของตัวหนังสือ

เสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นภายในห้องชุดขนาดใหญ่สุดหรูก่อนจะตามมาด้วยสาวๆทีละคนสองคน หญิงสาวปลุกตัวเองให้กลับมาสู่โลกของความจริงอีกครั้ง เธอมองอนนี่ที่เดินสวนกันไปมาอย่างสงสัย วันนี้ไม่มีตารางงานเพราะทุกคนตั้งใจจะอยู่รอลุ้นการเปิดขายซิงเกิลใหม่ที่กำลังจะออกสู่ตลาดญี่ปุ่น เนื่องจาก Paparazzi มีความเป็น J-Pop ชัดเจนกว่าทุกๆเพลงที่ผ่านมายิ่งทำให้น่าตื่นเต้นว่าเพลงนี้จะไปได้สูงสุดในตลาดญี่ปุ่นถึงแค่ไหน ถึงอย่างๆนั้นพี่ๆของเธอทุกคนเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้ พวกพี่สาวตื่นเช้ากว่าที่ควรจะเป็น ขนาดเจสสิก้าที่ขึ้นชื่อเรื่องการนอนยังตื่นมาตั้งแต่ยังไม่เที่ยงโดยที่ไม่ต้องมีใครปลุก ซอฮยอนไม่ได้เอ่ยถามอะไร ได้แต่มองพี่ๆด้วยความสงสัยอยู่อย่างนั้น

หน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะภายในห้องนอน สายตาทั้งเก้าคู่ต่างก็จับจ้องไปที่ภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า วิดิโอเวลาหกนาทีเศษดึงดูดพวกเธอราวกับเป็นการดูมันครั้งแรก ต่างคนก็ต่างหยอกล้อแซวกันอย่างกับว่าหญิงสาวทั้งเก้าคนในวิดิโอไม่ใช่พวกเธอ เข้าไปดูตามเว็บไซท์เพลงอย่าง iTune และตามชาร์ทเพลงญี่ปุ่น อย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา…สาวๆก็มักจะสำรวจความคิดเห็นของแฟนๆที่มีกับเพลงและบางคนก็ตอบ UFO เพื่อทักทายแฟนๆอย่างสนุกสนาน

เวลาช่วงบ่ายของซอฮยอนเริ่มต้นด้วยการพูดคุยกับพี่ๆเกี่ยวกับผลงานใหม่ของวง ความยินดีฉายชัดเต็มใบหน้าเมื่อเห็นผลตอบรับทั้งยอดการเข้าชมวิดิโอที่พุ่งพรวดพร้อม และคำนิยมมากมาย รวมไปถึงยอดขายที่ทางต้นสังกัดโทรมาแจ้งให้ทราบ พวกเธอรู้ดีว่าเวลาของการทำงานหนักกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เพราะหลังจากการออกซิงเกิลที่ญี่ปุ่นก็จะมีการ comeback ในเกาหลีอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเธอยินดีที่จะยอมรับเพื่อแลกกับการได้มีความสุขร่วมกับเหล่าโซวอนและได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันครบทั้งเก้าคน ซอฮยอนมองภาพตรงหน้าที่พี่ๆต่างก็แย่งกันพูดคุยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆจางลงไปเมื่อนึกถึงใครบางคน .. คนที่ปรกติจะโทรมาเป็นคนแรกหลังจากที่มีผลงานของเธอออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพลง PV โฆษณาหรือแม้แต่การถ่ายแบบ แต่วันนี้จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่ได้รับสายแม้เพียงสายเดียวจากเขา

…เป็นอะไรไปนะ วันนี้อปป้าน่าจะว่างไม่ใช่หรือ

หลังจากบทสนทนาที่เต็มไปด้วยสีสันและรอยยิ้ม สาวๆต่างก็ทยอยๆออกจากบ้านด้วยข้ออ้างต่างๆกันไป ยุนอาบอกกับเธอว่าจะไปหาทงเฮ เจสสิก้ากับยูริเลยตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมพี่ๆ Super Junior ที่หอด้วย ซันนี่และฮโยยอนนัดประชุมเกี่ยวกับการถ่ายทำ Invisible Youth เช่นเดียวกับซูยองที่มีประชุมกับทีมงานรายการ SBS Midnight TV Entertainment ส่วนทิฟฟานี่และแทยอนเองอยู่ดีๆก็บอกว่าจะออกไปซื้อของ สุดท้ายคงเหลือน้องเล็กคนงามอยู่เพียงลำพังในห้องชุดอันใหญ่โต

ร่างโปร่งบางยืนโบกมือลาให้กับพี่สาวทั้งสองก่อนจะปิดประตูลงช้าๆ ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเดินไปไหนไกลเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ‘อนนี่คงลืมของ’ นั่นคือความคิดแรกที่เข้ามาให้หัว เธอหันหลังกลับไปเปิดประตูพร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยนึกว่าเป็นพี่ๆจนลืมคิดไปว่าพี่ๆของเธอเองก็รู้รหัสเข้าห้อง ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูให้เจ็บมือ ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นสงสัยทันทีที่เห็นบุรุษที่อยู่หลังประตูบานนั้น

“อปป้า!” เสียงใสร้องขึ้นอย่างประหลาดใจที่คนที่เธอคิดถึงอยู่เมื่อครู่กลับมาโผล่อยู่ตรงหน้า

“จะไม่ให้อปป้าเข้าไปข้างในหน่อยหรือยังไงกัน” ชายหนุ่มถามพร้อมส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาให้เธอ ซอฮยอนได้ยินจึงรู้สึกตัวดึงประตูห้องออกกว้างขึ้นพร้อมกับยืนหลบให้เขาเดินเข้ามา

หญิงสาวเปิดประตูห้องแล้วจึงเดินตามเขาเข้าไปช้าๆ ก่อนจะแยกไปในส่วนที่เป็นห้องครัวเพื่อนำน้ำดื่มออกมาให้เขา ชายหนุ่มนั่งอย่างผ่อนคลายอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม เขาดูสบายเกินไปจนดูเหมือนเป็นเจ้าของห้องยังไงอย่างงั้น เขาดูน่าดึงดูดในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงโทนสีอ่อนสบายตา ผมที่เพิ่งตัดได้รับการจัดแต่งทรงอย่างดี ไม่ปล่อยยุ่งเหยิงอย่างทุกครั้ง

“จากนี้ไปอีก 24 ชั่วโมง อปป้าขออยู่ที่นี่นะ” เขาพูดราวกับเป็นเรื่องง่ายๆที่ไอดอลชายจะค้างอ้างแรมในหอพักของไอดอลหญิง แถมไอดอลหญิงคนนั้นยังมีเพื่อนร่วมวงที่พักอยู่ด้วยกันอีกถึงแปดคน มันง่ายไปไหม

“เห จะอยู่ยังไงล่ะค่ะ .. เดี๋ยวอนนี่ก็กลับมา” เธอย้อน

“อยู่ได้ล่ะน่า” ชายหนุ่มตัดบทก่อนที่จะตบเบาะข้างๆเป็นสัญญาณให้เธอมานั่งข้างๆเขา ซอฮยอนยิ้มบางๆพร้อมกับส่ายศรีษะอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างร่างสูงนั้น

เขาและเธอใช้เวลาทั้งบ่ายไปกับการดูหนัง หาเกมสนุกๆมาเล่น พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันราวกับว่าไม่ได้คุยกันอยู่ทุกวัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะแสดงฝีมือทำอาหารมื้อเย็นอย่างทุลักทุเล

หญิงสาวมองคนที่ดูงกๆเงิ่นที่ยืนอยู่ในครัวขนาดใหญ่ ใครก็รู้ว่าเขากับการทำอาหารคือหายนะ ภาพชายหนุ่มยืนเก้ๆกังๆหยิบนั่นผสมนี่ทั้งที่มือก็กางโพยที่ได้มากจากพี่สาวสุดรักทำเอาซอฮยอนอดไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยเสนอความช่วยเหลือแต่ก็ได้รับคำปฏิเสธเสียงแข็ง

‘ถ้าเธอทำแล้วมันจะเป็นของขวัญวันเกิดได้อย่างไร’ เขาคิดอย่างนั้น ทั้งๆที่คนที่จะได้รับของขวัญเองก็ยังไม่ทันจะรู้ตัว

ชายหนุ่มลำเลียงข้าวเปล่า ชิเกะ ทัคคาลบิพร้อมด้วยเครื่องเคียงคือกิมจิ มาวางบนโต๊ะอาหาร ควันฉุยจากอาหารยิ่งทำให้กับข้าวมื้อนี้ดูน่ารับประทาน ชายหนุ่มกอดอกมองที่อาหารตรงหน้าอย่างภูมิใจ

…เราก็มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารเหมือนกันนะเนี่ย

“ชิมสิ เอาเลย” เขาเอ่ยชวนหญิงสาว มือหนาเลื่อนจานอาหารไปให้ใกล้เธอยิ่งขึ้นเพื่อให้เธอตักได้ถนัด ดวงตาคมมองมือน้อยที่ค่อยๆตักชิเกะเข้าปากอย่างลุ้นจนแทบจะลืมหายใจ

“เป็นยังไงบ้าง ซอฮยอนนี่ .. อร่อยไหม” เขาถาม

“อร่อยค่ะ อปป้า!” หญิงสาวตอบพร้อมส่งรอยยิ้มหวานมาให้ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่เชื่อ เขาตักชิเกะคำโตเข้าปากก่อนจะอึ้งไป

…นี่มันอร่อยตรงไหนกัน

…แต่ที่ชิมเมื่อกี้รสชาติมันกินได้กว่านี้นี่นา

“เธอไม่ต้องฝืนกินหรอกซอฮยอน เราสั่งอาหารมากินกันดีกว่า ส่วนไอ้ชิเกะประหลาดนั่นเธอก็ทิ้งไปซะ” เขาพูดขึ้นหลังจากตั้งสติได้ว่ารสชาติชิเกะฝีมือเขามันประหลาดจนเกินรับได้ มือหนาเอื้อมหยิบชามอาหารตรงหน้าเพื่อจะยกไปทิ้งเป็นเศษอาหาร หากแต่มือน้อยหยุดเขาไว้เสียก่อน

“ไม่ค่ะ ก็เค้าอยากกินนี่นา .. อาหารฝีมืออปป้าอร่อยสำหรับเค้านะ ก็อปป้าตั้งใจทำออกขนาดนี้จะทิ้งได้ยังไงล่ะคะ” ซอฮยอนค้าน หญิงสาวเดินเข้าไปในครัวหยิบเครื่องปรุงออกมา เธอเติมนั่นนิดนี่หน่อยก่อนจะตักขึ้นมาป้อนให้เขาชิมอีกครั้ง ดวงตาคมเบิกโตอย่างยินดี ชิเกะฝีมือเขาไม่ต้องไปนอนแอ้งแม้งในถังขยะแล้ว หญิงสาวแก้ไขจนรสชาติออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ เขามองคนตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ ผู้หญิงของเขา…คนที่เขาเลือกพร้อมไปด้วยหน้าตาสวยงาม เรือนร่างที่แสนวิเศษ ความสามารถและสมองที่ชาญฉลาด การบ้านการเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง เธอเพียบพร้อมขนาดนี้ ยังไงเขาก็เลือกคนไม่ผิด

มื้อเย็นที่แสนเรียบง่ายผ่านไปอย่างราบรื่นหลังจากที่ซอฮยอนเปลี่ยนจากวิกฤตทางอาหารให้เป็นโอกาสได้ ทั้งสองยังคงใช้เวลาลำพัง เวลาที่แสนธรรมดาสำหรับบางคนกลับเป็นชั่วเวลาที่แสนวิเศษจนเขาและเธออยากจะหยุดเวลาไว้อย่างนั้น ความเป็นจริงที่ว่าเขาและเธอกำลังจะมีงานรัดตัวอีกครั้งและอาจจะไม่ได้พบกันแบบนี้ทำร้ายเธอไม่น้อย การออกซิงเกิลใหม่ที่ญี่ปุ่น การ Comeback ของเขาและของเธอ ทำให้รู้โดยที่ไม่ต้องบอกว่ากว่าจะได้มีเวลาว่างนั่งอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันแบบนี้คงไม่ได้ทำได้ง่ายๆอีกต่อไป

ระหว่างที่เธอขอตัวไปอาบน้ำ ชายหนุ่มหยิบรีโมทค่อยๆเปลี่ยนช่องเพื่อหารายการที่น่าสนใจก่อนจะหยุดลงที่รายการนึงด้วยขี้เกียจจะพยายามหา เขายืดตัวไปตามแนวยาวของโซฟาเพื่อคลายความเมื่อยล้าก่อนจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ซอฮยอนเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ เธอไม่กล้าใส่ชุดนอนแบบปกติเนื่องจากชุดนอนของเธอมันเปิดเผยเกินกว่าที่จะใส่ตอนอยู่กับเขา ตอนนี้เขายังอยู่ แถมยังดูเหมือนจะจริงจังเรื่องค้างคืนเสียด้วย หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ร่างสูงที่หลับสนิทอยู่บนโซฟาจนเธอนึกแปลกใจว่าตัวเองอาบน้ำนานขนาดที่เขาหลับได้ขนาดนี้เลยหรือ ร่างระหงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆ ดวงตาจรดนิ่งอยู่กับดวงหน้าที่ราวกับเทพบุตร แม้จะมีรอยแผลจากอุบัติเหตุแต่ก็ยังชวนมอง ซอฮยอนยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเขาเบาๆ

“ขอบคุณนะคะอปป้า ถึงวันเกิดเค้าจะเป็นวันพรุ่งนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดเลย” เธอจรดริมฝีปากบางลงบนแก้มสากของเขาเบาๆก่อนจะถอนออกมาแล้วจรดลงอีกครั้งที่ริมฝีปากหนา

จูบที่น่าจะไม่มีอะไรกลับกลายเป็นดูดดื่มเมื่อชายหนุ่มกลับกลายเป็นผู้นำทั้งๆที่ร่างสูงยังนอนอยู่บนโซฟา ลิ้นร้อนสอดแทรกไปในโพรงปากอย่างชำนาญ เขาตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงเธออยู่ข้างหูแต่อยากจะรู้ว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปจึงแสร้งนอนหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้น จนเมื่อเธอเริ่มต้นจูบแผ่วเบา คนที่แกล้งหลับก็ไม่สามารถทนนิ่งอยู่ได้อีกต่อไป มือหนาจับที่ท้ายทอยของเธอไม่ให้ถอยหนีในขณะที่มืออีกข้างโน้มตัวเธอลงมากอดแน่นจนแทบจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน

มือร้อนของเขาค่อยๆไล้ไปตามเรือนร่างสวยจนหญิงสาวใจเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก เขาถอนจูบออกก่อนจะจูบเธออีกครั้ง ครั้งนี้จูบของเขาแตกต่างไปจากทุกครั้ง เธอสัมผัสได้ถึงความรักอย่างไร้เงื่่อนไข จูบที่ไม่ได้เต็มไปด้วยความเรียกร้องรุนแรงแต่กลับมีความปรารถนาซ่อนอยู่ จูบที่ไม่เร่งเร้าแต่กลับทำให้เธอหลงไหล จูบที่ไม่ใช่แค่อารมณ์รักแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก จูบของเขาทำให้หัวใจเธอแทบจะหลุดลอยแต่ก็ยังรู้สึกถึงความมีชีวิต

“พี่รักเธอ ซอฮยอนนี่” เขาพูดเสียงเบาหวิวก่อนจะลุกขึ้นรวบตัวเธอขึ้นมาอุ้มเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาว

ชายหนุ่มยกร่างบางราวกับว่าเธอเบาเหมือนปุยนุ่น เขาวางเธอลงบนที่นอนสีขาวอย่างทนุถนอมและยังคงจูบครั้งแล้วครั้งอย่างไม่อาจะถอน มือหนาสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดสีสวยก่อนจะสัมผัสที่ก้อนเนื้อหยุ่นมือ เขาไล่จูบลงมาตามลำคอระหง  หญิงสาวในตอนนี้แทบจะหมดแรงไปกับรสสัมผัสแปลกใหม่ที่เธอได้รับ ซอฮยอนไม่เคยใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มแสดงความรักกับเธอมากไปกว่าการกอดจูบธรรมดา แต่ที่เธอทำให้เธอตกใจคือเธอเองก็ชอบการบอกรักของเขาอย่างนี้เช่นกัน

ชายหนุ่มหยุดที่หน้าอกอวบอิ่มก่อนจะจูบเบาๆผ่านผ้าคอตต้อนเนื้อดี มือที่อยู่ภายใต้เสื้อสีสดใสยังคงทำงานของมันอย่างช่ำชอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ภายใต้สัมผัสลึกล้ำของเขาจนยากจะควบคุม หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ ท้องปั่นป่วนด้วยความตื่นเต้นเหมือนมีผีเสื้อนับพันบินอยู่ในนั้น มือหนาส่งผ่านความร้อนไปทุกที่ที่เขาลากผ่าน

หญิงสาวรวบรวมความกล้าเอื้อมมือไปที่หน้าอกพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาว มือน้อยๆของเธอสัมผัสที่รอยแผลเป็นที่เขาได้มาจากการผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตเขาจากอุบัติิเหตุครั้งนั้น เธอลูบมันเบาๆก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนรอยแผลนั้น

“ซอฮยอน-อาห์ เธอทำแบบนี้ อปป้าจะไม่ไหวเอานะ” เขาพูดเสียงแปร่งปร่าอย่างพยายามสะกดกั้นอารมณ์ ชายหนุ่มไม่ได้คิดฝันว่าจะมาไกลถึงขนาดนี้ แต่เพราะเธอ…แค่เป็นเธอก็ทำให้เขาทำอะไรลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว ดวงหน้าบริสุทธิ์สดใสแต่แฝงไปด้วยเรือนร่างเย้ายวนใจ สมบูรณ์พร้อมอย่างที่สตรีพึงมี เขารู้ตั้งแต่ยังไม่ได้สัมผัส จนเมื่อได้สัมผัสก็ยิ่งยากจะห้ามใจ

ดวงตากลมโตมองเขาอย่างสงสัยในคำพูด แต่นั่นกลับเหมือนการทรมานเขาทั้งเป็น ความตั้งใจของเขาที่จะเก็บคืนพิเศษไว้ในวันแต่งงานขาดผึง ชายหนุ่มคว้าร่างบางมากอดพร้อมมอบจูบดูดดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง มือร้อนลูบไล้อย่างเอาแต่ใจไปตามผิวลื่นราวกับผ้าไหมชั้นดีจนเธอแทบจะกลั้นใจสะกดอารมณ์ไว้ไม่ให้ปลดปล่อยออกมา

Rrrrrrrrr~

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นฉุดทั้งครู้ขึ้นจากอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงไปไกลลิบ เขาสบถเบาๆก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกางเกงออกมากดรับสายทั้งๆที่ในใจอยากจะโยนทิ้ง

“อปป้า เป็นยังไงบ้างคะ พวกเราเป็นน้องที่ดีใช่ไหมล่ะ” ฮโยยอนแสนขี้เล่นทักมาตามสายโดยไม่ทันได้สังเกตน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของรุ่นพี่ร่วมค่าย

ซอฮยอนลุกขึ้นหันหลังให้กับชายหนุ่ม เธอจัดเสื้อผ้าและผมของเธอให้กลับเป็นปกติ ตอนนี้หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก ทั้งกลัวความรู้สึกตัวเองที่เพิ่งได้เรียนรู้ อายคนรักกับการตอบสนองอย่างไร้สติ และหวั่นใจว่าเขาจะมองเธอเปลี่ยนไป จากสาวน้อยสดใสกลายเป็นหญิงสาวมีมลทิน

“พวกนั้นอยากจะวิดิโอคอลกับเธอน่ะ” เสียงของเขาดึงเธอขึ้นมาจากความคิดที่ตีกันวุ่นไปหมด ชายหนุ่มดึงเธอมานั่งข้างกายบนเตียงหนาก่อนจะกดปุ่มเริ่มวิดิโอคอล หญิงสาวไพล่คิดไปถึงสิ่งที่เพิ่งผ่านไปชั่วครู่ก็กลับร้อนผ่าวที่หน้า

“จูฮยอน-อาห์ เป็นอะไรไป เป็นไข้หรือเปล่าถึงได้หน้าแดงแบบนั้น” ทิฟฟานี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าแววตาห่วงใยอย่างสุดซึ้ง

“หรืออปป้าทำอะไรเธอ” ฮโยยอนหยอกเย้าอีกครั้งแต่กลับยิ่งทำให้ดวงแก้มใสแดงยิ่งขึ้นราวกับสตรอว์เบอร์รี่

“ย่าห์! ย่าห์! พวกเธอ ฉันก็อยู่นะ!” เขาชี้นิ้วไปที่คนฝ่ายตรงข้ามจอนั้นอย่างคาดโทษ

“ก็แค่ล้อเล่นล่ะน่า อย่างอปป้าน่ะ….ไม่มีน้ำยาหรอก” ยุนอาพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะอ้าปากกว้างตามแบบฉบับของอิม ยุนอาก่อนที่เธอจะโดนผลักออกไปโดยลีดเดอร์ตัวน้อยจนต้องดันตัวกลับเข้ามาอยู่ในจอเล็กอีกครั้ง

“จูฮยอน วันนี้พวกอนนี่ไม่กลับบ้านนะ .. เพราะว่านี่ก็จวนจะเที่ยงคืนแล้วแต่อนนี่อยากให้เธอได้ใช้เวลากับอปป้าฉลองกันสองคนตอนนั้นเลยโทรมาหาเธอก่อน” แทยอนพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นผ่านอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ย่อโลกให้เล็กลง จากนั้นสาวๆทั้งแปดคนก็ส่งทั้งเสียงและท่าทางพร้อมกัน “Happy Birthday ซอ จูฮยอน”

“เธอชอบของขวัญของอนนี่ใช่ไหมล่ะ”

“พรุ่งนี้เราเป่าเค้กด้วยกันนะซอฮยอน”

“มีความสุขมากๆน้าาา ซอฮยอน-อาห์”

“เป็นสาวแล้วนะมักเน่! รวบรัดอปป้าไปเลย!”

“ย่าห์! เธอนี่ ไม่ได้นะจูฮยอน อย่าให้อปป้าทำอะไรไม่ดีนะ”

เสียงสาวๆแย่งกันพูดจนฟังแทบจะไม่ศัพท์จบลงที่แทยอนพี่ใหญ่ของวงดึงโทรศัพท์ออกมาพูดคนเดียวท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วด้านหลัง “แค่นี้แล้วกันนะจูฮยอน เจ้าพวกนี้จะตีกันตายเพราะจะแย่งคุยกับเธอแล้ว พี่ต้องไปจัดการก่อนละ บ๊ายบาย”

รอยยิ้มกว้างฉายอยู่บนดวงหน้าใส หญิงสาวค่อยๆก้มหน้าลงอย่างเขินอายเมื่อนึกได้ว่ามีเพียงเขาและเธออยู่กันสองต่อสองอีกครั้ง ดวงตาคมมองแก้มแดงระเรื่ออย่างหลงไหลก่อนจะฝังจมูกโด่งลงบนพวงแก้มนุ่มแล้วตามด้วยกลุ่มผมที่หอมแชมพูอ่อนๆ

“ต่อไหม” เขาถามอย่างหยอกเย้า ส่งสายตาเจ้าเล่ห์อย่างหมาป่าจ้องจะตะครุบลูกแกะน้อย “เมื่อกี้แค่ลงโทษเรื่องโฆษณาบ้าๆนั่นเอง ยังไม่ทันได้ให้ของขวัญวันเกิดเธอเลย รับร้องเธอต้องชอบ”

“อปป้า!” ซอฮยอนโวยลั่นเมื่อได้ยิน ดูเอาเถอะคนเรา .. เกรียนไม่เลือกเวลา แม้กระทั่งเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มก็ยังจะเกรียน

“เค้าล้อเล่นหรอกน่า” เขาตอบก่อนจะคว้าร่างบางร่างบางมากอดอย่างแสนรัก “อปป้าตั้งใจว่าจะให้มันค่อยๆเป็นค่อยๆไป เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เรื่องของเรามันไม่จำเป็นต้องเร่งรัดไม่ใช่หรือ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น มือหนากลับสอดเข้าไปใต้ผ้าคอนต้อนเนื้อดีอีกครั้งพร้อมกับลูบไล้ที่หลังนวลเนียน ดวงตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่าเปี่ยมด้วยความรัก

“อปป้า!” หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อได้รับสัมผัสที่ทำให้ใจหวิวอย่างไม่น่าไว้ใจอีกครั้ง

“นิดหน่อยนะซอฮยอนนี่ อปป้าสัญญาจะไม่เกินเลยจนกว่าจะถึงเวลาที่เราสองคนพร้อม” เสียงทุ้มพูดตอบ ดวงตาคมมองเข้าในดวงตากลมใสด้วยความรักเปี่ยมล้น ซอฮยอนได้แต่ก้มหน้างุดหลบสายตาจากเขาก่อนจะพยักหน้าเบาๆทำเอาคนตัวใหญ่กว่าหัวเราะในท่าทางอันน่ารักของเธอ

คืนนั้นทั้งสองหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน ชายหนุ่มได้ให้ของขวัญที่แสนวิเศษแก่เธอคือการอยู่ร่วมกัน ยิ่งกว่านั้นเขายังแสดงให้เธอเห็นว่าเธอมีค่าและจริงจังกับเธอมากกว่าเพียงแค่คบไปวันๆ แต่กลับมองไปถึงอนาคต .. อนาคตของเขาและเธอ เท่านั้นก็มากเกินกว่าที่เธอต้องการแล้ว

28 มิถุนายน 2012

เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากคนในอ้อมกอด คยูฮยอนลืมตาขึ้นมามองคนที่กำลังหลับสนิทเหมือนกับเด็กน้อยๆก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยวคืนตรง ร่างสูงก้มลงมองใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเธออย่างแผ่วเบา “Happy Birthday ที่รักของพี่”

ร่างเล็กขยับเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของเขาตามประสาคนประสาทสัมผัสไว เธองัวเงียถามทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา “อะไรนะคะอปป้า”

“ไม่มีอะไรหรอก นอนต่อเถอะ” เสียงทุ้มตอบอย่างอบอุ่นพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

ทั้งสองหลับสนิทจนเมื่อเสียงจากภายนอกที่บอกถึงเวลาเช้าเริ่มดังขึ้น นกตัวน้อยส่งเสียงจิ๊บๆดังเข้ามาถึงภายในห้องนอน แสงแดดอ่อนๆยามเช้าค่อยๆส่องเข้ามายังห้องที่เขาและเธอนอนตระคองกอดกันอย่างอบอุ่นบนเตียงสีขาว คยูฮยอนค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆเพื่อพบว่าร่างนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมกอดของเขายังหลับสนิท ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือตอนเจ็ดโมงเช้าอย่างทุกวัน เขาลุกขึ้นอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้หญิงสาวที่หลับสนิทนิ่งราวกับตุ๊กตาเกาหลีตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเธอยังคงหลับอยู่ร่างสูงจึงค่อยๆเดินย่องออกไปยังห้องครัว เขาค่อยๆเปิดประตูเย็นก่อนจะหยิบเอากล่องกระดาษกล่องเล็กที่ติดสินบนรุ่นน้องให้เอามาแอบไว้ไม่ให้เจ้าของวันเกิดได้รู้ตัว มือหนาค่อยๆแกะกล่องกระดาษเผยให้เห็นเค้กผลไม้ขนาดเล็กแลดูน่ารักประทานแล้วจัดแจงหยิบวางลงบนจานสีสวยก่อนจะยกเข้าไปในห้องนอน

ชายหนุ่มถือเค้กไว้ที่มือหนึ่งแล้วใช้อีกมือปลุกคนที่ยังหลับสนิท ดวงตากลมโตลืมขึ้นอย่างช้าๆก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังมึนงง คยูฮยอนมองภาพตรงหน้ายิ้มๆ บางครั้งความสุขก็หาได้ง่ายเหลือเกิน เขาจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปางสีชมพูก่อนจะยื่นเค้กจานน้อยมาตรงหน้าคนที่ยังตื่นไม่เต็มตา

“อรุณสวัสดิ์ค่ะเจ้าของวันเกิด”

ของขวัญวันเกิดของเธอปีนี้คือการอยู่ด้วยกันหนึ่งวัน หลับและตื่นมาในอ้อมกอดของกันและกันอย่างนี้เป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุด และเขาเองก็คิดว่าเธอชอบมันเช่นกัน เขามองดวงหน้าไร้ที่ติแม้จะเพิ่งตื่นนอนอย่างเปี่ยมด้วยความรัก ซอฮยอนยิ้มให้เขาอย่างสุดหัวใจ เท่านั้นเขาก็รู้ได้ว่าของขวัญชิ้นนี้ถูกใจคนรับที่สุด

แผนการของคยูฮยอนในการฉลองวันเกิดที่แสนจะประทับใจให้เธอเสร็จสมบูรณ์ เขาเองได้แต่หวังว่าจะได้มีเธออยู่เคียงข้างอย่างนี้ในทุกๆวัน ไม่ใช่เพียงแค่ในวันเกิด .. เขาจะรอจนถึงวันนั้น วันที่เขาและเธอพร้อมจะกลายเป็นเราอย่างสมบูรณ์ .. เขาจะรอ

สำหรับเขา ระยะทางแปรผกผันกับความรัก
สำหรับเธอ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ใจก็อยู่กับเขา

 

 

3 กุมภาพันธ์ 2012

กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน

ท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่และเสียงที่เกิดจากความวุ่นวายทั้งหลาย ชายหนุ่มนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือนิ่ง ไม่ได้ใส่ใจความเคลื่อนไหวรอบตัว เขาปล่อยให้โคดี้นูน่าจัดการกับทรงผมของเขาตามแต่ใจเธอต้องการ ไม่มีแม้การหยอกล้อกับเธออย่างทุกครั้ง เขาก็แค่…ไม่มีอารมณ์ มีอย่างหรือ วันคล้ายวันเกิดของเขาแท้ๆแต่กลับต้องมาขึ้นคอนเสิร์ท ไม่ใช่ว่าฉลองวันเกิดกับพี่ๆร่วมวงและเหล่าเอล์ฟจะไม่ดี แต่ถ้ามีเธออยู่ด้วยมันคงดีขึ้นไปอีก คยูฮยอนคิดก่อนจะหัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ จะไม่ให้เขาหัวเราะได้อย่างไร ในเมื่อไม่ว่าวันเกิดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็เคยผ่านมาได้โดยที่ไม่ได้รู้สึกเหงาหรือขาด แต่เพียงแค่เริ่มคบกับเธอ เขากลับรู้สึกหลายๆอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึก เป็นแบบที่เขาไม่เคยเป็น

…แต่จะแปลกอะไร ในเมื่อสำหรับเขา “เธอ” คือข้อยกเว้นเสมอ

คยูฮยอนยังคงปล่อยให้สรรพสิ่งรอบข้างเคลื่อนไหวตามที่มันควรจะเป็น ทุกคนเตรียมตัวอย่างรีบร้อนเพื่อคอนเสิร์ทที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่นาน ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เบื้องหลังความสำเร็จอันสวยงามก็ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มือหนาจับโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาเคาะกับโต๊ะก๊อกๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ใจของชายหนุ่มตอนนี้ไม่ได้อยู่ตรงหน้ากับคอนเสิร์ทที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงชั่วโมง ทงเฮกับเรียวอุคที่นั่งพักอยู่ไม่ไกลนักในห้องแต่งตัวได้แต่มองตากับปริบๆ เรียวอุคถึงกับสะกิดชายผู้พี่เป็นสัญญาณว่าให้ทำอะไรซักอย่าง ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงได้มีคนขึ้นเวทีร้องเพลงผิดคิวเป็นแน่

ทงเฮส่งสายตาคมกริบกลับไปยังน้องรองของวงพร้อมกับเค่นในใจ จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อคนที่น่าจะเป็นต้นเหตุอาการแปลกๆของเจ้ามักเน่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆให้จัดการได้ง่ายๆ แถมถ้าโทรไปขอความช่วยเหลือจากยุนอาตอนนี้ หญิงสาวคงทำแอ็กโย่เสียงเด็กใส่เพื่อเป็นการทำโทษข้อหาที่เขาโทรไปกวนเธอระหว่างที่เธอเองกำลังยุ่งกับการถ่ายทำละคร ไม่ทันที่ทงเฮจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ในมือของคยูฮยอนกลับดังขึ้น เพียงเท่านั้นรอยยิ้มสว่างจ้าก็กลับมาฉายอยู่บนดวงหน้าของคนขี้เล่นอีกครั้ง

“โยโบเซโย” คยูฮยอนกรอกเสียงไปตามสายอย่างอารมณ์ดี

“ขอบคุณมากนะ .. พี่นึกว่าจะไม่ได้คุยกับเธอก่อนจะขึ้นคอนเสิร์ทเสียแล้ว” เสียงทุ้มๆตอบกลับไปตามสายก่อนจะทำท่าน้อยใจราวกับว่าอีกฝ่ายนึงจะเห็น “ใช่ ให้บินมาหาก็ไม่ยอมนี่สิ น่าน้อยใจนัก”

“อปป้าล้อเล่น .. เข้าใจสิคะเข้าใจ อปป้าเคยไม่เข้าใจเธอด้วยงั้นเหรอ” เขาตอบฝั่งตรงข้าม

“จริงเหรอ .. งั้นไม่ว่าอปป้าโทรไปตอนไหนเธอต้องรับสาย ถ้าเธอไม่รับกลับมาโดนทำโทษแน่ๆ” คยูฮยอนพูดอย่างหมายมาด ไม่ว่าโทรไปตอนไหนเธอก็รับสายหรือทำโทษเธอมันดีสำหรับหมาป่าอย่างเขาทั้งนั้น

“ไม่รู้ล่ะ สัญญาต้องเป็นสัญญา .. วันนี้วันเกิดอปป้านะ” เขาตอบก่อนตัดบทวางสายไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผิด

ทงเฮได้แต่มองท่าทีของคนเริงร่าคนตรงหน้าที่ผิดกับก่อนที่จะรับโทรศัพท์สำคัญสายนี้อย่างกับหน้ามือหลังเท้าแล้วจึงหันไปบ่นงึมกับเรียวอุคอย่างทั้งหมั่นไส้ระคนอิจฉา

…คยูมันไม่ได้น่าเป็นห่วงเลยซักนิด มันน่าหมั่นไส้ซะละมากกว่า

…ก็ยังดี อย่างน้อยมันไม่ทำหน้าหมาป่าหมดแรงขึ้นคอนเสิร์ท

 

 

กรุงโซล ประเทศเกาหลี

ในห้องชุดสุดหรูในกลางกรุงโซล หญิงสาวค่อยๆละมือจากรายงานตรงหน้าที่เธอตั้งใจเขียนอยู่เป็นชั่วโมงท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะเงียบสงบเนื่องจากพี่สาวต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ซอฮยอนลุกขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือช้าๆโดยไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือคู่ใจที่ใช้คู่กับเขามาด้วย เธอพาร่างในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบลำลองเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวหนาเพื่อคลายความเมื่อยล้า มือเรียวบางสัมผัสไปที่หน้าจอโทรศัพท์เบาๆต่อสายไปหาคนที่คุ้นเคยก่อนจะนำมาแนบหู

“สุขสันต์วันเกิดค่ะอปป้า” เธอส่งเสียงทักทายอย่างสดใสทันทีที่ได้ยินเสียงอีกฝั่ง

“ได้ยังไงล่ะคะ วันเกิดอปป้าเค้าก็ต้องโทรมาสิคะ ขอโทษนะคะที่เค้าไม่ได้อยู่ด้วยในวันเกิดของอปป้าอย่างนี้” เธอตอบเขาอย่างทั้งเอาใจทั้งขอโทษที่สุดท้ายต้องอยู่ไกลกันทั้งๆที่เป็นวันสำคัญของอีกคน

“อ๋า~ ไหนบอกว่าเข้าใจไงคะว่าเค้าติดงานที่นี่ แล้วอปป้าก็ตกลงเองนี่นาว่าให้เค้าใช้เวลากับครอบครัวบ้าง” หญิงสาวแกล้งย้อนทั้งๆที่ในใจก็รู้นิสัยของอีกฝ่ายที่มีแต่ความเข้าใจให้เธอเสมอ และยิ่งได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่ายยิ่งทำให้เธอใจอ่อน แต่การที่จะรีบจองตั๋วเครื่องบินเพื่อนบินไปหาคนรักแล้วทิ้งแผนการที่จะใช้เวลาครอบครัวเธอเองก็ทำไม่ได้ เสียงหวานเอ่ยอย่างเอาใจหลังจากที่ตัดสินใจได้ “งั้น….วันนี้เค้ายอมตามใจอปป้าอย่างนึงก็ได้อะ”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ อปป้าก็รู้ว่าเค้าต้องไปงาน” ซอฮยอนค้านแทบจะทันทีที่ได้ยินความต้องการของอีกฝ่าย ในเมื่อเธอมีงานจะรับสายเขาตลอดเวลาได้อย่างไร เกิดเขาโทรมาตอนที่เธอกำลังอยู่ในห้องอัดหรือแย่ไปกว่านั้นคืออยู่ในงานเลี้ยงหรืออยู่กับแฟนๆเข้าแล้วเธอจะทำอย่างไร แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยอมอ่อนตามใจเขาอย่างทุกครั้ง

 

 

ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมาริมถนนกลางมหานครแห่งหนึ่งของโลก เหล่าคนดังมากมายต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่งาน 2012 F/W Burberry Prorsum Women’s Collection Fashion Show ที่จัดขึ้นในพื้นที่ของ Kensington Garden ใจกลางกรุงลอนดอน หญิงสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินเขียวประดับลวดลายสีส้มยืนอยู่ในหมู่วงล้อมของทั้งเพื่อนร่วมงานและแฟนๆที่ตามเธอมาจนถึงที่นี่ เธอพูดคุยและทักทายคนรอบข้างอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์คู่กายจะสั่นเรียกความสนใจของเธอไป มือเรียวบางยกโทรศัพท์สีดำขึ้นมา หญิงสาวส่ายหัวเบาๆเมื่อเห็นชื่อของคนที่อยู่ปลายสาย เธอว่าแล้วไม่มีผิดว่าเขาต้องโทรมาเวลาแบบนี้ แต่ถึงทำท่าอ่อนใจอย่างนั้น รอยยิ้มบางๆก็ยังคงเคลือบริมฝีปากบางนั่น

“อันยองค่ะอปป้า” เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอยู่ในระดับหน้าพร้อมทำท่าทักทายอย่างน่ารักหลังจากสำรวจแล้วว่าไม่น่ามีแฟนคลับคนใดเห็นบุรุษปริศนาที่ video call เข้ามาคุยกับเธอ

“อากาศเย็นๆค่ะแต่มีแดด เค้าน่ะสบาย ใส่เดรสตัวนั้นที่ให้อปป้าเห็นรูปไงคะ มีก็แต่ทิฟฟานี่อนนี่ที่ใส่เดรสสั้นสู้อากาศหนาวอยู่คนเดียวนั่นแหละค่ะ” เธอตอบเค้าพร้อม หญิงสาวพูดคุยกับปลายสายเล็กน้อยพร้อมกับทำท่าน่ารัก คยูฮยอนทำให้เธอลืมไปเสียสิ้นว่าเธอกำลังคุยกับเขาในที่สาธารณะท่ามกลางแฟนคลับและคนจำนวนมากที่มาร่วมงานแฟชั่นโชว์

ถ้าไม่ใช่เพราะวันเกิดเขาเธอรับสายไม่ทันไปแค่อึดใจ วันนี้เธอคงไม่ต้องทำตามคนเอาแต่ใจที่บอกว่าให้รับ video call จากเขาทุกครั้งตลอดเวลาที่เธออยู่ที่ลอนดอน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนและเวลาใด

…แต่อปป้าจะรู้บ้างไหม ถึงไม่มีข้อตกลงอะไร ยังไงเค้าก็อยากรับสายทุกสายของอปป้าอยู่ดี

 

 

 

Note :

* เป็นอินโทรของฟิควันเกิดซอฮยอนค่ะ .. อินโทรอะไรกันเนี่ย ไม่ได้เกี่ยวกันเลย – –  มีเกี่ยวกันนิดนึงคือเป็นเรื่องของวันเกิดของสองคนแล้วก็ในเรื่องวันเกิดซอจะใช้วิธีการเล่าประมาณนี้ล่ะค่ะ (ปล่อยให้งงว่าวิธีการเล่ายังไงต่อไป 555) <br>* ฟิควันเกิดอาจจะมี nc หรือไม่มีนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน คือเขียนยังไม่ถึงและสมาธิยังไม่ถึงที่จะเขียนตอนนี้น่ะค่ะ เพราะตอนนี้กายหยาบจะแหลกสลายในต่างแดนแล้ว #น้ำตาไหลพราก

* ถ้ามีขึ้นมาก็อย่าคาดหวังนะคะ มันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้น – -”

* แปะไว้ก่อนแล้วจะมาแก้ format อีกทีนะคะ แพดไม่เอื้อแถมโค้ดที่มียังก่งก๊งอีก – -!

คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างทั้งที่ไม่อยากทำ
แต่จะทำยังไงได้ ก็คนมันคาใจนี่นา

 

ร่างสูงเดินหยิบผลิตภัณฑ์เสริมความงามชิ้นแล้วชิ้นเล่าขึ้นมาพลิกชิ้นแล้วชิ้นเล่า เขาไม่รู้หรอกว่าชิ้นไหนคืออะไร เพราะเครื่องสำอางของผู้หญิงนั้นมากมายจนเขางง ถ้าอาร่าไม่ได้บอกฝากซื้อของบางอยู่เขาคงไม่ได้เฉียดเข้ามาใช้เวลาอยู่ในเคาท์เตอร์เครื่องสำอางอย่างนี้

ช่วงนี้เขาและพี่ๆเมมเบอร์วง Super Junior เดินทางเป็นว่าเล่นเพราะตารางงานที่แสนชุกชุมจนแทบจะไม่ได้มีเวลาว่างให้หายใจ แม้แต่เธอเขาเองก็มีเวลาได้อยู่ด้วยน้อยเสียเหลือเกินแตกต่างจากช่วงปลายปีที่มักจะมีงานร่วมกันเสมอๆ เขารู้ว่าเทคโนโลยีช่วยเขาได้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เหมือนกับพบเธอด้วยตัวเอง เขาอยากกอดอยากหอมร่างบอบบางนั่นให้หายคิดถึง .. เผื่อว่าพลังงานที่มันถดถอยไปเพราะการงานจะกลับเพิ่มเติมจนเต็มได้

มือหนาหยิบเครื่องสำอางสองสามชิ้นที่พนักงานขายบอกเขาว่าเป็นรุ่นที่อาร่าต้องการก่อนจะเหลือบไปเห็นผลิตภัณฑ์ที่แสนจะคุ้นตา เขาคิดไปถึงหญิงสาวคนที่เขาอยากอยู่ด้วยตลอดเวลาแล้วจึงหยิบกล่องเครื่องสำอางนั้นมาเพื่อไปจ่ายเงิน .. จะผิดอะไรที่เขาจะซื้อของเล็กๆน้อยๆไปฝากเธอบ้างทั้งๆที่รู้ว่าเธอเองก็คงจะมีและหาซื้อได้ไม่ยากนัก ในเมื่อเขาเคยเห็นเธอใช้เสมอ ซื้อของที่เธอใช้ย่อมดีกว่าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

…ซอฮยอน เธอต้องให้ของขวัญตอบแทนพี่บ้างแล้วล่ะที่คิดถึงเธอตลอดเวลาอย่างนี้

 

นิ้วหนาลากไปมาตามหน้าจอของเครื่องไอแพดที่เขามักจะใช้เสมอเพื่อติดตามข่าวสาร ใครจะรู้ว่าผู้ชายที่กุมหัวใจสาวๆมากมายจะปาวารณาตัวเองเป็น Seomate แฟนคลับตัวเอ้ของเธอไปอีกคน ดวงตาของชายหนุ่มกระตุกวูบ แววตาแห่งความไม่พอใจฉายชัดขึ้นมาวาววับเมื่อเห็นข่าวของเธอ เขารู้ว่ารุ่นน้องสองคนต้องไปทำภารกิจที่ต่างประเทศจนไม่สามารถมาเป็นพิธีกรร่วมกับซอฮยอนในรายการที่เธอเป็นพิธีกรประจำอยู่ได้ ซอฮยอนบอกเขาว่าฮโยยอนจะมารับหน้าที่เป็นพิธีกรร่วมกับเธอแทนทิฟฟานี่และแทยอน เท่านั้นเองที่เธอบอกเขา แต่ข่าวที่อยู่ตรงหน้าคือข่าวอย่างไม่เป็นทางการว่าอดีตสามีของเธอในรายการจอง ยงฮวาจะมาทำหน้าที่พิธีกรร่วมกับเธอด้วย จาก MC HyoHyun เลยกลายเป็น MC YongSeo + Hyo ไปเสียอย่างนั้น! ไหนล่ะ MC HyoHyun ของเขา

คยูฮยอนได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ แม้เขายังคงติดต่อกับเธอทางข้อความและโทรศัพท์ แต่เธอก็ไม่ได้บอกอะไรกับเขา แถมเขายังคงต้องใช้เวลาอีกวันสองวันในปารีสเพื่อทำงานกับฮยอกแจ ไม่สามารถกลับไปหาเธอได้ในตอนนี้้เสียด้วย

“อปป้าคะ เป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆก็เงียบผิดปกติล่ะคะ” เสียงหวานถามขึ้นมาตามสาย “ไปปารีสทั้งทีไม่มีเรื่องมาเล่าให้เค้าฟังหน่อยเหรอ .. เมืองแห่งความรักเชียวน้า”

…ประโยชน์อะไรที่อยู่ในเมืองแห่งความรักโดยปราศจากคนรัก

“ไม่มีอะไรหรอกซอฮยอน คงเหนื่อยๆน่ะ” เขาตอบ แล้วความคิดบางอย่างจะแล่นเข้ามาในหัว “เธอล่ะ วันนี้ไม่มีเรื่องเล่าให้พี่ฟังหน่อยเหรอ”

“อืมมมม… ไม่มีนะคะอปป้า พรุ่งนี้เค้าก็มีงาน MC ตามปกติกับพี่ฮโยยอน แต่กะว่าจะไปที่ร้านเสริมสวยเช้าหน่อยเพราะอยากให้เค้าบำรุงผมให้ซักนิดน่ะค่ะ” เธอพูดเจื้อยแจ้วจนเขานึกภาพเธอออกว่าเธอคงกำลังอารมณ์ดี ช่างแตกต่างกับเขาราวกับฟ้ากับเหว “เราไม่ได้ไปทำสีผมมาซักพักแล้วนะคะอปป้า ไว้ว่างๆไปกันเนอะ แต่คราวหน้าอปป้าต้องให้เค้าเลือกสีนะ”

“ได้สิ” เขาตอบเธอไปสั้นๆแบบนั้น บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป ซอฮยอนหาสารพัดเรื่องมาเล่าให้เขาฟัง แต่ไม่มีที่จะพูดถึงเรื่่องรายการวันพรุ่งนี้ที่เธอจะถ่ายร่วมกับยงฮวาเลย ทั้งๆที่เธอไม่เคยมีความลับกับเขามาก่อน แต่ในวันนี้…ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ

…แค่เพราะเขายุ่งจนไม่มีเวลาให้เธออย่างนั้นหรือ

…ทั้งๆที่กลับไปเขาก็จะมีเวลาว่างให้ได้พักก่อนจะต้องไปเซี่ยงไฮ้แท้ๆ

 

คยูฮยอนกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดอย่างโรยรา เขาได้ดูคลิปรายการที่เธอไปออกกับยงฮวาด้วยความรู้สึกจี๊ดๆในใจจนพาลเอานอนไม่ค่อยจะหลับ ก็รู้ว่ามันเป็นสคริปต์รายการ แต่ก็พาลทำให้เขาหนวดกระดิกไม่น้อยเมื่อถึงตอนที่เห็นหนุ่มรุ่นน้องนั่นมาทำท่าหมาหยอกไก่ใส่ซอฮยอน

‘ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรักคืออะไร ความรักคืออะไรนะ’

‘ในความเห็นของผม การเขียนจดหมายสารภาพรักน่าจะดีที่สุดนะ เหมือนที่ผมเขียนจดหมายในรายการเมื่อสองปีที่แล้วไงจำได้ไหมว่าผมเขียนอะไรไปบ้าง’

‘ถ้าผมจะบอกเลิก ผมต้องทำมันแบบลูกผู้ชาย’

เขาดูคลิปรายการนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าโชคดีที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกเหนือไปจากคนทำงานร่วมกัน อาการที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้คงเพราะระยะทางที่ห่างไกลและเวลาที่น้อยลงทุกวันๆ เขาใช้เวลาอยู่กับเธอแทบจะเกือบทั้งหมดของเวลาว่างที่เขามี (หยั่งกับมีเยอะ) แต่มันก็ไม่ได้มากเท่าไรนักเพราะเขามีละครเวที Catch Me If You Can ที่ถึงจะแสดงอยู่แต่ยังคงต้องซ้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ระหว่างที่ใช้เวลาร่วมกับเธอ หญิงสาวไม่ได้ปริปากเกี่ยวกับเรื่องที่เธอเป็น MC ร่วมกันกับยงฮวาเลย เธอทำเหมือนไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นอย่างนั้น แรกเริ่มเดิมทีเขาเองก็เกือบจะลืมมันไปจนกระทั่งเขาได้ฟังรายการ Kiss The Radio ที่เรียวอุคกับซองมินจัดโดยบังเอิญ

‘มีความรักอย่างลึกซึ้งแล้วก็เลิกรากันจนไม่สามารถนอนหลับได้ .. ประมาณว่าเป็นเรื่องของผู้ชายที่มีประสบการณ์เกี่ยวความรู้สึกแบบนี้น่ะครับ’

‘เราหย่ากันมาปีนึงแล้วครับ’

เขานิ่งคิด ความคิดของเขาในตอนนี้ตีกับยุ่งไปหมด หากสมองสามารถแฮงค์ได้เหมือนคอมพิวเตอร์ มันคงหยุดทำงานไปแล้วเพราะต้องประมวลผลมากเกินไป แต่สุดท้ายคยูฮยอนก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปในที่สุด

…เธอจะได้รู้บ้างว่าพี่รู้สึกอย่างไร

…จะได้รู้กันไปว่าเธอจะยังสนใจพี่อยู่บ้างไหม

 

ภาพคู่ของคยูฮยอนกับโหลว อี้เสี่ยวที่ถ่ายหลังเวทีคอนเสิร์ท Super Show 4 ที่เซี่ยงไฮ้ถูกเผยแพร่ออกไปในอินเตอร์เน็ต อันที่จริงซอฮยอนคงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอี้เสี่ยวมาชมคอนเสิร์ตตามที่เขาเคยชวนไว้ในรายการ เพราะแฟนแอคเคาท์ต่างๆมากมายก็สะพัดไปหมดเกี่ยวกับที่อีทึกแซวเขาบนเวทีว่าจะเลือกใครระหว่าง ELFs กับอี้เสี่ยว ซึ่งเขาก็หาทางตอบได้อย่างชาญฉลาดว่าเป็น ELFs .. เช่นเดิม ไร้การตอบสนองจากซอฮยอน แต่ครั้งนี้แปลกกว่าครั้งไหน ไม่มีโทรศัพท์หรือแม้แต่ข้อความจากเธอเลย

เขามองภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ค้างอยู่ หญิงสาวในชุดเสื้อสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นสีขาวนั่งอยู่บนเตียงหนา เธอดู….ทั้งบริสุทธ์และยั่วยวน แค่เพียงได้เห็นภาพเขายังรู้สึกกับเธอได้ขนาดนี้ เขาแพ้เสียแล้ว จากที่จะลองใจเธอโดยการถ่ายภาพกับอดีตเพื่อนร่วมงานกลับเป็นเขาเองที่อยากจะโทรกลับไปหาเธอทันทีที่เห็นภาพยนต์โฆษณานั่น

โป๊เกินไป เซ็กซี่เกินไป ทำไมไม่ปฏิเสธแล้วให้คนอื่นถ่ายแทน ทำไมต้องใส่เสื้อผ้าเปิดเผย ทำไมต้องทำหน้าตาท่าทางน่ารักอย่างนั้น เขาไม่เข้าใจ! คยูฮยอนเข้าใจแค่ว่าเขาหวง!!

มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหาเธอแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ และยังคงเป็นอย่างนั้นอยู่ทั้งวัน เขาไม่ละความพยายาม คยูฮยอนต่อสายถึงเมมเบอร์คนอื่นๆทั้งฮโยยอน ยุนอา แทยอนไล่ไปจนครบทุกคนที่เขามีเบอร์โทรแต่ไร้การตอบรับ แตกต่างจากทุกครั้ง ดวงตาหนาเหลือบมองนาฬิกาข้างฝาที่บอกเวลาเข้าสู่วันใหม่ .. ดึกขนาดนี้ ถ้าฝืนโทรต่อไปคงไม่เหมาะ แถมเขายังต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปรับคังอินที่จะออกจากกรมในวันพรุ่งนี้เสียด้วย

“คยู เข้านอนได้แล้ว” เสียงดงเฮดังขึ้นเตือนเมื่อเห็นเขายังไม่หลับ “พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า”

ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งร่างลงบนเตียงหนา ปล่อยโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูจากมือไปอย่างหมดแรง นานเหลือเกินกว่าเขาจะข่มตาหลับลงได้

“เอาอย่างนั้นเหรอ จูฮยอน” ฮโยยอนถามมักเน่คนสวยอย่างลังเลในขณะที่โทรศัพท์ในมือดังไม่หยุด

“เอาอย่างนั้นนั่นแหละค่ะอนนี่” เธอตอบอย่่างหนักแน่น

ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องก็ดังขึ้นโดยระบุปลายสายเป็นคนเดิม จากแทยอนเปลี่ยนไปเป็นเมมเบอร์คนอื่นทีละคน สาวๆได้แต่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำอย่างไร เวลามักเน่ของพวกเธอโกรธก็น่ากลัวไม่แพ้ใครเหมือนกันนั่นแหละ จนในที่สุดซอฮยอนพูดขึ้น “ถ้าอนนี่อยากรับก็รับนะคะ แต่ฉันไม่คุย”

“อ้าว!” เสียงอุทานดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน

“แล้วจะให้บอกเขาว่าอะไรล่ะจูฮยอน” แทยอนอาศัยความเป็นพี่ใหญ่ถามขึ้น

“ก็บอกอะไรก็เรื่องของอนนี่สิคะ อนนี่อยากรับเองนี่นา” เธอผุดลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนแล้วจึงหันหลังกลับมาอีกครั้งเพื่อทิ้งท้ายก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้อง “บอกว่าฉันอยู่กับยงฮวาอปป้าก็ได้ค่ะ .. ฝันดีนะคะอนนี่”

สาวๆมองน้องเล็กที่เดินหนีเสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่เลิกอยู่อย่างนั้น สงสัยคืนนี้พวกเธอคงต้องปิดเสียงโทรศัพท์เสียงแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ต้องนอนกันหรอก

“อปป้าคะ ฉันฝากไปดูคยูฮยอนอปป้าทีนะคะ ท่าทางคืนนี้คยูอปป้าคงนอนดึก” เสียงใสของแทยอนส่งไปตามสายหารุ่นพี่เมมเบอร์คนนึงวงคู่บุญของพวกเธอ

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันดีของทั้ง Super Junior และ ELFs ที่ในที่สุดคังอินก็กลับมาหลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นๆและตัดสินใจเข้ากรมไปเป็นเวลาสองปี พวกเขาต่างเฝ้าคอยการกลับมาของคังอินเพราะคังอินเลือกตัดสินใจฝึกอย่างทหารทั่วไป จึงมีโอกาสได้พบหน้าค่าตากันน้อยกว่าฮีซอล แม้คยูฮยอนจะตื่นมาอย่างไม่แจ่มใสนักแต่ทุกอย่างก็ดีขึ้นเมื่อพบหน้าพี่ชาย ถึงอย่างนั้นเขายังเฝ้าคิดถึงเธอที่หายเงียบไปตั้งแต่เมื่อวาน ติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้

สมาชิก Super Junior ที่ว่างจากงานต่างก็มารวมตัวกันเพื่อรับคังอินออกจากกรมอยางอบอุ่น ภาพซึ้งๆของเหล่าสมาชิกทำให้เหล่า ELF ที่มารอรับน้ำตาคลอไปตามๆกัน รอยยิ้มกว้างจากหนุ่มๆที่ได้พบกับเพื่อนรัก พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันอย่างไม่มีวันเบื่อ จนย่างก้าวเข้ามาในหอพักที่วันนี้เงียบจนผิดปรกติ

เสียงเฮฮาดังขึ้นเมื่อประตูปิดลง เยซองและชินดงยืนอยู่กลางห้องรายล้อมด้วยรุ่นน้อง SNSD และศิลปินคนอื่่นๆที่มีว่างในวันนั้น ทุกคนยิ้มกว้างอย่่างยินดีเพื่อต้อนรับรุ่นพี่คนสำคัญอีกคน คยูฮยอนแทบจะไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว สายตาของเขาตอนนี้จับจ้องอยู่ที่คนเพียงคนเดียว .. มักเน่ตลอดกาล เธอผู้เป็นที่รักของเขา ซอฮยอน

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านยองอุน งานนี้เป็นปาร์ตี้ของนาย พวกเราดีใจที่นายกลับมา” ลีทึกเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น ได้เพื่อนรักกลับมาจากกรมทั้งที วันดีๆแบบนี้ต้องฉลอง

ร่างสูงค่อยๆลดระยะห่างของเขามาหาเธอราวกับมีแรงดึงดูด คยูฮยอนถนัดการเข้าหาเธอแบบนี้ที่สุด น่าจะพอๆกับการร้องเพลงบัลลาดทีเดียว เพราะเขาใช้มันบ่อยๆเวลาที่มีงานร่วมกับรุ่นน้อง SNSD มือหนาคว้าเอาที่ข้อมือเธอพร้อมกับจับไว้แน่นเมื่อเห็นร่างสูงบอบบางนั้นทำท่าจะเดินเลี่ยงไป

“จะหนีไปไหน อยู่ข้างๆพี่นี่แหละ” เขาก้มลงไปกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูเธอ

“เป็นอะไรไป ทำไมไม่รับโทรศัพท์แถมยังหนีหน้ากันด้วย” เขาถามต่อเมื่อเห็นว่าไร้การตอบสนองจากคนข้างๆ

“แอบหนีไปเล่น CF อะไรก็ไม่รู้อีกต่างหาก” หญิงสาวยังคงนิ่งเฉย

“ไม่ตอบเหรอ จูบโชว์มันตรงนี้เลยดีไหม”

“อปป้า!” เธอร้องเสียงดังเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของชายหนุ่ม ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะทำขึ้นมาจริงๆก็ได้ คยูฮยอนบ้าจี้ไม่น้อยหรอกเมื่อเป็นเรื่องของเธอ แถมยังอยู่ในสถานที่ที่มีแต่คนกันเองแบบนี้

สายตาของทุกคนต่างก็มองมาที่ซอฮยอนหลังจากได้ยินเสียงร้อง เธอและคยูฮยอนกลายเป็นจุดสนใจไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

“อปป้าคะ ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ ต่อไปเรามาพยายามด้วยกันนะคะ ช่วยเอ็นดูพวกเราเหมือนเดิมด้วยนะคะ~” เธอเอ่ยขึ้น แก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมีไหวพริบ

ถึงอย่างนั้นมีหรือพวกพี่ๆจะไม่รู้ สองมือที่ยังคงจับกันแน่นแม้หญิงสาวจะก้มตัวโค้งเพื่อแสดงความเคารพคังอินสร้างรอยยิ้มบางๆบนหน้าชาวครอบครัว SM ไม่น้อย

…คยูมันรักมันหวงของมันจริงๆ ทำเป็นงอนนิดงอนหน่อย สุดท้ายก็มาง้อเขาจนได้

 

ปาร์ตี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ทุกคนเริ่มสนุกสนานจนไม่มีใครสนใจใคร แทยอนหยอกล้อกับคังอินด้วยความคุ้นเคย นานมากแล้วที่ไม่ได้พบกันได้คุยเล่นกันอยางนี้ ยูริก็โดนแหย่เรื่องฉากจูบและเรื่องแข่งเรทติ้งกับยุนอาจนเป็นที่สนุกสนาน หนุ่มๆบางคนรื้อเกมวีออกมาเล่นแข่งกันเรียกเสียงเชียร์จากกองเชียร์ที่แบ่งเป็นสองฝ่าย คยูฮยอนเห็นจังหวะเหมาะจึงพาเธอแยกออกมาที่ห้องของเขา

“มีอะไรคะ อปป้า”

“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยว่าเธอเป็นอะไร ทำไมไม่โทรมา โทรไปก็ไม่รับสายไม่ตอบข้อความด้วย เรื่องของยงฮวาทำไมมันยังไม่จบซักที แล้ว CF นั่นอีก คืออะไร ทำไมถึงได้เซ็กซี่อย่างนั้น ทำไมไม่ปฏิเสธให้คนอื่นถ่ายแทน ทำไมต้องใส่เสื้อผ้าเปิดเผยแบบนั้น ใครให้ใส่ ทำไมต้องทำหน้าตาท่าทางน่ารักอย่างนั้น หา?” เขาถามคำถามยาวเป็นพรืดจนแทบจะไม่ได้หายใจ

เขามองคนที่ยืนหัวเราะคิกตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ คนรักของเขาแปลกไม่เหมือนใคร ไม่เว้นแม้กระท่ังตอนนี้ ตอนที่เขาหวงเธอน้อยใจเธอจนแทบบ้า แต่ที่เธอตอบกลับมาคือ…..หัวเราะอย่างชอบใจ

“เค้าไม่โทรมาก็เพราะเค้าโกรธที่อปป้าถ่ายรูปกับคุณอี้เสี่ยวประชดเค้า” ใช่เธอโกรธ ซอฮยอนโกรธจริงๆในตอนแรกเมื่อเห็นรูปเขากับอี้เสี่ยว แต่เพียงแค่เห็นหน้าเขา ได้ยินคำถามมากมายความโกรธก็หายวับไปกับตา เธออธิบายต่ออย่างใจเย็น “เค้ารู้อปป้าไม่ชอบเรื่องเค้ากับพี่ยงฮวาที่ยืดเยื้อไม่จบเสียที แต่อปป้าก็รู้ว่าเรื่องของเค้ากับพี่ยงฮวาไม่เคยมีจริง”

“เค้าอยากให้อปป้ารู้บ้างว่าอปป้าก็ไม่ได้รักเค้าอยู่แค่คนเดียว อะไรที่อปป้ารู้สึก เค้าเองก็รู้สึก เค้าไม่มั่นใจและอ่อนไหวเวลาที่เราห่างกัน แต่เค้ารู้ว่าความรักของเรามั่นคงกว่านั้น” เธอใช้นิ้วโป้งไล้เบาๆที่มือเข้าก่อนจับกระชับแน่นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเขา “เวลาของเราสองคนมีน้อยเหลือเกินในตอนนี้ แต่อนาคตจะมีแค่เราตลอดไปไม่ใช่เหรอคะอปป้า”

คยูฮยอนออกแรงดึงร่างน้อยที่จับอยู่เข้ามาในอ้อมกอด ได้ยินเธอพูดอย่างนี้มีหรือใครจะทนได้ .. เขาดีใจที่สุดที่ได้รู้ เขาเองอาจจะอ่อนไหวไปบ้างในบางครั้ง แต่ทุกครั้ง เขาก็กลับมารักหนักแน่นได้เหมือนเดิมเพราะเธอ บางทีอาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“แต่เค้าก็ขอบคุณอปป้านะคะ”

“ขอบคุณเรื่องอะไรจูฮยอน” เขามองหน้าสวยที่มีรอยยิ้มฉายอยู่อย่างเป็นคำถาม

“ขอบคุณที่ถึงจะถ่ายรูปกับอดีตภรรยาแต่ก็ไม่มีสกินชิพเลย” เธอหัวเราะคิกอย่างน่ารักเมื่อจบประโยค

เป็นไงล่ะ ซอ จูฮยอน มักเน่นางฟ้าที่แสนน่ารักของทุกคน แต่ทำตัวแสนเกรียนเสมอเมื่ออยู่กับเขาสิน่า ให้ตายเถอะ! .. ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังน่ารัก

เขามองจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตที่เปล่งประกายระยับ ชายหนุ่มค่อยๆลดระยะห่างระหว่างทั้งคู่จบริมฝีปากของเขาจรดลงที่ริมฝีปากสีชมพูนั่น คยูฮยอนมอบจูบที่แสนอ่อนโยนและเรียกร้องให้กับซอฮยอนจนเธอแทบจะลืมหายใจ

ก๊อก ก๊อก! 

“คยู ไปทำอะไรในห้อง ออกมาปาร์ตี้กันก่อนเร็ว” เสียงเรียกจากด้านนอกดังขึ้น

“กลับเข้าไปในงานกัน” เห็นทีเขาคงจะต้องกลับเข้าไปในงานอีกครั้งแม้จะอย่่างจูบเธออย่างนี้มากกว่าก็ตาม ชายหนุ่มจูบริมฝีปากบางสวยนั้นอีกครั้งพร้อมกับพูดเบาๆกับเธอก่อนจะพากลับเข้าไปในงาน ใบหน้าขาวใสขึ้นสีชมพูอย่างห้ามไม่ได้กับคำพูดของเขา

 

“แต่เรายังต้องเคลียร์กันเรื่อง CF นะคะที่รัก”

 

 

NOTE:

* ช่วงนี้อยู่โหมดนิ่งอึนและงานยุ่ง ความสามารถในการเขียนเรื่องน้อยลงจริงๆ แต่อะไรไม่รู้ดล อยู่ดีๆก็บิ้วท์มันขึ้นมาซะงั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็แฮปปี้มากเพราะระหว่างที่เขียนเรื่องนี้ได้ยินข่าวลือดีๆมา ทั้งๆที่เป็นข่าวลือแต่คนเราก็มีสิทธิ์หวัง…เนอะ 😀

* Welcome back, Kim Youngwoon! เค้าดีใจมากเลยล่ะ ตอนเห็นหมีคังเดินมากอดพี่ทึกถึงกับน้ำตาคลอ ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้วนะ It was not a good bye, cuz finally you are back after your long short journey 😀

* รีไรท์เบาๆ 18/04/12 คำผิดเยอะเหลือเกิน T^T