Archive

Monthly Archives: กันยายน 2012

มาเกาหลีทั้งทีครั้นจะไม่ไปชมวัดวังเลยก็รู้สึกแปลกๆ ถึงประวัติศาสตร์โลกเราจะอ่อนด้อยแต่ก็ยังอยากไปเดินดูบ้าง คงอารมณ์คล้ายๆกับที่ฝรั่งมาเมืองไทยแล้วอยากชมวัดพระแก้วมรกต พระบรมมหาราชวังอะไรแบบนี้ละมังคะ แต่เพราะความอ่อนด้อยของเราบวกกับที่ไปแล้วไม่มีทัวร์ ไดอารี่ครั้งนี้จึงเขียนยากผิดปกติ และอาจจะสั้นมากถึงมากที่สุด หลังจากทำใจว่าอาจจะได้อ่านบทความไร้สาระแล้ว เราไปเดินเล่นวังกันนะคะ

Day 6 : Deoksugung, Jeongdong-gil, Gwanghwamun Square, Gyeongbokgung, Cheongwadee (Blue House), Samcheongdongil

หลังจากที่หลับสนิทไปเมื่อคืนเพราะเหนื่อย เหนื่อยบวกตากฝนบ่อยจนคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นหวัด ถึงกับเดินเข้าร้านขายยาไปซื้อ Iboprofen มากินก่อนนอนเพื่อกันไม่ให้เป็นอะไรหนัก กว่าจะสื่อสารกับคุณลุงร้านขายยาได้ก็เกือบแย่ คุณลุงออกเสียงชื่อยาเป็น “อิบูโพรเพ่น” เล่นเอามึนตรึ้บ ต้องบอกคุณลุงไปว่าฟีเว่อร์ๆๆๆๆๆถึงได้ได้มา ต้องบอกว่า Iboprofen ที่นี่สีจัดมาก ชมพูแปร้ดแบบ shocking pink ทีเดียว สลบไปหนึ่งคืนตื่นมาทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ พร้อมเที่ยวได้อีกครั้ง

Deoksugung
Jeongdong-gil

How to go : รถไฟใต้ดินสาย 1 หรือ 2 ลงที่ City Hall Station, Exit 2 12
Operating hours : 09:00 – 21:00 (Ticketing 09:00 – 20:00)
Admission Fee : 1,000 KRW ถ้าจะเยี่ยมชมพระราชวังหลักซื้อบัตรแบบ Integrated Ticket of Palaces จะคุ้มมาก เพราะจะรวมค่าเข้า Gyeongbokgung Palace (3,000 won) Deoksugung Palace (1,000 won) Changdeokgung Palace (3,000 won) รวม Biwon Secret Garden (5,000 won) Changgyeonggung Palace (1,000 won) และ Jongmyo Shrine (1,000 won) ทั้งหมดในราคา 10,000 KRW โดยตั๋วมีอายุ 1 เดือนนับจากวันที่ซื้อ เพราะฉะนั้นคุ้ม! เราซื้อค่ะ!

เราเริ่มการทัวร์สารพัดวังวันแรกที่พระราชวัง Deoksugung การเดินทางจากที่พักที่มยองดงไป Deoksugung นั้นต้องไปต่อรถที่ Seoul Station ก่อนเพื่อเปลี่ยนสายไปยัง City Hall .. หลายๆคนอาจจะทราบถึงความสามารถพิเศษส่วนตัวของเราคือไม่เคยนั่งรถผิดฝั่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดได้บ่อยๆในการเดินทางโดยรถไฟใต้ดินเกาหลี เก่งใช่ม้า ^^ ถึงเราจะไม่นั่งผิดฝั่งแต่เรามักจะนั่งรถเลยสถานีบ่อยๆ บ่อยมากด้วยค่ะ เพราะมัวแต่กดมือถือ ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี่ก็แค่จะบอกว่าครั้งนี้ผิดจากความสามารถพิเศษปกติของเรา..เพราะเราลงก่อนถึงป้ายค่ะ -__-:;

…ไม่ขาดก็เกิน ความพอดีอยู่ไหน

จากมยองดงเรากระโดดลงที่ Seoul Station เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟไปยัง City Hall พอกระโดดลงมาก็เดินเพลินๆ เพลินมากกกก..จนขึ้นมาโผล่บนดิน เราขึ้นมาก็เจอรูปปั้นผู้ชายคนนึงกับอาคารทรงตะวันตก ไอ่มือเราก็ไว หยิบกล้องมาถ่ายรูปแชะๆ พอถ่ายรูปเสร็จสติเริ่มมากก็เริ่มมีคำถาม “วังอยู่ไหน?” หลังจากหมุนตัวเองไปพักนึงสติเริ่มกลับมาว่าเมื่อครู่ลงที่ Seoul Station นินา ยังไม่ทันต่อรถเลย แล้วมันคงจะถึงวังเลยเซ่! นึกได้ดังนั้นก็เขกหัวตัวเองไปสามทีก่อนจะเดินลงไปต่อรถมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง Deoksugung

พอกลับมาลองหาข้อมูลว่าไปงงๆไม่รู้ตัวที่ไหนมา สรุปว่าเราไปยืนถ่ายรูป Old Seoul Station มาค่ะ อันที่จริงแล้ว Old Seoul Station เคยเป็นสถานีรถไฟเก่าจนเมื่อมีการเปิดสถานี KTX แห่งใหม่ขึ้นมาหลังจากนั้นก็ได้มีการบูรณะให้เป็น Culture Complex โดยที่ยังคงสถาปัตยกรรมภายนอกไว้ดังเดิม ปัจจุบัน Old Seoul Station ได้รับการลงทะเบียนเป็นโบราณสถานของเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

20120928-215738.jpg

20120928-215814.jpg

เพียงแค่ครู่เดียวจาก Seoul Station ก็ถึงสถานี City Hall จากนั้นเดินมานิ๊ดดดดเดียวก็พระราชวัง Deoksugung .. Deoksugung แปลว่า พระราชวังแห่งการมีอายุยาวนานและมั่นคง เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์โชซอนและเกาหลี จึงมีมักนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม แต่ไม่มากเท่าพระราชวัง Gyeongbokgung ค่ะ Deoksugung มีอายุกว่า 500 ปีแล้ว ส่วนประวัติที่เหลือถามอากู๋น่าจะรู้ดีกว่าเรา แฮ่~!

พระราชวัง Deoksugung เป็นพระราชวังขนาดไม่ใหญ่นัก ภายในพระที่นั่งและอาคารที่สร้างแบบตะวันตก เราเดินไปข้างในสวนที่ด้านหลังมีอาคารแบบตะวันตกเปิดโล่ง ป้ายระบุว่าเป็นส่วนที่เจ้านาย(กษัตริย์และราชวงศ์)ใช้ในการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ด้านหน้ามีคุณลุงผู้ดูแลท่าทางใจดีอยู่หนึ่งคน ถึงจะรู้ว่าเข้าไปแล้วไม่มีอะไรหรอก ก็มันมองเห็นไปด้านในหมดแล้วนินา แต่ก็นะ เรายังถอดรองเท้าอย่างทุลักทุเลเดินเข้าไปหลังจากที่สื่อสารกับคุณลุงใจดีเสร็จว่าจะเข้าไปล่ะน้า~ ภายในตัวตำหนัก(ขอเรียกแบบนี้)มีชุดโต๊ะเก้าอี้วางอยู่แล้วก็ตู้ไม้ เท่านั้นจริงๆ เราก็เดินๆดูถ่ายภาพเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดอะไร พอเราจะเดินออกนี่สิคะ คุณลุงใจดีบอกให้เรากลับเข้าไปสิ เค้าจะถ่ายภาพให้ แถมปฏิเสธยังไงก็ไม่ยอม TvT

…ต้องถ่ายจริงๆเหรอคะ หนูโทรมโหดเลยทีเดียว

คำตอบคือถ่ายค่ะ เป็นครั้งแรกในชีวิตมั้งคะที่ถ่ายรูปเพราะความเกรงใจมากกว่าอยากจะไปอยู่ในภาพเพื่อเป็นที่ระลึก ชักภาพเสร็จก็มาคุยเจ๊าะแจ๊ะกับคุณลุงใจดีพักนึง เค้าคงเห็นว่ามาคนเดียวมั้งคะ บวกกับความประหลาดของหน้าตา คุณลุงเลยบอกว่าหน้าตาเราไม่เหมือนคนไทย กลับเหมือนคนยุโรปหรืออเมริกันมากกว่า ป้าดด~ มาประมวลผลทีหลังคิดว่าคุณลุงน่าจะเคยชินกับการเห็นคนไทยมาเป็นกลุ่ม ไม่ค่อยเห็นมาคนเดียวมั้งคะ คงไม่ใช่เพราะลุคและหน้าตาแน่ๆ

หลังจากนั้นเราเดินชมพระราชวัง Deoksugung รอบๆ ซึ่งยังมีบางส่วนที่ปิดซ่อมแซมและจะเปิดอีกทีในปี 2013 ที่นี่ใช้เวลาไม่นานก็เดินทั่วจริงๆนะคะ สบายขาดีจริงๆ เราเดินไปหนึ่งรอบแถมพยายามขอเค้าออกทางด้านหลังเพื่อที่จะเดินดูถนนข้างวังต่อ แต่ว่าเค้าบอกว่าต้องออกทางด้านหน้าก็เลยต้องเดินย้อนกลับมาด้านหน้า .. เพื่อที่จะเดินเข้าไปชิวริมรั้วด้านหลังของวังอีกที -_-”

20120928-215953.jpg

20120928-220028.jpg

20120928-220139.jpg

20120928-220243.jpg

20120928-220343.jpg

20120928-220417.jpg

20120928-220446.jpg

20120928-220544.jpg

20120928-220626.jpg

20120928-220652.jpg

20120928-220713.jpg

ตอนที่เดินกลับมาด้านประตูหน้าเป็นตอนที่ทหารเปลี่ยนกะพอดีเราเลยได้ดูการเปลี่ยนกะของทหารที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เราได้ดูจากด้านหลังค่ะ -_-” ไม่ได้เห็นอะไรเท่าไรหรอก

20120928-220821.jpg

20120928-220849.jpg

เอาล่ะต่อจากนี้ถึงเวลาที่จะต้องบอกตัวเองว่าเราจะต้องอดทนมากๆเพราะเราจะเริ่มเดินทางไกลกันแล้วล่ะ

ถนนเลียบกำแพงหิน Deoksugung หรือที่เรียกว่าชองดงกิล (Jeongdong-gil) ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุด โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงที่เจ้าใบแปะก๊วยจะหล่นลงมาที่พื้นจนเต็มไปหมด ได้ยินมาว่าที่ไม่มีการกวาดเจ้าใบแปะก๊วยพวกนี้ไปเพราะเป็นนโยบายของท่านรัฐมนตรีท่านนึงที่บอกว่าไม่ต้อง เพราะมันทำให้ถนนสายนี้โรแมนติกที่สุดนั่นเอง

เท่าที่เราหาพบมีความเชื่อเดี่ยวกับเจ้าถนนสายนี้อยู่สองแบบ แบบแรกคือเชื่อว่าถ้าคู่รักคู่ไหนได้เดินด้วยกันที่ชองดงกิลแล้วความรักของพวกเค้าจะยั่งยืนตลอดกาล แต่อีกเรื่องกลับบอกว่าถ้าคู่รักคู่ไหนเดินบนถนนเส้นนี้ด้วยกันก็จะมีอันต้องเลิกรากันไปในที่สุด เราเองไปเดินคนเดียวก็เลยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมมติฐานไหนเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญ ^^”

20120928-221028.jpg

20120928-221124.jpg

ชองดงเคยเป็นศูนย์กลางของชุมชนคนต่างชาติในเกาหลี ที่พักคณะฑูต รวมไปถึงโบสถ์ของชาวคริสเตียน เพราะฉะนั้นระหว่างทางที่เดินเราก็จะพบกับอาคารต่างๆที่บ่งบอกถึงอดีตเลยล่ะค่ะ เราตั้งใจเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งกรุงโซล .. โบสถ์ชองดงซึ่งเป็นโบสถ์โปรเตสเทนท์ยุคแรกของเกาหลี .. จองมยอนจอน (Jeongmyeongjeon) ที่พักของมิชชันนารีที่ถูกสร้างแยกออกมาจากวัง ปัจจุบันจองมยอนจอนเปลี่ยนไปเป็นห้องจัดแสดงความเป็นมาเล็กๆแล้ว .. จากนั้นก็เดินเตาะแตะไปจนถึงซากหอคอยที่ยังคงเหลืออยู่ของอาคารสถานฑูตรัสเซียเก่า (Former Russia Legation) ที่เราอยากดูนักหนา สถานฑูตรัสเซียเก่าสร้างขึ้นแบบเรเนซองค์น่าจะสวยมากเลยล่ะค่ะ น่าเสียดายที่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ซากหอคอย ขนาดแค่ซากหอคอยก็ยังสวยมากจนเราอยากย้อนเวลากลับไปดูว่าทั้งอาคารนั้นจะสวยแค่ไหน

20120928-221359.jpg

20120928-221233.jpg

20120928-221259.jpg

20120928-221519.jpg

20120928-221553.jpg

20120928-221620.jpg

20120928-221643.jpg

20120928-221713.jpg

20120928-221737.jpg

20120928-221822.jpg

20120928-221851.jpg

หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากจะเห็นแล้วเราก็เดินกลับมาเลาะไปตามกำลังด้านหลังของพระราชวัง Deoksugung ผ่านอาคารสำนักงานใหญ่ขององค์กรการกุศล Salvation Army Headquarters เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังจตุรัสกวางฮวามุน

20120928-222019.jpg

20120928-222055.jpg

20120928-222205.jpg

Gwanghwamun Square
How to go : รถไฟใต้ดินสาย 5 ลงที่ City Hall Station Gwanghwamun Station, Exit 2 3
Operating hours : จตุรัสกวางฮวามุนเปิดตลอด (แหงแซะ) แต่พิพิธภัณฑ์พระเจ้าเซจงและนายพลยี ชุนชินเปิดวันอังคาร – อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10:30 – 22:30 hrs (Last entry 22:00 hrs)
Admission Fee : Free

ทำเป็นพูดดีว่าจะมุ่งหน้าไปจตุรัสกวางฮวามุน เปล่าหรอกค่ะ เราก็เดินไปเรื่อยๆนั่นแหละ เพราะความที่เราไม่ได้กางแผนที่เดินมันทุกแยก เราเดินไปเรื่อยๆจับทิศเอาอย่างเดียวเพราะทางตรงนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร แล้วก็ไปคนเดียวด้วยค่ะเลยไม่ค่อยคิดอะไรมากเท่าไร สุดท้ายเพราะความชิวก็ทำให้มึน เราออกมาถึงถนนใหญ่แต่กลับต้องปรับศูนย์ใหม่เพื่อหาทางไปจตุรัสกวางฮวามุน คลำไม่นานหรอกค่ะ แค่ซักระยะเท่านั้นเอง ㅠㅠㅠㅠ

พอทิศทางเริ่มได้ ความมั่นใจเริ่มมา เราก็เดินเตาะแตะไปจตุรัสกวางฮวามุนจริงๆแล้วค่ะ หาไม่ยากเลยเพราะว่าอนุสาวรีย์พระเจ้าเซจงโดดเด่นเป็นสง่ามากๆ แต่การเดินแถวๆนั้นต้องทำใจนะคะ ก็บริเวณจตุรัสกวางฮวามุน พระราชวัง Gyeongbokgung Samcheongdongil นั้นใกล้กับบ้านพักประธานาธิบดีเกาหลีหรือที่เรียกกันว่า Blue House มากแถมยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญเช่นพวกสถานฑูต ก็เลยจะมีตำรวจอยู่เป็นระยะๆและบางทีก็มีปิดถนนด้วย เราเองก็เจอมาเหมือนกันระหว่างทางไปกวางฮวามุนนี่ล่ะค่ะ

มาถึงจตุรัสกวางฮวามุนแบบเต็มไปด้วยผู้คน เราเดินชมอยู่ด้านบนซักพักก็เดินลงไปพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใต้ฐานอนุสาวรีย์พระเจ้าเซจง เจ้าพิพิธภัณฑ์ใต้ดินนี้แบ่งเป็นสองส่วนค่ะ ส่วนนึงแสดงประวัติและผลงานของพระเจ้าเซจงมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเกาหลี ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสิ่งต่างๆมากมาย ตั้งแต่เครื่องดนตรี นาฬิกาแสงอาทิตย์ แผนที่ดวงดาว อาวุธ ตลอดไปจนประดิษฐ์ตัวอักษรเกาหลีที่ใช้มาจนทุกวันนี้ อีกส่วนเป็นส่วนแสดงประวัติและผลงานของนายพลยี ซุนซิน แม่ทัพเรือฝ่ายซ้ายแห่งมณฑลจอนลา ผู้นำเกาหลีชนะญี่ปุ่นหลายศึก นอกจากจะมีประวัติของท่านก็ยังมีเรือเต่าหรือที่ในภาษาเกาหลีเรียกว่าเรือโคบุกชอนที่ท่านคิดค้นขึ้นและเป็นส่วนสำคัญในชัยชนะของเกาหลี รวมไปถึงประวัติศาสตร์เกาหลีเกี่ยวกับการสงครามในสมัยนั้นด้วย เราว่าพิพิธภัณฑ์นี้เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่สนใจ เพราะว่านอกจากส่วนแสดงที่ให้ความรู้แล้วก็ยังมีเกมให้เด็กๆเล่น ทั้งหมดนี่ฟรีค่ะ ถูกใจคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเรามาก *-*

20120928-222402.jpg

20120928-222442.jpg

20120928-222507.jpg

20120928-222533.jpg

20120928-222629.jpg

20120928-222655.jpg

20120928-222741.jpg

20120928-222900.jpg

20120928-222928.jpg

20120928-223006.jpg

20120928-223025.jpg

ก่อนกลับเราเห็นด้านในมีมุมให้ทดลองเขียนภาษาเกาหลีโดยใช้พู่กันเขียนบนกระดาษข้าวเลยลองเดินไปถามเค้าว่าเราเขียนได้ไหม เค้าบอกได้ค่ะ เชิญนั่ง .. พนักงานถามชื่อเราไปเราเลยบอกชื่อที่ปกติใช้ว่าเจดพร้อมสะกดให้ด้วย Jade นะ จะได้ไม่ออกเสียงผิด พนักงานก็เขียนมาให้เป็นตัวอย่างเพื่อให้เราเขียนตาม พอเห็นแล้วถึงจะอ่านเกาหลีไม่แตกฉานแต่ก็เดาได้ว่ามันคือ “เจ-เอ-ดี-อี” เป็นภาษาเกาหลีจริงๆ ไม่สามารถจะขำกว่านี้ได้อีกแล้วค่ะ เราก็เขียนไปตามนั้นแหละ คุณพนักงานก็เฝ้ามองเราเขียนไปให้กำลังใจไปว่าลายมือน่ารัก แล้วชื่อเรา “เจ-เอ-ดี-อี” ก็ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ

20120928-223128.jpg

20120928-223157.jpg

Gyeongbokgung
How to go : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงที่ Gyeongbokgung Palace Station, Exit 5 หรือรถไฟใต้ดินสาย 5 Gwanghwamun Station, Exit 2.
Operating hours : ปิดวันอาทิตย์
March-October: 09:00-18:00
November-February: 09:00-17:00
* Last admission: 1 hr before closing.
* Operating hours are subject to change depending on circumstances.
Admission Fee : 3,000 KRW แต่เราซื้อบัตรแบบ Integrated Ticket of Palaces สบายค่า

มองนาฬิกาแล้วมีเวลานิดหน่อยที่จะเดินไปดูทหารเปลี่ยนกะ(จากด้านหน้า)ที่พระราชวัง Gyeongbokgung เราเลยแทบจะถลาออกจากพิพิธภัณฑ์นั้น แต่ประเด็นมันคือเราไม่ได้โผล่มาตรงทางที่เราลงนี่สิคะ .. อะไรเนี้ยยยย .. แล้วเราก็แพ้ทางใต้ดินตลอดเหมือนตอนที่สิงคโปร์เลย พอลงไปใต้ดินขึ้นมาจะเหมือนสูญเสียสรรถภาพด้านทิศทาง ประหลาดมากเพราะหันไปเห็น Gyeongbokgung อยู่ลิบๆก็ยังจะเดินไปฝั่งตรงกันข้ามเพราะไม่เชื่อว่าเป็นวังจริงๆ แล้วก็ต้องเดินย้อนกลับมา

…วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรา เดินมึนงงเหมือนคนไร้สติ

…หรือเราจะไร้สติมาตลอดตั้งแต่มาที่นี่หว่า

เราเผื่อเวลาไว้นิดหน่อยในการเดิน เพราะฉะนั้นพอเดินกลับมาเค้าก็เปลี่ยนกะกันพอดีอีกแล้ว แต่เราน่ะ…อยู่อีกฝั่งของถนนน่ะสิ ข้ามไปไม่ทัน ยังสงสัยตัวเองอยู่นิดๆว่าคงไม่มีดวงจะได้ดูทหารเปลี่ยนกะแบบเป็นเรื่องเป็นราวกับเค้าซักทีละมั้ง ครั้งแรกได้ดูจากด้านหลัง ครั้งที่สองได้ดูจากด้านหน้าแบบไกลๆ -__-“ แต่ก็เอาเถอะค่ะ ตัดใจๆ คิดได้ดังนั้นก็เดินเตาะแตะเข้าไปในวัง

พระราชวัง Gyeongbokgung แปลว่า “พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง” เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังใหญ่และเป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดของราชวงศ์โชชอน และได้กลายเป็นพระราชวังหลวงหรือวังหลักสำหรับประทับว่าราชการของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของเกาหลีมาโดยตลอด ถึงแม้ในอดีตบางส่วนของพระราชวังจะถูกเพลิงเผาในช่วงที่ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีแต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้สวยงามดังเดิม

นักท่องเที่ยวจำนวนมาก หลายชาติหลากภาษาเลยค่ะที่มาเยี่ยมชมพระราชวัง Gyeongbokgung สมกับที่เป็นพระราชวังหลัก ทุกอย่างใน Gyeongbokgung ยิ่งใหญ่และแตกต่างจาก Deoksugung ที่เราไปเมื่อเช้า เราใช้เวลาพักนึงที่นี่ แต่ไม่นานเท่าไรค่ะเพราะว่าเป็นพวกไม่ถูกโรคกับสถานที่ที่คนเยอะ ทั้งๆที่ในตอนแรกตั้งใจจะเดินออกทางด้านหลังของวังที่จะเดินไป Cheongwadae หรือ Blue House ใกล้ขึ้น แต่เพราะอะไรไม่รู้ เราเดินมาออกทางประตูด้านทิศตะวันตก คงเพราะอยากเดินดูให้ทั่วจริงๆแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม

…ถึงตอนนี้แอบเสียดายเบาๆที่ไม่ดูหนังประวัติศาสตร์ของเกาหลี ไม่งั้นคงซึมซาบอะไรได้มากกว่านี้

20120928-223353.jpg

20120928-223416.jpg

20120928-223443.jpg

20120928-223503.jpg

20120928-223524.jpg

20120928-223558.jpg

20120928-223627.jpg

20120928-223652.jpg

Cheongwadee (Blue House)
How to go : Cheongwadae อยู่ด้านหลังพระราชวังGyeongbokถ้านั่งรถไฟใต้ดินก็ขึ้นสาย 3 ไปลงที่ Gyeongbokgung Palace Station, Exit 5
Operating hours : Every Sunday, Monday and National holidays การเข้าชมด้านในจะต้องเข้าชมกับทัวร์ซึ่งต้องจองล่วงหน้านะคะ

Cheongwadae หรือ Blue House คือบ้านพักของประธานาธิบดีเกาหลี เพราะฉะนั้นถนนโดยรอบเลยเต็มไปด้วยตำรวจ ตำรวจ ตำรวจ และตำรวจ เราแค่เดินออกมาจากวังก็เจอเลยค่ะ คุณตำรวจเกาหลีหน้าใสคอยตั้งด่านอยู่ สงสัยท่าทางเราคงน่าสงสัยไปหน่อยเพราะเค้าถามเราด้วยว่าเป็นคนชาติไหนและจะไปไหน .. แง้ ทำไมกลุ่มก่อนหน้านี้ที่เดินผ่านไปไม่เห็นถามเลย ทำร้ายจิตใจกันน่าดู T^T .. แต่คุณตำรวจก็ถามแค่นั้นแหละค่ะ แล้วก็ปล่อยเราให้เดินต่อไป ส่วนเค้าก็ไปคุยกับนายตำรวจอีกคน คิดว่าคงจะ FYI ให้กันทราบเกี่ยวกับเรา

เราเดินเรื่อยๆเลียบไปทางกำแพงฝั่งตะวันตกของ Gyeongbokgung ไม่นานก็เห็นอนุสาวรีย์รูปนกฟินิกซ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อยู่หน้า Cheongwadae จุดนี้น่าจะเป็นจุดฮิตอีกจุดนึงที่นักท่องเที่ยวจะมาถ่ายภาพเลยล่ะค่ะ ในบริเวณใกล้ๆ Cheongwadae นี้จะนอกจากจะเห็นคุณตำรวจมาคอยตั้งด่ายแล้วก็จะเห็นป้อมไฟแดงแบบมีคุณตำรวจอยู่ด้านในด้วย .. เจ๋งอ่ะ .. ทำไมถึงต้องป็นฟีนิกซ์ เคยอ่านเจอว่าที่เป็นนกฟีนิกซ์ก็เพราะฟีนิกซ์ไม่มีวันตาย เปรียบเสมือนชาวเกาหลีที่ไม่ว่าจำผ่านสงครามก็จะสามารถฟื้นคืนประเทศขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งนั่นเอง

20120928-223755.jpg

20120928-223926.jpg

20120928-223959.jpg

จากอนุสาวรีย์นกฟีนิกซ์เราก็เดินเลาะๆทางกำแพงของพระราชวัง Gyeongbokgung จนมาเจอประตูวังด้านทิศใต้ ตรงนั้นมองเข้าไปก็จะพบกับอาคารหลังคาสีฟ้าหรือ Blue House นั่นเอง ว่ากันว่า Cheongwadae ตั้งอยู่ในตำแหน่งฮวงจุ้ยดีที่สุดของกรุงโซล คือด้านหลังเป็นภูเขาด้านหน้าเป็นแม่น้ำ ตรงนี้มีเขต Photo Zone อีกแล้วค่ะ ห้ามเดินเข้าไปถ่ายรูปเลยเส้นเหลือง ประหนึ่งเดจาวูจากที่เราไป DMZ อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะว่า Cheongwadae คือที่พักประธานาธิบดีก็เลยเฮี้ยบเนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญของประเทศ

20120928-224103.jpg

20120928-224133.jpg

เหตุผลที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมาโฉบ Cheongwadae ก็เพราะเป็นธรรมเนียมว่าควรจะต้องมาทักทายกับผู้นำประเทศถึงแม้จะไม่ได้เห็นประธานาธิบดีก็ตาม ทัวร์ต่างๆก็เลยมักจะพาลูกทัวร์ของตัวมากัน

เดินเลยอาคารหลังคาฟ้ามาอีกมีอาคารหินสวยมากจนอยากจะถ่ายภาพ เราเองนึกว่าเขตห้ามถ่ายรูปมีแค่ตรงนั้น แถวนี้คงอนุญาติให้ถ่ายได้ตามชอบใจ มือไวเท่าความคิดก็ยกกล้องขึ้นมาฉับฉับ แต่ได้แค่นั้นแหละค่ะ แค่ยกกล้องขึ้นมา คุณตำรวจยกมือกันพรึ่บแทบจะพร้อมกันแล้วบอกว่า “No Photo” ใจหายว้าบไปอยู่ตะตุ่มเลย เกือบไปแล้วค่ะ เกือบทำผิดโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว อาคารสวยหลังนั้นคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ Cheongwadae เพราะตั้งอยู่ในเขตนั้น แหมเรา เกือบจะไม่ได้ไป Samcheongdongil ซะแล้วสิ

Samcheongdongil
How to go : อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระราชวัง Gyeongbokgung ถ้านั่งรถไฟใต้ดินก็ขึ้นสาย 3 ไปลงที่ Anguk Station ค่ะ

ถัดจาก Changdeokgung เดินไปอีกนิดก็ถึง Samcheongdong .. Samcheongdong เป็นอีกที่ที่มีเอกลักษณ์ที่นึงของโซลเลยค่ะ Samcheongdong ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างพระราชวัง Gyeongbokgung และพระราชวัง Changdeokgung ทางเหนือเป็น Cheongwadae และทางใต้เป็น Insadong ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าเป็นที่ที่ดีมากเลย Samcheong (Sam คือสาม Cheong แปลว่าสะอาด, ดี) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพราะมีสิ่งดีๆที่มีในย่าน Samcheong ก็คือน้ำสะอาด ล้อมรอบด้วยภูเขาสวย และผู้อยู่อาสัยที่จิตใจดี

ตอนแรกที่เดินเลาะมาจากกำแพงข้างวังเราเห็นบันไดเดินลงก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นทางเดินที่จะพาเราไปย่าน Samcheongdong (ไม่ยอมกางแผนที่อีกเช่นเดิม) แต่สุดท้ายงงเต๊กเพราะหาทางไปร้านดังที่จะเป็น RC ไม่พบ .. แหงล่ะ ทำหยั่งกะเป็นคนเกาหลี .. เลยต้องเอาแผนที่มาดู แต่แผนที่ที่เรามีดั๊นนนไม่มีอัพเดตซักกะอัน งงค่ะ เราก็เดินเปะปะไปกับแผนที่ไม่อัพเดตบนมือถือ อากู๋แมพของเกาหลีก็ดันเป็นภาษาเกาหลี ทำเอาเพลีย สุดท้ายไปเจอแผนที่เจ๋งที่สุดคือในร้านกาแฟ แปะอยู่ตรงหน้าร้าน พุดโธ่! บ่นอะไรไม่ได้ค่ะ ถ่ายรูปเก็บเอาใช้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้เอาแล้วกัน

20120928-224343.jpg

20120928-224431.jpg

20120928-224522.jpg

ระหว่างทางที่เดินใน Samcheongdong จะเจอร้านน่ารักๆ ทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายของ ไปจนถึงแกลลอรี่ค่ะ น่ารักมาก เราทราบเหมือนกันว่าแถวนั้นมีหมู่บ้านบุกชอนที่เป็นบ้านโบราณของเกาหลีแต่เราไม่ได้ไปดูค่ะ เดินไม่ไหวแล้วก็มีนัดทานอาหารเย็นกับผู้มีอุปการะคุณตอนหัวค่ำ กลัวเดินช้าๆเนิบๆเพราะความเมื่อยด้วยเดินมาทั้งวันจนขาจะหลุดจะทำให้ผิดเวลาก็เลยตัดสินใจว่าแค่ Lemonade จากร้าน Lemon Aid แทน แถมยังล้มแผนการที่จะไปกินร้านเด็ดร้านดังแลกกับเนื้อย่างร้านอร่อยแถวมยองดงแทน

…อุตสาห์พยายามได้แผนที่มาเพื่อ?

20120928-224616.jpg

20120928-224707.jpg

20120928-224800.jpg

20120928-224901.jpg

20120928-224951.jpg

20120928-225013.jpg

20120928-225040.jpg

20120928-225114.jpg

20120928-225135.jpg

วันนั้นเรากลับที่พักด้วยความตั้งใจแน่วแน่มากว่าเราจะกลับมาเดิน Samcheongdong อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่แล้วก็ไม่ได้กลับไป รู้สึกเสียดาย แต่เรายังมีอะไรให้เดินอีกเยอะในเกาหลี .. พรุ่งนี้เราไปเที่ยววังกันต่ออีกวันนะคะ ไปกันแบบงงๆอย่างวันนี้นี่แหละ ^^

ด้วยความสนใจในเกาหลีไม่ใช่เพียงแค่ศิลปินดาราแต่พอรับรู้เรื่องการเมืองและสงครามทำให้เรารู้สึกว่ามีสถานที่ที่นึงที่อยากจะไปเห็น ไม่ว่าพี่ชายที่เคยไปทำงานที่เกาหลีใต้อยู่พักใหญ่จะบอกว่าชายแดนเกาหลีเหนือ-ใต้มันน่ากลัวแต่เรายังคงอยากไป ลังเลอยู่นานทั้งๆที่ทัวร์ก็จองยาก คือถ้าจองช้าในวันที่มีนักท่องเที่ยวเยอะก็อาจจะหมดสิทธิ์ได้ไป แถมยังไม่สามารถไปเองได้ ต้องมีไกด์นำเที่ยวเท่านั้น .. Demilitarized Zone (DMZ) และ Panmunjeom Joint Security Area (JSA)

Day 5 : Demilitarized Zone (DMZ), Panmunjeom Joint Security Area (JSA), N Seoul Tower, Teddy Bear Museum

Demilitarized Zone (DMZ)
Panmunjeom Joint Security Area (JSA)

How to go : จองกับทัวร์ค่ะ ให้ทางโรงแรมติดต่อให้ก็ได้ แต่ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนวันเดินทาง หรือนั่งรถไฟไปลง Imjingak แล้วซื้อทัวร์ DMZ ที่นั่นได้เลย แต่ไม่รู้นะคะว่าวันคนเยอะจะเป็นยังไง สำหรับเราเอาชัวร์เพราะ JSA ต้องจองล่วงหน้าอยู่แล้วเลยให้ทัวร์จัดการให้ทั้งหมดเลยค่ะ

เราตื่นแต่เช้าตรู่มาเตรียมตัวที่จะไปเที่ยว Demilitarized Zone (DMZ) และ Joint Security Area (JSA) เพราะรถของทัวร์ที่จองไว้นัดตั้งแต่ 07:55 .. เศษ 55 นาทีนี่ยังไง -_-” .. นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของเกสท์เฮาท์ที่พักซักครู่รถก็มารับ ตอนแรกที่เห็นแอบตกใจค่ะ เพราะเป็นรถตู้ขนาดแค่ 6-7 คนนั่งเท่านั้นเอง แอบตกใจเบาๆว่าไหนบอกว่าเป็น popular tour แต่มีคนแค่นี้ล่ะ พอนั่งไปซักพักก็ได้รู้ว่านั่นเป็นแค่รถคันแรกที่ไปรับเราจากที่พักค่ะ เราต้องเปลี่ยนเป็นรถตู้คันที่ใหญ่ขึ้นอีกคันเพื่อนั่งไปยัง Imjingak ที่อยู่ในเขตพาจู แล้วที่นั่นเราจะนั่งรถบัสอีกคันเพื่อเที่ยวใน DMZ และคงไม่ต้องบอกว่าเรามีเพื่อนร่วมเดินทางเต็มรถเลย อุ่นใจขึ้นอีกเยอะเลย -_-”

Demilitarized Zone (DMZ) คืออะไรและมันสำคัญยังไง อันนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 60 กว่าปีก่อนนู้นเกิดความขัดแย้งทางความคิดทางด้านการเมืองขึ้นจนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามเกาหลี ในตอนแรกนั้นญี่ปุ่นปกครองเกาหลีอยู่จนถึงตอนที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีจึงเป็นอิสระ ซึ่งมันเหมือนจะดี แต่มันกลับทำให้เกิดเรื่องราวมากมายตามมา เพราะเกาหลีเป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างการปกครองสองฝ่าย เกาหลีเหนือติดกับจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์จึงเห็นว่าคอมมิวนิสต์ดี ในขณะที่เกาหลีใต้ติดกับญี่ปุ่นซึ่งกลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยหลังจากที่แพ้สงครามก็เห็นว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยดี ความแตกต่างทางด้านความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังต้องการผู้นำและระบอบการปกครองหลังจากเพิ่งได้อิสรภาพจึงทำให้ก่อกำเนิดเป็นสงครามเกาหลี

เกาหลีเหนือจัดตั้งเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์โดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน ส่วนเกาหลีใต้ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติหรือ UN เกิดขึ้นนานหลายปีจนในที่สุดได้มีข้อตกลงหยุดยิงโดยกำหนดให้เส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือหรือที่เรียกว่าเส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นที่แบ่งเขตแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดย Demilitarized Zone (DMZ) กินเนื้อที่จากเส้นขนานที่ 38 ไป 2 กิโลเมตรทั้งทางฝั่งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ไปตลอดแนวยาว

เมื่อพูดถึงพรมแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้แล้วบางคนอาจจะคิดว่ามันอยู่ไกลมากเหมือนบ้านเราที่เขตชายแดนอยู่ไกลเมืองหลวงไปหลายร้อยกิโลเมตร หากแต่ DMZ นั้นอยู่ห่างจากโซลไปเพียงแค่ 40-50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วโมงเดียวทางรถยนต์เท่านั้นเอง ระหว่างทางที่นั่งรถไปเราจะสามารถเห็นรั้วลวดหนามและป้อมทหารอยู่เป็นระยะๆ ยิ่งใกล้เขต DMZ รั้วพวกนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นและแน่นหนามากขึ้น โดยห้ามให้ใครเข้าออกจากเจ้ารั้วนี้ค่ะ หากเห็น…..อาจจะโดนยิงจากทหารได้ สาเหตุก็เพราะแม่น้ำนั้นติดอยู่ว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนจากฝั่งเหนือลักลอบมาทางแม่น้ำและขึ้นฝั่งที่เกาหลีใต้นั่นเอง

ตอนที่เราเดินทางออกจากโซล รถที่นั่งขับผ่านพิพิธภัณฑ์…ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับสงคราม ไกด์ชี้ให้ดูที่ด้านหน้าซึ่งมีอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงสงครามเป็นรูปปั้นสองพี่น้องกำลังกอดกัน แต่ถ้าดูดีๆแล้วคนนึงใส่ชุดทางฝั่งเหนือ ส่วนอีกคนใส่ชุดทางฝั่งใต้ เพราะสงครามทำให้พี่กับน้องต้องมาสู้กันเอง ฟังที่ไกด์เล่าเราเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันนะคะ

ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่าตัวเค้าเองก็มีญาติที่ขาดการติดต่อเพราะสงครามเหมือนกัน ป้าของเค้าอยู่เกาหลีเหนือและขาดการติดต่อไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง .. คนที่แสนจะ sensitive ไม่เข้าเรื่องอย่างเราน้ำตาคลอ -_-”

เขต DMZ เป็นเขตที่ไม่อนุญาติให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัย แต่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นประมาณ 200 กว่าชีวิตได้ คนที่เข้าอาศัยอยู่ในเขต DMZ เข้าไปเพื่อทำการเกษตรในเขตนั้นซึ่งเป็นที่ปลูกข้าว ถั่วเหลือ และโสมที่ได้ชื่อว่าดีอันดับหนึ่งของเกาหลี ชาวบ้านที่อยู่อาศัยใน DMZ จะได้สิทธิพิเศษจากทางรัฐบาลหลายๆอย่าง เช่น ไม่ต้องเสียภาษี บุตรหลายได้เรียนฟรีจนจบมหาวิทยาลัย แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เข้าไปได้ง่ายๆนะคะ เราจำไม่ได้ว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง แต่แค่เงื่อนไขในการอยู่ก็อึดอัดแล้ว เพราะมีเคอร์ฟิว ถ้าจะไปค้างบ้านญาตินอกเขต DMZ ก็ต้องแจ้งล่วงหน้า การทำงานแต่ละครั้งจะมีทหารไปยืนคุม และแน่นอนว่าหมู่บ้านเล็กๆขนาด 200 กว่าคนอาศัยอยู่ชาวบ้านก็จะรู้จักกัน เพราะฉะนั้นหากมีใครแปลกหน้าเข้ามาก็จะรู้ได้ทันทีเลยค่ะ ไกด์เราพูดแบบตลกปนเสียดสีเบาๆว่าจริงๆแล้วที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเกาหลีก็คือ DMZ นี่เอง .. ฟังแล้วจุกอีกแล้ว T^T

ถึง DMZ ในเวลานี้จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนเข้าชม แต่ DMZ ยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตทหาร ซึ่งแปลว่าทหารเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นกฎระเบียบในการเข้าจะมีเยอะมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ก่อนเข้าจะมีทหารขึ้นมาตรวจนับคนและตรวจ Passport นอกจากนั้นในเขต DMZ ห้ามถ่ายภาพยกเว้นในเขตที่อนุญาติให้ถ่ายได้ ไกด์เองก็ได้แค่บอกเรานะคะว่าส่วนไหนอนุญาติ ส่วนไหนไม่อนุญาติ ที่เหลือถ้าเราฝ่าฝืนแล้วคุณทหารมาดุ ไกด์เองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่บอกล่ะค่ะว่าเป็นเขตทหาร เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะที่เราถ่ายรูปจาก DMZ มาซะน้อยเชียว

สำหรับเหตุผลในการห้ามถ่ายรูปก็ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าห้ามนะคะ การถ่ายรูปก็เหมือนกับเป็นการเปิดเผยข้อมูลของทางเกาหลีใต้ให้กับอีกฝ่ายได้รับรู้ ณ บัดนี้เกาหลีทั้งสองฝ่ายยังถือว่าเป็นประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ในฐานะที่เป็นฝ่ายที่มักจะโดนฝ่ายเหนือรุกตลอดเกาหลีใต้จึงต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีนี้ เราเห็นคนพยายามจะแอบถ่ายภาพตรงนั้นตรงนี้ แต่เราไม่คิดแม้แต่จะพยายามแอบถ่ายในที่ห้ามถ่าย ในเมื่อเรามาด้วยความรักในประเทศเค้าเราก็ควรจะเคารพกฎและปกป้องประเทศเค้าด้วยจริงไหม

ถึง DMZ จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่นานแต่ก็นับว่าเป็นที่นิยมมาก เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนกับญี่ปุ่นค่ะ เยอะมากจริงๆ

สำหรับทัวร์ DMZ เราเริ่มต้นกันที่ Imjingak ที่นี่เป็นที่ขึ้นรถบัสเพื่อที่จะเข้าไปด้านใน DMZ แถวๆนั้นก็จะมีป้ายที่ระลึกเกี่ยวกับสงคราม ป้ายไว้อาลัยแด่ทหารและประชาชนที่เสียชีวิตจากสงครามเกาหลี หากเดินเข้าไปก็จะเจอหัวรถจักรไอน้ำ ซึ่งตามป้ายระบุไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของโศกนาฎกรรมในการแบ่งแยกเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ หัวรถจักรนี้ถูกทิ้งไว้ใน DMZ เพราะถูกระเบิดจากสงครามเกาหลีจนตกราง รูที่เห็นในรูปคือร่องรอยจากกระสุนพันกว่านัดที่ยิงเข้าหาหัวรถจักรคันนี้ หากเดินแยกไปอีกทางก็จะเห็นสุดทางที่ต่อจากนี้จะเป็นเขต DMZ เข้าไปต่อไม่ได้โดยด้านหน้าก็จะมีป้ายที่แสดงความหวังความต้องการในการรวมชาติ .. ยืนมองแล้วใจหายนะคะ คนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ กลับต้องมาแบ่งแยกออกเป็นสองประเทศอย่างนี้

20120917-133924.jpg

20120917-134826.jpg

20120917-140721.jpg

20120917-140954.jpg

20120917-141119.jpg

20120917-141216.jpg

20120917-141258.jpg

20120917-174503.jpg

นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นนะคะ เรายังไม่ได้เข้าเขต DMZ จริงๆกันเลย สถานที่ที่ DMZ ทัวร์จะพาไปเยี่ยมชมมีสามแห่งคือ สถานีรถไฟโดราซาน หอสังเกตุการณ์โดราซาน และอุโมงค์หมายเลขสาม ระหว่างที่นั่งรถเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ สองข้างทางบางช่วงเรายังเห็นป้าย”ระวัง กับระเบิด”อยู่เลยค่ะ ใน DMZ ยังมีระเบิดอยู่จริงโดยยังเก็บกู้ไม่หมดและไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่จุดไหนบ้าง สาเหตุก็เพราะตอนที่เค้าวางระเบิดเค้าไม่ได้ค่อยๆขุดแล้ววางมันลงไป เค้าปล่อยระเบิดจำนวนมากเหล่านั้นลงมาจากเครื่องบิน คุณไกด์บอกเราว่าระเบิดเหล่านั้นเป็นระเบิดที่ไม่รุนแรงนัก ถ้าโดนก็ไม่ถึงกับเสียชีวิต สาเหตุก็เพราะเค้าไม่อยากให้อีกฝ่ายตาย แต่อยากให้สืบสาวไปว่าอีกฝ่ายมาจากไหนมากกว่า ซึ่งรอยเลือดจากบาดแผลจะทำให้ตามรอยได้ง่าย คุณไกด์เลยบอกว่า “พวกคุณโชคดีนะ ถ้าโดนระเบิดแถวนี้ก็ไม่ถึงตายหรอก แต่คุณอาจจะเสียแขนหรือขา” .. ขอบคุณค่ะที่ทำให้รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหน -_-”

…จริงๆก็ไม่อันตรายขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่อย่าเดินที่เค้าห้ามเดินก็จะปลอดภัย

จุดแรกที่เราโดนหย่อนลงเป็นที่แรกคือสถานีรถไฟโดราซาน สถานีรถไฟโดราซานเป็นสถานีรถไฟเดียวที่ตั้งอยู่ในเขต DMZ สภาพเหมือนใหม่กิ๊กเพราะไม่ได้ผ่านการใช้งานจริง ถ้ามองดูป้ายจะเห็นว่ารถไฟสายนี้มุ่งหน้าไปที่ Pyeongyang เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ มีเคาท์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองคอยให้บริการ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ผ่านเข้าออกเมืองจากสถานีนี้จริงๆซักที เหมือนเป็นสถานที่รอวันที่จะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรเป็น

20120917-142940.jpg

20120917-144303.jpg

20120917-144918.jpg

20120917-145028.jpg

20120917-154600.jpg

จากสถานีโดราซานจะเห็นสายไฟฟ้าพาดผ่านไปถึงฝั่งเกาหลีเหนือด้วย มีคนในกลุ่มเราถามไกด์ว่ามันไปไหน คุณไกด์บอกว่าสายไฟพวกนั้นส่งไปยังโรงงานของเกาหลีใต้ที่ตั้งอยู่ฝั่งโน้น

เราใช้้เวลาไม่นานที่สถานีรถไฟโดราซานก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจุดต่อไป หอสังเกตการณ์โดราซาน

หอสังเกตุการณ์โดราซาน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหอสังเกตการณ์ก็ต้องเป็นที่ที่เกาหลีใต้ไว้คอยส่องเกาหลีเหนือ จากที่นี่จะเห็นเสาธงที่เกาหลีเหนือบรรจงสร้างให้สูงกว่าเกาหลีใต้และหมู่บ้าน Propaganda Village หมู่บ้านของเกาหลีเหนือหมู่บ้านเดียวในเขต DMZ ว่ากันว่าเป็นหมู่บ้านที่ที่เกาหลีเหนือสร้างเพื่อให้เห็นว่าฝั่งเค้าก็อยู่ดีกินดี..แต่เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีมนุษย์โลกอาศัยอยู่ ที่นี่มีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญไว้ให้นักท่องเที่ยวดูด้วย หอสังเกตุการณ์โดราซานอนุญาติให้ถ่ายรูปได้ในเขต photo zone นะคะ ถ้าถ่ายรูปนอกเขตคุณทหารก็จะเข้าชาร์จทันที ได้ยินมาว่าถึงอยู่ในเขตที่ให้ถ่ายภาพแต่ถ้ายกมือสูงๆก็พอถ่ายภาพเสาธงและเจ้าหมู่บ้าน Propaganda Village ของทางฝั่งเกาหลีเหนือได้ น่าเสียดายที่วันที่ไปทัศนวิสัยไม่ดีเลยเห็นแค่ฟ้าฝนไป ^^”

ด้านในหอสังเกตุการณ์โดราซานจะมีห้องที่คุณทหารคอยบรีฟให้ข้อมูลเหมือนเป็นเลกเชอร์เลยค่ะว่าอะไรอยู่ตรงไหนอย่างไร ตอนเราไปมีทัวร์จีนรอนานมากกกกเลยต้องให้เค้าไปก่อน ส่วนเรากลุ่มเล็กกว่าก็มีคุณทหารหน้าตาใจดีมาบรีฟให้ ภายในห้องนี้ห้ามถ่ายภาพอีกเช่นกัน ตามประสาค่ะ กฎมีไว้เพื่อฝ่าฝืน เราเห็นคนในกลุ่มทัวร์จีนพยายามที่จะถ่ายภาพ คุณทหารใจดีที่มาบรีฟให้เรากลายร่างทันทีเลยค่ะ เดินไปยึดกล้องจากคนจีนสองสามคนนั้นเลย .. น่ากลัวที่เดียว .. กรณีนี้ว่าคุณทหารใจดีไม่ได้นะคะเพราะเค้าทำตามหน้าที่ เราเชื่อว่าเค้าจะคืนกล้องให้เมื่อจบบรีฟ แต่ระหว่างนั้นขอยึดไว้ก่อน

20120917-161810.jpg

20120917-174131.jpg

20120917-174222.jpg

20120917-174404.jpg

จากหอสังเกตุการณ์โดราซานเราก็มุ่งหน้าไปที่อุโมงค์หมายเลขสาม .. หลังจากที่สงครามสิ้นสุดและมีข้อตกลงจัดตั้ง DMZ ขึ้น เกาหลีเหนือก็ยังพยายามต่างๆนานาที่จะข้ามฝั่งมาเกาหลีใต้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้บนดินก็มาใต้ดิน ใช่เลย! เกาหลีเหนือพยายามข้ามฝั่งมาเกาหลีใต้โดยการเจาะอุโมงค์ขึ้นมา อุโมงค์หมายเลขสามเป็นหนึ่งในอุโมงค์ที่เกาหลีเหนือขุดเพื่อให้เป็นทางลำเลียงทหารและอาวุธมายังเกาหลีใต้เพื่อบุกโซล แต่เกาหลีใต้ดันขุดพบเสียก่อนโดยผู้ที่พบเป็นวิศวกร พอเกาหลีใต้รู้ตัวก็จัดการขุดเจาะแล้วปล่อยน้ำเข้าไปในอุโมงค์เหมือเป็นการเตือนเกาหลีเหนือว่า “เฮ้ นายกำลังล้ำเส้นนะ” ก่อนจะขุดอุโมงค์ลงมาสกัดดาวรุ่ง ตอนที่เกาหลีใต้ลงมาเกาหลีเหนือเค้าก็ยกทัพกลับไปยังที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้วค่ะ ลองคิดว่าถ้าเกาหลีเหนือทำสำเร็จ..โซลคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้แน่ๆ

อุโมงค์หมายเลขสามไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปและต้องฝากของไว้ก่อนที่จะเข้าไป ตอนเราไปคนเยอะจนที่ฝากของไม่พอเลยล่ะค่ะ คุณไกด์คนเก่งของเราไปเจรจาจนสามารถให้ฝากของได้ที่ตรงเคาท์เตอร์ แล้วเราก็เดินลงอุโมงค์ไปสบายใจ ตรงที่หน้าทางเข้ามีตัวช่วยของเราอำนวยความสะดวกไว้ด้วย .. หมวกนิรภัยค่ะ .. เลือกอันสีเข้มๆใหม่ๆมาใส่ซะ มันจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ในอนาคตค่ะ

ทางเดินลงอุโมงค์ดูกว้างเป็นทางเดินเรียบๆ มีราวจับพร้อม เดินไปเรื่อยๆมีเก้าอี้และป้ายบอกทางเป็นระยะ อุณหภูมิภายในเย็นกว่าด้านนอกมากเลยค่ะ สมกับที่เป็นเครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติ เราคิดไม่ออกเลยล่ะว่าจะเย็นขนาดไหนในหน้าหนาวเพราะได้ยินมาว่าที่ DMZ นั้นอุณหภูมิจะลดลงถึง -10 ถึง -20 องศา แค่อยู่บนผิวดินยังสั่นแหง็กๆ อยู่ใต้ดินไม่แข็งตายเลยเหรอคะ ㅠㅠ ทางเดินที่เราเดินนั้นลาดประมาณ 11 องศา ระดับความเอียงที่คนต้องปีนนั้นจะอยู่ที่ 12 องศาเพราะฉะนั้นนี่เป็นระดับความเอียงสูงสุดที่คนเดินได้โดยไม่ต้องปีนแล้วค่ะ ตอนลงไม่เท่าไร…ตอนขึ้นนี่สิ -__-:;

เดินไปเรื่อยๆทางจะเริ่มเล็กลง อุโมงค์รอบๆที่เป็นหินแกรนิตนั้นแคบลงและเตี้ยลงเรื่อยๆ เตี้ยแบบที่คนความเตี้ยไม่ถึง 160 อย่างเราต้องก้มในบางครั้ง เห็นมีคนหัวโขกร้องโอ้ยกันเป็นระยะๆด้วย บอกแล้วว่าหมวกสร้างอนาคต เค้าไม่ให้เราใส่โดยไม่มีสาเหตุหรอกค่ะ .. อ้อ ไม่ต้องถามนะว่าเราหัวโขกบ้างไหม มันจะเหลือเหรอคะ ผู้หญิงติดอันดับด้านความซุ่มซ่ามขนาดนี้ โขกไปหลายรอบเหมือนกัน -_-” นอกจากนั้นภายในอุโมงค์เราจะสามารถเห็นหลุมระเบิด(เรียกอย่างนั้นรึเปล่า)ที่เค้าไว้เจาะอุโมงค์นี่ล่ะค่ะ ทางฝ่ายเกาหลีใต้ป้ายสีเหลืองเพื่ิอให้เราสามารถเห็นชัดเจน เราเดินไปจนสุดอุโมงค์ก็จะได้เห็นประตูอีกฝั่งเป็นของเกาหลีเหนือ เท่านี้แหละค่ะ ดิฉันฟิน~

อุโมงค์ที่เราเดินลงมานี้เป็นอุโมงค์ที่ขุดมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทางลงถึงได้ทำให้เดินง่ายขึ้น ตอนที่เดินกลับคุณไกด์ชี้ให้ดูอุโมงค์เกาหลีใต้ขุดมาเพื่อสะกัดอุโมงค์หมายเลขสามในตอนแรก เล็กกว่า แคบกว่า และมืดกว่ามาก มากจนเราสงสัยว่าคนเกาหลีสมัยก่อนตัวเล็กมากเลยเหรอ อุโมงค์ถึงได้มีขนาดเล็กได้อย่างนั้น ถ้าจะลงมาทางอุโมงค์ออริจินั้นต้องลงโดยรถไฟซึ่งแน่นอนว่ามีราคาแพงกว่า

ก่อนเดินกลับขึ้นไปบนทางลาด 11 องศา คุณไกด์ใจดีแนะนำเล็กๆว่าให้เดินไปด้วยความเร็วคงที่ จงอย่าได้เร่งโชว์ความเก๋าเจ้าจะเหนื่อย จากด้านล่างอุโมงค์มาถึงปากอุโมงค์น่าจะใช้เวลาทั้งสิ้น 15 นาทีโดยประมาณ เราค่อยๆเดินขึ้นพร้อมกับพยายามบอกตัวเองในใจว่ากรุไม่ได้ปีนนะคะ แล้วก็ได้เห็นความสำคัญของราวจับและเก้าอี้ค่ะ เราไม่ได้ใช้หรอกเพราะกลัวว่าหยุดแล้วจะเหนื่อยพาลเดินไม่ไหวเอา เดินแฮ่กหน่อยแต่ก็ถึงโดยไม่เป็นลมค่ะ

จากนั้นเราก็เข้าไปดูส่วนของภาพยนต์สั้นๆเหมือนเป็น documentary เชิงอารมณ์เกี่ยวกับสงครามเกาหลีนี่แหละค่ะ ทำได้ดีจนเราอยากจะร้องไห้ให้ได้ .. เชื่อไหมล่ะว่าแค่อยากเฉยๆแต่ไม่ได้ร้อง .. สงครามไม่มีอะไรดีเลยนะคะ ให้แต่ความสูญเสีย ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ

ทัวร์ DMZ สิ้นสุดลงแล้วค่ะ ในตอนที่เราขึ้นแวะตามสถานที่ต่างๆจนถึงตอนที่ออกจาก DMZ กลับมาที่ Imjingak ก็นับด้วยค่ะว่าครบจำนวนคนรึเปล่า ไปเท่าไรออกเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ไป JSA ต่อทัวร์ก็จะสิ้นสุดแค่นี้ค่ะ แต่สำหรับคนที่ไป JSA ต่อนั้นก็จะต้องเปลี่ยนรถอีกคันเพื่อแวะทานอาหารกลางวันก่อนแล้วก็เดินทางไปยัง JSA

JSA หรือ Joint Security Area คือที่ที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ใช้เจรจาข้อตกลงต่างๆ(ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จซักที)ร่วมกัน การเดินทางเข้าไปใน JSA เข้มงวดกว่า DMZ เยอะมาก เพราะเป็นจุดที่เป็น border line จริงๆเลยอ่อนไหวกว่ามาก การเข้าชมโดยต้องมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน ไม่สามารถไปสอยหน้างานได้อย่าง DMZ ก่อนเข้าจะมีการตรวจ Passport แบบที่ไม่ใช่แค่เปิดผ่านๆให้ดูเหมือนที่ DMZ ต้องแต่งกายสุภาพ ห้ามแต่งกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้า sandals หรือกระโปรง miniskirt เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว JSA ยังไม่อนุญาติให้คนเกาหลีเข้าอีกด้วย

JSA อยู่ภายใต้การดูแลของ UNC (United Nation Command) ส่วนอีกฝั่งของ JSA อยู่ภายใต้การดูแลของฝั่งเกาหลีเหนือ การเข้าไปใน JSA ไม่ใช่ว่ารู้ทางแล้วจะเข้าไปได้นะคะ ต้องรอทหารของทาง UNC มา escort เราเข้าไป ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเมื่อไร ต้องรอ .. ระหว่างที่รอเข้าไปใน JSA เราก็นั่งมองไปด้านนอก ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ มันดูเป็นเขตทหารที่จริงจังเกินกว่าที่เคยเห็นที่เมืองไทยมั้งคะ ในใจก็คิดสะระตะว่าด้านในจะน่ากลัวแค่ไหน มาก็ผู้หญิงคนเดียว ไม่ได้มีเพื่อนร่วมทัวร์เหมือนคนอื่่นเค้า แล้วคุณทหารจะโหดไหม กระโปรงตรูจะสั้นไปไหม คุณทหารจะให้เข้าไปรึเปล่า เรียกว่านอยทุกหย่อมหญ้า พอรถคุณที่ทหารที่จะดูแลเรามาก็เป็นนายทหารฝรั่งกระโดดลงมาสองคน แงงงงงงงงง~ น่ากลัวไปอีกแปดเท่าตัว

แต่เชื่อไหมคะ ไอ่คนคิดสารพัดอย่างเรา สุดท้ายคิดจนเหม่อ คุณทหารมาตรวจ passport ก็มัวแต่มองออกไปนอกรถ จนคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆต้องสะกิด -_-”

ก่อนที่เราจะไปไหน เค้าก็จะพาเราไปฟังบรีฟเกี่ยวกับ JSA และเซ็นต์เอกสารยินยอมว่าจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่โทษใครหากได้รับอันตราย คล้ายๆกับเวลาเราไปเล่นบันจี้จัมพ์ แต่นี่เสี่ยงกันไปคนละอย่าง

หลังจากที่มีข้อเจรจาหยุดยิงแล้ว ตอนแรกเกาหลีใต้และเกาหลีเหนืออยู่ในเขต JSA โดยที่ไม่ได้แบ่งฝ่าย แต่ทั้งคู่ก็มี Check point แต่เราจะเรียกว่าจุดรักษาการณ์ของตัวเอง โดยที่มีจุดรักษาการณ์จุดนึงของเกาหลีใต้ที่เป็นจุดเสี่ยง คืออยู่ในวงล้อมของจุดรักษาการณ์ฝั่งเกาหลีเหนือ และจุดรักษาการณ์ที่ใกล้ที่สุดจากตรงนั้นก็ดันมีต้นไม้บัง ทางฝั่งเกาหลีใต้จึงพยายามตัดต้นไม้แต่ก็เกิดเหตุการณ์โดนทหารเกาหลีเหนือรุมทำร้ายจนมีทหารอเมริกันเสียชีวิตไปสองนาย หลังจากนั้นแม้แต่ในเขต JSA เองจึงยังต้องมีเส้นแบ่งพรมแดนชัดเจน เรียกว่า Military Demarcation Line (MDL) โดยกองกำลังแต่ละฝ่ายจะต้องอยู่ในเขตของตัวเอง

ภายใน JSA นัั้นมีสะพานนึงคือ Bridge of No Return (ถ้าจะชื่อไม่ผิดนะคะ) หลังจากเจรจาหยุดยิง สะพานนี้เป็นสะพานที่ให้คนทั้งสองฝ่ายเลือกว่าจะอยู่ฝั่งไหน แต่เมื่อเลือกและเดินข้ามฝั่งมาแล้วก็จะไม่มีวันได้กลับไปอีกฝั่งนึงไม่ว่าจะอย่างไร สะพานนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น Bridge of No Return

หลังจากฟังบรีฟจบเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่เจรจากันล่ะค่ะ ตรงนี้พอเราลงจากรถแล้วจะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยนอกจากกล้อง ของอื่นพวกกระเป๋าเป้ก็ต้องทิ้งไว้บนรถ ตอนที่เราไปฝนตกเบาๆก็ยังเอาร่มไปไม่ได้ค่ะ เพราะว่ามันอาจจะทำให้ทหารฝั่งใดฝั่งหนึ่งคิดว่ามันเป็นอาวุธได้ เวลาเดินก็ต้องเดินเป็นแถว อ่อนไหวขนาดนั้นจริงๆนะคะ .. มาถึง Panmunjeom เราจะได้เข้าไปทางอาคารใหญ่ฝั่งเกาหลีใต้ที่ชื่อว่า Freedom House โดยจาก Freedom House ก็จะมองเห็นอาคารทางฝั่งเกาหลีเหนือที่เรียกว่า Panmun Hall และอาคารสีฟ้าสดสามหลังที่ใช้เป็นที่เจรจา

เราเห็นทหารเกาหลีเหนือที่รักษาการณ์อยู่ที่ Panmun Hall คอยส่องกล้องเราอยู่ด้วยแหละ ส่วนนี้อนุญาติให้ถ่ายภาพได้แต่อย่าซ้ายหรือขวาเกินไปนัก โดยที่เราจะดูในการดูแลของคุณทหาร UNC ที่ไปรับเรามาและทหารเกาหลีอีกหลายนายเลยล่ะค่ะ คุณไกด์เล่าให้ฟังว่าเคยมีนักท่องเที่ยวใช้กล้องที่ดีหน่อยถ่ายรูปไป ตอนแรกมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอะไร แต่พอดูรูปในกล้องที่กดซูมไปใกล้ๆก็เห็นทหารเกาหลีเหนือซุ่มอยู่ในภาพซะอย่างนั้น

ส่วนอาคารสีฟ้าสามหลังนั้นตั้งคร่อมเขตแดนทั้งสองอยู่ คือตั้งอยู่บนเส้น MDL ค่ะ ถ้ามองไปก็ยังจะเห็นคอนกรีตเล็กๆที่บอกเขตพรมแดนเลยล่ะ เราเคยอ่านหนังสือเจอก่อนไปว่าในห้องนี้ประตูฝั่งนึงจะเป็นทหารเกาหลีเหนือคอยคุมอยู่ ในขณะที่ประตูอีกฝั่งเป็นเกาหลีใต้ แต่ตอนเราไปไกด์เล่าว่าห้องนี้ใครมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน ถ้าเกาหลีใต้มาถึงก่อนอย่างเช่นวันที่เราไป เค้าก็จะล็อกประตูฝั่งที่จะเปิดไปทางเกาหลีเหนือเพื่อไม่ให้อีกฝั่งเข้ามา ในทางตรงกันข้ามถ้าเกาหลีเหนือมาถึงก่อนก็จะทำแบบเดียวกัน เราไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมนะคะ

ภายในห้องมีโต๊ะประชุมที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง บนเส้น MDL เลยทีเดียว เรายังคิดอยู่ว่าตอนเจรจากันจริงๆจะอยู่ในบรรยากาศยังไง อึดอัดไหม คุยกันจะอึดอัดไหม “อย่าเข้ามานะเว่ยนี่เขตชั้น” อะไรแบบนี้หรือเปล่า

เราเดินดูรอบห้อง ในทางเทคนิคแล้วคุณไกด์บอกว่าเราได้ข้ามไปเขตเกาหลีเหนือแล้ว เพราะเราได้ข้ามเส้นพรมแดนมาแล้ว .. เออ จริงของเค้า

20120917-174722.jpg

20120917-181251.jpg

20120917-181127.jpg

20120917-181455.jpg

20120917-181550.jpg

20120917-181644.jpg

หลังจากการชม Panmunjeom เสร็จสิ้นเค้าก็พาเรากลับมายัง Tourist Center ที่เป็นจุดบรีฟในตอนแรก ข้างๆนั่นมีร้านขายของฝากด้วยนะคะ นอกเหนือจากของที่ระลึกของ JSA แล้วที่นี่ยังมีเงินและสินค้าจากเกาหลีเหนือให้หยิบซื้อได้ด้วยนะคะ

20120917-185040.jpg

20120917-185001.jpg

ก่อนที่จะไปทัวร์นี้เราตื่นเต้นกังวลเล็กน้อยว่าจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้วทั้ง DMZ และ JSA ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ DMZ เป็นเหมือน Tourist site ที่มีนักท่องเที่ยวไปชมเยอะทีเดียว ในขณะที่ JSA นั้นมีคนไปชมน้อยกว่ามากและการดูแลรักษาการณ์เคร่งครัดกว่าจนรู้สึกได้ถึงความจริงจังและอ่อนไหวในเขตนั้น เพียงแค่ทำตามกฎที่เค้าบอกก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราว่าจำเป็นที่สถานที่ตรงนั้นจะต้องใช้กฎระเบียบแบบนั้นในการควบคุม หลังจากที่เข้าไปใน JSA แล้วเรารู้สึกอีกแบบค่ะ รู้สึกประหลาดที่เห็นว่าประเทศที่เคยเป็นประเทศเดียวกันกลับถูกแบ่งออกเป็นสองโดยเส้นเพียงเส้นเดียวเท่านั้นเอง แค่เจ้าหลักสีขาวที่น่าจะสูงประมาณ 50 เซนติเมตรจำนวน 126 ต้นกับคอนกรีตที่สูงจากพื้นนิดเดียว เราไปยืนมองประตูสีฟ้าที่สามารถเปิดไปยังเกาหลีเหนืออยู่แป๊บนึง ก็ประตูธรรมดาแต่เป็นประตูธรรมดาที่คั่นคนที่เคยอยู่ร่วมเป็นประเทศเดียวกันมาก่อน…แค่เท่านั้นเอง เห็นใจเค้ามากขึ้น เข้าใจเค้ามากขึ้น

ไม่ต้องตกใจนะคะ เราไม่ได้เปิดประตูให้พวกเค้ามาเจอกันหรอก ㅠㅠ เปิดไปคงเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ ทหารเกาหลีใต้คนนึงยืนเฝ้ากลางห้อง อีกคนเฝ้าประตู แล้วทหาร UNC ทหารเกาหลีเหนืออีกไม่รู้เท่าไร

…ว้าย~ คิดแล้วคงจะไม่รอด

จาก Panmunjeom Joint Security Area เราก็มุ่งหน้ากลับโซล หลับได้หลายตื่นค่ะกว่าจะถึง แต่เราไม่ได้หลับนะคะ นั่งมองทางที่มีรั้วลวดหนามไปเรื่อยๆพร้อมกับภาวนาขอให้สองประเทศนี้ก้าวสู่หาทางที่ดีที่สุดที่จะก้ามสู่ความสงบได้ในเร็ววัน

20120917-190052.jpg

N Seoul Tower
Teddy Bear Museum

How to go : Cable car นั่ง Subway มาลงที่ Myeongdong Station แล้วเดินต่ิไปที่สถานีรถเคเบิล, Taxi, Yellow Bus สาย 2 3
Price : Cable car round trip 7,500 KRW, Observatory entrance fee 7,000, Teddy Bear Museum 8,000 KRW (Combination Observatory + Teddy Bear Museum 12,000 KRW)

รถบัสของทัวร์ปล่อยเราลงที่ Seoul Station ค่ะ เรามุ่งหน้าไปที่เที่ยวใกล้บ้านของเราต่อ วันนี้เดินไม่เยอะ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร แผนที่วางไว้วันนี้คือขึ้น N Seoul Tower เราจะไปดูโซลจากมุมสูงตอนกลางคืนกัน เย้~

การไป Seoul Tower ไปได้หลายทาง แต่เราเลือกขึ้นเคเบิลไป เรานั่งรถมาลงที่สถานี Myeongdong จากนั้นก็เดินทางวิธีที่เราถนัดมากที่สุดคือ..เดิน ^^” เดินขึ้นนัมซานเพื่อไปขึ้นเคเบิลก็คือเดินไปทางที่พักเรานั่นเองแต่เลยไปอีกปู้นนึง เพราะรู้ว่าเดินได้หลายทางแต่ทางที่ผ่านที่พักเราเนินชันน้อยกว่าเลยเลือกเดินทางนั้นค่ะ

เดินไปถึงสุดกลายเป็นทางต้องเลือกซ้ายขวา สันชาตญาณน่ะบอกว่าขวา แต่เพื่อความมั่นใจเราเลยถามคนแถวนั้น แล้วก็ขวาจริงๆด้วยค่ะ มองไปฝั่งตรงข้ามถนนเห็นทางขึ้นเขานัมซานอยู่ แต่ไม่เอาดีกว่าค่ะ เรานั่งเคเบิลน่าจะดีกว่าตะกายเขา ใช้ร่างกายหนักเกินไปก็ไม่ดี เราเลยเดินเตาะแตะต่อเพื่อไปกระเช้า ข้างๆทางไปมีพวกร้านกาแฟน่ารักๆด้วยค่ะ แอบเล็งไว้เหมือนกันว่าอาจจะมานั่ง เดินมาซักพักก็เห็นกระเช้าแล้วค่ะ มาถูกทางแล้ว ตาเห็นมือก็หยิบกล้องมากดชัตเตอร์ คุณลุงที่ทำงานอยู่ริมถนนพอดีก็เลยทำท่ายิ้มยกสองนิ้วให้เราถ่ายรูป ^^ แต่พอหันกล้องไปจะถ่ายกลับไม่ยอมให้ถ่าย เค้าอายค่ะแต่เค้าอยากแซวเราเล่น เป็นมิตรมากๆ เป็นเรื่องที่เราจะจำไปนานเลยค่ะที่ได้เจอคุณลุงเป็นมิตรคนนี้

เดินเลยจากคุณลุงเป็นมิตรไปไม่นานก็ถึงทางขึ้นเคเบิล จ่ายเงินซื้อตั๋วไปกลับแล้วก็ไปต่อแถว แถวตรงกระเช้าไม่ยาวเท่าไร รอสักพักก็ได้ไปแล้ว ออกจากกระเช้าก็เดินขึ้นต่อไปอีก เราเห็นทางเดินขึ้นมาจากด้านล่าง คาดว่าคือทาง้ดินนั่นแหละที่เราเห็นก่อนขึ้นเคเบิลมา คนที่เดินขึ้นต้องอดทนสุดๆอะ โชคดีที่ตัดสินใจถูก ไม่งั้นคงหมดแรงก่อน 😀

เราเดินต่อขึ้นมาอีกนิดก็ถึงยอดสุดของนัมซาน N Seoul Tower ตั้งอยู่ตรงหน้านี่แล้ว ^^ ไม่คิดอะไรมากค่ะ เดินวนหนึ่งรอบตรงที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าไปคล้องกุญแจกัน .. อย่าถามว่าเจอกุญแจชั้นไหม ได้คล้องกุญแจไหมนะคะ หยาบคาย .. จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว Teddy Bear Museum และ Observatory Deck เราไปตะกายตึกกันค่ะ

20120917-190207.jpg

20120917-194306.jpg

20120917-190846.jpg

20120917-194129.jpg

20120917-194546.jpg

20120917-194641.jpg

20120917-194728.jpg

ก่อนไปตะกายตึกเราจะไปดูน้องหมีกันก่อน เดินบันไดเตาะแตะจากชั้นที่ซื้อตั๋วลงไปชั้นล็อบบี้ที่มี Teddy Bear Museum และทางขึ้นไปชมวิวบน Seoul Tower เราหมุนซ้ายหมุนขวาหลายทีมาก เห็นเจ้าหมีตัวโตก็เดินไปหาเหมือนโดนดูดแต่ดันเป็นที่ขายของที่ระลึกกับ Museum Hall 2 หาทางเข้าอันแรกบ่เจอ สุดท้ายต้องไปถามพนักงานแล้วก็รู้ว่าไอ้ส่วนที่ 1 น่ะมันอยู่อีกปีกนึง -_- เดินมาตามทิศที่พนักงานบอกสุดท้ายก็เจอประตูไปสู้น้องหมีจนได้ ทางเข้าเล็กกระติ๊ดนึง เราไม่เห็นไม่ผิดค่ะ 555

ใน Teddy Bear Museum จะเริ่มต้นด้วยว่าตำนานเกี่ยวกับหมีว่าทำไมหมีถึงเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ไปจากนั้นจะแสดงประวัติของโซล การสร้างเมือง พระราชพิธีสำคัญ ไปจนถึงแต่ละย่านของโซลค่ะ ตั้งแต่มยองดง อินซาดง แทฮักโน ฮงแด เป็นต้น ส่วนนี้เราว่าถ้าได้ไปดูย่านนั้นจริงๆก่อนแล้วมาดูเจ้าน้องหมีพวกนี้จะน่ารักขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ

20120917-202817.jpg

20120917-200008.jpg

20120917-202428.jpg

20120917-202654.jpg

20120917-203219.jpg

20120917-203301.jpg

ชมน้องหมีเสร็จเราก็ไปต่อแถวขึ้นลิฟท์ไปยัง Observation level เพื่อที่จะไปดูวิวรอบๆนัมซานกันค่ะ พอเข้าไปในลิฟท์พนักงานจะบอกให้มองขึ้นแล้วเพดานลิฟท์ก็จะมีภาพเคลื่อนไหวเหมือนเราขึ้นจรวจทะลุอวกาศไปเลย ชาวต่างชาติที่ขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกับเรามาเป็นครอบครัว คุณพ่อฝรั่งก็พูดกับคุณลูกฝรั่งแบบขำๆว่านี่เรามาสูงกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย ทำเอาเรากลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน 😀

เราเดินชมวิวของโซลมุมสูงจากนัมซานค่ะ สวยมากจริงๆ แสงไฟของโซลตอนกลางคืนทำให้เมืองดูมีีชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน กรอบกระจกจะระบุทิศที่เรากำลังหันไปส่วนด้านบนของกระจกจะมีขื่อเมืองว่าทิศที่เราหันไปอยู่นี่คือทิศไหน เราเดินหากรุงเทพ…หาไปก็คิดถึงบ้านไป น้ำตาจะไหล เป็นพวกดราม่าชอบคิดถึงแม่คิดถึงหมาเวลาห่างบ้านค่ะ แม่เราเค้าอยากมาเกาหลีมาก มากกว่าเราด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีโอกาสได้มาซะที เพราะติดงานนั่นนี่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเราได้มาก่อนเค้าเสียนี่ ㅠㅠ

พอเดินเจอกรุงเทพปุ้บไอ้เราก็อยากจะถ่ายภาพเก็บไว้กลับมีคู่นึงกำลังยืนอิ่มอยู่กับแสงไฟจากด้านล่าง เราก็ไม่อยากกวน เลยขอแชะภาพเค้ามาด้วยเลยแล้วกัน เดินอิ่มอยู่ซักพักก็ลงมาชั้นล่างแล้วค่ะ

20120917-195236.jpg

20120917-195330.jpg

20120917-195430.jpg

20120917-195548.jpg

ที่นี่เราซื้อโปสการ์ดกะจะส่งให้เพื่อนสนิท โปสการ์ดสวยๆมีด้วยค่ะ เราเลยซื้อไว้ แต่พอถามถึงสแตมป์กลับไม่มีเลยอดส่ง .. ตอนกลับมาถึงเมืองไทยเราเลนถามคนเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องการส่งโปสการ์ดด้วยมึนงงกับการไปรษณีย์เกาหลีเล็กๆ เวลาไปเที่ยวคุณจะสามารถหาโปสการ์ดได้และอย่างด้านบน Seoul Tower ก็มีไปรษณีย์ให้ส่ง เจ้าตู้ไปรษณีย์สีแดงๆก็มีเต็มเมืองเลยค่ะ แต่เราหาสแตมป์มาติดไม่ได้ทั้งๆที่โปสการ์ดต้องติดสแตมป์ ถามพวกร้านสะดวกซื้อหรือร้านที่ขายโปสการ์ดเองก็ไม่มีขาย เค้าบอกว่าสแตมป์มีขายที่ไปรษณีย์เท่านั้น นั่นหมายความว่าต่อให้ซื้อที่นัมซาน คนไม่มีสแตมป์อย่างเราต้องไปตามล่าหาไปรษณีย์เพื่อจะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนสาว

…พอเถอะ โปสการ์ดเปล่าเป็นที่ระทึกแล้วกันนะเธอ -_-“

ขาลงจาก Observatory ต่อแถวยาวกว่าขาขึ้นเล็กน้อยถึงปานกลาง พอเข้าไปในลิฟท์เราก็คิดอยู่ว่าขาลงเค้าจะทำยังไง เกือบมองพื้นแล้ว แต่เค้าบอกให้มองเพดานอีกที ภาพคราวนี้เป็นภาพวิดิโอตอนต้นแบบย้อนกลับค่ะ จากอวกาศเราถอยหลังกลับสู่พื้นโลก เข้าใจคิดจริงๆเลย

ในการเที่ยว N Seoul Tower สำหรับคนที่ไปดึกๆอย่างเราต้องระวังนิดนึงคือเจ้าพิพิธภัณฑ์น้องหมีเลิกเร็วกว่า Observatory level นะคะ ถ้าจะไปต้องบริหารเวลาดีๆ ดูหมีแล้วค่อยขึ้น หรือขึ้นไปแล้วจะลงมีดูหมีทันไหมเพราะแถวขึ้นลงลิฟท์ยาวมาก ถ้าชมวิวเพลินแล้วมาเจอแถวลิฟท์ยาวยืดอาจจะลงมาบ้านน้องหมีก็อาจจะปิด อดดูล่ะจ๋อยเลยน้า

20120917-203444.jpg

20120917-203618.jpg

หมดโปรแกรมการเตาะแตะของวันนี้ เราก็ข้ามไปเพิ่มพลังที่ร้านซุปเนื้อเจ้าดั้งเดิม ไปจนนั่งที่โต๊ะ จนกินอาหารแล้วหันไปมองกำแพงเลยได้รู้ว่าร้านนี้มันอยู่ในละครเรื่องนึง Brilliant Legacy .. เกาหลีนี่เก่งจริงๆนะคะ น่านับถือมาก ละครนี่เหมือนอยู่ทุกอณูเลยก็ว่าได้ ถ้าใครดูซีรีส์เกาหลีแล้วอยากตามรอยหลังคงมาอยู่ได้เป็นเดือนๆแน่เลย

เรากินเจ้าซุปเนื้อไปหนึ่งอิ่ม จากนั้นก็เดินข้ามฝั่งกลับบ้านไปพักผ่อนอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่อิ่มจริงๆค่ะ เราดีใจที่เราตัดสินใจไม่ผิดที่ไป DMZ และ JSA ถ้ามีใครถามว่าน่าสนใจไหม เราแนะนำให้ไปสำหรับคนที่สนใจเกาหลีมากกว่าแค่ K Pop ค่ะ แต่ทัวร์นี้ไม่เหมาะกับคนที่มาเที่ยวแบบเวลาจำกัดเพราะจะเสียเวลาเที่ยวและช้อปไปเลยวันนึง แต่น่าจะได้มุมมองที่ดีๆกลับไปแน่ๆ ถ้าให้เราไปอีกครั้งเราก็ยังอยากไปนะคะ บอกแล้วว่าประทับใจมากจริงๆ ^^ วันนี้ตอนเช้ากับการเที่ยวช่วงค่ำให้อารมณ์ต่างกันเยอะมากเลยค่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างลงตัว ลองคิดว่าถ้าเปลี่ยนจากขึ้นนัมซานไปดูพิพิธภัณฑ์สงครามคงดราม่าขึ้นอีกจม เอาเป็นว่าสนุกมากวันนี้ ไม่เหนื่อยมากเท่าที่ควรและพร้อมจะเดินขาลากในวันถัดไปแล้วค่ะ

ไปค่ะเราไปชมวังกัน~

หลังจากที่กายหยาบบอบช้ำมาจากสามวันที่ผ่านมา เดินเยอะ กินไม่เป็นเวลา จากตอนแรกที่คิดว่าจะไปมหาวิทยาลัยดงกุกและมหาวิทยาลัยคยองฮีวันนี้เพื่อให้เป็นวันตะลุยมหาวิทยาลัยไปเลย เลยเปลี่ยนว่าจะตื่นสายหน่อย .. ได้ข่าวว่าสายเป็นปกติ -_-” .. เดินน้อยหน่อย แผนการวันนี้ก็เลยเหลือแค่ฮงแด อีแดก่อนแล้วมหาวิทยาลัยน้องค่อยไปวันหลัง เรายังมีเวลา แต่ถ้าเราทรมานร่างตั้งแต่ตอนนี้ เราอาจจะไม่มีเวลาเที่ยวเพราะต้องนอนซมเฉยๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปเดินเล่นแอ๊บเป็นเด็กมหาวิทยาลัยกันค่ะ

Day 4 : Hongdae, Four Seasons House, Sinchon, Edae

Hongdae
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Hongik University Station, Exit 8 9 หรือ Hapjeong, Exit 3 4 แล้วแต่ว่าอยากจะเดินขึ้นเหนือหรือล่องใต้

เพราะรู้ว่าสถานที่ที่จะไปวันนี้ ร้านรวงผู้คนจะเริ่มมีชีวิตกันตอนสายๆแบบสิบโมงไปแล้ว เราเลยกะว่าจะไปกินข้าวเช้าที่ Kona Beans ก่อน อยากจะอุดหนุนร้านของน้องให้ได้แต่เมื่อวานมาดูลาดเลาแล้วคนเยอะเชียว วันนี้เลยลองมาดูด้วยคิดว่าเป็นวันจันทร์ คนอาจจะไม่เยอะมาก ที่ไหนได้ .. คนเต็มร้านเลยค่ะ ㅠㅠ .. ผู้หญิงตัวน้อยอย่างเราทอดถอนใจ ดูท่าเข้าไปยังไงก็ไม่มีที่ให้นั่งแน่ๆ ต่อแถวซื้อน่ะได้แต่อาจจะไร้ที่กิน มันเป็นความคิดที่แย่มากสำหรับเรา เราเลยตัดสินใจว่าไปหาคาเฟ่ใกล้ๆคนน้อยๆแถวอับกุจองกินแล้วกัน

เราเดินมาเรื่อยๆกลับมาที่สถานีรถไฟ Apgujeong เดินหลายรอบก็พอรู้ว่ามีร้านไหนถูกชะตาบ้าง เห็น Waffle Bant ร้านฟ้าๆน่ารักดีเลยตัดสินใจว่าวันนี้จะแง้บอาหารเช้าที่ร้านนี้แหละ พอเดินเข้าไปร้านโล่งแต่ดูอุ่นๆมากเลยล่ะค่ะ คนขายก็เป็นกันเองมากทีเดียว หลังจากกวาดตามองเมนูแล้วก็ตัดสินใจสั่ง Green tea latte กับ Original waffle ไป นั่งรอซักพักเดียวก็ได้แง้บสมใจ ชาเขียวหวานไปหน่อย ส่วนวัฟเฟิลโอเคนะคะ หอม หวานนิดๆแต่ไม่หวานไป ระหว่างที่นั่งแง้บก็มีคนเดินเข้ามาสั่งแบบ to-go เรื่อยๆ ร้านเค้าก็น่าจะโอเคอยู่นะ (มาสังเกตทีหลังว่ามีสาขาที่อื่นด้วย 555′)

20120913-112352.jpg20120913-113355.jpg

จัดการเรื่องปากท้องของประชาชนเสร็จสิ้นเราก็เดินทางต่อค่ะ คราวนี้มุ่งหน้าไปฮงแดเลย

ย่านมหาวิทยาลัยฮงอิกและย่านมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาคือที่ที่เราจะไปเดินสำรวจกันวันนี้ คนอ่านอาจจะงง อะไรกัน บอกว่าวันนี้จะไปฮงแด อีแด ไหงไปๆมาๆคือมหาวิทยาลัยฮงอิกกับมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาซะงั้น ในภาษาเกาหลี คำว่าแดฮักกโย (대학교) แปลว่ามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยฮงอิกก็คือ “ฮงอิกแดฮักกโย/홍익 대학교” เรียกสั้นๆก็คือฮงแดนั่นเอง เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาชื่อเกาหลีก็คือ “อีฮวายอจาแดฮักกโย/이화 여자 대학교” ที่เรียกให้ง่ายสบายปากขึ้นก็คืออีแด

ฮงแดเป็นแหล่งรวม ร้านค้า ร้านอาหาร คลับ บาร์ รวมทั้งเป็นถนนแสดงงานศิลป์อาร์ตๆอะไรพวกนั้น เราไปฮงแดแบบกะว่าจะไปหม่ำข้าวกลางวันที่ร้านที่เจอในหนังสือเต็มที่แล้วก็อาจจะไปเดิน free market แถวๆนั้นแล้วก็ไปดู 1st Shop of Coffee Prince .. อยากดูภาพดอกทานตะวันในร้าน .. แล้วค่อยไปดี๊ด๊าต่อที่อีแด ไม่ได้ตั้งใจมาเสพย์งานศิลป์หรอกค่ะ

เรามาถึงฮงแดในวันฝนตก เด็กนักศึกษาเดินกันตามถนนเส้นหลักที่มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัย เราเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงแยกหน้ามหาวิทยาลัยครู่นึงก่อนที่จะเดินต่อเข้าไปตามแยกเล็กแยกน้อยต่อ มีอยู่ช่วงถนนนึงที่มีกราฟฟิตี้เยอะมาก บางอันสวยเกินไปจนน่าประหลาดใจ พอเดินมาเรื่อยๆถึงได้เจอโรงเรียนสอนกราฟฟิตี้อยู่ในซอย ต้นเหตุของสารพัดลายบนกำแพงมาจากที่นี้นี่เอง แบบว่าเยอะมากจริงๆแม้แต่ในห้องน้ำก็ไม่เว้น

20120913-114223.jpg20120913-114359.jpg20120913-114431.jpg20120913-114505.jpg20120913-114539.jpg
20120913-114830.jpg

Four Seasons House (Yoon’s Studio)
Address : Seoul-si Jung-gu Myeongdong 10-gil 29 (Myeongdong 2-ga)
How to go : Subway Line 4 ลงที่ Myeongdong Station, Exit 6, 7, 8 ได้หมดเลยแต่ Exit 8 ใกล้ที่สุด
Operating hours : 10:30 – 21:30 hrs
Price : 8,000 KRW +

จริงๆเราลังเลมากว่าจะไปดู Four Seasons House ดีไหม .. ก็กะว่าจะเดินไปเรื่อยๆตามใจตัวเองนั่นแหละ แต่จะเดินไปทิศที่บ้านตั้งอยู่แต่ถ้าไม่เจอก็ไม่ขวนขวายจะต้องไปดู ถ้าเจอก็เข้าไปเยี่ยมชมซักหน่อยคงไม่เสียเวลามากนัก

พอเราเดินมาก็เริ่มเห็นร้านคาเฟ่ที่หนังสือแนะนำ ร้าน Mug of Rabbits และเดินไปอีกนิดคือ Vinyl เล็งไว้แล้วค่ะ เดี๋ยวเราจะกลับมานั่งร้านกระต่ายหลังเสร็จกิจ ถ้าจำไม่ผิดเรายืนหมุนตัวอยู่หน้า Vinyl อยู่แป๊บนึง เพราะคิดว่ามาถูกแล้ว พิกัดน่าจะอยู่แถวนี้แต่ดันหาไม่เจอ จนเห็นป้าย Four Seasons House เล็กๆหน้าซอย ดีใจแทบกรี๊ด ประมาณว่าดีใจที่เซนส์ด้านถนนหนทางยังดีอยู่ แล้วก็ทำตัวเป็นคนดี เดินกลับมาข้ามถนนตรงทางม้าลาย

บ้านสี่ฤดูหรือ Four Seasons House เป็นสถานที่ทำงาน ของผู้กำกับ ยูน ซอคโฮ ผู้สร้างละคร 4 ฤดูเรื่อง Spring Waltz, Summer Scent, Autumn in my Heart และ Winter Sonata ภายในบ้านใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำ Spring Waltz แสดงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในการถ่ายทำของละครสี่ฤดู นั่นคือสิ่งที่เรารู้มาในตอนแรกค่ะ เราเคยดูละครของผู้กำกับท่านนี้อยู่บ้างอย่างน้อยก็สองสามเรื่่องจากละครสี่ฤดูเลยคิดว่าอยากเห็น แต่ไม่ได้จำเป็น พอมาถึงหน้าปากซอยขนาดนี้แล้ว….ยังไงก็ต้องไปดูค่ะ

สองขาก้าวไปตาทางมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านที่คิดว่าเป็นบ้านสี่ฤดู ภาพตรงหน้ามันคุ้นสุดๆจนคิดว่าฝันเลยค่ะ แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความมั่นใจของเราก็ยิ่งชัดเจนขึ้น .. บ้านฮาน่า

20120913-124349.jpg

20120913-124513.jpg

เราค่อยๆเดินเข้าไปในบ้าน เห็นสวนเขียวๆ ร้านกาแฟคุณหมอ และบ้านสีเหลืองหลังน้อย แถมข้างฝายังแอบมีรูปจุนที่กำลังถ่ายภาพฮาน่าขนาดเท่าฝาบ้านเหมือนยืนยันให้กับคนที่กำลังงงๆไม่มั่นใจอย่างเรา เราเดินวนไปเข้าบ้านทางด้านหลังที่มีเขียนว่า Jun’s Studio เพราะด้านหน้าดูดีไป เค้ากลัว ㅠㅠ

ภายในร้านเป็นร้านคาเฟ่แหละค่ะ มีแฟนนั่งอยู่และบางคนก็เดินถ่ายรูปสำรวจเหมือนเราเลย แต่เค้าน่าจะดีกว่าเพราะดูท่าเหมือนรู้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน ในขณะที่เรายังดูงงๆ เดินสำรวจอยู่เราก็เจอของมีค่า เหมือนเจอสมบัติเลยค่ะ ภาพวาดฮาน่าที่อยากเห็นมานาน ยืนมองอยู่พักนึงก่อนจะตั้งสติถ่ายภาพ

เราเดินสำรวจชั้นสองที่เป็นส่วนที่พักของจุนและฮาน่าตามท้องเรื่องก่อนจะเดินไปสำรวจห้องใต้ดินที่เป็นส่วนแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในละครสี่ฤดูและ Love Rain ก่อนจะไปจบที่บ้านสีเหลืองหลังน้อยที่ภายฝนจัดเป็นส่วนแสดงของ Summer Scent สวยมากทีเดียวค่ะ คนไม่เคยดูละครเรื่องนี้อย่างเรายังชอบเลย

20120913-124723.jpg

20120913-124832.jpg

เราใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้ในบ้านสี่ฤดู ก้าวแต่ละก้าวของเราก้าวไปอย่างช้าๆ รู้สึกตื้นตันตลอดเวลาเลยค่ะกว่าจะลาบ้านฮาน่ามาได้ในที่สุด ดีใจมากๆที่ได้เห็นบ้านฮาน่าเพราะเป็นการพบโดยบังเอิญ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงดีใจได้ขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะมันเป็นงานชิ้นนึงของยัยยุนมากกว่าที่จะเป็นเพราะละคร Love Rain เป็นเพราะครั้งนีงยุนอาเคยมาทำงานไม่หลับไม่นอนที่นี่เลยทำให้ดีใจที่ได้มายืนในบ้านหลังนี้

…ขอบคุณตัวเองที่ยังมีเซนส์ด้านทิศทางบ้าง

…ขอบคุณที่ไม่คิดเดินเลยบ้านสี่ฤดูไปโดยที่ไม่เข้าไปดู

…ขอบคุณที่เราได้เห็นภาพวาดฮาน่าที่เราอยากเห็นด้วยตาตัวเอง

และเพราะว่าถ่ายรูปที่นี่มาเยอะเกินกว่าจะใส่ในไดอารี่เลยเปิดอีกโพสเพื่อฮาน่าและจุน ^^ อยากให้คนที่ไม่ได้ไปได้เห็นบ้านฮาน่าด้วยกัน ลองกดไปดูภาพกันนะคะ

Four Seasons House : Jun’s Studio and Hana’s House

ชมบ้านฮาน่าสบายใจเราก็ออกมาคาเฟ่กระต่ายน้อย Mug of the Rabbit เหมาะพอดีเลยค่ะ เพราะเราต้องพักพอและฝนก็ตกหนักขึ้น เราสั่ง Green Tea Latte อีกแล้ว ด้วยว่าเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเลยตั้งใจว่าวันนั้นไม่ว่าจะเดินเข้าคาเฟ่ไหนก็จะสั่งชาเขียวเรื่อยไปนี่แหละ เพราะอาจจะเดินเข้าอีกหากถูกชะตา หลังจากสำเร็จโทษชาเขียวอีกแก้วไปฝนก็เริ่มซา ได้เวลาเดินเตาะแตะต่อแล้วค่ะ

20120913-115052.jpg20120913-115124.jpg20120913-115154.jpg

จริงๆแล้วเราแพลนว่าจะไปแง้บๆอาหารที่ร้านร้านนึงในฮงแดเลยไม่ได้ทานอะไรรองท้องเลย แต่ดันหาไม่เจอทั้งๆที่มั่นใจในแผนที่ สุดท้ายเราเลยเดินดูนั่นนี่ในฮงแดไปเรื่อยๆ ไม่กินก็ได้ รวบยอดไปกินที่อีแดเลยแล้วกัน เพราะเจ้าชาเขียวนมนี่ก็ไปกองเต็มท้องอยู่ เราเดินไป 1st Shop of Coffee Price ตอนแรกไม่มั่นใจอีกแล้วค่ะว่าถูกซอยแต่เห็นคนกลุ่มนึงประมาณ 4-5 คนยืนอยู่ด้านหน้ามองเข้าไปด้านในก็พอจะมั่นใจว่าใช่ เราลืมไปเลยค่ะว่าสาขาแรกนี่ปิดไปแล้วจนพอไปถึงเห็นบ้านปิดพร้อมป้าย Big Project ก็นึกได้ว่าเคยมีคนโพสแล้วนินา ดีเลย์ไปนาน -_-” ว่าแล้วก็กดๆถ่ายรูปทั้งที่ปิดๆมานิดหน่อย ใจหายเหมือนกันนะคะ เพราะเป็นหนึ่งในละครเรื่องแรกๆที่ทำให้เรารู้จักเกาหลี ไม่คิดว่าจะถูกเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแล้วทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีๆ จากนั้นเราก็เดินต่อเพื่อกลับมาขึ้นรถไฟไป Sinchon

20120913-115424.jpg20120913-115534.jpg20120913-115606.jpg20120913-115805.jpg20120913-115842.jpg20120913-115907.jpg20120913-115939.jpg
20120913-120327.jpg

Sinchon
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Sinchon Station, Exit 1 2 3 4 แล้วแต่สะดวกเดิน

Edae
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Ehwa Woman’s University Station, Exit 1 2 3 4

ชินชอนเป็นถนนสายสั้นๆที่เป็นอีกย่านมหาวิทยาลัย ใช้เวลาเดินจากปากทางจนถึงทางรถไฟไม่น่าเกิน 10-15 นาที เราเดินบนถนนหลักดูนั่นนี่เรื่อยเปื่อยเอามากๆ ของเล็กๆน้อยๆขายสมแล้วที่เป็นย่านเด็กวัยรุ่น ที่นี่เป็นที่แรกที่เราถูกคนมาถามทางในเกาหลี ทั้งๆที่หน้าตากะเหรี่ยงขนาดนี้ยังมีคนมาสะกิดถามพร้อมรัวภาษาเกาหลีอีกเป็นชุด เราได้แต่ส่ายหัวไปเบาๆ ถึงรู้ทางไปก็บอกเค้าไม่ได้จริงๆค่ะ เพราะพูดเกาหลีได้แค่สวัสดีกับขอบคุณเท่านั้น ฮืออออ~ นี่เป็นแค่รายแรกค่าเพราะยังมีคนมาถามอีกเยอะ ^^”

เราเดินชินชอนแค่ถนนหลักไม่ได้เดินซอกเล็กซอกน้อยก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ระหว่างทางที่เดินไปอีแดมีร้านเล็กน้อยๆขายพวกของจุกจิกกุ๊กกิ๊กนั่นนี่ โดยเฉพาะยิ่งใกล้อีแดนี่เหมาะแก่การช้อปปิ้งสุดๆ เราเองก็ล้มละลายเบาๆมาแล้วใน Kosney

20120913-120702.jpg
20120913-120819.jpg20120913-120851.jpg20120913-120916.jpg

เราว่าย่านอีแดต้องเป็นที่ชื่นชอบของทั้งชายหนุ่มหญิงสาวอะ สาวๆมีที่ให้ล้มละลาย มาอีแดเสร็จอาจจะกลับไปพร้อมเสื้อผ้าหน้าผมและของกุ๊กกิ๊ก ส่วนหนุ่มๆก็เจริญตาเจริญใจเพราะสาวๆเกาหลีเต็มไปหมด

20120913-121524.jpg20120913-121606.jpg20120913-121630.jpg20120913-121651.jpg

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เดินเพลิน พอนึกได้ว่าต้องเดินหาร้านอาหารก็เดินกับมาหน้ามหาวิทยาลัยอีกที พิกัดที่บอกว่าจะเป็นร้าน School Food แปลงร่างเป็น De Chocolate ไปแล้ว และตอนนี้ร่างกายเรียกร้องอาหารหนักรุนแรงเลยเดินไปหาร้านที่ถูกชะตา คล้ายๆกับว่าเราจะเป็นคนชอบถูกชะตากับร้านที่หน้าตา local มากกว่าร้านแฟนซีน่ารักค่ะเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อยู่พักนึงก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งทานที่ร้านหน้าตาบ้านๆร้านนึง .. โชคดี เจอร้านอร่อยอีกแล้ว ㅠㅠ .. แต่ให้มาอีกก็ไม่รู้จะมาถูกไหม แป่ว~

ระหว่างที่เราแง้บๆบิบิมบับอย่างอร่อย อาจุมม่าเดินผ่านไปพูดอะไรซักอย่าง น่าจะ”อาหารอร่อยไหม”หรือ”กินให้อร่อยนะ”นี่แหละ เราก็เงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าวแล้วยกนิ้วโป้งให้อาจุมม่า แบบว่าเพิ่งตักข้าวใส่ปากไป ข้าวเต็มปากพูดไม่ได้แต่อยากจะบอกว่าอร่อยค่ะ อาจุมม่าเลยหัวเราะเอิ้กเลย T///////////T

20120913-121810.jpg

Myeongdong Cathedral
Address : Seoul-si Jung-gu Myeongdong 2-ga 1
How to go : Subway Line 4 ลงที่ Myeongdong Station, Exit 6 7 8 หรือ Subway Line 2 ลงที่ Euljiro-1 (il)-ga Station, Exit 5 6
Operating hours : 09:00 – 21:00 hrs (except the Cathedral)

เรากลับมามยองดงก็ค่ำแล้ว แต่ร้านรวงยังเปิดเลยตัดสินใจว่าจะซื้อของตามใบสั่งเลยก่อนจะไปมีเวลา ส่วนเรื่องจะขนกลับไปที่พักสุดท้ายยังไงน่ะอีกเรื่องนึง ร่างที่มีแรงจากบิบิมบัมของอาจุมม่าเลยถือร่มเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้มาจนสุดหลังมยองดงแล้วก็ตัดสินใจเลี้ยวไปคาธีดรอลซักหน่อย

ใครที่เป็นละครเกาหลีอาจจะคุ้นๆเพราะคาธีดรอลนี้เป็นฉากนึงใน You are beautiful ที่มีกึนซอก ชินเฮ ฮงกิ และยงฮวานำแสดง เราเองก็จำไม่ได้หรอกค่ะว่าเป็นตอนไหนของละครและถ่ายทำที่ส่วนไหนของโบสถ์ เพราะที่เราอยากไปมันไม่ได้เกี่ยวกับละคร 55′ ที่จริงแล้วความสำคัญของมยองดงคาธีดรอลเป็นเพราะคาธีดรอลนี้เป็นโบสถ์ของนิกายแคทอลิคของเกาหลีและเป็นสัญลักษณ์ของมยองดง อยู่ใกล้ขนาดนี้ก็เดินไปดูซะหน่อย ทั้งเปียกๆแฉะๆนี่แหละแต่ศรัทธาล้นเหลือนี่ .. ได้ข่าวว่านับถือพุทธ -_-”

โบสถ์ตอนกลางคืนนี่เงียบบอกไม่ถูก ด้วยแสงไฟน้อยๆจากภายในเพียงนั้นเลยทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ไปใหญ่เลยค่ะ เราเดินเข้าไปภายใน แม้จะมีคนมาสวดมนต์อยู่บ้างแต่ก็เงียบกริบ เงียบจนไม่กล้ากดชัตเตอร์อีกแล้ว แต่ก็ถ่ายมาแล้วย่องออกมาให้เบาที่สุด กล้าหายใจเต็มปอดก็ตรงพ้นประตูโบสถ์มาแล้วนี่ล่ะค่ะ

20120913-122103.jpg20120913-122147.jpg20120913-122241.jpg

20120913-122444.jpg

20120913-122530.jpg

เราเดินรอบๆโบสถ์หนึ่งรอบก่อนจะเดินกลับมาที่พัก วันนี้เราตั้งใจว่าจะนอนเร็วกว่าปกติค่ะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไป DMZ และ JSA ไปสุดเขตชายแดนเกาหลีเลยทีเดียวค่ะ ^^

บ้านสี่ฤดู “Four Seasons House” นี้ เป็นสถานที่ทำงาน ของผู้กำกับ ยูน ซอคโฮ ผู้สร้างละคร 4 ฤดูเรื่อง Spring Waltz, Summer Scent, Autumn in my Heart และ Winter Sonata

บ้านสี่ฤดูใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำ Spring Waltz แสดงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในการถ่ายทำของละครสี่ฤดู และนอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ถ่ายทำของละครเรื่อง Love Rain ที่มีจาง กึนซอกและยุนอานำแสดงอีกด้วย

เพราะว่าถ่ายรูปที่นี่มาเยอะเกินกว่าจะใส่ในไดอารี่เลยเปิดอีกโพสเพื่อฮาน่าและจุน ^^ อยากให้คนที่ไม่ได้ไปได้เห็นบ้านฮาน่าด้วยกัน ^^

20120906-094437.jpg

20120906-094600.jpg

20120906-094627.jpg

20120906-094651.jpg

20120906-094711.jpg

20120906-094811.jpg

20120906-094835.jpg

20120906-094856.jpg

20120906-095033.jpg

20120906-095100.jpg

20120906-095113.jpg

20120906-095128.jpg

20120906-095147.jpg

20120906-095219.jpg

20120906-095300.jpg

20120906-095334.jpg

20120906-095416.jpg

20120906-095512.jpg

20120906-095529.jpg

20120906-095711.jpg

20120906-095850.jpg

20120906-095906.jpg

20120906-095949.jpg

20120906-100007.jpg

20120906-101214.jpg

20120906-101317.jpg

20120906-101338.jpg

20120906-101449.jpg

20120906-101511.jpg

20120906-101603.jpg

20120906-101629.jpg

ห้องใต้ติดที่ใช้แสดงเครื่องใช้ที่ใช้ในละคร มีบางส่วนที่เป็นส่วนแสดงของละครสี่ฤดู Spring Waltz, Summer Scent, Autumn Tale และ Winter Sonata

20120906-101751.jpg

20120906-101848.jpg

20120906-102055.jpg

20120906-102133.jpg

20120906-102721.jpg

20120906-102735.jpg

20120906-102826.jpg

20120906-103017.jpg

20120906-103429.jpg

20120906-103452.jpg

20120906-103517.jpg

20120906-103536.jpg

ในบ้านหลังเหลืองๆที่คิดว่าเป็นห้องคุณหมอ เป็นส่วนนึงจาก Summer Scent

20120906-103719.jpg

20120906-103824.jpg

20120906-103912.jpg

20120906-103948.jpg

20120906-104217.jpg

20120906-104241.jpg

เมื่อคืนหลังคอนเสิร์ท หลังจากได้รู้ว่าสามคนที่เบาะหน้าเป็นคนไทยเราก็จัดการผูกมิตรซะเลย พวกเค้าจะกลับกรุงเทพไฟล์ทเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งก็คือวันนี้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นวันนี้เลยเป็นครึ่งวันสุดท้ายของเค้าในโซล เท่าที่คุยกันหนึ่งในนั้นอยากไปวังชางด็อกและเดินดูสวนลับพีวอนก็เลยตกลงกันว่าไปก็ไป ยังไงก็จะไปวังอยู่แล้วและไปเที่ยวแบบเจอมนุษย์คนไทยบ้างก็คงดี .. ก่อนที่จะต้องเที่ยวคนเดียวอีกหลายวัน

Day 3 : Changdeok-gung and Secret Garden, Bongeunsa Temple, Pulmuone Kimchi Field Museum, Coex Aquarium

Changdeok-gung and Secret Garden
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 15:30
Admission fee : Adult 3,000 KRW / Child 1,500 KRW (7-18 years old)
Secret Garden Admission Fee : Adult 5,000 KRW / Child 2,500 KRW

เรารีบตื่นนอนแต่เข้าจัดการนั่นนี่เพราะรู้ว่าจะต้องรีบเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก่อนเที่ยง จะฝากของก็ไม่มั่นใจความสามารถในการสื่อสารกับคุณลุงยาม สุดท้ายเลยตัดสินใจเอากระเป๋าไปฝากโรงแรมที่มยองดงก่อนดีกว่าเพื่อความสบายใจ เราบอกกับโซวอนที่นัดไว้ว่าจะขอสายซักครึ่งชั่วโมงเพราะในแอพดันกะเวลาจากสถานี Hyehwa ไปสถานี Myeongdong ไว้ประมาณแค่ 8 นาที .. หูยยย ใกล้ขนาดนี้นิดเดียวก็ถึง .. แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิคะ มันไม่รวมเวลาลากกระเป๋าจากที่พักไปสถานีรถไฟและจากสถานีรถไฟขึ้นเขา แถมพอลงจากสถานี Myeongdong มาฝนก็ตกอีกต่างหาก คนที่ปกติพกร่มตลอดเวลาหน้าฝนนึกได้ตอนนั้นเองค่ะ ตอนที่หาร่มไม่เจอ ก็เลยนึกได้ว่าลืมร่มไว้ที่คอนเสิร์ทเมื่อคืนพร้อมถุงขนม แต่มันรอไม่ได้แล้วนี่คะ นัดคนเค้าไว้แล้ว เราเลยเข้า 7-11 ไปซื้อร่มแล้วจัดการเดินขึ้นเขาเพื่อไปโยนกระเป๋า

ตอนแรกเราก็นึกค่ะว่าไปแค่ดร็อปกระเป๋าแล้วเค้าคงไม่อะไรมากมาย แต่คือเค้าให้ทั้งเช็คอิน จ่ายเงิน อธิบายนั่นนี่อีกก่อนจะเอากระเป๋าไปโยนในห้องให้ แค่นั้นแหละค่ะ เสร็จกิจเราก็วิ่งปรู้ดกลับมาที่ NIIED ทันที สายแล้วววววววว~

เหตุผลที่เรารีบไม่ใช่เพราะเราสายค่ะ แต่เป็นเพราะเพื่อนเดินทางของเราจะมีเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ต่างจากเราที่มีอีกหลายวันในเกาหลี เราอยากให้เค้าได้ไปที่ที่เค้าอยากจะไป ไม่อยากให้ต้องมาสายหรือพลาดโอกาสไปเพราะเรา

พอมาถึงที่พักเห็นผู้ร่วมเดินทางวันนี้กำลังจัดกระเป๋าก็แอบใจชื้นนิดๆว่าคงไม่สายมากนัก รอสองคนจัดกระเป๋าแบบพร้อมกลับบ้านแล้วเราก็เริ่มเดินทางเพื่อไปยัง Changdeok-gung อาจจะเป็นเพราะความที่เป็นโซวอนเหมือนกันก็เลยทำให้คุยกันรู้เรื่อง การนั่ง subway เลยใกล้กว่าปกติ เราเลยมัวแต่เม้ามอยกันจนนั่งรถเลยป้ายกันแบบไม่มีใครรู้ตัวเลยค่ะ มารู้ตัวอีกทีก็คือรถไฟกำลังออกจากสถานี Anguk แล้ว อาเมน

นั่งรถกลับมาหนึ่งสถานีบวกเดินอีกนิดหน่อยก็ถึง Changdeok-gung พอดี จากการคำนวนเวลารู้สึกว่าเวลากระชั้นสุดๆแต่เพื่อนร่วมทางอยากดูค่ะ เรายินดีสนับสนุนเต็มที่ ไหนๆก็มาแล้วนินา แต่ก็ขึ้นอยู่กับเค้า เพราะถ้าตกไฟล์ทเค้าจะยุ่งกว่า ลังเลอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจดูแล้วกัน เราต้องซื้อตั๋วอย่างน้อยหนึ่งในก่อนเพื่อเข้าวังและซื้อตั๋วเพิ่มอีกใบหากต้องการเข้าชมสวนลับพีวอน ซึ่งเราอยากเข้าไปดูแบบใจร้อน

เราแทบจะไม่ได้เข้าไปชมวังเลยมั้งคะวันนี้เพราะรีบเดินเข้าไปเพื่อให้ทันรอบสวนลับพีวอน ไม่งั้นจะพลาดไปหมด ทั้งวังทั้งพีวอน ใจเราน่ะยังไงก็ได้แต่ห่วงคนตั้งใจจะมาดู หลังจากคำนวนเวลาแล้วคำนวนเวลาอีกก็สรุปได้ว่าเข้าไปดูและเดินออกมาก่อนที่จะครบรอบก็แล้วกัน

สวนลับพีวอนคือสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจสำหรับเจ้านาย(กษัตริย์และราชวงศ์) บ้างก็ไว้ทรงหนังสือ ประพันธ์โคลงกลอน หรือสังสรรค์ ภายในสวนแค่เดินเข้ามาก็ร่มรื่นแล้วล่ะค่ะ ถึงจะเรียกว่าสวนแต่ดูแล้วเหมือนกับสร้างสิ่งก่อสร้างเล็กๆเพื่อพำนักพักพิงในป่ามากกว่า

20120905-192352.jpg

20120905-192454.jpg

20120905-192718.jpg

20120905-192746.jpg

20120905-192832.jpg

20120905-192855.jpg

เราเดินมาถึงส่วนที่เป็นที่พักแน่นอนว่าสำหรับกษัตริย์และผู้ติดตามก่อนที่จะตกลงใจกันว่าวันนี้เราควรจะพอแค่นี้ดีกว่า ไม่งั้นเพื่อนร่วมเดินทางอาจจะตกเครื่องไม่ได้กลับมาเมืองไทยได้ เราเดินไปส่งเพื่อนเดินทางที่สถานี Anguk ก่อนจะแยกกันไปเพราะเค้าต้องรีบกลับที่พักเพื่อเดินทางต่อไปสนามบิน ส่วนเราต้องไปตามล่าหาอาหารแล้ว ตั้งแต่เมื่อเช้ามัวแต่วิ่งผลัดสี่คูณร้อยจนไม่มีอะไรซักอย่างตกถึงท้องเลย ㅠㅠ

…โชคดีนะคะเพื่อนร่วมเดินทางของเรา แล้วโอกาสหน้าเราคงได้เดินด้วยกันใหม่ ^^

Bongeunsa Temple
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Samseong Station, Exit 6 เดินขึ้นไปทางเหนือของห้าง Coex วัดบงอึนซาจะอยู่อีกฝั่งถนน
Operating hours : 05:00 – 21:00 hrs
Admission fee : Free

ถึงตอนนั้นจะบอกว่าจะแยกไปหาของกินแต่รอบตัวไม่เจอร้านที่ถูกชะตาส่งสายตาปิ๊งๆมาให้เลย แถม T-money ก็หมด ตู้เติมก็เสีย มองเข้าไปในตู้ที่ควรจะมีพนักงานแต่หาพนักงานไม่เจอ งงหนักเลยเดินกลับมาเติมที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อเติมเงินใน T-money ก่อนจะเดินลงไปที่สถานีอีกรอบ จริงๆแล้ววันนี้ตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นคือวันไป SM Art Exhibiton แล้วก็ตะลุยคังนัม แต่เราไป SM Art Exhibition มาแล้ว เวลาที่เหลืออีกครึ่งวันคงพอให้เที่ยวตามแผนเดิมคือเที่ยวย่านคังนัม

เราตัดสินใจไปที่ไกลที่สุดก่อนคือวัดพงอึนซาแล้วค่อยกลับมาใช้เวลาที่เหลือของวันที่ Coex พอมาถึงเราก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปดูหน้า SM Art Exhibition ก่อนเลยว่าวันนี้ใครจะมาเดินเล่นที่นี่ เผื่อจะได้มาพร้อมกันกับยัยหนู วันนี้ศิลปินที่มาคือยูริ (จำได้เท่านั้น มีใครอีกไหมไม่แน่ใจจริงๆค่ะ) เราเห็นแถวแล้วมาประมวลผลอยู่นานเพราะคนเยอะมากกว่าเมื่อวันศุกร์ที่เรามามาก อาจจะเพราะเป็นวันหยุด ตกลงเราเลยตัดใจไม่รอน้องยูลแล้วกัน เดินลงมาตั้งเข็มกันใหม่ที่ด้านล่าง ไปบงอึนซาจริงๆแล้วค่ะ ไม่ออกนอกเส้นทางแล้ว หลังจากหาทิศเหนือใน Coex อยู่นาน เราเองดันไม่มีเข็มทิศติดมาด้วยแถมนี่ยังเป็นเวลากลางวันที่ไม่มีดาวเหนือคอยบอกทางอีก พนักงานคงเห็นเรายืนมองผังห้างอย่่างงงๆแล้วทนไม่ไหวเลยเดินเข้ามาถามว่าต้องการความช่วยเหลือไหม พอเราถามทางไปวัดก็ตั้งสติอยู่ครู่นึงก่อนจะชี้ทางไปสว่างให้กับเรา พอเดินมาแล้วก็ถึงได้รู้ว่าทิศเหนือของห้างจริงๆแล้วก็คือฝั่งเดียวกับ Hall D สถานที่จัด SM Art Exhibition นั่นแหละเพียงแต่คนละชั้นเท่านั้นเอง พอรู้เท่านั้นความมั่นใจด้านทิศทางก็กลับมาเต็มที่ เราหาทางเดินออกจาก Coex มาที่ถนนใหญ่ก็พบวัดตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

20120905-193209.jpg

วัดบงอึนซาเป็นวัดพุทธนิกายมหายานที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรชิลลา ในสมัยราชวงศ์โจซอน ศาสนาพุทธในเกาหลีถูกกดดันเป็นอย่างมาก ต่อมาวัดบงอึนซาได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1498 โดยพระราชินีแห่งราชวงศ์โจซอน และได้รับการสนับสนุนจากพระราชินีมุนจอง ซึ่งเป็นผู้ฟื้นฟูศาสนาพุทธในเกาหลีในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 วัดบงอึนซาแห่งนี้จึงเป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายเซนในปี 1551

ในช่วงสงครามเกาหลี วัดแห่งนี้เคยถูกเผาทำลายลงไปบางส่วนและได้มีการบูรณะขึ้นมาอีกครั้งจนกลายเป็นวัดที่สำคัญอีกหนึ่งในโซล ภายในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักด้วยหินอ่อนองค์ใหญ่ ซึ่งมักจะมีผู้คนมากราบไหว้ขอพรกัน

ภายในวัดมีโคมขาวๆแขวนเต็มไปหมด สวยมากเลยล่ะค่ะ แขวนกันเต็มเพดานไปจนถึงเป็นแนวตามทางเดิน เค้าจะเขียนคำขอพรใส่ในโคมกันแล้วทางวัดจะเอาไปแขวนให้ เราจ่ายค่าโคมเหมือนเป็นการทำบุญนั่นละค่ะ

20120905-193321.jpg

20120905-193450.jpg

20120905-193531.jpg

20120905-193554.jpg

20120905-193620.jpg

20120905-193638.jpg

20120905-193717.jpg

ในวันที่เราไปมีคนตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชรา พ่อแม่ที่พาลูกหลานมาไหว้พระ ทำให้วัดมีคนเดินไปมาตลอด แทบทุกอาคาร(เรียกว่าโบสถ์ได้ไหมนะ?)จะมีคนไหว้พระนั่งสมาธิเต็มไปหมด แต่ก็ยังเงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก เงียบแบบที่เราไม่กล้ากดชัตเตอร์ถ่ายรูปเลยค่ะ กลัวไปรบกวนสมาธิคนอื่นเค้า ㅠㅠ ตามข้อมูลแล้วทางวัดเองมี Temple Stay สำหรับผู้สนใจศึกษาและ/หรือปฏิบัติธรรมด้วย ถ้าใครสนใจก็ลองหาข้อมูลได้เลยนะคะ น่าสนใจทีเดียว แต่นิกายมหายานอาจจะต่างจากพุทธนิกายหินยานที่ชาวไทยนับถืออยู่

Pulmuone Kimchi Field Museum
Location : Second Basement Level, COEX Mall
Operating hours : Tuesday – Sunday: 10:00 – 18:00 hrs (visitors admitted until 5:30 p.m.)
Fee : Adult: 3,000 KRW / Elementary, Middle, High School Students: 2,000 KRW / Child (48 months old or elder): 1,000 KRW

เราเดินวนดูนั่นนี่ในวัดครบหนึ่งรอบก็เดินข้ามฝั่งกลับมาที่ Coex แล้วลงไปชั้นใต้ดินค่ะ แรกเริ่มเดิมทีก็ตั้งใจจะไป Aquarium ก่อนแต่อิท่าไหนไม่รู้ เจอพิพิธภัณฑ์กิมจิก่อน กิมจิก็กิมจิ .. พอกลับมาเช็คเวลาทำการของพิพิธภัณฑ์อีกทีถึงได้รู้ว่าโชคดีมากที่เข้าพิพิธภัณฑ์กิมจิก่อนเพราะถ้าไป Aquarium ก่อนแล้วกลับมาดูเราอาจจะไม่ได้ดูก็ได้ เพราะพิพิธภัณฑ์ปิดก่อน

พิพิธภัณฑ์กิมติเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกิมจิ วิธีการทำ อาหารจากกิมจิ คุณประโยชน์ของกิมจิ และก็มีกิมจิให้ชิมด้วยค่ะ

กิมจิถือว่าเป็นอาหารที่ดีกับสุขภาพอันดับต้นๆของโลกเลยนะคะ แรกเริ่มเดิมทีแล้วที่มาของกิมจิคือความต้องการที่จะเก็บอาหารไว้รับประทานในหน้าหนาวซึ่งอากาศหนาวเย็น เนื้อสัตว์ต่างๆสามารถเก็บได้ในที่เย็น แต่ผักล่ะจะเก็บได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการดองผักออกมาเป็นกิมจิ แต่กลับกลายเป็นว่าคนเกาหลีสมัยโบราณได้ค้นพบอาหารที่มีคุณประโยชน์มากเลยทีเดียวเพราะกิมจิอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง นอกจากนั้นยังมีวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม เหล็กและจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส ทำให้กิมจินอกจากจะอุดมด้วยวิตามินแล้วยังช่วยย่อยอาหารอีกด้วย เริ่ดจริงๆ

แรกเริ่มเดิมทีกิมจิไม่ได้มีสีแดงแต่สีเหมือนผักที่ใช้ดองนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มีวิวัฒนาการในการทำมาเรื่อยๆจนกลายเป็นกิมจิสีแดงที่คุ้นตาอย่างทุกวันนี้ แต่กิมจิเองก็มีมากมายหลากหลายชนิดมากเลยค่ะ ซึ่งแล้วแต่ว่าร้านไหนจะเสิร์ฟกิมจิแบบไหนเป็นเครื่องเคียง

20120905-193926.jpg

20120905-193955.jpg

20120905-194049.jpg

พิพิธภัณฑ์กิมจิสร้างขึ้นเพื่อเปิดให้ประชาชนทั้งภายในประเทศและชาวต่างชาติได้ศึกษาความเป็นมาของอาหารขึ้นชื่อของชาวเกาหลีอย่าง “กิมจิ” ซึ่งบริษัท พุลมูวอน ได้เคยสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมาแล้วที่ จังหวัดชุงกู ในปี 1996 เพื่อรองรับจำนวนของนักท่องเที่ยวที่จะมางานโอลิมปิกในปี 1998 หลังจากนั้นพิพิธภัณฑ์ก็ถูกย้ายไปที่ COEX เพื่อเผยแพร่ความเป็นมาของกิมจิให้ชาวต่างชาติได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนจะถูกย้ายมาที่โซลอีกครั้งในปี 2000

เราใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีในการชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ระหว่างที่อยู่ในนั้นก็มีครอบครัวชาวเกาหลีเข้ามาชมเป็นระยะๆ มีคุณตาพาหลานอายุราวๆสิบขวบ(พร้อมครอบครัว)มาเที่ยวด้วยค่ะ เห็นคุณหลานพูดภาษาอังกฤษเลยเดาว่าน้องน่าจะอาศัยอยู่ต่างประเทศ พอกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดคุณตาเลยพาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ คุณตาแข็งแรงและอารมณ์ดีมากๆ พอเห็นหุ่นที่ทำท่าป้อนกิมจิแล้วก็รีบไปนั่งทำท่าให้ถ่ายรูปทันที ^^

20120905-194112.jpg

Coex Aquarium
Location : B1 floor, COEX Mall
Operating hours : 10:00 – 20:00 hrs (Last entry at 19.00)
Admission fee : 17,500 KRW

หลังจากเดินดูพิพิธภัณฑ์กิมจิจนทั่ว ชิมกิมจิเรียบร้อย เราก็พร้อมจะไป Coex Aquarium แล้วค่ะ เราใช้เวลาอยู่นานมากในการหาเจ้า Aquarium ใหญ่โตนี้ เพราะป้ายมันมาๆหายๆ คือเดินมาตามทางที่มีป้ายไป Aquarium อยู่ดีๆป้ายก็หายไปซะงั้น! หายไปจนเหมือนคนหลงทาง ㅠㅠ เรางงจนต้องเดินหา floor plan ดูทางแล้วก็ยังเดินต่อไปอย่างไม่มั่นใจ ระหว่างทางก่อนถึง Aquarium ก็ถูกดูดโดยอะไรที่คล้ายๆกับนิทรรศการขนาดเล็กเลยเข้าไปเดินวนซะหน่อยแล้วกลับมาหา Aquarium ต่อ

20120905-200042.jpg

ถึงจะเดินมาแบบงงๆแต่เราก็ถึงค่ะ Coex Aquarium อยู่ตรงหน้าแล้ว พอมาดูแผนที่จากใบปลิวของ Aquarium แล้วมันอยู่ติดกับ Megabox Theater ที่เราเดินผ่านด้านหลังไปมาอยู่หลายรอบ มาถึงที่แล้วเราก็แอบอยากเขกหัวตัวเองเบาๆที่ริอาจจะมา Aquarium วันเสาร์อาทิตย์ เพราะครอบครัวพาลูกพาหลานมาเที่ยวเยอะมากกกก มากจริงๆ คือแค่เห็นทางเข้าก็บอกได้เลยล่ะค่ะ ㅠㅠ ไม่ชอบคนเยอะไม่พอ ไม่ถูกกับเด็กด้วย เรามาผิดที่ซะแล้ว แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ช่างมันเถอะก็ได้ ㅠㅠ

20120905-200217.jpg

Coex Aquarium เป็น Aquarium ที่ใหญ่นะคะตามความคิดเรา พื้นที่รวมของ Aquarium ใหญ่ตั้ง 14,340 ตารางเมตร เป็นส่วนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเปิดให้บริการ 9,256 ตารางเมตร ใช้เวลาประมาณชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งในการเที่ยวชม Aquarium จัดแสดงตั้งแต่ปลาท้องถิ่นของเกาหลี Fish’s Wonderland ซึ่งคือส่วนที่แสดงปลาที่เข้าไปอยู่ในการดำเนินชีวิตของคน เราจะได้เห็นปลาในตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องขายของอัตโนมัติ ตู้โทรศัพท์สาธารณะหรือคอมพิวเตอร์ได้ในโซนนี้ Amazon World ปลาจากทั่วโลก Ocean Tunnel ที่ให้เราเดินใต้แทงค์น้ำขนาดใหญ่ที่มีฉลามด้วย ไล่ไปเรื่อยๆจะเป็นโซนของสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนมและใต้ทะเลลึก

20120905-200347.jpg

20120905-200413.jpg

20120905-200437.jpg

20120905-200619.jpg

20120905-200648.jpg

20120905-200703.jpg

ตอนที่เราไปส่วนของสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม เจ้าแมวน้ำน่ารักมันจ้องตากับคนที่ดูอยู่ หยุดให้ถ่ายรูปอยู่นานมากแล้วมันก็ไป แต่ทีนี้พอเรียกอีกทีมันก็ไม่มาแล้ว มันคงคิดในใจว่าก็เมื่อกี้อยู่ให้ถ่ายตั้งนานแล้วนินา พอแล้ว เหนื่อยแล้ว

20120905-200511.jpg

โซนที่น่าสนใจอีกโซนคือ Touch Pool เป็นส่วนที่ให้เด็กลองสัมผัสสัตว์ทะเลพวกหอยและปลาดาวได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้จับปลาดาว อันที่จริงแล้วเราเห็นป้ายเขียนว่าให้จับพวกมันเบาๆแต่ก็เห็นเด็กบางคนจับหนักมือเป็นบ้า เคยได้ยินว่าปลาหรือสัตว์น้ำที่อยู่ใน Aquarium จะต้องถูกผลัดเปลี่ยนบ้างไม่งั้นก็จะมีอัตราการตายสูง อันนี้คงจะสูงปรี้ดหนักกว่าเดิมแน่ๆ เราเดินไปจนถึงเจ้าเพนกวินดูความน่ารักของมันอยู่พักนึงก่อนที่จะออกมา .. เสียดายมากๆที่ครั้งนี้ไป Aquarium คนเดียว ถ้าไปกับเพื่อนตามกล้องที่จบสัตว์แพทย์ของเรามันจะต้องยิ่งสนุกเพราะจะมีคนอธิบายอะไรเล็กๆน้อยๆที่ใน Aquarium ไม่มีบอกไว้

อันที่จริงตอนแรกที่ไป Coex Aquarium เราไม่มั่นใจหรอกค่ะว่าเป็นที่ที่สาวๆไปกับเจ้าเด็กอันตรายใน SNSD and Dangerous Boys แต่พอเห็นที่ที่ถ่ายรูปกับไข่และหัวฉลามที่ซันนี่โดนกินมาก็มั่นใจ เลยถือเป็นโบนัสในการเดินทางไกลวันนี้ .. วันนี้ที่ไม่มีสาวๆแต่มีคุณพ่อจับเด็กน้อยให้เจ้าฉลามกินน่ารักมากๆเลยค่ะ เราเลยแอบถ่ายรูปมาซะเลย แฮ่~

20120905-200823.jpg

หลังจากใช้ชีวิตทั้งวันโดยการดื่มน้ำวิตามิน เพราะมัวแต่เดินเที่ยว ผลัดอาหารเช้าเป็นกลางวันและกลายเป็นเย็นไป เราเลยตัดสินใจว่าจะไปกินข้าวที่มยองดงก็แล้วกัน ใกล้บ้านดี ในมยองดงมีร้านก๋วยเตี๋ยวเส้นนิ่มชื่อด้งอยู่ร้านนึงเลยตั้งใจว่าจะไปกินร้านนั้น แต่ก่อนไปด้วยความที่ Coex อยู่ในเขตคัมนัมซึ่งในใจคิดว่าคงไม่ไกลจาก SM เท่าไร เลยนั่งรถมาแวะ(กล้าใช้คำว่าแวะมากๆจุดนี้)ที่อับกุจองเพื่อสำรวจเส้นทางมาร้าน Kona Beans ของเจ้าน้องชายและทางไป SM วันนี้ที่แฟนเยอะมากค่ะทั้งที่หน้าบริษัทและร้านกาแฟของน้องชาย เราไม่ได้รอหรอก ^^” มาสำรวจจริงๆเพราะเดินดูนั่นนี่แล้วก็เดินเลยไปถนนด้านข้างตึกขึ้นเขายาวไปจนถึงสุดถนน จากตรงนั้นถนนที่มาตัดอีกเส้นคือถนนที่จำวิ่งเลียบแม่น้ำฮันไป ฝั่งตรงข้ามคือสวนสาธารณะเป็นแนวยาวไปเลยค่ะ เกาหลีนี่พื้นที่สีเขียวเยอะจริงๆ แต่สวนสาธารณะนี้ไม่ได้ติดกับริมแม่น้ำฮันนะคะ ในใจเราอยากจะเดินไปดูอีกแต่กายหยาบบอกไม่ไหวแล้วค่ะ ต้องรีบหาอาหารกินอย่างด่วนเพราะหิวแบบที่ขนมปังในคาเฟ่แถวนั้นก็ยั้งไม่อยู่ เราเลยรีบออกจากอับกุจองไปมยองดงเพื่อแง้บอาหารเย็น

20120905-200947.jpg

20120905-201009.jpg

Myeongdong Gyoja (명동교자)
Address : Seoul-si Jung-gu Myeongdong 10-gil 29 (Myeongdong 2-ga)
How to go : Subway Line 4 ลงที่ Myeongdong Station, Exit 6, 7, 8 ได้หมดเลยแต่ Exit 8 ใกล้ที่สุด
Operating hours : 10:30 – 21:30 hrs
Price : 8,000 KRW +

ตอนที่นั่งรถไฟฟ้ามีคุณลุงขึ้นมาขายของด้วยค่ะ ซึ่งดูจะเป็นปกติมากๆเพราะทุกคนทำท่าเฉยชา เราก็มองคุณลุงฆ่าเวลาไประหว่างที่อยู่บนรถ คุณลุงพรีเซนท์ของอย่างชำนาญ ถึงเราไม่เข้าใจก็พอรู้ล่ะค่ะว่าคุณลุงขายที่สไลด์อาหาร แต่ไอ้ที่ทำเราอึ้งไปคือระหว่างที่เราก้มกดโทรศัพท์มือถือเราก็ได้กลิ่นแตงกวาลอยมา คุณลุงเอาแตงกวามาใช้ในการสาธิตแบบสดๆ

…คุณพระ! เจสสิก้าทันที เธอคงไม่สามารถอยู่ร่วมโบกี้กับคุณลุงสาธิตได้แน่ๆ

แล้วคุณลุงก็เดินไปขายอีกโบกี้ถัดไปหลังจากไม่ประสบความสำเร็จจากโบกี้เรา เราก็นั่งต่อจนมาถึงสถานี Myeongdong อย่างหิวโซ เราหาร้านเจอแล้วเดินเข้าร้านแบบไม่คิดเลยค่ะ ตอนสั่งอาหารก็นั่งระลึกชาติอยู่พักนึงว่าร้านนี้อะไรดังน้อ แต่พอเปิดเมนูก็มาก็เจอหน้าแรกเลยค่ะ อารมณ์ว่าเป็น signature ของร้าน ด้วยความหิวจริงๆอยากจะสั่งของอีกเยอะมากมากินแต่ตาไวเหลือบไปเห็นขนาดชามโต๊ะข้างๆ เอาเป็นว่าชามเดียวก่อนน่าจะดีกว่า จัดการเรียกอาจุมม่ามาสั่งอาหารและจ่ายเงิน ร้านนี้เก็บเงินเลยค่ะ ไม่นานอาหารก็มา แล้วก็เป็นดังคาด…….ราบเป็นน่ากลอง

20120905-195626.jpg

กินเสร็จก็ไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่มีแรงอะไรทั้งสิ้น เดินขึ้นเขาหนึ่งเนินเพื่อกลับที่พักเพื่อพักผ่อน ชาร์จแบตไว้ก่อนพรุ่งนี้ยังเดินอีกเยอะ ^^

หลังจากคืนแรกบนเครื่องบินและคืนที่สองที่เวลาผ่านไปถึงตีสามเรายังเพิ่งถึงห้องพักเป็นเรื่องที่ผิดปกติสำหรับเรามาก เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่สองวันแรก จริงๆเป็นคนนอนน้อยได้แต่ให้ความสำคัญกับการนอนมาก พอถึงที่พักเราเลยจัดการตัวเองเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงนอน ด้วยความที่ตัวเองเกิดอยากจะประหยัดงบตั้งแต่แรกเราเลยเลือกพักแบบเป็นหอพักเพราะเคยพักพวก Hostel Guesthouse เวลาไปเที่ยวและรู้ว่่าไม่ได้ลำบากอะไร เพราะคนเราใช้เวลาอยู่ในห้องพักน้อยกว่าไปเที่ยว เพราะฉะนั้นที่พักสำหรับเราคือสะอาดและปลอดภัยก็โอเค ถ้าพักห้องพักแบบหอพักสิ่งที่ต้องคิดมากขึ้นอีกนิดคือการที่ตัองจัดสรรเวลาอาบน้ำแต่งตัวให้ตัวเองไม่ให้ชนกับคนอื่นถ้าเป็นห้องน้ำรวม ไม่งั้นต้องไปต่อแถวแล้วจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานชีวิตและเสียเวลาโดยไม่จำเป็น ตอนเช้าน้องสตาฟประจำรถนัดไว้ว่าบ่ายโมงเราก็เลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่แปดโมงกว่าๆเท่ากับว่านอนไปประมาณสี่ชั่วโมงก่อนจะตื่นมาสู้ชีวิตอีกครั้งในเกาหลี

Day 2 : Daehak-ro, Naksan, SM Town Concert Live in Seoul

Daehak-ro (대학로)
Naksan Park

How to go : Subway Line 4 ลงที่ Hyehwa Station, Exit 2

เสียงหมาเห่าเบาๆดังขึ้นปลุกเรา .. อย่าตกใจไป เราไม่ได้เอาน้องหมาไปด้วยถึงที่ในกระเป๋าจะเหลือพอก็ตาม มันเป็นเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ .. ถึงจะเบาแต่ก็ตื่น ประหลาดไหมล่ะคะ ปกติเสียงไซเรนดังลั่นยังไม่ตื่น แต่นี่เสียงเห่าเบาๆลุกพรึ่บทันที จากนั้นก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวอย่างสบาย ไม่ต้องช่วงชิงกับใคร เพราะบางคนก็ยังหลับอยู่เลย หอพักเงียบเชียว ไม่เหมือนตอนกลางคืนที่คนเยอะมากที่ห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ

หลังจากจัดการแปลงร่างเสร็จเราก็ออกเดินสำรวจย่านรอบๆที่พัก ที่พักที่ SM จัดไว้สำหรับคนซื้อแพคเกจราคาเริ่มต้นคือ National Insitute for International Education (NIIED) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านแทฮักโน (Daehak-ro)

แทฮักโน (대학로) หมายถึงถนนมหาวิทยาลัย คำว่าแดฮักแปลว่ามหาวิทยาลัย ส่วนโนแปลว่าถนน ที่โรมันจิเขียนว่า”โร”แต่ออกเสียง”โน”เป็นเพราะกฎการออกเสียงในภาษาเกาหลี ที่ชื่อว่าเป็นถนนมหาวิทยาลัยก็เพราะว่าแทฮักโนเคยเป็นถนนหลักที่ติดกับมหาวิทยาลัยโซล (Seoul National University’s College of Arts and Sciences) จนมหาวิทยาลัยย้ายไปตั้งที่อื่นแต่ก็ยังมีสาขาของมหาวิทยาลัยอื่นๆตั้งอยู่ละแวกนี้ จะว่าแทฮักโนเป็นถนนสายศิลปะก็ไม่ผิดเท่าไร เพราะเต็มไปด้วยโรงละคร ร้านอาหาร ใน Marronier Park เองก็มักจะมีนักดนตรีสมัครเล่นแสดงดนตรีหรือการแสดงต่างๆอย่างสม่ำเสมอ หากเดินเข้าไปลึกๆในย่านแทฮักโนก็จะสามารถเดินขึ้นไปยังเขา Naksan ได้ถ้ามีแรง

เริ่มต้นออกเดินจากที่พักมาเรื่อยๆก็เริ่มเห็นศิลปะน่ารักๆของละแวกนี้ที่แอบซ่อนตัวอยู่ตามจุดเล็กจุดน้อยให้ยิ้มได้ทีละนิด จนอยากจะถ่ายรูปตัวเองไว้ด้วยแต่มาคนเดียว .. ไม่พอ สภาพคนนอนไม่พอสองคืนติดกันทำให้ดูรูปวิวน่าจะสวยที่สุดแล้ว ^^”

20120903-224516.jpg

20120903-224612.jpg

20120903-224645.jpg

เราเดินเรื่อยๆไปตามทางเดินขึ้น Naksan โดยไม่ได้กางแผนที่เป็นเรื่องเป็นราวแค่กะทิศแล้วดูจากป้ายบอกทาง Tourism Information ที่มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ความที่ไม่ได้ไปตามเส้นทางการเดินเป๊ะๆเลยอาจจะมีอะไรที่ได้เห็นและพลาดไปบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของการมาเที่ยวด้วยตัวเอง

เดินขึ้น Naksan เหนื่อยแต่ก็สดชื่น ระหว่างทางที่เดินเจอตั้งแต่คนรุ่นคุณตาคุณยายมานั่งคุยกันริมทางในสวน คนรุ่นหน่อยวิ่งออกกำลังกาย บ้างก็พาสุนัขมาเดินในสวนออกกำลังกายไปพร้อมๆกันด้วย ซึ่งในสวนก็อำนวยความสะดวกนะคะ มีถุงเก็บมูลน้องหมาบริการไว้ด้วย พอเดินลงมาจากสวนก็เจอกับนักท่องเที่ยวเป็นระยะๆเลยเดาว่าอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวจริงๆปนๆไปกับคนที่ซื้อ SM Package เหมือนกันแล้วมาเดินเล่นหลังอาหารนั่นแหละ

…ต่างกันที่ชั้นยังไม่ได้กินอะไรเลย แง้~

20120904-072917.jpg

20120904-073534.jpg

20120904-073608.jpg

20120904-073758.jpg

20120903-225542.jpg

20120903-225614.jpg

20120903-225643.jpg

20120903-225720.jpg

เราเดินลงเขามาสำรวจแทฮักโนอยู่พักใหญ่จนเมื่อใกล้เวลานัดหมายก็เดินเข้าร้านอาหารท้องถิ่นที่ถูกชะตา เดินเข้าไปแบบกล้าๆกลัวๆเพราะเป็นอาหารมื้อแรก ไม่รู้จะสื่อสารยังไง เลยเดินเข้าไปจิ้มที่รูปข้าวผัดกิมจิ อาจุมม่าเลยถามกลับมาเป็นภาษาอังกฤษว่า “Gimji fried rice?” เลยพยักหน้าหงึกหงักแบบดีใจไป อาจุมม่าพูดภาษาอังกฤษได้ใช่ไหมคะ ดีใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ

หลังจากสำเร็จโทษข้าวผัดกิมจิเสร็จสิ้นเราก็ออกจากร้านเดินกลับไปที่ที่พักตามเวลาที่นัดหมายไว้ ระหว่างที่นั่งๆรออยู่ก็เห็นเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันน่าจะเป็น Exotic จีนพกเอาผ้าเชียร์ Exo-M มาเต็มที่พร้อมแจก อาจจะเพราะสนใจมากไปหน่อยเค้าเลยให้ผ้าเชียร์มาซะเลย แฮ่~

20120903-230131.jpg

SM Town Concert Live in Seoul 2012
Date : 18 August 2012
Time : 17:30
Venue : Seoul Olympic Stadium (Jamsil Olympic Stadium)

อันที่จริงแล้วเราบ่นงึมๆตั้งแต่น้องสตาฟ(ที่น่ารัก)ประจำรถนัดว่าทำไมต้องนัดเร็วขนาดนี้ ในเมื่อคอนเสิร์ทมันเริ่มตั้งห้าโมงเย็น แต่นัดกันตั้งแตบ่ายโมงเนี่ยนะ ไม่เข้าใจ ยังไงก็ไม่เข้าใจ น้องสตาฟบอกจะเดินทางเองก็ได้ไม่ว่ากัน แต่เราเองก็ขี้เกียจเดินทางจากโซลเหนือมาโซลใต้ด้วยตัวเอง บวกกับความคิดที่ว่าถ้าไปเองจะต้องไปติดต่อเรื่องของที่ระลึกที่จะแจกในวันนั้นเองอีกก็เลยตกลงใจไปกับรถของ SM แหละดีที่สุดแล้ว

พอถึงสนามกีฬาที่เป็นสถานที่จัดงาน SM ก็พร้อมปล่อยเกาะเราแล้วค่ะ น้องสตาฟ(ที่น่ารัก)แจกเสื้อผ้าและพาไปเอาถุงขนมที่ตอนแรกไม่เห็นค่าแต่ตอนหลังมันช่วยชีวิตเราเอาไว้โดยแท้ โดยที่ก่อนแยกกันน้องบอกชัดเจนว่าหลังเลิกคอนเสิร์ทให้มาป๊ะกันที่รถ ถ้าไม่มาก็กลับเองนะจ๊ะ

…It is what it is

จากนั้นเราก็แยกย้าย แยกย้ายหมายถึงแยกย้ายจริงๆค่ะ เพราะเรามีนัดสำคัญกับใครบางคนเลยขอแยกตัวจากผู้มีอุปการะคุณไปติดต่อคนนั้น ซึ่งติดต่อไม่ได้ซะงั้นน่ะ!!! ในใจไม่ได้คิดหรอกค่ะว่าเค้าจะเบี้ยวนัดกลางอากาศ แต่คิดว่าเค้าอาจจะไม่สะดวกในการติดต่อเรามากกว่่า ก็เบอร์มันเป็นเบอร์เมืองไทยนี่คะ โทรคงเหมือนโทรทางไกลไปเมืองไทย แล้วจะให้เค้ามารับค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ยังไง ㅠㅠ

เราเดินไปเดินมาหน้าสนามกีฬาอยู่แว้บนึง ฝนก็ตกปรอยๆเป็นปกติของช่วงนั้น สิ่งที่ตัดสินใจคือซื้อเสื้อกันฝนดีกว่า กางร่มดูคอนเสิร์ทคงจะไม่ได้และไม่ใช่อย่างรุนแรง ก็ไปหาอาจุมม่าขายของซื้อเสื้อกันฝนสีชมพูมาหนึ่งอันและมั่นใจแล้วว่าตัวเองพร้อมรบ .. เอ้ย พร้อมดูคอนเสิร์ท

พอยืนรอหน้าสนามกีฬาจนเหนื่อย ติดต่อใครไม่ได้ก็เลยลองเดินไปเรื่อยๆ กลับมาตรงแถวๆที่ที่เค้าปล่อยเราลงมา จริงๆพอมาถึงแล้วก็เข้าใจได้ล่ะค่ะว่าทำไมถึงต้องให้มาแต่หัววันขนาดนี้ นอกจากเผื่อเวลาให้ไปหาของกินแล้ว เจ้าแถว Official Goods ยาวมากและเราเองมั่นใจว่าต้องมีหลายๆคนที่ไปต่อแถวซื้อด้วย ส่วนตัวเราไม่ได้ต่อแต่ว่าพี่ผู้มีอุปการะคุณบอกว่าจะซื้อของที่ระลึกบางอย่างเลยฝากไปด้วย .. คือถ้าพี่ต่อคิวหนูก็ฝากซื้อแท่งไฟ แต่ถ้าพี่ไม่ไหวที่จะรอก็ช่างมันค่ะ .. แล้วสายตาเราก็เห็นป้าย Green Field ไปทางนี้ ก็เดินตามป้ายไปแบบลอยๆเหมือนไม่รู้ตัว จริงเราว่าเพราะเราสงสัยมากกว่าว่ามันอยู่ไหนและไกลมากไหม ประสาคนไม่เคยมาคอนเสิร์ทที่เกาหลีแหละค่ะ แต่จับพลัดจับผลูไปในแถวที่เค้าต่อเพื่อเข้าไปคอนเสิร์ทซะงั้นไหนๆก็ไหนๆก็เลยต่อแถวไปทั้งอย่างนั้นแหละค่ะ

20120903-230234.jpg

นั่งอยู่นานจนหิวเพราะกินข้าวไปเมื่อตอนสายๆ นี่ปาเข้าไปบ่ายสามแล้วแถวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน ประมาณว่าประตูคงยังไม่เปิด ขนมที่ SM แจกนั่นแหละก็กลับกลายเป็นมีประโยชน์ขึ้นมาทันที นั่งแกะกินมันทั้งๆที่อยู่ในแถวอย่างนั้น จนแถวค่อยๆเลื่อนไปช้าๆ เราเดินผ่านพนักงานตรวจบัตรเข้าไปอย่างง่ายดาย ต่างจากเมืองไทยที่ค้นจนแทบจะทุกอณูทุกรูขุมขน เดินผ่านประตูเข้าไปตรงหน้าก็เป็นสนามและเวทีเดิมที่เราดูเมื่อวาน แต่พอเข้ามากลางวันก็มองอะไรได้ชัดเจนขึ้น ก่อนที่จะมองอะไรเราเริ่มจากการมองหาที่ให้ตัวเองก่อน พอพาตัวเองไปที่ที่นั่งได้ก็สงสัยเบาๆ เราเข้ามาทำอะไรเร็วขนาดนี้ อีกเป็นชั่วโมงกว่าคอนจะเริ่ม แต่ก็นะ…อยู่ข้างนอกก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี จงเข้าไปด้านในหาเก้าอี้นั่งซะเถอะ

20120903-230330.jpg

ระหว่างรอคอนเสิร์ทมีฝนเบาๆลงมาเป็นช่วงๆทำให้เราต้องใส่ๆถอดๆเสื้อกันฝนเป็นระยะๆ จะใส่ตลอดก็ไม่ไหว มันอบเหลือเกิน แต่ตอนรอคอนเสิร์ทไม่ได้น่าเบื่อหรอกนะคะ บรรยากาศไม่ต่างกับที่ไทยเท่าไร ข้างในคอนเสิร์ทจะมี Ad TVC มาฉาย พอถึงเวลาที่เป็นโฆษณาของโฮมิน แคสซี่ก็สครีมทุกครั้ง ถ้าไม่มีโฮมินเค้าก็ร้องเพลงของเทพไปเพลินๆพอถึงเป็นหน้าผู้ชาย SJ เอล์ฟก็จัดการสครีมบ้าง เสียงไม่ตกด้วย อารมณ์คล้ายๆที่แฟนไทยกรี๊ดรักแร้น้องอั้มนั่นแหละค่ะ เห็นภาพไหมล่ะ ^^”

จนพอคอนใกล้เริ่ม พี่ผู้มีอุปการะคุณตามเข้ามาแล้ว ตอนแรกพี่เค้าไม่ได้ซื้อของ Official Goods มาหรอกค่ะ เค้าบอกว่ารอไม่ไหว แต่พอพี่เค้าไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาพร้อมของ แถมยังไม่ลืมที่เราฝากซื้อด้วย ขอบคุณมากจริงๆค่ะ สุดท้ายก็ได้มา เจ้าแท่งไฟ SM Town ^^ เราโชคดีมากอีกครั้งที่นอกจากได้ของที่อยากได้มาไว้ในครอบครองแล้วยังได้พบกับคนที่อยากพบด้วย มันยากมากเลยค่ะกับการที่จะได้พบเค้า ไม่ได้ยากตรงไหน แต่การที่คนที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนนัดเจอดันโดยที่โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้มันยากมาก ข้อความที่ส่งถึงกันเป็นกระบุงเพื่อที่จะระบุตัวตนของอีกฝ่าย และสุดท้ายเราก็ได้พบกับคนสำคัญ เราคุยกับไม่นานหรอกค่ะเพราะเป็นเวลาแค่พักนึงก่อนจะห้าโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาคอนเสิร์ทเริ่ม เราเลยแยกกับเค้าเพราะไม่อยากรบกวนเวลาเค้ามากไปกว่านี้ กลัวเค้าดูคอนเสิร์ทไม่ทัน

คนสำคัญของเราคนนั้นถ้าคนที่รู้จักเราคงรู้ว่าเค้าเป็นใคร เค้าเป็นหนึ่งคนที่เราขอบคุณเค้ามากที่สุด เพราะเค้าคือคนที่บอกว่า “ชั้นต้องถ่ายแฟนแคมเพื่อเด็กๆที่ไม่มีเงินมาดูหรือบางคนที่อยู่ไกลจนมาดูไม่ได้” ถ้าเทียบกับตัวเราเองแล้วที่เลือกเก็บเกี่ยวความทรงจำไว้ด้วยสายตาและบันทึกลงที่หัวใจแล้วมันต่างกันลิบลับเลยค่ะ เค้าเสียสละมากจริงๆ เค้าสามารถถ่ายภาพหรือวิดิโอพวกนั้นเก็บไว้โดยที่ไม่แชร์ก็ได้ แต่เค้าเลือกจะแบ่งปันสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้ทุกคนได้เห็นซึ่งมันไม่ได้ได้มาง่ายๆ ถึงเค้าจะไม่ได้ห้ามเอากล้องเข้าไปแต่ก็มีการ์ดและสตาฟคอยดูแลอยู่รอบๆ ถ้าโดนจับได้ก็โดนลบสิ่งที่ถ่ายไปทั้งหมด มีโซวอนรัสเซียที่นั่งอยู่ด้านหน้าเราสองแถว คาดว่าคงไม่ใช่แฟนไซท์ที่ถ่ายแฟนแคมเป็นปกติเลยไหวตัวไม่ค่อยทัน เค้าถ่ายแฟนแคมสาวๆไว้ การ์ดเข้าไปไม่ถึงเลยให้เราสะกิดเรียกคนนั้น มันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำที่สุดแต่จุดนั้น….เราไม่มีทางเลือก ได้แต่สะกิดเค้าแล้วให้เค้าออกมาแล้วให้เค้าคุยกันเอง เราขอโทษเค้าจริงๆนะคะ หวังว่าเค้าจะสามารถกู้ไฟล์พวกนั้นกลับคืนมาได้

คอนเสิร์ทเริ่มด้วย MC อีทึก อึนฮยอกและชินดงค่ะ เตี้ยๆอย่างเราหาอยู่นานว่าอยู่ตรงไหน ก่อนจะระบุพิกัดเจอ งานเริ่มต้นเหมือนโอลิมปิค .. ก็น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากโอลิมปิคนั่รแหละ .. โดยที่ตัวแทนของแต่ละประเทศจะได้เดินเข้าสนามร่วมกับศิลปินโดยจะเดินเข้ามาตรงลู่วิ่ง คนที่มีส่วนสูงจำกัดที่นั่งอยู่หน้าเวทีมองเห็นบ้างไม่เห็นบ้างแล้วแต่โชคจริงๆ และพิธีการ(แหม่ พูดซะดูดี)จบลงที่การเชิญธง SM Nation ขึ้นสู่ยอดเสาโดยยุนโฮและชางมิน จากนั้นก็เป็นโบอาและคังตะกล่าวเปิดงาน ตอนที่เห็นธงขึ้นสู่ยอดเสามันเป็นความรู้สึกแปลกจริงๆนะคะ น่าจะใช้คำว่าตื้นตัน เพราะมองเห็นสายตาของศิลปินที่มองธงนั้น คงเหมือนมองสัญลักษณ์ของค่ายตัวเอง สิ่งที่ตัวเองเพียรพยายามมาถึงทุกวันนี้ คงเหมือนเป็นธงชาติของเค้าอีกผืนนึง แล้วต่อด้วยเพลง My Dear Family .. มาแบบนี้ถ้าอยู่กรุงเทพกับเพื่อนสนิทคงร้องไห้ไปแล้วแน่ๆ แต่อยู่คนเดียวไม่กล้าร้อง ฮาาาาา~

คอนเสิร์ทเริ่มต้นอย่างเป็นทางการและค่อยๆสนุกขึ้นเรื่อย อย่างนึงที่ดีใจแทน Kim Minjong คือเค้าเป็นนักแสดงที่ได้รับเสียงกรี๊ดไม่แพ้ไอดอลเลยค่ะ ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆเลย ซึ่งมีน้อยคนมากจะทำได้ เพราะปกติแล้วเสียงกรี๊ดของนักแสดงจะดังน้อยกว่าไอดอลเยอะมากๆค่ะ ส่วนนึงน่าจะเป็นผลจากเรื่อง A Gentleman’s Dignity ที่เค้ากลับมาแสดงดราม่าอีกครั้งละมั้งคะ

เรากำลังเพลินๆกับการโชว์บนเวที ซักพักก็ได้ยินเพลงคุ้นๆค่ะ หนึ่งในเพลงโปรด Just the Way You Are แทนที่จะมองเวทีทางฝั่งที่ตัวเองใกล้ ไม่ค่ะ มองไปเวทีอีกฝั่งเพื่อเห็นชางมิน หลังจากนั้นสติมาปัญญาเลยเกิดว่าฝั่งเราต้องเป็นคยูฮยอน หนึ่งใน bias ของเรา เพราะงั้นเราอยู่ถูกฝั่งแล้วค่ะ ได้เห็นเด็กชุดเขียวมายืนระยะใกล้ ถึงสุดท้ายเจ้ากี้จะเดินไปแข่งกับชางมินบรรจงจุ้บหญิงสาวที่ตอนแรกดูไม่ออกว่าเป็นน้องแทมเลยกรี้ดซะแทบสิ้นสติ >;;;;;;;;;/////<;;;;;;;;;

…พอมารู้ว่าเป็นน้องแทมเลยไม่รู้เลยว่าควรจะอิจฉาหรือสงสารดีกว่ากัน ถึงว่าเจ้าคยูมันดูระมัดระวังตัวนักตอนบรรจงจุ้บ

ตอนแรกๆเราดูอยู่ที่เก้าอี้ของตัวเอง ก็เห็นว่ามีคนวิ่งไปดูเกาะหน้าเวทีบ้างแต่ไม่มาก ไม่รู้ทำไมว่ายังไม่วิ่งไปดูซักที อาจจะเพราะขี้เกียจเดินข้ามผู้คนมากมายออกมาทั้งๆที่อยู่เก้าอี้แถวหลังสุดของ Zone B8 กระโดดมาง่ายจะตาย สุดท้ายพอพี่ผู้มีอุปการะคุณวิ่งไปดูน้องลู่หาน หลังจากนั้นถ้าหนุ่มๆ SJ TVXQ และสาวๆ SNSD มาที่เวทีหน้าก็จะวิ่งไปดูสนุกสนานจนไม่ห่วงกระเป๋าที่วางทิ้งไว้เลยค่ะ ตอนนั้นคิดว่าคนที่ข้างๆเป็นชาวเยอรมันที่ไว้ใจได้และอีกอย่างคือในคอนเสิร์ทแบบนี้คนคงสนใจไอดอลมากกว่าของมีค่า .. ไม่ควรเลียนแบบนะคะ เพราะคนดีก็มี คนไม่ดีก็มาก

คอนเสิร์ทครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ทที่สนุกที่สุดอีกหนึ่งคอนเสิร์ทในชีวิตเราเลย .. พูดเหมือนคนผ่านคอนเสิร์ทมาเยอะ แต่เปล่าเลย -_-” .. ส่วนตัวเราว่าพวกนี้สนุกเพราะอารมณ์ของเราตอนนั้นมากกว่า ปกติถ้าเลือกได้จะเลือกดูคอนเสิร์ทบัตรนั่ง เพราะบัตรยืนในเมืองไทยมันโหดร้าย วิ่งได้ไม่สนุกเท่านี้ ครั้งนี้เราเลยได้วิ่งไปมาตามหาหัวใจเต็มที่ แต่ถ้าศิลปินอยู่ที่เวทีหลักเราก็จะมาปักหลักอยู่ที่เก้าอี้ตัวเองต่อไป

การที่ได้ดูเจ้าเด็กเกรียนคยูฮยอนมาเต้นโบนามาน่าตรงหน้า .. ไม่ขอนับรวมที่อีทึกถอดเสื้อโชว์กล้ามตอนที่กำลังเพ่งกระแสจิตไปให้น้องกี้ .. เกาะขอบเวทีแททิซอ เจ้าซอกับแว่นกาก้าและ DJ Got Us Falling In Love Again .. ได้ดู dance Battle ของ Yunho Yoona Yuri Hyoyeon Taemin Chen Kai ใกล้ๆ .. ดีโอที่ออกจากรถเข็นแบบเหนือคนปกติโดยการมุดในขณะที่ทุกคนเปิดออก .. โจวมี่พูดแนะนำตัวว่า Wo shi Zhoumi desu ซึ่งทำเอาเรางงว่ามี่จะพูดภาษาอะไร .. เยซองคนธรรมดาที่สุดใน SM สาดซัดภาษาญี่ปุ่นมาสี่ประโยคและฮยอกแจที่รักพูดภาษาไทยตลอดเวลาทำเอาเราอยากจะเปลี่ยนเมน ㅠㅠ จากตอนแรกที่คิดว่าคอนเสิร์ทนานๆแบบนี้ ถ้าเรานอนน้อยอย่างสองคืนนี้เราคงหมดพลัง แต่กลับไม่มีเหนื่อยแม้ซักวินาที

ตลอดเวลาหลายชั่วโมง ความทรงจำที่ดีที่สุดของเราอยู่ที่เพลง Gee ค่ะ สาวๆไปร้องมีเวทีข้างหน้าอัฒจรรย์ซึ่งอยู่หลังโซนสีเขียวอย่างพวกเรา แง้~ ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่วิ่งตามไปเกาะดูข้างหลัง เค้าไม่ให้วิ่งไปดูข้างหน้านี่คะ งั้นก็ดูด้านหลังสาวๆกับหันหน้าไปเวทีเป็นระยะๆไปอย่างนั้นแหละค่ะ จนจบเพลงเราเกือบจะกลับที่นั่งแล้วแต่โซวอนที่วิ่งไปดูเหมือนกันเรียกสาวๆ เราเลยเรียกบ้างแล้วน้องซอก็ fan service ที่สุดในโลกหล้า หันมาบ้ายบายทางฝั่งนี้ด้วย

…ทำอย่างนี้พี่ยอมให้เพื่อนเรียกว่าติ่งตลอดชีวิตเลยค่ะ ㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠ

ในช่วง Ending ของคอนเสิร์ทที่เห็นมีโซวอนยื่นป้าย S♥ne is here ให้น้องซอและน้องซอก็สะกิดฟานี่ให้ดูด้วย ก็เลยรู้ว่ามีโซวอนไทยโชคดีได้ขึ้นไปบนเวทีตอนจบ สำหรับเราอิจฉาไหม ไม่น่าเรียกว่าอิจฉา ถ้าเราเป็นคนที่โชคดีคนนั้นอาจจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่า อาจจะไม่มีป้ายนั้นไปให้น้องก็ได้ ดีใจด้วยนะคะกับโซวอนไทยที่ได้ขึ้นไปบนนั้น ขอบคุณที่เดินเอาป้ายนั้นไปให้น้อง อย่างน้อยน้องก็จะได้รู้ว่ามีโซวอนอยู่ หลังจากนั้นได้มารู้จักคนไทยสามในสี่คนที่ได้ขึ้นไปบนเวทีก็หลังเลิกคอนเสิร์ท เค้านั่งอยู่เบาะหน้าเรามาตลอด เรานี่รู้ตัวช้าได้อีก -__-”

หลังจากคอนเสิร์ทพวกเราก็พาร่างมาที่รถที่จะพาเรากลับไปยังที่พัก ระหว่างที่รอ SM Passport ก็มีการเล่นเกมแจกของเล็กๆน้อยๆ และแจก Fortune Cookie ซึ่งด้านในจะเป็นลายมือศิลปิน เจ้าขนมที่ควรจะเป็นขนมหลังอาหารนี้เคยมีเล่นเกมแจกไปแล้วครั้งนึงในงาน Welcome Party แต่คราวนี้เค้าแจกทุกคนค่ะ ตอนแรกเราได้น้องหมิน เราซึ่งเอ็นดูน้องหมินพอตัวก็กะว่าจะเก็บไว้นั่นแหละค่ะ ถึงคนไทยข้างหน้าจะได้น้องซอแต่เราก็ไม่กล้าแลกเพราะเค้าชอบชางมินแต่เราไม่มีเลยขอแค่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้แทน ㅠㅠ แต่ไปๆมาๆมีชาวจีนที่ชอบ EXO และมีซอฮยอนอยู่ในมือ เราเลยขอแลกไปแล้วก็ได้น้องซอมาครอบครองในที่สุด

20120904-075859.jpg
กระดาษที่ได้มา * กระดาษที่ขอถ่ายรูปไว้ * กระดาษได้ครอบครองในที่สุด

แล้ววันที่เราจะแปลงร่างเป็นติ่งชราแบบเต็มขั้นก็จบลงอย่างสมบูรณ์ ที่เหลือจะเป็นเวลาที่เราเที่ยวเกาหลีแบบเป็นเรื่องเป็นราว .. ยังไม่แน่ใจตัวเองเท่าไรกับประโยคข้างหน้าหรอกค่ะ -“- .. ถึงแม้การดูคอนเสิร์ทคราวนี้ไม่ได้เอาอุปกรณ์เชียร์สาวๆใดๆไปทั้งสิ้น เพราะคิดว่าจะเชียร์รวมๆทุกคนแม้จะไปในฐานะโซวอนและซอเมท แต่สุดท้ายอดใจไม่ไหวก็เอาไอแพดมาชู ♥ Seohyun อยู่หน้าเวที

…แม้ไม่ได้มีโปรเจกท์อะไรพิเศษนอกจากหนังสือที่ฝากคนสำคัญไปให้ แต่หวังว่าเธอคงรับรู้ว่าอนนี่รักเธอมากแค่ไหนนะซอ จูฮยอน

หลังจากที่ตกลงใจจะไปดูคอนเสิร์ท SM Town ที่เกาหลีล่ะทีนี้ ก็เลยตัดสินใจจัดการไปทีละอย่างสองอย่างตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ติดต่อคนที่จะจองบัตรคอนเสิร์ทให้ เพราะรู้ว่าจะต้องเดินทางคนเดียวเลยรีบเตรียมตัวซะเนิ่นนาน หลังจากจองทุกอย่างไปหมดแล้ว SM ก็ดันประกาศขาย SM Global Package ซะงั้นน่ะ! แล้วมาแบบประกาศวันนี้ขายปุบปับซะด้วย พอเรารู้ว่าแพคเกจจะได้บัตรคอนเสิร์ทแน่ๆเลยตกลงใจจองมันไปซะเลยที่พักค่อยจัดการเปลี่ยนทีหลังได้เพราะโรงแรมที่จองไว้ไม่ต้องโอนเงินไปเป็นมัดจำล่วงหน้า แม้การจองกับ SM เป็นอะไรที่ลุ้นระทึกตลอดเวลาแต่ก็ให้ประสบการณ์ที่ดีมากจริงๆ

Day 1 : SM Art Exhibition, SM Welcome Party, Mini-fanmeeting

SM Art Exhibition
Date : 10-19 August 2012
Time : 08:30 – 18:30
Venue : Coex, 3rd floor, Hall D

ด้วยความที่ไฟล์ทของเราที่จองไว้ตั้งแต่เนิ่นนานจะถึงเกาหลีวันที่ 17 สิงหาซึ่งช้ากว่าวันเวลาที่ระบุไว้ในแพคเกจหนึ่งวันตามที่ตกลงกันไว้กับ SM ทางบริษัทเลยแจ้งว่าให้ไปเช็คอินที่ที่พักที่จัดไว้ให้และไปรับกระเป๋าใบน้อยก่อนแล้วค่อยไปตามที่ที่คนที่ร่วมแพคเกจทัวร์เค้าไป เพราะงั้นเราลงจากเครืื่องก็เลยบึ่งไปพยายามจะเช็คอินโรงแรมที่ผู้มีอุปการะคุณพักก่อนเพื่อที่จะทิ้งสัมภาระใหญ่ๆเอาไว้แล้วติดตัวไปแค่กระเป๋าขนาดย่อมกว่า (ซึ่งเราจะจัดแยกไปห้าวันจากการเดินทางสิบวัน เพราะจะแยกไปอยู่แถวๆมยองดงหลังจากหมดแพคเกจด้วยก่อนที่จะกลับมาพักที่นี่ใหม่อีกครั้ง) เดินทางจากอินชอนมาโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ที่โซลตอนใต้ประมาณเก้าโมงกว่าได้ แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาเช็คอินของทางโรงแรม เราเองก็ไม่อยากไปฝากกระเป๋าไว้แล้วไประหกระเหินกับ SM เราและผู้มีอุปการะคุณเลยจัดการบึ่งรถเมล์ไป SM Art Exhibition ที่พลาดไปเมื่อวานตามตารางของ SM และไปดูซะให้เรียบร้อย ^^

…ไม่ได้ตั้งใจเกเรนะคะ SM แต่มันจำเป็นค่ะ หนูแค่มาตามหาหัวใจระหว่างที่รอเช็คอินเท่านั้นเอง ^^

ก่อนจะใช้ชีวิตใน Exhibition ติ่งชราผู้มีอาหารตกถึงท้องอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็เลยจัดการเดินวนหาแหล่งพลังงานภายในห้าง Coex ก่อน สรุปได้ว่าประเดิมมื้อแรกในเกาหลีด้วยแซนวิชของ Angle in Us พออิ่มแล้วทีนี้เราก็พร้อมเริงร่าแล้วค่ะ หลังจากเดินหมุนรอบตัวเองหลายรอบก็หาทางไป Exhibition เจอในที่สุด ทีนี้แหละค่ะเรากำลังจะได้เข้าไปดู SM Art Exhibition ที่ใฝ่ฝันกันซะที

20120902-232407.jpg

เพียงแค่เดินผ่านก่อนทางเข้าไปก็เจอหลายชีวิตก็ใช้เวลานานนับสิบนาทีเพื่อดูศิลปินเดินพรมแดง เป็นศิลปินเดินพรมแดงจริงๆนะคะ แต่เป็นภาพในจอใหญ่เบ้อเริ่ม มันแฮปปี้มากสุดๆค่ะเวลาที่เห็นจูฮยอนเดินมาโบกมือแล้วทำท่า Twinkle อยู่ตรงหน้า ท่าโบกมือกับยิ้มแบบนั้น T^T อยากจะพากลับบ้านเป็นที่สุด ส่วนฝาอีกข้างก็เป็นรูปภาพที่เราเห็นในโปสเตอร์

20120902-232517.jpg

20120902-232534.jpg

กว่าจะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากพรมแดงมาได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวนะคะที่เป็น คนอื่นก็เหมือนกัน พอพ้นพรมแดงออกมาเดินแล้วแค่เดินเลี้ยวซ้ายไปเท่านั้นก็เป็นโต๊ะที่มีการ์ดสีๆของแต่ละวงให้แฟนๆเขียนไปใส่กล่องของขวัญใบโตที่ตั้งอยู่ล้อมรอมด้วยสแตนดี้ของศิลปิน สำหรับคนที่เป็น SM fan แล้ว พื้นที่ที่ไม่มีอะไรอย่างนั้นก็ทำให้ใช้เวลากับมันได้ไม่น้อยเลยค่ะ เราเห็นแฟนๆเขียนจดหมายอย่างตั้งใจและเดินไปหย่อนมันลงกล่องด้วยรอยยิ้ม บางคนก็เดินถ่ายรูปกับสแตนดี้อย่างสนุกสนาน

เดินต่อไปอีกหน่อยจากตรงกล่องของขวัญกล่องโตก็จะเป็นประวัติของศิลปิน SM โดยเรียงตามปีที่เดบิวต์ และถ้ากลับหลังหันตัวไปก็จะกลายเป็นเสามหัศจรรย์ (จำชื่อจริงที่แสนโก้เก๋ไม่ได้ค่ะ -“-) เสานั้นมหัศจรรย์มากจริงๆนะคะ เพราะจะมี MV ของศิลปินในค่ายตั้งแต่โบอา SJ SNSD SHINee f(x) Exo เปิดสลับกันไปเรื่อยๆ เวลายืนเมื่อยๆแล้วหันไปดูนี่เป็นแหล่งฟื้นฟูพลังงานได้จริงๆ

20120903-000024.jpg

20120902-233127.jpg

จริงๆตอนแรกเห็นโซน puzzle ที่มีคนต่อแถวเล่นเกมกันเพื่อจะได้โปสการ์ด แต่เรายัง….ยังไม่เอาดีกว่าค่ะ ทั้งแถวยาวและดูยากเกินความสามารถไปนิดก็เลนเดินต่อไปดูโซนอื่นๆที่มีของ rare item ของศิลปินและรูปโพลารอยด์ของศิลปินในค่าย และ SM Art ที่เป็นผลงานของแฟนๆส่งเข้าประกวด ด้านหน้านี่เป็นโฮมินตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย พอเดินเข้าไปด้านในที่บึกที่สุดก็เจอรูปยุนอากับสิก้าสวยอย่างนางไม้ ไม่สามารถหาได้ในชีวิตจริงๆ จากนั้นเราใช้เวลาไปดูภาพยนต์สามมิติที่เป็นของสายเต้นอย่างยุนโฮ ฮยอกแจ แทมินและคริสตัล น่าเสียดายที่เราไม่ได้เข้าไปดู Hologram ของ SHINee ที่แถวยาวตลอดกาลทั้งๆที่คุยกับใครเค้าก็บอกว่ามันเจ๋งที่สุดแล้ว แต่เวลาไม่พอแล้วค่ะ มองนาฬิกาอีกทีก็สมควรจะไปเช็คอินและพาตัวเองไปรวมกับ SM Package ได้แล้ว .. ก่อนกลับแอบจะไปเล่น puzzle นั้นและได้โปสการ์ดสาวๆติดมือกลับบ้านมาอีกหนึ่งใบ เย้ๆ

20120902-233411.jpg

20120902-233434.jpg

20120902-233458.jpg

20120902-233745.jpg

20120902-233801.jpg

20120902-233812.jpg

ใน Exhibition มีเรื่องประทับใจเรามากๆอยู่หนึ่งอย่างคือ ตอนที่เรายืนๆถ่ายรูปมือของศิลปิน ก็จะมีแฟนบางคนที่เอามือแตะกับรอยมือของศิลปินที่ชอบ เราเองยืนดูทั่วแล้วพร้อมกับระบุเป้าหมายพร้อมว่ามือไหนเป็นของน้องซอ ก็ว่าถ่ายภาพมือศิลปินเสร็จแล้วจะไปแปะเล่นบ้าง ระหว่างที่ยืนๆอยู่ก็มีแฟนคนนึงเดินมาแปะมือกับมือซอแล้วก็ไปแปะมือกับมือแถวบนซึ่งคือ….คยูฮยอนค่ะ แล้วเค้าก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า น่ารักมากเลยละค่ะ หลังจากที่เห็นเค้าแปะมือเราก็เลยเอาบ้าง จัดการแปะมือตัวเองลงบนมือซอฮยอน โชคดีที่พี่ที่ไปด้วยกันถ่ายภาพมือตอนแปะให้ด้วย ขอบคุณจริงๆ

20120902-233619.jpg

20120902-233637.jpg

หลังจากจัดการตัวเอง จัดกระเป๋าหอบผ้าหอบผ่อนหนีตาม SM มาเช็คอินที่โรงแรมตามที่ SM นั่งยันนอนยันมาตั้งแต่ต้นว่าต้องมาเราก็เจอแค่คุณลุงยามคนเดียวเท่านั้นเองที่ check-in counter ซึ่งดูแล้วเป็นโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่มีลุงยามเฝ้าอยู่มากกว่า ลุงยามใจดี(ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย)ก็ต่อสายให้พูดกับพนักงานของ SM C&C ซึ่งไม่ว่าจะถามยังไงก็พูดประโยคเดิมๆ “Take a taxi to 63 building, Yeoido” แล้วไหนล่ะคะกระเป๋าใบน้อย -_-?

…สรุปว่า pouch กระเป๋าใบน้อยของเราจะเป็น rare item จริงๆใช่ไหมคะเนี่ย ㅠㅠ

หลังจากคุยโทรศัพท์แบบงงๆกับคุณพนักงาน SM ไป ในใจตอนที่วางโทรศัพท์คิดอยู่สองอย่างคือ “แล้วชั้นมาที่นี่เพื่ออะไร” กับ “บอกให้ไปแบบนี้ ถ้าไม่มีกระเป๋าใบน้อยต้องให้เข้านะว้อยยยย” แต่เราก็เอากระเป๋าไปโยนไว้ในห้องแล้วเรียกแท๊กซี่ไป RC ถัดไป ตึก 63 ที่เกาะยออิโดตามที่เค้าบอกอยู่ดีแหละค่ะ รอบแรกเราเรียกแท๊กซี่ได้อย่ารวดเร็วพอขึ้นแท๊กซี่และสื่อสารกับคุณลุงได้เท่านั้น แท๊กซี่ก็บอกให้ลงแล้วให้ไปขึ้นอีกฝั่งแทน ลุงไม่ยอมกลับรถให้ ㅠㅠ สนุกตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเลยค่ะ ทีนี้พอเดินข้ามถนนกระโดดขึ้นแท๊กซี่อีกที แล้วเราก็ได้ไปตึก 63 สถานที่จัด Welcome Party กันซักทีไปกันแบบลุ้นๆนี่ล่ะค่ะ

คุณลุงแท๊กซี่เหมือนจะรู้ว่าเราต้องรีบทำเวลาขับรถซ้ายทีขวาทีจนมาชลอความเร็วเอาตอนที่เทียบตึก 63 .. คุณพระ ตลอดเวลาที่นั่งบนรถที่แทบจะคิดถึงพระถึงเจ้าตลอดเวลา ในใจก็คิดแต่แค่ว่า .. ชั้นตายไม่ได้นะ ชั้นต้องไปดูจูฮยอน

Welcome Party
Date : 17 August 2012
Time : 17:30 – 21:00 (Schedule Time)
Venue : 63 City Building, Grand Ballroom 2 F

พอคุณลุงแท๊กซี่เริ่มลดความเร็วและจอดรถพร้อมกับหันหน้ามาบอกอะไรซักอย่างเป็นภาษาเกาหลีก็พอจะเดาได้ว่าเรามาถึงแล้วค่ะ เย้~ เรามองซ้ายมองขวาเห็นรถบัสและสตาฟใส่เสื้อ SM ก็แอบนอยค่ะคือมาถูกที่แต่เค้ากลับไปแล้วรึเปล่า แบบมาว่ามาสายมากแถมกระเป๋าน้อยก็ไม่มี เค้าจะให้เราเข้าไหม แต่เพราะหาทางเดินต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ งงมากว่าอะไรอยู่ไหนเลยเดินเข้าไปถามหน้าซื่อๆพร้อมกับอีเมล์คอนเฟิร์มจากทาง SM C&C เป็นยันต์ป้องกันตัว สื่อสารกันอยู่ซักพักพนักงานก็พูดภาษาเกาหลีแบบไม่เข้าใจปนกับภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นแต่ก็ชี้เข้าไปที่ตึก เรากับพี่ผู้มีอุปการะคุณเลยเดินเข้าไปแต่เค้ากลับเดินเข้ามาตามเราออกไป คือไปผิดทางค่ะ ไอ้ที่บอกให้ขึ้นชั้นสองคือขึ้นบันไดเลื่อนไปจากหน้าตึกนี่แหละ แล้วเค้าก็บอกว่าคุณสตาฟผู้ชายจะพาไปนะ เดี๋ยวเอ็งจะหลงอีก พอดีกับที่มีรถทัวร์อีกคันมาจอดแล้วมีคนเดินลงกันมาเลยรู้แล้วว่าเป็นคนที่ซื้อแพคเกจเหมือนกันแน่ๆ ก็เลยเกาะเค้าไป

พอเกาะไปได้นี่หนักกว่าเดิมอีกค่ะ แล้วทำยังไงต่อล่ะทีนี้ พวกนึงต่อแถวตักอาหาร พวกนึงนั่งที่โต๊ะ คนเยอะไปหมด แต่เราไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี กระเป๋าใบน้อยที่ทุกคนแขวนคอไว้ก็ไม่มี มีแค่อีเมล์จาก SM C&C เท่านั้น หลังจากหมุนตัวไปมาหลายทีเลยฉกตัวน้องสตาฟคนนึงมา น้องพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยค่ะ ดีใจมาก ㅠㅠ น้องสตาฟตัดสินใจอะไรไม่ได้แต่จิตใจบริการสูงส่ง เดินไปปรึกษาอปป้าผู้ยิ่งใหญ่ที่วุ่นตลอดเวลาแถมไม่ได้คำคอบก็ยังตามให้ด้วย สุดท้ายอปป้าผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าใครมีอะไรก็มาถามมองมาทางเราแล้วก็ตอบน้องสตาฟ น้องสตาฟก็มาบอกเราแบบสรุปได้สั้นๆว่า .. ไปกินก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เราก็ไม่รอช้า พอได้ยินก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง จัดการหาที่นั่งให้ตัวเอง โยนของที่ไม่มีค่าไว้จองที่แล้วเดินไปหาอาหารทันที ในงาน Welcome Party พิธีกรเก่งค่ะ เป็นเกาหลีที่พูดภาษาอังกฤษดีและมีอารมณ์ขันแบบที่เข้าใจกันทุกชาติ ไม่ได้เป็นอารมณ์ขันเฉพาะกลุ่มเฉพาะคน ในงานก็มีตั้งแต่เปิด MV, Cover Dance ซึ่งเก่งมาก วงเดียว cover มันซะทุกวงทั้ง SJ SNSD SHINee f(x), การแสดงพื้นบ้านของเกาหลี และสุดท้ายปิดด้วยแขกพิเศษ Exo ซึ่งประกอบด้วยคริส เลย์ ซูโฮ และชานยอลลี่ และเพราะ Welcome Party นี่แหละค่ะที่ทำให้ได้เด็กใหม่มาดูแล เป็นเด็กในสังกัดคนแรกที่เป็น Leader คือน้องคริส .. เพราะความกวนตรึ้บกับภาษาอังกฤษแบบแว้นๆของพ่อคุณแหละค่ะ

20120902-233950.jpg

Mini-fanmeeting
Date : 17 August 2012
Time : 23:00 – 01:00 (Schedule Time)
Venue : Jamsil Olympic Stadium

บันเทิงกันอยู่พักใหญ่ก็นึกได้ว่าซวยแล้ว เรายังไม่มีกระเป๋าใบน้อยเหมือนคนอื่นเค้า เอายังไงดี ที่กลัวคือกลัวอดดู fan-meeting วันนี้ค่ะ เลยตัดสินใจลุกจากโต๊ะไปหาน้องสตาฟใจดีอีกรอบ น้องสตาฟใจดีและอปป้าผู้ยิ่งใหญ่ป่วงกับทุกคนอยู่พักใหญ่เลยค่ะ จนสุดท้ายน้องสตาฟก็มาอธิบายกับเราเป็นภาษาอังกฤษว่าเดี๋ยวรถทีละคันจะเรียกรวมแล้วค่อยมารวมตัวกันแล้วไปรถของ SM ส่วนกระเป๋าใบน้อยจะไปรออยู่ที่สนามกีฬา Jamsil Olympic Stadium ที่เป็น RC สำคัญที่สุดสำหรับวันนี้เพราะว่าเป็น Mini Fan-meeting~!!!!!

ในเมื่อถามย้ำไปหลายรอบก็ยังได้ประโยคเดิมก็ตามนั้นแล้วกันค่ะ มองหาสตาฟประจำรถแล้ว”เกาะ”ไปอย่างแน่นหนึบ ไม่ปล่อยไปไหนอีกเลย การเดินทางขึ้นรถไปสนามกีฬาไม่ลำบากเลยค่ะ ไอ้ที่ลำบากคือพอไปถึงแล้วกระเป๋าใบน้อยของเราอยู่ไหนไม่รู้ สตาฟไม่รู้เรื่อง สตาฟที่สนามกีฬาบอกว่าการที่เรามาถึงสนามกีฬาโดยที่ไม่มี pouch เป็นอะไรที่ผิดปกติ ไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้ .. มันก็ไม่ได้ปกติมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะค่ะ ในใจคิดแต่ไม่ได้พูดไป -_-” .. ถึงตอนนี้อปป้าผู้ยิ่งใหญ่หายไปแล้ว เป้าหมายของเราคือตามหาคนที่เก็บ pouch ซึ่งตอนนี้กลายเป็น rare item อย่างสมบูรณ์ เรากับพี่ที่ซื้อแพคเกจด้วยกันเดินวนรอบด้านหน้าสนามกีฬาเลยเพื่อที่จะตามหาคุณสตาฟที่เก็บของไว้ คิดไว้แล้วว่าถ้าไม่ได้ยังไงต้องเข้าไปดูให้ได้ กระเป๋าใบน้อยไม่ได้ค่อยว่ากัน

เดินไปเดินมาตามสตาฟคนนั้นที่บอกให้ตามคนนี้แล้วชี้ไปคนนู้นทั้งที่มืดๆเพราะขณะนั้นคือเวลาประมาณตีหนึ่งตามเวลาเกาหลี ถ้าถามว่าเหนื่อยไหมก็เหนื่อยแหละค่ะ แต่ไม่มากเท่าความพยายามที่มาถึงนี่และจะได้เจอน้อง แค่รู้ว่าน้องอยู่สนามกีฬาและเราอยู่ด้านนอกกำลังรอที่จะเข้าไปดูเธอก็มึแรงขึ้นมาทั้งๆที่นอนไปแค่สามชั่วโมงบนเครื่องเท่านั้นเอง ในที่สุดความพยายามของเราก็เป็นผล นางดูวุ่นวายมากค่ะ แต่ให้เจ้า rare item มาอย่างง่ายดาย ไม่ดูแม้กระทั่ง passport

…ช่างง่ายแตกต่างกับการตามล่าหาตัวนางเหลือเกิน

หลังจากที่ได้เจ้ากระเป๋าหายากมากคล้องคอก็พอรู้ถึงความสำคัญของมันทันที ด้านในมีบัตรเข้า Exhibition, บัตรเข้าสวนสนุก Lotte, บัตรเงินสดห้าง Hyundai, บัตรระบุเราพร้อมรถทัวร์คันที่เราต้องขึ้นพร้อมที่นั่งวันซ้อมและวันคอนเสิร์ท และที่สำคัญสุดๆคือบัตรคอนเสิร์ท พอได้มาอยู่ในมือแล้วนอยเลยค่ะทีนี้ กลัวเผลอแล้วทำหายไปละร้องไห้แน่ๆ บัตรคอนหนู ㅠㅠ แต่ในเมื่อวันนี้ได้มาแล้วก็สบายตัวล่ะค่ะ ได้กลัวไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านชาวช่องซะที กว่าจะหากลุ่มที่ตัวเองควรอยู่ท่ามกลามความมืดก็นานโขล่ะค่ะ

ดึกมากแล้ว คนที่ซื้อแพคเกจนี้ต่างก็เฝ้ารอจะได้ดูศิลปินที่ตัวเองรักในการซ้อมและ mini fan-meeting แฟนๆต่างก็ทยอยๆกันเข้าไปด้วยความหวัง เราได้ยินเสียงกรี๊ดเป็นพักๆแล้วก็เห็นข้อความของอีทึกทวิตเลยพอเดาได้ว่า SJ ซ้อมอยู่แน่ๆแต่เรายังอยู่ด้านนอก ในใจตอนนั้นคิดว่า “โอเค ถ้าไม่ได้ดูซูจูก็พอทำใจ แททิซออย่าเพิ่งรีบซ้อมได้ไหม” คิดแบบนั้นจริงๆคือเหมือรกับลำเอียงแต่ก็…หวังในสิ่งเป็นไปได้มากกว่า

แถวที่เริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆจนในที่สุดเราก็ได้เข้าไปในสนามกีฬา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น f(x) พอดี พอหาที่หาทางให้ตัวเองได้ก็ตั้งใจดูแล้วค่ะ ศิลปินที่ราได้ดูตอนซ้อมคือ f(x) SHINee TaeTiSeo EXO และ TVXQ ขอบอกว่าแฟนโฮมินคุ้มที่สุดในโลกหล้าเพราะซ้อมไปสี่เพลงได้ ถึงเหนื่อยก็ใส่เต็มจริงๆ

ตอนที่แททิซอออกมาหน้าเวที ทันทีที่เห็นยัยหนูใส่เสื้อสีดำระยิบๆปล่อยชายด้านหลัง กางเกงขาสั้นเป็นสีๆเหมือนสีรุ้ง ผมปล่อยยาวลงมาไม่ได้ทำอะไรมากมาย หน้าใสๆไม่ได้แต่งมากเหมือนเวลาแสดงทุกครั้ง ซอเมทอย่างเราสครีมซะแทบสติหลุด หลังจากนั้นก็มองแต่เธอไปเลย

… แทยอน ทิฟฟานี่อนนี่ขอโทษนะคะ ㅠㅠ

พอแททิซอซ้อมจบเพลงสาวๆก็เดินกลับเข้าเวทีไปโดยฟานี่พูดลาว่า “See you tomorrow.” ในใจคิดว่าไปแล้วเหรอ น้องไม่อยู่ fan-meeting อีกนิดนึงเหรอ แต่พอคิดได้ว่าเวลาเท่าไรก็คิดว่า .. ไม่เป็นไร กลับไปพักเถอะค่ะ แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้ว การได้เห็นศิลปินซ้อมเราก็จะได้รู้ทันทีว่าน้องทำงานหนักมากแค่ไหน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากๆนะคะสำหรับเรา การซ้อมที่เราได้เห็นวันนี้เทียบไม่ได้กับการซ้อมที่ผ่านมาของพวกเค้าจริงๆด้วยซ้ำ การที่ต้องเต้นแบบเดิมๆซ้ำๆกันเป็นร้อยเป็นพันครั้งแต่กลับเหมือนซ้อมเป็นครั้งแรก เหงื่อที่ไหลไม่หยุดทั้งๆที่อาการไม่ได้ร้อนขนาดนั้นนั่นต้องเกิดจากการซ้อมมาก่อนที่เราจะได้เห็น ขอบคุณเหลือเกินที่ทำงานเหนื่อยขนาดนี้เพื่อทุกคน

ผ่านช่วงซ้อมไปก็เป็นช่วง mini fan-meeting พิธีกรคนเดิมตั้งแต่งาน Welcome Party ก็กลับมาอีกครั้งเหมือนเดจาวูและสาวๆกลับมาอีกครั้งด้วย .. เย้ๆ ฟานี่อาจจะมึนงงสับสนเลยพูดว่าเจอกันพรุ่งนี้ทั้งๆที่เจอกันวันนี้แหละค่ะ .. เด็กๆที่อยู่ในงาน fan-meeting เป็นตัวแทนของแต่ละวง เค้าจำโมเมนท์ไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ เป็นปกติของคนความจำสั้นและเลือกมองที่สุด แต่จำได้ว่าน้องซอโบกมือทักแฟนได้น่ารักมาก (นี่ก็เป็นปกติ) อีทึกเล่นกับคังอิน พอพิธีกรถามว่ารู้สึกยังไงทึกก็ให้คังอินพูด พอชางมินพูดบ้าง..คังอินก็แหย่ชางมิน เจ้าหมีเกเรมากๆ เจ้าน้องแทมหัวเราะตอนที่เจ้าคีย์พูด ส่วนแอมเบอร์ทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษพูดแบบเดียวกับวิคทอเรียหลังจากที่วิคพูดเป็นภาษาเกาหลีและภาษาจีน ซึ่งตลอดเวลานั้นแทยอนทำหน้าง่วงนอนเหมือนเด็กพร้อมนอนเลย โดนเฉพาะไม่แต่งหน้าและแต่งตัวสบายๆแบบนั้น กลับบ้านกระโดดขึ้นเตียงนอนได้เลยทีเดียว และสุดท้ายที่ประทับใจไม่ลืมนอกจากน้องซอสีรุ้งคงเป็นภาษาอังกฤษของคริสอีกเช่มเดิม

20120902-234217.jpg

20120902-234256.jpg
รูปแททิซอขอยืมเค้ามาเพราะในงานห้ามถ่ายภาพและอุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย

จบงาน fan-meeting เล็กๆแล้วคณะทัวร์ที่มีแฟน SM ร่วมห้าร้อยชีวิตก็กลับที่พักนอนหลับฝันดี พรุ่งนี้เราจะมีสิ่งที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ .. SM Town Concert Live in Seoul