Archive

Monthly Archives: พฤศจิกายน 2012

ถ้ายังไม่เคยอ่าน อ่าน Y, I’m so stupid ก่อนเพื่อความไม่งุนงงนะคะ ^^ https://seororolover.wordpress.com/2012/10/14/735/

เสียงท่วงทำนองดนตรีหวานดังอยู่ทั้งๆที่นาฬิกาบอกเวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว เสียงไล่โน๊ตจากคีย์บอร์ดดังขึ้นขาดๆหายๆเป็นห้วงๆราวกับว่าผู้เล่นกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นิ้วยาวละจากเครื่องดนตรีโปรดมาเคาะที่โต๊ะตรงหน้าก๊อกๆเหมือนว่ามันจะช่วยให้เขาคิดอะไรได้ง่ายขึ้น ชายหนุ่มปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในห้วงของความคิดช้าๆ ค่อยๆนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น .. เรื่องที่เป็นดั่งฝันร้าย

ทุกๆวันเขาตื่นขึ้นมาอย่างคนที่ไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ ทุกๆคืนเขาหลับไปอย่างคนที่ไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ชีวิตในแต่ละวันของเขาช่างหมองหม่น โลกสีสวยที่เขาเคยเห็นในวันที่มีเธอกลับกลายเป็นสีเทาเพียงเพราะเธอได้จากไปแล้ว และคงไม่มีวันได้หวนกลับมารักกันใหม่ได้อีกครั้ง

การทำงานที่ต่างประเทศของเขาสิ้นสุดลงแล้ว อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ที่ Super Junior กลับเตรียมงานเพื่ออัลบั้มใหม่ในเกาหลีอีกครั้ง แน่นอนว่าการกลับมาในครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังของใครๆหลายๆคนที่เฝ้ารอ หากแต่คนคนนั้นไม่ใช่เขา ไม่ใช่ในตอนนี้ที่เขายังไม่พร้อมก้าวเดินเพียงลำพัง การทำงานในต่างแดนช่วยให้เขาหนีความจริงไปได้แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมา กลับมายังมี่ที่มีเธออยู่ และนั่นทำให้เขาไม่อยากจะหายใจ .. ไม่ใช่เพราะเกลียด หากแต่เพราะรักคำเดียวเท่านั้น

กระดาษที่กองอยู่บนพื้นเต็มไปด้วยรอยขีดเขียน ลายมือที่เขียนอย่างไม่เป็นระเบียบถูกขีดทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับพยายามขัดเกลาให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เจ้าของลายมือกลับนอนไม่สนใจจะแยแส ทิ้งมันไว้อยู่อย่างนั้นจนชายหนุ่มรุ่นน้องทนดูต่อไปไม่ไหวจำต้องเก็บรวบเอากระดาษที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นขึ้นมาพร้อมกับบ่นยาวยืด .. จะมานั่งปลอบโยนก็ใช่ที่ จะกลายเป็นว่าเขาปฏิบัติกับทงเฮเปลี่ยนไปเพียงเพราะเลิกกับแฟน นั่นก็ดูจะเหยียดหยามความเป็นชายของคนเป็นพี่ไปหน่อย

คยูฮยอนได้แต่มองร่างสันทัดที่นอนอย่างไร้วิญญาณในห้องนั่งเล่นด้วยความห่วงใย เขาเองไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อตัวต้นเหตุเองก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาสักครั้งทั้งๆที่สนิทกัน เมมเบอร์ในวงเองต่างก็ได้แต่ส่ายหัวไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในเมื่อแต่ละคนพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะอธิบายให้รุ่นน้องสาวฟังเพื่อปรับความเข้าใจ ทงเฮจะได้เลิกแสดงอาการเหมือนคนขาดอากาศหายใจอย่างนี้ คยูฮยอนกดที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูที่แสดงชื่อยุนอาก่อนที่นิ้วจะเลื่อนไปหยุดที่ชื่อหญิงสาวอีกคน .. ซอฮยอนนี่

ยุนอามองหญิงสาววัยละอ่อนตรงหน้า ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวเหลืองอย่างคนจีน เครื่องหน้าเล็กจุ๋มจิ๋มหากแต่ได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ดวงตาชั้นเดียวเขียนทับด้วยอายไลน์เนอร์สีดำคมกริบ ริมฝีปาดสีสตรอว์เบอร์รี่ส่งยิ้มมาให้เธอแต่กลับเหมือนอาวุธร้ายทิ่มแทงเธอมากกว่า ซอฮยอนนัดเธอแต่กลับเป็นผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว คนเดียวกับที่เธอพบที่อพาร์ทเมนท์ของ Super Junior คนเดียวกับที่กอดคอทงเฮแน่นจนเธอทนมองไม่ได้ หญิงสาวแทบจะลุกหนีแต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น แม้แต่มักเน่ที่ควรจะหวังดีกับเธอที่สุดก็ทำร้ายเธอไม่เว้นอย่างนั้นหรือ ยุนอากลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆลงไปในอก มือเรียวบางกำแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ ทั้งๆที่ตอนนี้หัวใจเธอเหมือนจะสลายลงทุกที

“ฉันชื่อวิทนีย์ เป็นน้องสาวที่เฮนรี่ เราเคยพบกันแล้ว” ฝ่ายตรงข้ามเริ่มพูดพร้อมกับหยิบเครื่องดื่มตรงหน้าขึ้นมาจิบจากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะคะ .. ฉันชอบพี่ทงเฮ”

เหมือนโลกทั้งโลกทลายลงตรงหน้ายุนอา น้ำตาที่ใครต่างว่ายากนักที่จะได้เห็นกลับไหลลงมาตามดวงหน้าสวย ตาที่เคยสดใสบัดนี้เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างไม่รู้ว่าจะหยุดมันได้อย่างไร ยุนอาในตอนนี้อยากจะล้มโต๊ะตรงหน้า ทำลายข้าวของให้สมกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับ แต่เธอกลับไร้เรี่ยวแรงแม้จะลุกยืน

…ชาติที่แล้วเธอไปทำอะไรมา ทำไมถึงโดนทำร้ายได้อย่างนี้

ทงเฮยังคงใช้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อของเขาในอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของเขาและเหล่าเพื่อนร่วมวง วันนี้ทุกสิ่งรอบตัวดูเงียบผิดปกติ เงียบอย่างน่าประหลาดใจ แต่เขาไม่มีอารมณ์จะใส่ใจอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจแม้แต่จะทานอาหารที่เพื่อนร่วมวงเตรียมไว้ให้ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มทิ้งกายหนาลงบนโซฟาตัวเดิม คิดถึงเธอคนเดิม ทั้งๆที่รู้ว่ามันแสนจะทรมาน แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อหัวใจของเขาไม่อาจลืมเธอได้ซักวัน

เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นที่ประตูแต่ชายหนุ่มยังคงนอนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวด้วยคิดว่าคงเป็นเมมเบอร์ซักคนที่เสร็จงานแล้วกลับบ้านตามปกติ กระทั่งกระดาษขาวที่ปิดหนาอยู่ถูกดึงออกไปโดยใครบางคน ทงเฮผุดลุกขึ้นทันทีอย่างคนที่อารมณ์เสียแต่กลับนิ่งสนิทเมื่อได้เห็นคนที่ยืนอ่านข้อความในกระดาษนั้นอยู่ เนื้อเพลงที่เขาแต่งเพื่อเป็นคำขอโทษ ให้เธอยกโทษให้ผู้ชายโง่ๆหนึ่งคน

ดวงตาคู่งามช้ำราวกับคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก หญิงสาวกวาดไปตามข้อความในกระดาษขาวแล้วน้ำตาใสๆเอ่อล้นออกมา จมูกโด่งได้รูปกลายเป็นสีแดง ทงเฮมองคนตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอร้องไห้ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็แสนจะดีใจที่เธอมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ราวกับฝัน

…ทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหม

…ฝันร้ายของเขากำลังจะผ่านไปแล้วใช่ไหม

“อปป้าบ้า ทำไมไม่ยอมอธิบาย เขียนเพลงอยู่คนเดียวอย่างนี้เมื่อไรเค้าจะรู้” กำปั้นเล็กทุบไปที่หน้าอกหนาครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าที่แรงจะมีจนคนที่ยืนนิ่งอยู่เซจนแทบล้ม ชายหนุ่มปล่อยให้เธอระบายอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มือหนาจะรวบตัวเธอมากอดไว้

“อปป้าขอโทษ ก็มันไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกันจริงๆซักที” วงแขนหนาขยับแน่นขึ้น “เธอเองก็ไม่เห็นจะฟังเจ้าพวกเมมเบอร์เลย”

“เค้าไม่อยากฟังจากปากคนอื่น เค้าอยากฟังคำอธิบายจากอยากปากของคุณอี ทงเฮมากกว่า” ร่างหนาหยุดกึกชั่วขณะจนยุนอารู้สึกได้แต่หญิงสาวยังคงเอ่ยตัดพ้อ “แต่เค้าต้องมารู้จากวิทนีย์”

มือหนาจับที่ต้นแขนกลมกลึงแล้วดันเธอออกเล็กน้อย ดวงตาคมมองเข้าไปข้างในตาคู่สวยอย่างต้องการค้นหา คำถามมากมายลอยไปมาอยู่หัวจนเขาไม่รู้จะถามคำถามไหนก่อน มีเพียงคำที่เอ่ยมาลอยๆเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะถาม “วิทนีย์?”

“น้องสาวเฮนรี่ เธอชื่อวิทนีย์ไม่ใช่เหรอคะ” ยุนอาถามกลับเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าไม่เข้าใจ “เธอมาบอกว่าเธอแค่ชอบอปป้า แต่อปป้า…เห็นเธอเป็นแค่น้องสาว เธอก็ตรงๆดีนะคะ”

“แล้ว…”

“คยูฮยอนอปป้าวางแผนให้ซอฮยอนหลอกเค้ามา” หญิงสาวตอบราวกับล่วงรู้ความคิด “มันจะมากไปแล้วนะคะอปป้า เอามักเน่ไปเป็นพวกแบบนี้เนี่ย”

ทงเฮมองคนที่ยืนกอดอกบ่นเขาไม่ยอมเลิกก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวนุ่ม มือหนาที่ยังประสานแน่นไม่วายดึงเธอลงมาทาบทับ ชายหนุ่มโอบกอดเธอไว้พลางเอ่ยคำขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุด น้ำตาที่แห้งเหือดไปกลับมาไหลได้อีกครั้ง..ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ น้ำตาลูกผู้ชายครั้งนี้แทนคำขอบโทษที่เขาทำอะไรโง่ๆลงไปจนเกือบทำให้ความรักพังทลาย ทำเธอเสียใจ และยังแทนคำขอบคุณที่เขามีให้เธอ

…ขอบคุณที่กลับมาหาผู้ชายอย่างเขา

เสียงดนตรียังคงเล่นอยู่ แสงไฟที่ด้านนอกยังคงส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เสียงโน๊ตดังสอดประสานเข้าเป็นท่วงทำนองเพลงไพเราะ หากแต่คนแต่งเพลงไม่ได้สนใจเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์สำคัญเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมมองร่างบอบบางที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ชายหนุ่มมองเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ปล่อยให้เสียงเพลงจังหวะหวานบรรเลงไปอย่างช้าๆก่อนที่จะเดินเข้าไปขยับผ้าห่มให้ เขาประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากบางอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง มือหนาจับปากกาจรดลงบนกระดาษขาวตรงหน้า ฝันร้ายของเขาผ่านไปแล้ว จากนี้จะมีเพียงความรักที่เขายืนยันจะรักษามันไว้ด้วยหัวใจ .. ตลอดไป

난 그대만의 오빠
ฉันคือพี่ชายของเธอคนเดียว
그댄 나만의 여자
เธอคือผู้หญิงของฉันคนเดียว
항상 네 곁에 있어 줄게
เธอจะมีฉันอยู่ข้างๆตลอดเวลา
난 그대만의 오빠
ฉันคือพี่ชายของเธอคนเดียว
달콤한 우리 사랑
ความรักเรามันช่างแสนหวาน
오빤 너만 사랑할래
พี่จะให้ความรักแค่เธอคนเดียว

ถึงไพโรและผู้เสพฟิคยุนเฮทุกท่าน
ในที่สุด First Love ก็มาแล้ว
ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่แต่ง Y ว่าจะเอาตอนนี้เป็นตอนต่อไป อาจจะติดๆขัดๆไปบ้างขออภัยค่ะ
ปกติแต่งแต่คยูซอ OS สองเรื่องนี้เป็นตอนพิเศษเลยมาได้เท่าที่เห็น -__-:;
ที่หยิบมาเพลงนี้มาเพราะเราชอบเพลงนี้มาก ปลา(เคย)น้อยของพี่แต่งไว้ได้เพราะมากจริงๆ
ทุกครั้งที่ฟังจะรู้สึกดีจนอยากให้เป็นเพลงแต่งงานของทุกคู่ ขนาดนั้นเลยค่ะ
ถึงจะมีบางคนบอกว่าเพลงนี้ทงเฮแต่งให้เอล์ฟ .. แต่มันช่างเข้ากับฟิคตอนนี้จริงๆเลยเนอะ
ขอให้มีความสุขในการอ่านนะคะ

คลองชองเกชอน คลองเล็กที่ไหนพาดผ่านใจกลางกรุงโซลตั้งแต่ในอดีต และแม้จะเคยกลายเป็นคลองน้ำเสียแต่ก็ได้รับการฟื้นฟูจนกลายเป็นคลองน้ำดีใสแจ๋วให้เป็นที่พักผ่อนของชาวกรุงและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาพันธุ์ บางครั้งคลองเล็กๆก็ผูกพันกับชีวิตคนที่เดินผ่านไปมา เรื่องราวมากมายอาจจะเกิดได้ที่นี่ .. จนทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของใครหลายคน

ที่ที่เป็นดังจุดเริ่มต้น

สายน้ำที่ไหลให้ความฉ่ำชื้นนั้นมีจุดเริ่มต้นจากต้นกำเนิดเพียงเล็กๆ กลับก่อเกิดเป็นความผูกพันเชื่อมเกี่ยวหลายชีวิตเข้าหากันได้อย่างน่าอัศจรรย์ สำหรับบางคนชองเกชอนสายนี้เป็นการเริ่มต้น แต่ในบางครั้งจุดเริ่มต้นก็มาหาโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว ใครเล่าจะรู้เว้นเสียแต่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นและผ่านไปให้ได้หันกลับมามอง

บนทางเดินริมธารน้ำไหล อากาศช่วงปลายหน้าร้อนกำลังเข้าฤดูใบไม้ร่วงที่ปกติแล้วฝนจากบนฟ้ามักจะมาเยือนเพื่อสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับผืนโลก เด็กหญิงวัยแรกรุ่นเดินอยู่ลำพังท่างกลางผู้คนมากมายแม้ฟ้าจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้วก็ตาม ด้วยเห็นว่าอากาศวันนี้ดีกว่าทุกวัน เด็กหญิงที่ว่างจากการซ้อมดนตรีจึงขอใช้เวลาผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญ

เมื่อสามปีที่แล้วเธอมีคนมาทาบทามให้ไปออดิชั่นเพื่อเป็นศิลปินฝึกหัดในค่ายดนตรีใหญ่ค่ายหนึ่งในเกาหลี แม้ในตอนนั้นที่บ้านจะวางแผนการในอนาคตไว้ให้เธอไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ต่างก็เคารพการตัดสินใจของเธอที่เลือกเดินทางสายนี้ จากวันนั้นจนวันนี้เด็กหญิงก็เฝ้าเพียรฝึกฝนทั้งด้านขับร้อง การเต้น การแสดง รวมไปถึงการวางตัวในสังคมโดยไม่มีแม้เสียงบ่นซักคำว่าเหนื่อยหรือท้อ ทุกวันของเธอมีแต่พยายามทำความฝันให้เป็นจริง ความฝันที่จะได้เดบิวท์เป็นนักร้อง

เพราะเป็นน้องคนเล็กสุดในกลุ่ม บางครั้งทุกอย่างก็ดูยากและสับสนเกินกว่าที่เด็กสาวอายุ 15 จะเข้าใจ เธอเหนื่อยแต่เธอไม่เคยบ่น เธอเคยท้อแต่เธอยังคงเชื่อในความฝัน ถึงอย่างนั้นบางครั้งเธอเองก็มีคำถามถามตัวเอง .. ฉันจะมีวันนั้นไหม

วันนี้ที่มีการสอบภายใน คุณครูสอนขับร้องบอกกับเธอว่าเธอยังร้องได้ไม่ดีพอ คุณครูเต้นก็ตำหนิที่เธอว่าเต้นดีเหมือนหุ่นยนต์ เต้นถูกต้องหากแต่ไม่สามารถสื่ออารมณ์ผ่านออกมาได้ หลังจากการทดสอบคุณครูจึงตัดสินใจปล่อยเธอให้ได้ใช้เวลาเช่นเด็กคนอื่นบ้างด้วยหวังว่าเด็กหญิงจะกลับไปพร้อมด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้หากได้พักผ่อนเต็มที่

ร่างผอมอย่างเด็กกำลังโตเดินสะพายกระเป๋าหนักอึ้ง สองมือจับกระชับที่สายสะพายอย่างต้องการจะผ่อนน้ำหนักที่ด้านหลัง ดวงตาใสแจ๋วมองไปรอบๆตัวก่อนที่จะเดินไปนั่งที่ขั้นบันไดริมน้ำ เด็กหญิงปลดกระเป๋าใบโตมาวางข้างกาย มือเล็กๆเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเอาเครื่องเล่น MP3 ขนาดเล็กมาเปิดฟัง ยังไม่ทันที่จะใส่หูฟังเด็กหญิงก็ได้ยินเสียงพูดดังขึ้น

“เราไปกันเถอะฮานึล ที่นี่ไม่สงบแล้ว มีเด็กอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่น” เสียงเด็กชายที่เริ่มเป็นหนุ่มเต็มตัวพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก หนุ่มน้อยเอื้อมมือกอดสาวน้อยผมยาว ดวงหน้าได้รับการเสริมแต่งเป็นอย่างดีหันไปตามสายตาของเขา

“ใครเค้าจะไปอยากดูให้เสียลูกตา หลงตัวเอง” เด็กหญิงที่อ่อนวัยกว่าพูดขึ้นคนเดียวอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินคำกล่าวหา ใครกันจะอยากดูคนกอดจูบกันริมคลองน้ำใส เธอผิดเองที่ไม่ได้สังเกตตั้งแต่ต้น มัวแต่สนใจสายน้ำไหลจนลืมมอง ไม่คิดว่าเธอกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของใคร

“นี่เธอว่าไงนะ” เสียงแตกหนุ่มถามขึ้นอย่างคนเริ่มมีอารมณ์

…ซวยแล้ว ดันหูดีเสียด้วย

“หา! ว่าไง ยัยเด็กหนูผี!” ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ เด็กชายยิ่งอารมณ์เสีย

“นายเรียกใครหนูผี”

“เธอนั่นแหละเด็กบ้า ตาก็โปน ผมก็ลีบ หูก็กาง” คนโตกว่าพูดด้วยความโมโห “สวยก็ไม่สวยยังมาแอบดูชาวบ้าน”

“ใครเค้าอยากดูคนอย่างนาย หลงตัวเองเกินไปแล้ว คนเค้ามีความฝัน ไม่มาสนใจคนทำอะไรเลอะเทอะไร้แก่นสารอย่างนายหรอก” เด็กหญิงร่ายยาวอย่างคนเริ่มมีน้ำโห ร้อยวันพันปีน้องเล็กแสนใจเย็นอย่างเธอไม่เคยโกรธจัดจนน็อตหลุดขนาดนี้ เด็กหญิงได้ชื่อว่าเป็นเด็กที่สะกดกลั้นอารมณ์เก่งจนบางครั้งหลายๆคนบอกให้เธอระบายมันออกมาบ้าง

ร่างผอมลุกพรึ่บขึ้นทันทีที่พูดจบแล้วจึงเดินหนีปล่อยให้คู่รักรุ่นพี่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่อย่างนั้น เด็กหญิงเดินกลับบ้านลืมไปเสียสิ้นว่าเมื่อเย็นที่ผ่านมาเธอท้อแท้แค่ไหน สิ่งที่อยู่ในใจตอนตอนนี้นอกจากความขุ่นเคืองคนแปลกหน้าสองคนนั้นคงมีเพียงความตั้งใจแน่วแน่ .. ใช่ เธอมีความฝัน เธอต้องทำมันให้สำเร็จ

หนุ่มน้อยแยกจากแฟนสาวที่ตรงนั้นโดยไม่ได้ไปส่งอย่างทุกครั้ง เขากลับบ้านพร้อมกับคำพูดของเด็กหญิงตัวแสบที่ก้องอยู่ในหัว .. คนเค้ามีความฝัน ไม่มาสนใจคนทำอะไรเลอะเทอะไร้แก่นสารอย่างนายหรอก .. ความฝันอย่างนั้นเหรอ แล้วคนอย่างเขาควรจะมีความฝันเหมือนกันบ้างไหม ดวงตาคมมองเอกสารที่อยู่ในมือนิ่ง ใบสมัครแข่งขันร้องเพลง Chin Chin Youth Festival

…นี่ผมควรทำยังไงกับมันดี

ที่ที่เป็นเหมือนดั่งทางเดิน

น้ำใสไหลรินไปตามทางน้ำ ไม่ว่าจะคดเคี้ยวแค่ไหนน้ำยังคงเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเสมอ ช้าหรือเร็วนั้นอยู่ที่สภาพแวดล้อม แม้น้ำที่ดูนิ่งหากยังคงมีพลังงานมากมายมหาศาลซ่อนอยู่เพื่อรอวันเดินทางต่อไป สำหรับบางคนคลองชองเกชอนเป็นเหมือนดั่งการเดินทางของชีวิต ที่ที่การเริ่มต้นได้ผ่านไปแล้วและยังคงต้องเดินทางตามหาจุดหมายที่แตกต่าง

ลมหนาวพัดยะเยือกมาเป็นปกติของเกาหลีช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเข้าเดือนธันวาคม น้ำในธารน้ำใสยังคงไหลรินแม้อุณหภูมิตอนนี้ต่ำกว่าสิบองศาเข้าใกล้จุดเยือกแข็ง คลองชอนเกชอนในวันนี้แลดูเงียบเหงาแม้ว่าฤดูเทศกาลกำลังใกล้เข้ามา คนเดินถนนต่างก็เดินผ่านไปมาด้วยความเร่งรีบเพื่อจะได้เข้าไปในตัวอาคารที่อบอุ่นกว่าการเดินรับลมหนาวอยู่ด้านนอก หากยังมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่คงทำงานอยู่ริมสายน้ำแห่งนี้

ท่ามกลางผู้คนที่พากันสวมใส่เสื้อผ้าตัวหนา ร่างบอบบางในชุดกระโปรงบางเบากำลังเป่ามือตนเองอยู่ลำพังอย่างหวังว่ามันจะทำให้เธออบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ไออุ่นจากร่างกายกลับไม่ช่วยเธอเท่าไร เพราะอากาศทีี่เย็นจัดขนาดเปลี่ยนลมหายใจที่พ่นออกมาให้นั้นกลายเป็นไอเพียงชั่วพริบตา สายตาคมมองเธอจากมุมที่ไม่ไกลนัก ก่อนจะส่ายหัวเบาๆให้กับความอดทนอย่างแสนร้ายกาจของเธอผู้นั้น

…หนาวขนาดนี้ จะใส่แค่นั้นได้ยังไงกัน แถมยังไม่โวยวายซักคำ

ชายหนุ่มเหลือบไปมองผ้าห่มลายการ์ตูนที่วางอยู่ เขามองคนรอบตัวที่ดูวุ่นวายสับสน ชายผู้มีอำนาจสั่งงานคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งวุ่นเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง เป็นภาพคุ้นชินสำหรับคนที่ผ่านงานมาพอสมควรอย่างเขา มือหนาเอื้ิอมหยิบผ้าห่มอุ่นแล้วจึงเดินไปที่หญิงสาวรุ่นพี่ที่กำลังหาสิ่งของบางอย่างอยู่เป็นพัลวัล

“นูน่าฮะ เอาไปให้เธอสิฮะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับยื่นผ้าห่มในมือให้กับคนตรงหน้า

“กำลังหาอยู่พอดีเลย! ขอบใจมากนะจ้ะ” เธอกล่่าวอย่างยินดี ดวงตาเปล่งประกายทันทีที่เห็นว่าของที่กำลังต้องการใช้หญิงสาวที่อยู่ในการดูแลของเธอกำลังต้องการมัน

“นูน่าเอาไปให้เค้าก่อนแล้วกันนะ ป่านนี้แข็งตายแล้วไม่รู้” หญิงสาวรุ่นพี่เอ่ยลาก่อนจะรีบวิ่งไปที่ร่างระหงในชุดการ์ตูนบางๆนั่น

ชายหนุ่มมองรุ่นน้องสาวด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ถึงความรู้สึก อันที่จริงเขาเองจะเรียกเธอว่ารุ่นน้องก็เรียกได้ไม่เต็มปาก ด้วยเธอเป็นเด็กฝึกมานานกว่าแต่เขากลับได้เดบิวท์แจ้งเกิดในวงการดนตรีเร็วกว่า ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพอย่างที่เธอเป็นกับทุกคน แม้จะเป็นน้องเล็กเหมือนกันแต่เธอกับเขาช่างแตกต่าง เธอแสนดีอ่อนหวาน ส่วนเขาเกเรแสบสันต์

เวลากว่าสามปีที่เขาเริ่มเลือกเดินทางสายดนตรีจากเด็กชายที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร วันนี้เขาเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความรักและศรัทธาในหน้าที่การงาน การเริ่มต้นที่เขาเองก็คาดไม่ถึง กลับเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับเขาในวันนี้ แม้ทางเดินของเขาไม่ได้สวยงามนัก มันเต็มไปด้วยเสียงคัดค้านจากครอบครัว และยังมีอุบัติเหตุเลวร้ายที่เขาจำไม่ลืม แต่ยากลำบากแค่ไหนเขายังจำวันที่เขาเริ่มเดินมาและทุกก้าวที่เขาฝ่าฟันมาได้อย่างดี ทุกครั้งที่เหนื่อยหรือท้อเขายังคิดถึงวันนั้นเสมอ

การทำงานท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บยังคงดำเนินต่อไปแม้พระอาทิตย์ลาลับไปนานแล้ว ทีมงานทุกคนยังคงทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อยแข่งกับอุณหภูมิที่ลดลง

“เทค!” เสียงผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหญ่ดังขึ้นเมื่อภาพที่ปรากฎตรงหน้ายังไม่เป็นที่พอใจนัก

เขามองหญิงสาวที่ยืนฟังผู้ชายตัวโตกำลังอธิบายภาพที่ต้องการออกมาเป็นคำพูดให้เธอฟัง แม้ดวงหน้าหวานจะเผยรอยยิ้มบางๆ หากแต่แววตายังคงไม่มั่นใจ ชายหนุ่มรุ่นพี่หันมาคุยกับเขาเมื่อคุยกับเธอเสร็จก่อนจะเดินจากไป ดวงตาคมสบสายตามองเธอที่ยืนอยู่เคียงข้างอย่างหมายส่งกำลังใจไปให้

“เธอทำได้อยู่แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มสว่างไสว

การถ่ายทำยังคงดำเนินต่อไปเทคแล้วเทคเล่าเพื่อเก็บภาพที่สวยงามและน่าประทับใจที่สุด ต่างคนในตอนนี้ต่างก็มีจุดหมายแตกต่างกันไป บางคนต้องการผลงานที่ดี บางคนต้องการให้งานเสร็จเพื่อจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัวที่รออยู่ บางคนอาจต้องการให้เสร็จเพราะต้องการให้อีกคนไม่ต้องทนหนาว แต่กว่าจะถึงตอนนั้นพวกเขายังคงต้องเดินหน้าต่อไปเหมือนสายธารที่กำลังไหล

…จนกว่าจะได้ยินเสียง “คัท”

ที่ที่เป็นเสมือนจุดจบ

สายน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นกับเราในวันนี้ ถ้าเราไม่มองให้ดีคงไม่นึกว่าแม้จะเป็นลำธารสายเดิมหากแต่น้ำใสๆที่ไหลอยู่นั้นไม่ใช่มวลน้ำก้อนเดิมกับที่ไหลผ่านเราไปเมื่อชั่ววินาทีที่แล้ว สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับ มีแต่จะไหลรินไปข้างหน้าจนเมื่อสุดปลายลำธารแล้วจึงไหลไปบรรจบกับอีกสายคล้ายกับเป็นจุดสิ้นสุด คลองชองเกชอนที่แสนชุ่มชื้นและมีชีวิตชีวาอาจเหมือนจุดจบของใครบางคนที่เขาไม่อยากจะพานพบ .. แต่ในเวลาเดียวกันก็กลับไม่อาจเลี่ยง

อากาศเริ่มเย็นลงเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ลมเย็นๆตามฤดูพัดโบกให้ความสดชื่น ใบไม้ต่างเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองส้มราวกับมีใครมาแต่งแต้มสี บ้างก็ปลิดปลิวร่วมหล่นลงสู่ผืนดิน หากได้เห็นสีสันเหล่านี้อย่างเช่นในตอนกลางวันก็คงดีไม่น้อย เสียแต่ว่าเวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิทด้วยราตรีนั้นล่วงเลยไปจนเข้าสู่วันใหม่แล้ว

คลองชองเกชอนในยามค่ำคืนมีแสงไฟประดับงามระยับ ยิ่งเดินก็ยิ่งหลงไหลในสเน่ห์ของสายน้ำเล็กๆแห่งนี้ ที่ริมธารน้ำใสในเวลานี้ผู้คนบางตากว่าเวลาไหนๆ ยิ่งเดินลึกไปที่ปลายน้ำก็ยิ่งเงียบราวกับเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน หญิงสาวร่างสูงเดินช้าๆมาตามทางเดิน ผมยาวผูกไว้เป็นหางม้าซ่อนไว้ในหมวกแก็ป ดวงตากลมโตถูกปิดบังไว้ด้วยแว่นกรอบหนา เสื้อผ้ามิดชิดปกปิดเรือนร่างที่แท้จริงได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างนั้นเธอยังคงดูบอบบาง นานเท่าไรก็ไม่รู้ที่เธอที่เธออยู่ที่คลองแห่งนี้ เธอรู้เขากำลังรออยู่แต่เธอกลับไม่กล้าเดินเข้าไป เธอเองก็เพิ่งรู้ในวันนี้ว่าที่คิดว่าเข้มแข็ง แท้จริงแล้วเธอแสนอ่อนแอ

ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอเกิดขึ้นได้อย่างไรเธอเองไม่อาจรู้ อาจเป็นเพราะเป็นน้องเล็กของพี่ๆเลยมักจะได้ทำงานร่วมกันเสมอ รู้ตัวอีกครั้งก็กลายเป็นว่าเธอมีเขาเคียงข้างทุกทีที่มีปัญหา สองมือหนาของเขาว่างเสมอเพื่อจับมือเล็กๆของเธอ ดวงตาคมที่มักจะคอยติดตามเธอไปทุกที่พร้อมสายตัวห่วงใยให้เธออบอุ่น ความรักของเธอผลิดอกออกผลอย่างสวยงาม แต่เรื่องราวความรักมักอยู่บนความไม่แน่นอนเสมอ ในวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักหรือห่วงใยเธอแล้ว เธอยังรู้สึกได้ถึงความรักมากมายที่ผู้ชายคนนึงสามารถมอบให้ผู้หญิงคนนึงได้

ไม่ใช่เพราะเธอ สำหรับเธอแล้วเขาคือคนเดียวในใจเสมอ

เพราะอะไรความรักถึงเปลี่ยนไปเป็นได้อย่างนี้ เพราะอะไรความเข้าใจที่มีถึงกลายเป็นความห่างเหิน เพราะอะไรรอยยิ้งถึงได้กลายเป็นหยดน้ำตา เธอเองไม่อาจรู้ รู้แต่ว่าหากยิ่งฝืนทนอยู่ .. จากคนรัก จะกลายเป็นแค่”คนเคยรัก”

หญิงสาวถามตัวเองหลายครั้งหลายหนจนมั่นใจ เธอจึงนัดเขามาพบในวันนี้ มาพบกันในที่ที่เป็นที่ของเขาและเธอ หากแต่เมื่อเวลาใกล้เข้ามา เธอกลับรู้สึกไม่มั่นใจเสีย ยิ่งใกล้จุดนัดพบ เธอยิ่งรู้สึกเหมือนคนกำลังจะขาดอากาศหายใจ

ดวงตาสวยมองคนที่นั่งอยู่ริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม ร่างสูงนั่งค้อมตัวราวกับคนแบกโลกไว้ทั้งโลก ดวงตาอารมณ์ดีและรอยยิ้มขี้เล่นหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดขึ้ง เธอไม่ได้เดินเข้าไปหาเขาอย่างทุกครั้ง กลับยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น มือเรียวบางเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดไปหาเขา

“อปป้า” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย น้ำตาดวงน้อยๆค่อยๆไหลรินลงอาบพวงแก้มใส ดวงตายังคงมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่อย่างไม่อาจคราดสายตา เธออยากจดจำภาพเขาไว้ทุกวินาทีก่อนที่เวลาของทั้งคู่จะหมดลง

“เราเลิกกันเถอะนะคะ มันคงดีกว่าที่เป็นอย่างนั้น” เธอเอ่ย พยายามทุกวิถีทางไม่ให้เขารู้ว่าเธอกำลังร้องไห้

ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมาจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มที่อยู่ตรงที่อีกริมฝั่งแม่น้ำนั่งนิ่งจนแทบไม่เคลื่อนไหว ท่าทีของเขาผิดไปจากที่เธอคิด เธอคิดว่าเขาจะโวยวายระบายอารมณ์ตามประสาผู้ชายอารมณ์ร้อน หากแต่เขากลับนิ่งจนน่าตกใจ และถ้าเธอมองไม่ผิด เธอเห็นเขากำลังร้องไห้

ภาพทีละภาพค่อยๆแล่นเข้ามาในหัวราวกับความทรงจำกำลังเล่นตลกกับเธอ ภาพเธอกับเขาเล่นกันในห้องซ้อม ภาพเธอกับเขาจับมือกันครั้งในคอนเสิร์ท ภาพเธอกับเขาเขินอายเวลามีใครพูดถึงความสัมพันธ์ ภาพเธอกับเขาหัวเราะให้กันเวลาที่แกล้งใครซักคนสำเร็จ ภาพเธอกับเขาเคียงคู่กันในงานวันเกิด ภาพเธอกับเขาแอบหนีออกจากหอเพื่อมาเดินจับมือกันที่ริมธารน้ำใส หากในวันนี้ภาพเหล่านั้นคงกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำ

…ดังสายน้ำที่ไม่มีวันหวนคืน

ที่ที่เป็นดั่งชีวิต

กรุงโซลช่วงฤดูใบไม้ผลิช่างเต็มไปด้วยสีสัน อากาศเริ่มอบอุ่นกว่าฤดูหนาวที่หนาวลึกเข้าไปถึงกระดูกแต่ก็ไม่ร้อนจนอบอ้าว ลมเย็นๆกำลังสบายดึงดูดให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองต่างก็ออกมาเดินเล่นซึมซับบรรยากาศดีๆ ใบไม้ใบเล็กๆต่างก็แข่งกันผลิใบออกมาอีกครั้งจนดูสดชื่นต่างจากที่ดูแห้งแล้งเพราะผลัดดอกผลัดใบไปเมื่อฤดูหนาว เชอร์รี่บลอซซั่มแรกเริ่กเผยกลีบสีชมพูสวยจนน่าหลงไหล

เด็กหญิงตัวน้อยก้าวขาเล็กๆไปตามทางเดินริมคลองชองเกชอนอย่างระมัดระวัง ที่ด้านข้างเป็นกำแพงน้ำตกสูงลิบในมุมมองของเด็กวัยห้าขวบ ศรีษะน้อยเงยขึ้นมองสายน้ำที่ไหลลงมาตามกำแพงก่อนจะหันไปมองร่างเล็กๆที่เดินตามมาด้านหลัง เด็กหญิงกวักมือเรียกเด็กชายตัวจ้อยหยอยๆเร่งให้อีกฝ่ายเดินเร็วขึ้นอีกนิดจนมายืนเคียงข้างกัน มือน้อยค่อยๆเอื้อมจับอุ้งมือเล็กกว่าแล้วเดินคู่กันไปอย่างเริงร่า ร่างบางระหงเดินตามเด็กน้อยทั้งสองด้วยความห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่ แม้จะกลัวลูกล้มแต่ก็ยังเลือกที่จะมองอยู่ด้านหลัง ให้โอกาสลูกน้อยได้เดินด้วยตนเอง เบื้องหลังเธอคือชายหนุ่มที่ยืนมองภาพตรงหน้าอย่างปิติยินดี

ในวันที่เธอจากไป หัวใจเขาเหมือนกับหยุดเต้น เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับรถกลับบ้านได้อย่างไร น่าขำที่ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกขอบพี่ร่วมวงแสนขี้แยที่ร้องไห้ตอนที่เลิกกับแฟนสาว หลังจากนั้นเขาจึงแยกตัวเองออกมาลำพัง ทำงานหนักเพื่อให้ลืมความเจ็บปวด แล้วเขาก็ได้รู้ว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีวันลบเธอไปจากใจได้ เขารู้ว่าเธอเองก็คงไม่ต่างกัน หญิงสาวทำงานหนักทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เธอหมดเวลาไปกับละครเวทีเรื่องแล้วเรื่องเล่า มีความสุขเมื่อได้ทำในสิ่งที่เธอฝัน เธอยังคงเหมือนเดิมทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และแววตา ความเปลี่ยนแปลงที่เขาเห็นในตัวเธอคือเครื่องสำอางที่เธอมักจะแต่งแต้มไว้เสมอเมื่อต้องเจอเขา แค่เขาเท่านั้น จนในที่สุดเขาก็ได้รู้เหตุผลจากรุ่นน้องคนสนิท .. มักเน่แต่งหน้าเพราะไม่อยากให้รู้ว่าเธอร้องไห้ ยิ่งเธอแต่งหน้าเป๊ะเท่าไรแสดงว่าเธอร้องไห้มากเท่านั้น

…นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะรอ รอวันที่เธอพร้อมกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หลายปีที่ชายหนุ่มต้องพิสูจน์ตัวเองว่านอกจากจะเป็นนักร้องนักแสดงที่ดีแล้วเขายังเป็นพี่ชาย เพื่อนสนิท ที่ปรึกษา และคนรักที่ดีด้วย จนในที่สุดหญิงสาวก็ตอบแทนความรักของเขาเมื่อเธอตอบรับคำขอที่เขาขอให้เธอเป็นคู่ชีวิต

เขาเองอาจไม่สามารถบอกเป็นความรู้สึกได้ว่ารู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน เขานึกขอบคุณหัวใจตัวเองที่ไม่เคยหมดหวัง เขาขอบคุณเธอที่ไม่เคยหมดรัก ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งดีและร้าย เพราะหากไม่มีวันนั้น .. ก็คงไม่มีวันนี้ที่มั่นคง

“อปป้า” เสียงหวานดังขึ้นปลุกเขาจากห้วงความคิด

ชายหนุ่มมองไปตามเสียงเรียกเห็นสามชีวิตโบกมือเรียกพร้อมส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ เจ้าตัวเล็กทั้งสองยืนแช่อยู่ในธารน้ำใสช่วงที่ตื้นๆและน้ำไม่ลึกนักโดยมีหญิงสาวคอยประคับประคองด้วยความห่วงใย ร่างสูงเดินเข้าไปสมทบกับทั้งสาม มือหนาอุ้มเด็กชายตัวน้อยขึ้นจากน้ำแล้วเล่นด้วยอย่างหยอกเย้า ในขณะที่หญิงสาวชี้ชวนเด็กหญิงดูปลาตัวเล็กๆในลำธาร เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะๆจนคนที่เดินผ่านไปมาต่างก็มองภาพครอบครัวอบอุ่นอย่างชื่นชม

สำหรับบางคนสายน้ำอาจเป็นดังจุดเริ่มต้น สำหรับบางคนสายน้ำอาจเป็นเหมือนดั่งทางเดิน และสำหรับบางคนสายน้ำอาจเป็นเสมือนจุดจบ สำหรับเขาแล้ว..สายน้ำเป็นเหมือนดั่งชีวิต

แวะคุยกันหน่อย :
ที่มาที่ไปของโปรเจกท์นี้คือการไปเดินซึ้งอยู่ริมคลองชองเกชอนมาร่วมสามสี่ชั่วโมง คือเดินไกลมากตั้งแต่ชองเกพลาซ่าไปจนถึงกำแพงแห่งความหวัง(Wall of Hope)นู่น เลยทงแดมุนไปอีก สิ่งที่ได้สัมผัสในวันนั้นเราจำได้ไม่ลืมเลยค่ะ ริมคลองคนเยอะเยอะมากกกก เป็นภาพที่หลากหลายมาก ตั้งแต่เด็กเล่นกัน หนุ่มสาวจีบกัน เพื่อนมาเฮฮา คู่รักที่โตแล้ว ครอบครัวแบบพ่อแม่ลูก เพื่อนแท้ยามแก่ เลยได้แรงบันดาลใจจะเขียนเรื่องซักเรื่องของคนคนนึงที่ผูกพันกับคลองนี้ เลยออกมาเป็นเรื่องนี้ สำหรับเรา เรื่องนี้เราตั้งใจกับมันมากและเขียนยากมากๆเลยค่ะ หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ ^^