Archive

Tag Archives: travel diary

IB Ville

ที่พักสะอาด มีอาหารเช้าเป็นขนมปังและชา กาแฟ อินเตอร์เน็ตฟรี ราคาค่อนข้างสูง เดินขึ้นเขานิดหน่อย แต่เพราะเป็นทางเดินไปเคเบิลขึ้นนัมซานและ N Seoul Tower ก็เลยไปเปลี่ยว สะดวกเพราะเดินข้ามถนนไปก็มยองดงแล้วค่ะ พนักงานเหมือนจะดุแต่จริงๆแล้วใจดีค่ะ ช่วยเหลือเราตลอดตั้งแต่คราวที่แล้วคือจองทัวร์ไป DMZ และ JSA ให้ คราวนี้ก็ช่วยเรื่องติ่งๆ (ไว้จะเล่าให้ฟังในวันถัดๆไป)

Direction :
ลงสถานีรถไฟมยองดง (Myeongdong) ออกทางออกที่ 2 หรือ 3 เดินไปทาง Pacific Hotel เดินขึ้นเนินเบาๆไปประมาณ 200 เมตรนะคะ

 
20130316-184953.jpg

Website :
http://www.ibville.com/accomodations.htm
http://www.facebook.com/ibville

Anguk Guesthouse

Direction :
ลงสถานีรถไฟอันกุก (Anguk) ออกทางออกที่ 1 เลี้ยวเข้าซอยที่มี Starbucks อยู่ด้านหน้า ขวามือจะมีร้านขายของชำ เลี้ยวขวามือแรก ถ้าไม่มั่นใจสังเกตป้าย avecmoi ที่ตึกตรงทางแยก พอเลี้ยวไปจะมีเสาไฟฟ้าใหญ่ๆและร้านอาหารทางซ้ายมือ ให้เดินเข้าไปในซอยนั้น ที่สุดทางเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดนึงในซอยเล็กๆจะเห็นป้ายอันกุกเกสท์เฮาส์ (Anguk Guesthouse) แล้วค่ะ

20130316-184708.jpg

Website :
http://www.anguk-house.com

0.

เตรียมตัว…

แน่นอนการเดินทางก็ต้องมีการเตรียมตัวเป็นเรื่องปกติ กระเป๋าที่กองเกะกะตั้งแต่ไปรอบที่แล้วยังกางอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลาต้องจัดกระเป๋าใหม่อีกครั้ง เก๋ไหมล่ะคนเรา การเตรียมตัวของเราก็ทั่วไป คือกำหนดวันเดินทาง จองตั๋ว ออกตั๋ว วานแผนคร่าวๆ คราวนี้คร่าวมากค่ะ คร่าวประมาณว่าหาแค่ข้อมูลของสถานที่ที่อยากจะไปและวิธีการเดินทางไว้พรึ่บๆนอกนั้นไม่ได้กำหนดเวลา เพราะพร้อมเปลี่ยนแปล้งได้เสมอ แต่การเตรียมตัวที่เพิ่มมาหน่อยคือการหาเสื้อผ้าและอุปกรณ์ท้าลมหนาวจนวันสุดท้ายก่อนปิดกระเป๋าเดินทางก็เหมือนกับว่ากระเป๋าเราจะเต็มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เดินทางซะแล้ว ต่างจากตอนเดินทางหน้าร้อนที่ใช้กระเป๋าเดินทางไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น .. เสื้อหนาวมันหนาตรึ้บจะไม่เอาไปก็ไม่ได้นี่คะ ㅠㅠ

ถ้าถามว่าติ่งน้อยๆอย่างเราเตรียมอะไรเป็นพิเศษคงไม่พ้นหาข้อมูลวิธีการเข้าชมรายการเพลง จองบัตรคอนเสิร์ทและมิวสิคคัล อัพเดตตารางงาน หาข้อมูลแฟนไซน์ ที่หาไว้ไม่ได้จะไปทั้งหมดแต่การติ่งคือมีความเสี่ยง ผู้ติ่งควรศึกษาข้อมูลก่อนติ่ง เราคือเพื่อให้รู้ว่ามีที่ไหน อย่างไรและควรจะจัดการชีวิตอย่างไร ดูแลตัวเองบ้าง ดูสาวๆบ้างสลับกันไป

ว่ากันไปทริปนี้ป่วงตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้วค่ะ ด้วยความที่จองตั๋วแล้วก็ออกตั๋วเลยแต่เครื่องซิปแซ็ปที่ใช้รูดบัตรของเอเจนท์พัง ทำเอางงไปพังใหญ่ว่าจะออกตั๋วได้ไหม หรือยังไง ผ่านไปเกือบอาทิตย์กว่าจะหายพังและเอามารูดปรี้ดๆได้อีกครั้ง นึกว่าจะไม่ได้ออกตั๋วซะแล้ว ตอนแรกเราก็ลาก่อนเดินทางหนึ่งวันและหลังเดินทางหนึ่งวันตามแบบฉบับคนชอบเดินทางสบายๆ มีเวลาเตรียมตัวก่อนเดินทางและมีเวลาให้พักหลังเดินทางบ้าง สุดท้ายแผนการพังทลาย ยอมลาเพิ่ม ไม่หยุดล่วงหน้าเพราะนายอาจจะด่า ทั้งหมดเพื่อเลื่อนวันเดินทางให้ตัวเองสามารถไปดู Mcountdown ได้ทัน อย่างน้อยภารกิจมิชชั่นที่จะต้องทำในครั้งนี้จะได้สำเร็จไปหนึ่งอย่าง เลื่อนตั๋วที่เหมือนง่ายแต่จริงๆแสนจะยากเย็นเพราะแค่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เราออกตั๋วไปไฟล์ทก็เต็ม! เต็ม!! เต็ม!!! นี่บินฟรีกันรึเปล่าคะ!!! สุดท้ายได้มาหนึ่งที่นั่งวันที่ 23 เราจึงจัดการเปลี่ยนเลยค่ะ เสียอะไรไม่ว่าต้องเอาที่นั่งนั้นมาให้ได้

ถึงจะดูเหมือนไร้สาระและเหตุผลในการยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถไปลงชื่อรายการเพลงรายการนึงได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ดู แต่การเลื่อนไฟล์ททั้งทีมันก็มีอะไรดีๆมากไปกว่านั้น มันทำให้เราไปทันละครเวที Legally Blonde รอบที่เจสสิก้าเล่นพอดี เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องมานั่งกดคลิกๆๆๆจองบัตรละครเวทีด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ถึงจะเคยมาดูคอนเสิร์ทที่เกาหลีแล้ว มีบัตรคอนเสิร์ทโบอาและบัตรละครเวที Catch Me If You Can อยู่ในมือแล้วแต่นั่นอาศัยมือคนอื่นคลิกล้วนๆ เก็บครั้งแรกไว้ให้เธอคนเดียวเลยนะสิก้า ><

คราวนี้เราทำงานจนเย็นวันสุดท้ายก่อนบินเลยค่ะ ทำงานเสร็จดิ่งกลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ปิดกระเป๋า เดินทาง! ก่อนปิดกระเป๋านี่มาดราม่าน้องหมาเล็กๆน้อยๆ ตอนที่เราเดินหย่อนของ นั่นนิดนี่หน่อย หันมาอีกทีกำลังจะปิดกระเป๋า .. แบมแบมไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยเลยค่ะ ฮืออออออออ จะขำก็ขำ จะจ๋อยก็จ๋อย เหมือนหมาน้อยจะรู้ทุกครั้งที่เราจะเดินทางว่าเราจะหนีเที่ยวอีกแล้ว เจ้าของทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตา ㅠㅠ

20130225-230703.jpg

เดินทางได้…ไหม

หลังจากที่ทำพิธีกรรมร่ำลาน้องหมาเสร็จสิ้น เราก็พร้อมออกเดินทางล่ะค่ะ แอบตื่นเต้นไม่น้อยตอนที่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่เดินทางคนเดียวจริงๆเป็นครั้งแรก คราวที่แล้วเที่ยวคนเดียวแต่ก็ยังมีผู้มีอุปการคุณที่เดินทางไปพร้อมกัน แถมยังจะไปติ่งคนเดียวด้วย .. ชักจะกล้าเดินไปแล้วนะ!

ก่อนเดินทางปัญหาเกิด เกิดอะไร? ขอเริ่มต้นด้วยประโยคบอกเล่าสั้นๆว่า “มือถือเราใช้ McAfee Scan Virus” ค่ะบางคนอาจจะบอกว่าแล้วไง ไม่แล้วไงค่ะ มันก็ดี อาจจะดีเกินไปหน่อยสำหรับคนความจำสั้นอย่างเรา ㅠㅠ ที่เราวางแผนไว้ในครั้งนี้คือจะไม่ใช้น้องไข่ไวไฟค่ะ เพราะการเดินทางคนเดียวทำให้รู้สึกว่าไม่อยากพะวงหลายๆเรื่องและราคาก็ไม่ต่างกันเท่าไร (ไม่มีคนหารนั่นเอง) เพราะงั้นเพิ่มเงินซักหน่อยให้มือถือเราสามารถใช้ Data Roaming ได้ไม่จำกัดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเรา เราจะได้ไม่ต้องพะวงว่าไข่จะหาย (หะ?) สายชาร์จจะอยู่ไหม แบตอะไรจะหมด แค่ดูแลมือถือให้ดีก็พอ โดยทางเลือกของเราคือ Prepaid ของค่ายนึง เพราะมือถือค่ายที่เราใช้อยู่ไม่มี Unlimited Data Roaming ค่ะ ก็กลัวจะติ่งไม่พอ เลยจัดการไปตระเตรียมซื้อซิมใหม่ซะให้เรียบร้อยดิบดี แต่ไม่เคยลองใช้ พอวันเดินทางเราก็ไปเติมเงินเพื่อจะใช้แพคเกจที่สนามบิน แค่เปลี่ยนใส่ซิมใหม่เท่านั้นแหละ McAfee ผู้แสนดีก็ให้ใส่รหัสรหัสที่เราจำไม่ได้ ใส่ผิดและ….เครื่องล็อค ไม่สามารถทำอะไรกับเครื่องได้นอกจากหาพินที่ถูกมาใส่ Restart ได้แค่นั้น โทรศัพท์ยังเรียกร้องพินอยู่ร่ำไป Restore ก็ไม่ได้ ณ จุดนั้นที่กำลังใกล้จะบิน เจ้า McAfee บอกเราผู้เป็นเจ้าของเครื่องว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ใช่ของแก เอาไปคืนเจ้าของซะ หรือไม่ก็ติดต่อขอพินบั้ดดี้ซะ โชคดีมากที่เราติดต่อบั้ดดี้คือแม่ให้ดูรหัสที่ McAfee ส่งไปทางข้อความได้หลังจากโทรไปหลายรอบ ไม่งั้นมือถือจะมีค่าแค่ที่ทับกระดาษ ㅠㅠ

โชคดีที่ในที่สุดเราก็สามารถจัดการทุกอย่างได้สำเร็จก่อนเวลาเครื่องขึ้น และโชคดีกว่านั้นที่มีปัญหาซะตั้งแต่ที่เมืองไทย เพราะถ้าไปพินผิด เครื่องล็อค ช็อคโลกอย่างนี้ที่เกาหลีสงสัยชีวิตพังเป็นยังไงคงได้รู้จักแน่ เพราะข้อมูลและแผนการเดินทางและข้อมูลทั้งหมดของเราอยู่ในโทรศัพท์มือถือค่ะ ไม่ได้สำรองไว้ในไอแพดซะด้วย สุดยอดมากๆ ขอบคุณ McAfee ที่ดูแลคุ้มครองมือถือเราอย่างดี(เกินไป)มา ณ ที่นี้ด้วย

20130225-231011.jpg

เจอเรื่องปวดเศียรตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่อง แต่เรายังใจเต้นตึ่กๆอยู่เลย ชั่วโมงนั้นที่ทุกคนกระหน่ำส่งข้อความทางไลน์ ทวิตเตอร์ และแม่ก็พยายามโทรหา ปวดหัวไม่น้อยเลยค่ะ เพราะนัดเจอเพื่อนที่จะไปดูคอนเสิร์ทโบอาด้วยกันไว้ใน Custom แต่ติดต่อกันไม่ได้เพราะมือถือล็อคไปพักนึง พอเอามันกลับมาได้มือถือก็พร้อมใจกันเตือนทุกแอพเหมือนจะระเบิด ตื่นเต้นหนักเลยทีนี้ ความตื่นเต้นทั้งหลายทั้งปวงของเรามันจบลงตอนที่ที่นั่งข้างๆของเรามีคนมานั่งด้วยและเพื่อนร่วมทางเป็นคนทำงานด้านพลังงานอย่างนึง เค้าเป็นมิตรนะคะ ชวนคุยนั่นนี่ แล้วก็เลคเชอร์เรื่องพลังงานทดแทนนิดหน่อย ในขณะที่เบาะด้านหลังเป็นโซวอนล้านเปอร์เซ็นต์เพราะได้ยินชื่อยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า สลับกันไป ในใจน่ะอยากจะหันไปคุยด้วยคน แต่จะปีนพนักไปก็กระไร สุดท้ายในขณะที่ด้านหลังยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้าและด้านหน้าพลังงาน พลังงาน พลังงานอยู่นั้นเราเลย……หลับตัดหน้าทุกคนไปอย่างสวยงาม ฮ่า!

เจอกันอีกทีก็อาหารเช้า เราพร้อมจะลงจอดที่เกาหลีแล้ว .. ส่วนทำไมเบาะหลังถึงยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่ เจสสิก้านั้น แล้วก็จะได้รู้ในไดอารี่วันถัดๆไปค่ะ ตอนนี้เราพร้อมลั้นลากันแล้ว ไปกันดีกว่าเนอะ ^^

เกาหลีรอบที่สองของเรากลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว

เรื่องมันเริ่มที่แม่บ่นอยากไปเที่ยวเกาหลีตั้งแต่ปลายปี 2011 ได้ จนเมื่อปีที่แล้วลูกสาวไปแว๊นเกาหลีมาก่อนเป็นที่เรียบร้อยแม่ก็ยังไม่ได้ไป สุดท้ายก็จัดสรรตารางได้แล้วบอกว่าจะไปปลายกุมภาพันธ์ เจรจากันไปมาเลยตกลงกันว่าแม่ควรจะไปเที่ยวกับทัวร์แต่ขอให้แม่เลื่อนมาเป็นช่วงปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์แทนได้ไหม ซึ่งแม่ก็โอเค หารู้ไม่ว่าลูกสาวมี hidden agenda ว่าจะอยากอยู่เกาหลีในวันเกิดของโจว คยูฮยอน แฮ่~!

ทริปนี้เรากำหนดวันไว้และออกตั๋วตั้งแต่ปลายปีแล้วว่าจะไปช่วงไหน ยังไงเสียก็เล็งไว้แล้วว่าวันเกิดของคยูคงเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่สาวๆจะมี Arena Tour ที่ญี่ปุ่นก็เดาไว้ว่าถ้าสาวๆไม่ออกอัลบั้มช่วงที่เราจะไปก็คงเป็นหลัง Arena Tour ช่วงเมษายนไปเลยซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเที่ยวให้เต็มที่ ส่วนที่เหลือค่อยว่ากันอีกที ด้วยความที่วันเดินทางเป็น fixed schedule ไม่สามารถเปลี่ยนได้อีกแล้วเนื่องด้วยหน้าที่การงานก็มี เราเลยทำได้แค่เฝ้าภาวนาให้รอบละครเวทีของหนุ่มๆสาวๆ การคัมแบ็คของ SNSD อยู่ในช่วงที่เราจะไป ทำได้เท่านั้น .. ใครจะเชื่อว่ามันจะเป็นจริง

ทริปนี้กลายเป็นทริปติ่งขั้นสุดสำหรับเราเมื่อช่วงนั้นมีคอนเสิร์ทโบอาครั้งแรกในรอบ 12 ปีตั้งแต่เธอเดบิวท์ คยูฮยอนเปลี่ยนรอบละครเวที Catch Me If You Can กับนักแสดงท่านอื่นมาเล่นในช่วงนั้น มีรอบละครเวที Legally Blonde ที่ Jessica เล่นพอดิบพอดี และที่สำคัญตรงกับ SNSD Comeback อัลบั้มใหม่ด้วย และนอกจากติ่งขั้นสุดแล้วสงสัยเราจะเพลิดเพลินกับอาหารมากไปจนมีคนเรียกทริปนี้ว่า “ชิมไปติ่งไป” เลยทีเดียว

และตามธรรมเนียมที่ปกติจะกลับมาแล้วเขียนไดอารี่ แต่บอกตรงๆคราวนี้ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะก็ไม่ได้ไปที่ที่เสริมสร้างความรู้แต่อย่างใด สุดท้ายก็ได้หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ซื้อมาเป็นแรงบันดาลใจว่าจะลองชิมไปติ่งไปเวอร์ชั่นการ์ตูนติ่งนะคะ .. อาจจะมีการ์ตูนป่วยๆบ้าง ไว้ลองมาดูกันว่าเวอร์ชั่นการ์ตูนติ่งจะเขียนเสร็จทันการไปเที่ยวครั้งต่อไปหรือไม่

ช่วยติดตามกันด้วยนะคะ ><

“ที่เอ๋ไปเกาหลีมานี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหมดเลยเหรอ” เป็นคำถามที่มีคนถามเราตอนที่กลับมาจากพเนจรในเกาหลีเรียบร้อย เราเองคิดว่าเพื่อนคงสงสัย เพราะติ่งที่ไปเกาหลีคงไปได้หลายแนวทาง ตั้งแต่ตามล่าหาแฟนไซน์ ไปรายการเพลง ช้อปกระจาย ตามรอยรายการหรือละคร หรือไปบางคนไปแค่ดูคอนเสิร์ทหรือร่วมงานอีเวนท์แล้วกลับเลยด้วยเวลาและงบจำกัด เราเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามที่เพื่อนถามยังไง เพราะตามรอยก็ไม่ได้ตั้งใจแต่ดันไปเจอ บางที่ไปเพราะอยากลองกินอาหารไม่ใช่เพราะรายการ ร้านอาหารบางร้านที่ตั้งใจไปกินก็ดันหาไม่เจอแต่ดันฟลุคไปเจอร้านเด็ด บางที่ไปเพราะเหตุผลโง่ๆว่าอยากเห็นแต่ต้องดั้นด้นไปดูซะไกลลิบทั้งๆที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวไปเสียทีเดียว สถานที่ท่องเที่ยวเราก็ไปพวกวัดวังแต่ร้านชานมไข่มุกหรือมหาวิทยาลัยที่จะไปในวันนี้ก็ไม่อย่าจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน เราเลยตอบเพื่อนไปว่า .. ถ้าตัวจะนับมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็ใช่ เราไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว

สำหรับการเดินทางในวันนี้เราต้องเตือนเล็กน้อยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับมักเน่ตัวโต ซอฮยอนของเรามากถึงมากที่สุด (และอาจจะคยูฮยอนบ้างเล็กน้อย) จนน่าจะเรียกได้ว่าตามรอยเลยล่ะถ้าอยากจะนิยามว่าอย่างนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบซอฮยอนเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยในการอ่านตอนนี้นะคะ

Day 9 : O’sulloc Tea House, Dongguk University, Kyunghee University, School Food, Cheonggyecheon

O’sulloc Tea House
How to go: O’sulloc มีหลายสาขา แต่สาขาที่จะไปวันนี้คือที่มยองดง เดินทางโดยรถไฟฟ้าสาย 4 ไปลงที่ Myeongdong Station, Exit 6 ออกจากสถานีก็เลี้ยวซ้ายเข้า Myeongdong 8-gil ประมาณสี่ร้อยเมตรจะเจอ O´sulloc Tea House อยู่ขวามือ
Operating hours : 09:00 – 22:30 (Friday & Saturday: 09:00 – 23:00)
Price : KRW 8,000+

O’sulloc Tea House เป็นคาเฟ่ที่ขายชาเกาหลีแท้ดั้งเดิม โดยที่ขึ้นชื่อก็จะเป็นชาเขียว แต่ถึงอย่างนั้น O’sulloc มีขายตั้งแต่น้ำผลไม้ สมูทตี้ ไอศกรีม และขนมหวาน บรรยากาศของร้านสบายๆ ตกแต่งด้วยไม้สีอ่อนดูโปร่งสว่างตา ใครไปก็สามารถนั่งชิมบรรยากาศพร้อมๆกับจิบชารสดั้งเดิม ภายในร้านยังมีผลิตภัณฑ์ให้ซื้อกลับได้ด้วย เผื่อใครอยากจะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากก็ได้

นอกจากร้านนี้จะเป็นร้านชาร้านดังแล้ว ได้ยินว่ายังเป็นชาเขียวร้านโปรดของซอฮยอน ก็เลยทำให้เรารู้สึกอยากจะมาลอง .. ชาโปรดแต่เห็นเธอถือแต่แก้ว Tom Tom อะไรของเธอ -__-;

20121030-222848.jpg

หลังจากที่ลองเรียบร้อย เราว่าเราแนะนำร้านนี้สำหรับคนที่ชอบชาเขียวควรมานะคะ อาหารเช้าที่เราทานเป็น Ice green tea latte กับโรลชาเขียว หอมและอร่อยทีเดียว ลาเต้เค้าไม่หวานเกินไปด้วย ถ้ามีเวลาจากการเที่ยวตะลุยเมืองแล้วมาพักขาที่ร้านชาเย็นๆชิวๆก็ดีไม่น้อย O’sulloc Tea House เค้ามีสาขาอยู่ที่มยองดง อับกุจอง อินซาดง และแทฮักโร แต่วันนี้เราเลือกมาสาขามยองดงเพราะว่าจะแวะมาซื้อ CD ที่เพื่อนเพิ่งจะฝากซื้อทีหลังและมยองดงยังใกล้กับสถานที่แรกที่เราจะไปด้วย .. มหาวิทยาลัยดงกุก

Dongguk University
How to go: การเดินทางไปมหาวิทยาลัยดงกุกนั้นเดินทางง่ายๆ ถ้าเดินทางโดย subway จะไปได้สองสถานีคือ Chungmuro Station และ Dongguk University Station 1) ถ้าลงที่สถานี Dongguk University ให้ออก Exit 3 หากจะเข้าทาง Hyehwa Gate สามารถขึ้นบันไดเลื่อนข้างๆ Tourist Information ได้ หากต้องการเข้าประตูหน้าให้เดินผ่าน Tourist Information เข้าไปในสวน มหาวิทยาลัยจะอยู่ขวามือ 2) ถ้าลงที่สถานี Chungmuro ต้องออก Exit 3, 4 แล้วเข้าทางประตูหลังของมหาวิทยาลัย

การวางแผนเดินทางของเราวันนี้เป็นวันที่ง่ายที่สุด เพราะเป็นที่ที่เราอยากไปมากที่สุดทั้งนั้น บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นบ้าอะไร ทำไมถึงได้อยากไปมหาวิทยาลัยขึ้นมา จะไปเรียนต่อก็ไม่ใช่ ในฐานะโซวอนเมนซอฮยอนที่เฝ้าติดตามเธอมาก็หลายปี การได้เห็นเธอทำงานที่เธอรักนั้นถือเป็นสิ่งที่มีค่าและทำให้พลังชีวิตเราเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน แต่นอกจากการที่ซอฮยอนจะเป็นซอฮยอนของแฟนๆแล้ว เธอยังใส่หมวกอีกใบเป็นซอ จูฮยอน นักศึกษาที่กำลังพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเหมือนกัน ที่ที่เป็นชีวิตประจำวันของเธอนอกจากบริษัท สถานที่ทำงานอย่างสถานีวิทยุโทรทัศน์ บ้าน หอพัก อีกที่ที่เธอไปคงจะเป็นมหาวิทยาลัย เราเลยอยากเห็นว่าเธอเรียนยังไง อยู่ยังไง

เนื่องจาก SNSD เป็นศิลปินที่มีงานเกือบทั้งปี แม้ไม่ได้มุ่งทำงานเพลงอัลบั้มหลักตลอดปีและมีที่แยกไปทำงานเดี่ยวที่ตนสนใจบ้าง แต่เราก็ยังเห็นภาพซอฮยอนไปมหาวิทยาลัยเป็นระยะๆ เธอเป็นไอดอลเพียงไม่กี่คนมั้งคะที่ไม่ละความพยายามด้านการเรียน เมื่อสี่ปีที่แล้วเธอพยายามยังไง ตอนนี้เธอก็ยังเป็นอย่างนั้น .. เด็กหญิงที่บอกว่าเห็นเพื่อนๆทำได้ ชั้นก็ต้องทำได้ .. สาวน้อยที่บอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะมาเรียน ถึงโดนภาคทัณฑ์หรือติด F ยังไงก็ต้องมาเรียน .. นั่นทำให้มหาวิทยาลัยดงกุกเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเราจริงๆ ตั้งแต่เราวางแผนเที่ยวเกาหลีมหาวิทยาลัยดงกุกก็อยู่ในรายการสถานที่แรกๆที่เราตั้งใจจะไป อาจจะมาก่อนวัดวังเสียอีก

หลังจากอาหารเช้าแบบเบาๆ ซื้อ CD ที่ตกค้างสิริรวมหนึ่งแผ่น เราก็จัดการย้ายร่างไปมหาวิทยาลัยดงกุก จากมยองดง ถ้าไปสถานี Chungmuro แล้วดูใกล้กว่าเพียงแค่หนึ่งสถานี แต่เหมือนจะเดินไกลกว่าหน่อย เราเลยตัดสินใจเดินจาก O’sulloc ขึ้นไปทางเหนือของมยองดงเพื่อไปขึ้นรถไฟสาย 3 จาก Euljiro 3(Sam)-ga รถไปลงที่สถานี Dongguk University แทน ฝนยังคงตกอยู่ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่มยองดงจนถึงดงกุก โชคดีที่ไม่ได้ตกหนักมากยังพอถูไถ เราหย่อน CD และโปสเตอร์ที่ห่อพลาสติกไว้ในกระเป๋าเป้แล้วก็เดินตามปกติ

ตอนที่เราเดินมาถึงสถานี Dongguk University และออกมาที่ Exit 3 ตามข้อมูลที่หามา เราหยิบมือถือมาดูแผนที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย .. ถึงวันนี้เราได้ปลดระวางแพดและหนังสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะแบกมาหลายวันรู้สึกว่าไม่ไหวค่ะ หนักและพะรุงพะรังมาก เอาทุกอย่างรวมในมือถือดีที่สุด อีกอย่างถ้าอยู่ในโซลเราเองก็พอจะคุ้นเคยบ้างแล้ว เลยรู้สึกว่าอยู่ได้แม้ไม่มีมัน .. ด้วยความที่ดงกุกไม่ใช่สถานที่ที่ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นวิธีการเดินทางไปมหาวิทยาลัยเราเลยหาได้จากในเว็บไซท์ ซึ่งแผนที่ไม่โดนใจเอาซะเลย แถม Campus Map ก็ไม่มีภาษาอังกฤษด้วย ต้องมาเปิดๆเทียบหลายๆเวอร์ชั่นเอาเอง เราเองยืนละล้าละลังว่าจะไปซ้ายหรือขวา เพราะเห็นแผนที่ว่ามีประตู Hyehwa ที่ใกล้ๆแต่มันอยู่ไหน หาไม่เจอ เห็นแต่บันไดเลื่อนยาวๆและมีธงแถวๆนั้นว่า Dongguk University เลยเดาเอาว่าคงเป็นทางเข้ามหาวิทยาลัยละมั้ง ก็เลยลองเดินขึ้นไป แล้วมันก็พาไปที่มหาวิทยาลัยได้จริงๆด้วยค่ะ ตื่นเต้นมาก~

มหาวิทยาลัยดงกุกเป็นมหาลัยที่ไม่ใหญ่มากนัก(หมายถึงขนาด) ตั้งอยู่ทางเหนือของนัมซาน คือจริงๆแล้วใกล้มยองดงมากเลยค่ะ แค่อยู่คนละเชิงเขาเท่านั้นเอง ภายในมหาวิทยาลัยมีทางเชื่อมต่อกับ Numsan Tracking ด้วย เอาสิตอนที่เราเห็นยังคิดอยู่ในใจว่าน้องซอจะมีเวลาไปเดินเล่นบ้างไหมน้า เด็กมิติที่สี่ขนาดนั้น เอาจริงๆเธออาจจะไปเดินเล่นกับเพื่อก็ได้ อาคารในมหาวิทยาลัยดงกุกเป็นอาคารเรียนปกติ ไม่หรูหราฟูฟ่าค่ะ และแม้จะเป็นวันเสาร์ เราก็ยังเห็นนักศึกษาเดินกันเป็นระยะๆ ตลอดทางเดินจะมีบางทีที่คุ้นตาเราบ้างเพราะซอฮยอนเองก็เคยถ่ายรายการ SNSD and Dangerous Boys ที่นี่ พอเวลาเดินผ่านที่เหล่านั้นอยู่ดีๆเราก็จะยิ้มเหมือนคนเป็นบ้าอีกแล้วค่ะ

20121030-213211.jpg

20121030-213237.jpg

20121030-213318.jpg

20121030-213520.jpg

20121030-213545.jpg

20121030-214206.jpg

20121030-214233.jpg

20121030-214338.jpg

ที่หลักๆที่เราไปเดินผ่านมาก็เป็นพวกโรงอาหาร ห้องสมุด และตึกเรียนที่เดาว่าน่าจะเป็นตึกเรียนของน้องนาง ก่อนจะเดินไปเกือบทั่ว ไม่ได้ไปส่วนที่อยู่ด้านหลังๆของมหาวิทยาลัยอย่างคณะนิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์และหอพักนักกีฬา เดินวนมหาวิทยาลัยไปซะหนึ่งรอบ ดงกุกร่มรื่นและเพราะพื้นที่เดิมเป็นเขาเลยยังมีทางลาดกับบันไดชันๆน่าตกให้เดินบ้างแต่คนที่นี่เดินกันเป็นปกติสุข เราเองก็เดินแบบมีความสุขผิดปกติเช่นเดียวกัน เราใช้เวลาไม่นานนักที่นี่ บอกตรงๆว่ากล้าเดินชมมาหาวิทยาลัยแต่ยังไม่กล้าเข้าไปในอาคารหรอกนะคะ ถึงอย่างนั้นก็นับว่าเป็นเวลาคุณภาพมากๆสำหรับเราเลยทีเดียว

20121030-214446.jpg

20121030-214523.jpg

20121030-214551.jpg

20121030-214615.jpg

20121030-214721.jpg

20121030-214759.jpg

20121030-214853.jpg

Kyunghee University
How to go: รถไฟฟ้าสาย 1 ไปลงที่ Hoegi Station, Exit 1 ออกจากสถานีเดินไปตามป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัยคยองฮี ไกลพอสมควรเลยค่ะ ประมาณว่าแยกที่สองเลี้ยวขวา เดินตามคนเยอะๆแล้วจะดีเอง ^^”

จากมหาวิทยาลัยดงกุก เราต้องนั่งรถไฟอยู่นานพอดูเพื่อจะไปมหาวิทยาลัยคยองฮี คือหันมาดูวิวอีกทีรถไฟก็วิ่งบนดินแทนที่จะเป็นใต้ดินแล้ว แถมยังหน้าตาเหมือนออกนอกเมืองไปไกลลิบ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ระลึกได้ว่ามหาวิทยาลัยนี้มันไกลเนอะ .. รู้ตัวช้าได้อีก

มหาวิทยาลัยคยองฮีเป็นมหาลัยที่ขึ้นชื่อทั้งด้านความสวย ค่าเรียนแพง ดาราเรียนเยอะ .. เหวออออ ไม่ใช่ค่า .. จริงๆแล้วเรื่องนั้นเป็นความจริง แต่มหาวิทยาลัยเค้าไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องนั้น คยองฮีถือเป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของเกาหลีในหลายด้าน ทั้งแพทย์ เศรษฐศาสต่์ พาณิชยศาสตร์ ศิลปะและดนตรีจะเห็นได้จากที่ศิลปินจำนวนมากต่างก็มาเรียนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคยูฮยอน ชางมิน ยงฮวา แดซอง จีดราก้อน สาวๆ Fin.K.L อย่างอค จูฮยอน เจ้ฮโยริ เป็นต้น

ด้วยความสวยจนเป็นที่เลื่องลือของมหาวิทยาลัยคยองฮี ทำให้เราอยากจะมาเห็นด้วยตาจริงๆค่ะว่าจะขนาดไหน คยองฮีตั้งอยู่ในสิ่งที่เราจะขอเรียกว่าเนินเขาชัน ตลอดทางเดินคือการตะกายขึ้นเขาดีๆนี่เอง เนินเตี้ยบ้างชันบ้างและทางลาดบ้างสลับกันไป เรางี้อยากจะเขวี้ยงแผนที่ในมือทิ้งถ้าทำได้ แต่ทำไม่ได้ค่ะเพราะอยู่ในมือถือ ถ้าถามว่าทำไมอยากเขวี้ยงทิ้งนัก ขอบอกได้คำเดียวว่า .. แผนที่ไม่ระบุความสูงจากระดับน้ำทะเลค่ะ ทุกอย่างดูแบนราบ เหมือนจะเดินชิวและใกล้ ไปพอไปจริงแล้วมันไม่ใช่นี่สิ หลอกกันทำไม ㅠㅠㅠㅠ

สิ่งที่จะสามารถเห็นได้ก่อนเข้าไปด้านในมหาวิทยาลัยคยองฮีก็คือ Kyunghee Medical Center หากไปวันที่อากาศดีๆก็จะเห็นผู้ป่วยมานั่งรับลมอยู่แถวหน้าโรงพยาบาลด้วย ภายในมหาวิทยาลัยคยองฮีจะมีธงประจำสถาบันประดับอยู่ระหว่างทางเดิน ตลอดทางเดินในคยองฮีเต็มไปด้วยต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ค่ะ ร่มรื่นแบบที่คิดว่าเป็นสวนหรือป่ามากกว่ามหาวิทยาลัย

20121030-215107.jpg

20121030-215428.jpg

20121030-215505.jpg

20121030-215743.jpg

20121030-215821.jpg

20121030-215953.jpg

เราตัดสินใจเดินไปดูทางอาคารที่คิดว่าเป็น College of Music ทั้งๆที่เป็นวันเสาร์ เราเองก็คิดว่าจะคนน้อย แต่กลับกลายเป็นว่าน่าจะมีงาน ผู้ปกครองและเด็กเต็มไปหมดเลย เราเลยขอลา..จากไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนไม่ถูกโรคกับเด็ก

ในคยองฮีนั้นมีทั้งรูปปั้นตกแต่งเต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่ในสวน ซึ่งถ้าเราเรียนที่นี่แล้วเดินผ่านตอนกลางคืนคงตกใจพิลึก เราเดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์เลยค่ะ นอกจากอาคารสวยแล้วยังร่มรื่นอีกต่างหาก แต่เดินเพลินๆมารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าเราตะกายขึ้นเนินโค้งๆอยู่ และในขณะที่เรากำลังตะกาย สาวน้อยข้างหน้าเราใส่ส้นสูงเดินชิวมาก นับว่าเป็นสกิลขั้นสุดในการใส่ส้นสูงจริงๆ เรายอมรับล่ะค่ะว่าสกิลเด็กคอนเวิร์สอย่างเราคงไม่พัฒนาไปถึงขั้นนั้นแน่ ตะกายเนินอยู่ครู่นึงพอเห็นอาคารตรงหน้าก็หายเหนื่อยทันตาเพราะมองเห็นตึกสไตล์ยุโรปสวยมาก อย่างกับวิหาร Notre Dame ในกรุงปารีสเลย

20121030-220127.jpg

20121030-220203.jpg

20121030-220241.jpg

20121030-220325.jpg

20121030-220400.jpg

20121030-220431.jpg

20121030-220500.jpg

เราลงจากเนินเขาในคยองฮีแล้วเดินต่ออีกเล็กน้อย ต้องบอกว่าเราเดินชมคยองฮีไม่ทั่วอีกแล้ว ขาดคณะด้านในที่เป็นพวกคณะนิติศาสตร์ บริหาร รัฐศาสตร์อะไรเทือกนั้น

เสร็จจากการปีนมหาวิทยาลัยคยองฮี เราก็มุ่งหน้าไปเติมพลัง เพราะรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้ทำอะไรเต็มที่ พรุ่งนี้เราคงสามารถเที่ยวได้แค่ใกล้ๆบ้านเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราเลยตัดสินใจไปร้านอาหารที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปกินตอนไปอีแดแต่ไปถึงแล้วเป็นร้านนั้นกลับเปลี่ยนเป็นร้านอื่น พอดีเราเห็นสาขาที่อินซาดงเลยว่่าจะไปเก็บ RC ก่อนจะไปเดินทางไกลที่ริมคลองน้ำใส ไม่อย่างนั้นคงจะรู้สึกผิดกับตัวเองไปตลอดชีวิต

20121030-220620.jpg

20121030-220640.jpg

20121030-220710.jpg

School Food
How to go: School Food มีหลายสาขามากค่ะ สาขาอินซาดงเดินทางโดย ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 6 เดินไปทางทิศตะวันตก (ทางอินซาดง) ร้านอยู่ตึกตรงข้าม GS25 หน้าซอยอินซาดง ชั้นสอง
Operating hours : 11:00 – 22:00
Price : KRW 8,000+

School Food คือร้านอาหารเกาหลีแนวฟิวชั่น ซึ่งเรายังไม่เคยเห็นอาหารแนวนี้ในเมืองไทยเท่าไร เห็นก็แต่อาหารญี่ปุ่นฟิวชั่นที่ On The Table ดังนั้น School Food เลยเย้ายวนใจเรามาก แถมยิ่งไปครั้งแรกแล้วกินแห้วแทนอาหารเกาหลีฟิวชั่นแล้วบอกตามตรงว่าอยากจะตามหาร้านกินให้ได้ เพราะฉะนั้นเราเลยดั้นด้นมาแง้บๆที่อินซาดงก่อนจะเดินย้อนไปเดินทนริมคลองน้ำใส

เมนูอาหารใน School Food แสนจะยั่วยวนใจ คิดแล้วเสียดายน่าจะชวนเพื่อนๆมากินด้วยหลายๆคน (หะ…) เราสั่งอาหารมาสองอย่างทั้งๆที่รู้ว่าคงกินไม่หมดแต่ก็อยากลองมากกว่าหนึ่งอย่างนี่คะ เราไม่มีทางเลือก สองอย่างที่สั่งมาคือ Squid Ink Mari กับ Topokki with Cheese .. มาริอร่อยมากๆเลยค่ะ กล่ินหอมออกทะเลๆและรสชาติก็กลมกล่อม แต่ต๊อกเผ็ดไปหน่อยสำหรับเรา ㅠㅠㅠㅠ แล้วก็กินไม่หมดนะคะ เราสละต๊อกไปแต่เอามาริกลับบ้านค่ะ อร่อยเกินจะทิ้งจริงๆ

20121030-220942.jpg

20121030-221024.jpg

มาทางอาหารที่ร้าน School Food แล้วเรายังทำเรื่องน่าจดจำไว้ด้วย เป็นเรื่องห้องน้ำค่ะ เรื่องของเรื่องคือเราอยากจะเข้าห้องน้ำซึ่งมันมีห้องเดียว ไม่ได้แยกหญิงชาย พอเราเข้าไปพยายามจะลงกลอนแล้วลองเปิดดูมันดันเปิดออกตลอดๆ คิดว่าเป็นเพราะเราเปิดจากด้านในก็เลยเปิดได้ แต่ ณ ตอนนั้น .. ไม่ได้ค่ะ .. หวาดระแวง แล้วห้องน้ำก็ใหญ่แบบเอาอะไรยันไว้ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจเดินไปถามพนักงานว่ามันจะล็อคได้ยังไง แต่พนักงานคนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยต้องใช้ภาษาสากลหรือเรียกอีกอย่างว่า “ภาษามือ” พนักงานคนนั้นบอกห้องน้ำอยู่นั้น ให้ล็อคอย่างงี้ๆ แต่เราไม่ยอม ในใจคิดว่าถ้าอธิบายแค่นั้นแล้วโอเค กรุเรียบร้อยไปนานแล้ว สุดท้ายเราเลยลากพนักงานมาแสดงให้ดูในห้องน้ำว่าจะล็อคได้ยังไง ที่สำคัญคือพนักงานคนนั้นเป็นผู้ชาย ㅠㅠㅠㅠ แถมก่อนเค้าจะปล่อยให้เราเป็นเด็กมีปัญหาเผชิญกลอนห้องน้ำเพียงลำพัง น้องพนักงานชายคนนั้นสั่งเสียไว้ว่า “ผมจะนั่งอยู่ใกล้ๆตรงนี้ มีอะไรก็มาเรียกแล้วกัน”

แค่นี้นะ พี่ยอมเข้าห้องน้ำแต่โดยดีก็ได้ค่ะน้อง ขอโทษที่เป็นผู้ใหญ่มีปัญหากับห้องน้ำจนสร้างความลำบากมากมาย .. แต่ก็ขอบคุณจริงๆ

Cheonggyecheon
How to go: ขึ้นรถไฟไปลงได้หลายจุดตลอดแนวสองข้างคลองเลย
Operating hour :เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
Admission fee : Free

คลอง Cheonggyecheon เป็นคลองที่มีมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งเป็นคลองที่ไหลผ่านกลางโซล แต่ภายหลังที่ความเจริญเข้ามามากขึ้นคลอง Cheonggyecheon ก็กลายสภาพเป็นคลองเน่าเสียและแหล่งเสื่อมโทรม จนเมื่อผู้ว่าการกรุงโซลท่านนึงได้เสนอโครงการฟื้นฟูคลอง Cheonggyecheon โดยการรื้อทั้งหมดตั้งแต่ทางด่วน ถนนรอบๆ เวนคืนที่จำนวนมาก แรกเริ่มโครงการนี้มีแต่เสียงต่อต้าน แต่สุดท้ายก็สำเร็จลงด้วยดี แถมยังกลายเป็นผลงานสร้างชื่อของผู้ว่าการท่านนั้นไปเลย ในวันนี้คลอง Cheonggyecheon กลับคืนเป็นคลองน้ำใสที่มีทัศนียภาพสองฝั่งคลองสวยงาม นับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับชาวโซลอีกแห่งนึงเลยทีเดียว

20121030-221315.jpg

20121030-221402.jpg

20121030-221433.jpg

20121030-221505.jpg

คลอง Cheonggyecheon ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนึงในโซลค่ะ ทัวร์ไทยส่วนใหญ่ก็จะพาเดินจุบจิบๆที่ริมคลองแห่งนี้ นอกจากนั้นที่นี่ยังเคยเป็นสถานที่นึงที่ใช้ในการถ่ายทำ MV โปรโมทการท่องเที่ยวเกาหลีเมื่อปลายปี 2009 ถ้าใครเป็นแฟน Super Junior และ Girls’ Generation คงพอจำเพลง SEOUL ได้

คลอง Cheonggyecheon ในสายตาเราเหมือนเป็นสายน้ำที่ผูกพันกับชาวเมืองมากเลยค่ะ ตลอดทางที่เราค่อยๆเดินก้าวขาทีละก้าวเรารู้สึกอบอุ่นที่ได้เห็นความสัมพันธ์ของคนเมือง เราสามารถเห็นหนุ่มๆสาวๆเดินกันกระหนุงกระหนิง คู่รักวัยทำงาน ไปจนถึงคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาจนแก่เฒ่า เพื่อนสนิทในวัยเด็ก เพื่อนพูดคุยยามแก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน .. คลองน้ำใสแห่งนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นสำหรับบางคน อาจจะเป็นทางเดินสำหรับบางคน และไม่แน่อาจจะเป็นทางที่สิ้นสุดสำหรับบางคนเช่นเดียวกัน

20121030-221712.jpg

20121030-221753.jpg

20121030-221834.jpg

20121030-221911.jpg

20121030-221943.jpg

20121030-222013.jpg

20121030-222047.jpg

20121030-222155.jpg

ถึงจะแค่เดินเฉยๆเราก็รู้สึกดีแล้วแต่จริงๆคลองแห่งนี้มีอะไรให้น่าสัมผัสอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามคลองกว่ายี่สิบแห่งที่ออกแบบไม่ซ้ำกัน น้ำพุ งานศิลปะริมกำแพง ลานซักผ้าโบราณ Wall of Hope บางครั้งก็มีกิจกรรมหรือดนตรีให้ชมกันอีกด้วย สำหรับเราแล้วที่นี่เป็นที่ที่ให้แรงบันดาลใจมากจริงๆค่ะ

20121030-222419.jpg

20121030-222438.jpg

20121030-222457.jpg

20121030-222536.jpg

20121030-222621.jpg

20121030-222639.jpg

20121030-222659.jpg

เราใช้เวลาเดินริมคลองน้ำใสอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อยแต่ก็รู้สึกอยากเดินไปเรื่อยๆเพื่อใช้เวลาให้นานที่สุด จนเมื่อเจ้าดวงอาทิตย์เริ่มเล่นซ่อนแอบกับเราตามมุมตึกเราก็รู้สึกว่าควรจะกลับเสียทีเพราะเริ่มจะดึกและเราก็เดินมาไกลมากแล้ว แต่พอคิดทีไรว่าจะต้องกลับเมืองไทยแล้วใจเราหายมากทีเดียว

คืนสุดท้ายที่เกาหลี เราหลับสนิทที่สุด ได้ทำในสิ่งไปอยากทำ ไปในที่ที่อยากไป วันรุ่งขึ้นที่เหลืออยู่ เราไปทานอาหารเช้าเบาๆที่ Kona Beans อีกครั้ง ทิ้งข้อความไว้ให้หนุ่มๆในฐานะโซวอนที่เป็นแฟนเพลง Super Junior ด้วยก่อนจะลาโซลจริงๆเสียที

เราโบกมือบ้ายบายโซลด้วยความรู้สึกประหลาด คือทั้งอิ่มเอมและใจหายในเวลาเดียวกัน เวลาเก้าวันนิดๆบนพื้นแผ่นดินเกาหลีกับการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกให้อะไรเรามากกว่าที่คิดไว้มาก แล้วยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เราอีกด้วย ต้องขอบคุณแรงฮึดของตัวเองที่ทำให้กล้าตัดสินใจเดินทางคนเดียวและยังต้องขอบคุณครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่ที่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวออกมาเดินท่อมๆไกลบ้านไกลเมืองอย่างนี้

ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางกับเราอย่างอดทน และขอบคุณคนที่อ่านไดอารี่ทั้งเก้าวันนี้ด้วยความอดทนกว่า เพราะใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละวัน แล้วเราคงได้พบกันใหม่นะคะ สุดท้ายคงต้องบอกลาเกาหลีจริงๆเสียที

บ้ายบาย โซล .. เมืองที่ทำให้นาฬิกาหมุนช้าแต่หัวใจเต้นเร็ว

หลังจากที่ลุ้นอยู่นานว่าสาวๆจะไปเป็น MC ในรายการ Music Core หรือเปล่า หรือว่าจะไปงานที่ยอซูเย็นวันเสาร์แบบที่เราไปไม่ได้ เพราะจะกลับมาไม่ทันเดินทางกลับกรุงเทพ สุดท้าย Music Core ก็ประกาศ Special MC วันเสาร์ที่จะต้องไปต่อคิวเข้าชมรายการก็เลยว่างซะ เราเลยเลื่อนวันที่จะไปเดินเล่นมหาวิทยาลัยดงกุกและคยองฮีเป็นวันเสาร์คนจะได้น้อยๆ ส่วนวันนี้(วันศุกร์ตามเวลาในอดีต)เราก็จะไป Haneul Park กับ Paju English Village แทน

Day 8 : Haneul Park, Paju English Village, Heyri Art Village, Cheonggyecheon

Miss Lee Cafe
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 6 เดินไปทางทิศตะวันตก (ทางอินซาดง) ผ่านอินซาดงไปจนถึงแยกจะมีร้าน GS25 Miss Lee Cafe อยู่ชั้นสอง
Operating hours :
Price : KRW 8,000+

ก่อนเริ่มวันวันนี้เราเริ่มจากอาหารเช้าที่ร้าน Miss Lee Cafe ค่ะ เป็นร้านที่น้องหนูซอกับเจ้ายุนเคยมาถ่ายรายการ ร้านเดียวกันแต่คนละรายการ หลังจากที่เดินโฉบสาขาอินซาดงไปซะหลายรอบ คราวนี้แหละค่ะๆๆๆๆ..เราได้มาลองชิมซักที อันที่จริง Miss Lee Cafe มีสามสาขา แต่รู้สึกว่าสาขาที่น้องซอมาถ่ายทำรายการคือสาขาอิซาดงที่นี่แหละ ส่วนเจ้ายุนนั้นเราไม่แน่ใจ

เราสั่งอาหารเช้าเป็นข้าวกล่องแห่งความฝันที่ต้องเขย่าๆก่อนกินนั่น แล้วก็ Citron Tea จากนั้นก็ไปเดินดูรอบๆหาที่ถ่ายรูปนั่นนี่ ไม่นานนักอาหารเช้าก็มา เราเขย่าๆก่อนกินจริงๆนะคะ ผลคือเลอะเทอะไปหมดตอนเปิดกล่องมา เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดยันแก่ ㅠㅠㅠㅠ เราว่าข้าวกล่องที่นี่รสชาติใช้ได้ทีเดียว อร่อยแบบเด็กๆ ที่ถูกใจที่สุดของมื้อนี้คือส่วนเครื่องดื่ม เราเคยดื่มชาที่คล้ายๆกันแบบนี้ตอนไปฮ่องกงแล้วก็ชอบมาก ไปทีไรก็ขอให้ได้ดื่มทุกที ไม่รู้ว่าที่นี่มี Citron Tea ที่คล้ายๆกันเลย ดื่มชาทีแฮปปี้ไปสามโลกเลยค่ะ :’)

หลังจากที่สำเร็จโทษอาหารเช้าอย่างรวดเร็วก็ออกเดินทางไป Haneul Park กันเสียทีหลังจากโอ้เอ้อยู่นาน

20121026-095200.jpg20121026-095308.jpg20121026-095334.jpg20121026-095357.jpg

Haneul Park
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 6 ลงที่ World Cup Stadium Station, Exit 1 แล้วเดินต่อเตรียมใจเดินขึ้นเขาไว้ด้วยนะคะ
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 21:00 hrs
Admission fee : Free

จริงๆแล้วเราเองก็ประมวลผลอยู่นานมากว่าควรจะไปไหน อะไรยังไงดี เห็นภาพร้าน Coffee on the Mountain ก็อยากไป Haneul Park กับ English Village ก็อยากไป ตัดสินใจยากอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ถ้าแค่ยัยหนูอัด Music Core แล้วเราไปดูยังตัดสินใจง่ายกว่าเนอะ สุดท้ายเราก็เลือกไป Haneul Park ด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลเอาซะเลย .. เราอยากเห็นอะไรอย่างที่หน้าตาเหมือนอัฒจรรย์ แค่เท่านั้นเอง ㅠㅠ

Haneul Park เป็นสวนนึงที่อยู่ใน World Cup Parks และเพื่อความไม่งงเราจะเล่าเรื่อง World Cup Parks ที่ตามล่าหาข้อมูลจนเจอให้ฟัง World Cup Parks คือสวนสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึง FIFA World Cup ครั้งที่ 17 ค่ะโดยที่สวนนี้ในอดีตเคยเป็นพื้นทิ้งขยะอยู่นับสิบปีโดยที่มีขยะกว่า 92 ล้านตันอยู่ ต้องใช้เวลาถึง 6 ปีในการกำจัดขยะเหล่านั้นและอีกหนึ่งปีในการสร้างสวนสาธารณะแห่งนี้ขึ้นมา เจ้าสวน World Cup Parks นั้นประกอบไปด้วยสวนเล็กๆ 5 สวนภายใน ซึ่งก็คือ Pyeonghwa (ความสงบ) Park, Haneul (ท้องฟ้า) Park, Noeul (ตะวันตก) Park, Nanjicheon Park, Nanji Hangang Park วันนี้เป้าหมายของเราคือขึ้นไปบนท้องฟ้าค่ะ .. Haneul Park

การเดินทางไป Haneul Park นั้นไม่ยากเลย แค่นั่งรถไฟไปลงที่ World Cup Stadium Station เดินออกทางออกที่หนึ่งแล้วข้ามถนนมาจะเจอ Pyeonghwa Park ก่อน จากนั้นเลี้ยวขวาเดินไปเรื่อยๆจะเห็นภูเขาลูกโตๆมีบันไดชึ้บชั้บๆ นั่นแหละค่ะ ไต่บันไดนั้นขึ้นไปก็จะพบกับ Haneul Park แล้ว

…ทางเทคนิคแล้วเหมือนจะง่าย แค่เหมือนจะน่ะค่ะ

ทางเดินจาก World Cup Stadium เหมือนจะง่ายแต่ดัน…งงแหลก ตอนที่ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็มีคนบอกว่าออกผิดทางเพราะหาทางออก 1 ไม่เจอ ส่วนเราเก่งค่ะ หาทางออก 1 ภูมิใจมากๆ แต่ทะลึ่งหาทางข้ามถนนไม่เจอ -__-:; ทั้งหมดเป็นเพราะเซนส์ด้านทิศทางอันดีเยี่ยมแต่ความกล้าเสี่ยงกลับติดลบ เรื่องของเรื่องคือเราเดินเลาะด้านนอกของสนามไปจนเห็นทางออกก็คิดว่าควรจะเดินลงออกไปซะก่อนที่จะไม่มีประตูให้เดินออก ไม่อยากจะเสี่ยง กลัวต้องเดินย้อนไปออกทางประตูเดิม กลับกลายเป็นว่าไปเจอ dilemma ซะอย่างนั้น ทางข้ามถนนไม่มี มองหาทางเดินไปข้างหน้าก็งงๆเหมือนจะไม่มีทางไป เห็นสะพานที่ทอดระหว่าง Seoul World Cup Stadium ไปสวน Pyeonghwa อยู่ทนโท่บนหัวเลยแต่หาทางขึ้นไม่ได้ หันไปส่วนที่เป็นสนามก็เหมือนเป็นที่ออกกำลังกาย แถมชั้นสองดันเป็นห้าง .. โอยยย ไมเกรนจับทั้งๆที่ไม่เคยเป็น .. เราหาทางพาตัวเองไปห้างในสนามกีฬาอยู่นานเพราะเดาว่ามันต้องพายังสะพานให้เราเดินข้ามไปถึงสวนแน่ๆ และน่าจะดีกว่าการเดินย้อนกลับไปจากประตูที่เราออกมา

แล้วก็หาเจอจนได้นะคะ หลังจากที่เกือบเดินเข้าฟิสเนสเค้าไป สุดท้ายก็เจอทางเข้าห้างแล้วออกไปยังสะพาน มองกลับมาจากสะพานข้ามนั้นสนามกีฬาดูยิ่งใหญ่และสวยมากจริงๆ ธงสีแดงๆที่ติดอยู่ริมโบกสะบัดไปตามแรงลม พอมองไปข้างหน้าก็เห็น Pyeonghwa Park สวนแรกของ World Cup Parks แล้วค่ะ

20121026-095734.jpg20121026-095757.jpg20121026-095813.jpg

ภาพที่เห็นได้ทั่วไปของสวนสาธารณะในเกาหลีคือครอบครัว ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชรา ออกมากใช้ผ่อนคลายกัน เรายืนมองคุณตาจูงหลานตัวเล็กๆเดินเล่นริมสระน้ำ เห็นแล้วชอบมากๆเลย รู้สึกอบอุ่นจนคิดถึงคุณตาของตัวเองที่เคยจูงมือเราตอนเด็กๆอย่างนี้เหมือนกัน เราเดินเอื่อยได้ไม่นานเท่าไรหรอก เพราะวันนี้เราเดินทางออกจากโซลแล้วเดี๋ยวจะไปพาจูอีก แต่ดันตื่นสาย เพราะงั้นเอื่อยได้ตามเวลาที่เหมาะสม ไม่งั้นเราจะกลับถึงโซลค่ำมืด ยังไงเสียถ้าจะมือขอให้มืดในโซลค่ะเพราะคุ้นเคยมากกว่าแถบนอกเมือง

20121026-095928.jpg20121026-095951.jpg

เราเดินเลาะๆไปทางทิศที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกโตสีเขียวๆ มั่นใจสุดๆว่าต้องใช่แน่ๆ เพราะยิ่งเดินใกล้ยิ่งเห็นบันไดที่จะพาเราขึ้นไปถึง Haneul Park บันไดไม้พาดเป็นฟันปลาอยู่กลางภูเขา มองไกลๆมันสวยทีเดียวค่ะแต่ก็ทำเอาท้อได้ง่ายๆเวลาที่คิดว่าเดี๋ยวเราจะต้องไปตะกายอยู่บนนั้น

จาก Pyeonghwa Park ไปปุ้บปั๊บ ข้ามสะพานสีฟ้าสดตัดกับดอกไม้ที่ประดับอยู่ ครู่เดียวเราก็มาโผล่ที่ทางขึ้นไป Haneul Park แล้วค่ะ ณ ตอนที่ยืนอยู่ตรงเชิงบันไดนั่นยอมรับว่าแอบสองจิตสองใจจริงๆ แต่ก็คิดว่าไหนๆก็มาแล้ว ไม่ขึ้นได้ยังไง แล้วร่างพร้อมความเตี้ย 156 เซนติเมตรก็เดินก้าวทีละก้าวขึ้นบันไดตรงหน้าด้วยความเร็วคงที่ เจ้าบันไดที่ว่ามีทั้งสิ้น 291 ขั้นค่ะ ใช้เวลาไม่นานมากก็ถึงสุดยอดแล้ว ตอนใกล้ๆถึงขั้นบนสุดเราเริ่มแฮ่กประกอบกับด้านหลังเป็นวิวสนามกีฬาและสะพานข้ามแม่น้ำสวยเชียวเลยหันไปชื่นชมแก้เหนื่อยก่อนจะเริ่มเดินต่อกๆต่อไป จนบันไดขั้นสุดท้ายที่มีป้ายติดไว้ว่า 1 เรางี้แสนจะฟินหยั่งกับถึงจุดหมายแล้ว .. แต่ความจริงมันยังไม่ถึงค่ะ -__-:;

20121026-100158.jpg20121026-100228.jpg20121026-100302.jpg20121026-100321.jpg

จากตรงนั้นยังต้องเดินไปอีก ไอ้เราก็เดินดี๊ด๊าถ่ายรูปตามประสานักท่องเที่ยว แล้วก็มีคนที่มาออกกำลังแสนใจดีบอกว่าถ่ายภาพตรงนั้นสิ ตรงนี้สิ สวยมากเลย แน่นอนว่าเป็นภาษาเกาหลี เราเดาเอาเองล้วนๆแต่ก็ไม่ยากนักเพราะคุณผู้บ่าวภาษามือมาเต็มเลยทีเดียว เราแชะไปเดินไปเรื่อยๆแบบไม่รีบค่ะ เดินแรกๆก็มีป้ายอยู่ดีๆให้อุ่นใจ แต่ไปๆมาๆป้ายเป้ยหายสาบสูญ เป็นลักษณะร่วมของป้ายที่เกาหลีจริงๆ ตอนไป Coex ก็มึนแบบนี้ไม่มีผิด เราเดินไปจนถึงสุดทางที่ต้องเลือกค่ะว่าจะเดินไปตามคนที่วิ่งไป เดินออกไปเลียบถนน หรือเดินย้อน .. ก็ป้ายมันหาย .. ยืนมองๆนักปั่นจักรยานที่คงมองเราอย่างสงสารแต่ไม่รู้จะช่วยอะไรอยู่สองวินาทีแล้วจากนั้นเราก็เดินไปตามสัญชาตญาณ เลาะริมถนนมุ่งหน้าต่อไป

…ใครจะเชื่อว่ามันถูกคะ ฮาาา

แว่บแรกที่เห็นรูปปั้นแมลงกับรูปปั้นเด็กหน้าทางเข้างี้ดีใจอย่างกับได้โล่ เราเดินเข้าไปในสวนเขียวขจี สวยแบบสวนในหน้าฝนค่ะ เขียวๆสบายตา ถ้ามาในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูหนาวก็จะเป็นอีกแบบนึงไปเลย น่าจะเหลืองๆสวยไม่แพ้กัน เราเห็นเจ้าจุดหมายปลายทางของเราอยู่ตรงหน้าลิบๆแบบต้องแหวกทุ่งไปหน่อย เจ้าสิ่งประหลาดหน้าตาคล้ายอัฒจรรย์ เวลามาอยู่แบบนี้แล้วสวยแปลกตาดีจริงๆ แถมอยู่โดยที่มีเจ้ากังหันปั่นไฟ 5 ตัวอยู่รอบๆซะด้วย เป็นส่วนผสมที่ประหลาดแท้ แต่เราชอบมาก

ตามประสาคนชอบปีนๆ เราเดินเข้าไปในนั้นแล้วก็เดินขึ้นไปจนสุด ชมวิวรอบๆสวน Haneul Park เดินวนด้านบนซะหนึ่งรอบ(พูดซะใหญ่)เพียงเพื่อได้รู้ว่าถ้าจะอยู่เกาหลีให้ทำใจ..ไปไหนเจ้าจะเจอกับกุญแจคู่แขวนใจเรื่อยไป ฉะนี้แล

20121026-100535.jpg20121026-100601.jpg20121026-100714.jpg20121026-100838.jpg20121026-100902.jpg20121026-100924.jpg20121026-100945.jpg

เรามองไปฝั่งตรงข้ามแล้วก็เห็นอะไรหน้าตาแปลกๆเรียกร้องให้ไปดู เป็นอะไรซักอย่างจริงๆค่ะ เหมือนตั้งไว้แบบอินดี้ๆท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว กับมองไปสุดๆนั่นก็จะมีปล่องไฟ เราก็เดินเตาะแตะไปถ่ายภาพสบายใจไป เราชมนกชมไม้ชั่วครู่ก็เดินออกมาค่ะ โดยที่เราเลือกเดินด้านนอกเพราะดูจะเดินง่ายกว่าเหมาะกับคนซุ่มซ่ามอย่างเราๆ แต่พลันตาเหลือบไปเห็นบ้านนกหลังเล็กๆ(เรียกอย่างนั้นได้ใช่ไหม)ที่เค้าวางประดับแต่งสวนไว้ น่ารักมากจนอยากจะวิ่งไปถ่ายรูป เพื่อจะเดินไปถ่ายภาพ เราต้องเดินแหวกหญ้าเยอะพอดู คันใช้ได้เลยค่ะ เพราะความแพ้หญ้าเป็นทุนเดิม แค่โดนนิดเดียวเราคันจะบ้า มือเลยรีบกดชัตเตอร์รัวๆแล้วรีบออกมา ได้ภาพมาเท่าที่เห็นนี่ล่ะค่ะ ㅠㅠㅠㅠ

20121026-101054.jpg20121026-101257.jpg20121026-101320.jpg20121026-101406.jpg

หลังจากที่เราเดินเล่นใน Haneul Park เรียบร้อยถือว่าภารกิจแรกเสร็จสิ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ ขากลับจากสวนคราวนี้เลยเดินสบายๆไม่มีให้หลงทาง แถมทางลงเขา เดินยังไงก็ชิวๆเนอะ แต่ที่น่าเจ็บใจเบาๆคือตอนลงมาเราเห็นรถซาฟารีด้วยค่ะ คับคล้ายคับคลาว่าเห็นรถหน้าตาแบบนี้วิ่งขึ้นไปบนเขาเลยเดาว่าน่าจะเป็นรถพาขึ้นไปด้านบนนั่นแหละ แล้วเราจะตะกายเพื่อ…….?

Paju English Village
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Hapjeong Station, Exit 2 แล้วนั่งรถเมล์สาย 200, 2200 (สีแดง) ประมาณ 50 นาทีไปลงที่ English Village (31-030 경모공원앞 Gyeongmogong-won)
Operating hours : Seasonal, August 09:30 – 22:00 hrs
Price : KRW 2,000

English Village, Paju Camp เป็นสถานที่ที่อยากจะไปเหลือเกิน เพราะอย่างนั้นมันเลยมาบรรจุอยู่ในตารางการเดินทางในวันนี้ แรงบันดาลใจในการไปก็คงไม่พ้น 1) สวย 2) สาวๆที่รักของเราเคยไปวิ่งไล่จับที่นี่มา เพราะฉะนั้นมองซ้ายมองขวาเวลาเดินเล่นมันต้องสนุกแน่ๆค่ะ ได้อารมณ์ว่าคอยมองหาว่าตรงไหนน้าที่น้องซอของพี่จัดการอนนี่ไปได้ทีละคนสองคน >;;;///<;;; ด้วยสองเหตุผลเราเลยนั่งรถมาพาจูอีกแล้วหลังจากที่นั่งไปรอบแรกเมื่อวันที่ไป DMZ ถ้ายังจำกันได้

English Village นั้นเป็นสถานที่ที่ให้คนได้ไปสัมผัสกับภาษาอังกฤษ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่พูดภาษาอังกฤษเท่านั้น ว่าง่ายๆก็คือเป็นค่ายฝึกภาษา พ่อแม่ที่อยากจะให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองส่งไปต่างประเทศให้เงินทองรั่วไหล ภายในก็จะมีคลาสต่างๆให้เด็กๆได้เข้าไปเรียนหรือทำกิจกรรม พนักงานที่ทำงานในนี้ก็จะเป็นชาวต่างชาติหรือชาวเกาหลีที่ภาษาอังกฤษดีๆ ในที่สุดเราก็มาอยู่ในถิ่นของเราแล้วค่ะ อยู่ในที่ที่เราจะสื่อสารกับชาวบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้งหลังจากที่ต้องนั่งท่องคำว่า "ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ภาษาเกาหลี" มาหลายรอบ ^^

English Village ในเกาหลีนั้นมีหลายที่ ไม่ได้มีแค่ที่พาจูที่เดียว ที่แรกเลยคือที่อันซาน (Ansan) อีกที่คือที่ยางพยอน (Yangpyeon) ที่นี่เป็นที่ที่ใช้ถ่ายซีรี่ส์เรื่อง Boys Over Flowers ถ้าใครพอจะจำกึม จันดีและกู จุนพโยได้ โรงเรียนในเรื่องคือที่นี่แหละค่ะ ส่วนอีกที่ก็คือที่พาจู (Paju) ที่ที่เราจะกันในวันนี้

การสร้าง English Village ขึ้นมาทำให้เราเห็นถึงความฉลาดของคนเกาหลีอีกแล้ว เพราะแม้จุดมุ่งหมายหลักของ English Village จะเป็นเพื่อการสร้างเสริมทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลแต่การที่ทำสิ่งแวดล้อมดีๆ อาคารสวยๆก็ทำให้สถานที่นั้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ แถมพ่วงด้วยการแพร่ไวรัส (ตามที่คุณคันฉัตรในหนังสือ "Sorry Sorry ขอโทษทีผมเป็นติ่ง" ว่าไว้) คือเอามันมาถ่ายละครถ่ายรายการซะแล้วจากนั้นแฟนๆก็จะตามมา อย่างเช่นแฟนๆ Boy Over Flower แฟนน้องจุงจ๋า หรือแม้แต่เราเองก็ติดไวรัสนั้นเข้าไปด้วย ตกเป็นเหยื่อการตลาดระดับประเทศค่ะ ㅠㅠㅠㅠ

สำหรับเราการไป English Village นั้นไม่ยากเท่าไร ป้ายรถที่ยืนรอก็แสนจะชัดเจน มันนอยนิดๆด้วยกลัวว่าจะเลยป้าย แต่ app ในมือถือช่วยได้เยอะจริงๆค่ะ ช่วยในการสร้างความมั่นใจว่าเราลงถูกป้ายแน่ๆ ป้าย English Village นั้นสังเกตไม่ยาก เลย Provence Village และ Heyri ไปนิดนึงก็ถึงแล้ว คิดว่ายังไงถ้าสังเกตตัวอาคารที่ออกแนวตะวันตกไว้ยังไงก็ไม่หลง

แม้จะศึกษามาอย่างดีว่าให้เข้าประตู 1 เพราะถึงเดินไปประตู 2 เค้าก็จะไล่ให้ไปเข้าที่ประตู 1 แต่เราก็ยังคงสับสน เพราะไม่รู้ว่าอันไหนคือประตู 1 อันไหนคือประตู 2 เราก็เดินไปประตูที่ใกล้ที่สุดแล้วก็พบว่ามันคือประตู 2 ค่ะ -__-:; เราเลยค่อยๆลากขาเดินไปประตู 1 เพื่่อซื้อตั๋วเข้า English Village วิธีสังเกตเจ้าประตูหนึ่งว่าคืออันไหน ก็คือที่ที่มี Stonehedge ตั้งอยู่ด้านหน้านั่นเอง ส่วนประตู 2 คือประตูที่มีสำนักงาน UNICEF และป้อมยาม

20121026-101939.jpg20121026-102008.jpg20121026-102036.jpg

20121026-102404.jpg

หลังจากที่ซื้อตั๋ว หยิบแผนที่ใน Village มาเรียบร้อยเราก็ทำการผ่าน Gate และศุลกากรเพื่อเข้าเมือง เก๋ไก๋ใช่ไหมล่ะ ตอนที่เราไปนั้นเราเดินตามพ่อลูกคู่นึงค่ะ ถ้าจำไม่ผิดลูกชายน่าจะอายุไม่เกิน 5-6 ขวบ คุณพ่อเค้าเห็นเรามาเที่ยวก็เลยชวนคุยซะเลย เค้าบอกว่าวันนี้เค้าลางานพาลูกชายมาที่นี่เพราะเมื่อวานลูกชายพูดว่าอยากไปอเมริกา แต่ว่าลูกขายยังไม่ได้ภาษาเลยพามาให้ดูว่าถ้าไปอังกฤษหรืออเมริกาก็จะพบกับสิ่งแวดล้อมประมาณนี้ จะต้องพูดภาษาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นน้องจะต้องเตรียมตัวถ้าเค้าอยากจะไป คุณพ่อถึงกับลงทุนลางานขับรถมาจากโซลมาเพื่อคุณลูกชายเลย น่ารักมาก

ระหว่างที่คุย คุณพ่อก็พยายามสนับสนุนให้น้องพูดภาษาอังกฤษ ตรงกับวัตถุประสงค์ของ English Village สุดๆ ส่วนเราเองก็ได้ความรู้เยอะเหมือนกันจากคุณพ่อ เช่นว่าการศึกษาในเกาหลีแข่งขันสูงแค่ไหน คุณพ่อเองเสียดายที่ตอนเด็กๆไม่ตั้งใจเรียนภาษาเท่าไร แต่ก็นับว่ายังสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว อีกเรื่องที่น่าสนใจคือคุณพ่อบอกเราว่าคำว่า ซออึล (서울) หรือที่คนไทยเรียกว่าโซลนั้นจริงๆแล้วแปลว่าเมืองหลวงหรือ capital city ดังนั้นถ้าเราจะบอกว่า “ซออึล”ของประเทศไทยก็คือกรุงเทพมหานคร หรือ “ซออึล”ของสหรัฐอเมริกาคือ Washington DC ก็ไม่ผิดอะไร สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนภาษาเกาหลีอย่างเรามันเป็นความรู้ใหม่มากเลยค่ะ

เราเดินไปรอบๆกับเพื่อนตัวน้อยและคุณพ่อก่อนจะแยกไป ระหว่างที่เดินร่วมทางกันเราก็เล็งซ้ายเล็งขวามุมที่คุ้นๆจาก Running Man ไว้กะว่าพอแยกกันแล้วจะไปเก็บรายละเอียด ก่อนแยกกันคุณพ่อใจดียังคอยชี้ให้เราดูจุดท็อปฮิตว่ามาที่นี่แล้วต้องถ่ายรูปด้วยก็คือจุดที่เป็น backdrop รูปปีก อย่าลืมไปถ่ายซะนะ แล้วเค้าก็ปล่อยเราไปตามทางของเรา ฮาาา .. ทีนี้เราได้เวลาสำรวจแล้วค่ะ มุมด้านในนี้คุ้นมากๆ คือเดินไปแล้วเดาได้ว่าตรงนี้คือที่ที่ซอฮยอนจัดการฮโยยอนและคุณลุงจมูกโต ตรงนี้คุ้นเหมือนเป็นที่ที่ซอฮยอนจัดการคิมกุกจงกับแทยอนวินาทีสุดท้าย มุมนี้เป็นมุมที่ซอฮยอนจัดการเจ้าเหม่งและโดนเข่าไป มุมเจสสิก้าฮ่าฮ่าที่เน่าพิกล หอคอยที่ดูเน่าๆนั้นที่เจ้ายูลกวางซูไปหลบกันนั้นเน่าจริงๆ ทุกอย่างเป็นอะไรที่เราเห็นแล้วยิ้มค่ะ คนติดไวรัสจะเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเราชักสงสัย

20121026-102458.jpg

20121026-102523.jpg

20121026-102634.jpg

20121026-102824.jpg

20121026-102842.jpg

20121026-102919.jpg

20121026-102947.jpg

20121026-103015.jpg

เดินจนทั่วไปครึ่งนึงแล้วเราก็เจอกับคุณพ่อคุณลูกอีกครั้ง คราวนี้มีคุณครูด้วยค่ะ คุณครูสำเนียงอเมริกันจ๋ามาเลย ฟังเพลินมาก คุยง่ายและคุยสนุก .. เราเจอที่ที่ใช่สำหรับเราแล้วจริงๆ .. เด็กน้อยกำลังจะลงเรียนคลาสนี้กับคุณครูคนนี้นี่แต่ยังไม่ถึงเวลาเรียน เค้าก็เลยมาคุยกันก่อนด้านนอก แล้วเราก็มาเจอก็เลยได้คุยกันเล็กน้อย ตอนแรกคุณครูนึกว่าเราเป็นคุณแม่ของเด็กน้อย เราถึงกับร้องจ๊ากเลยค่ะ อยู่ดีๆมีลูกไม่รู้ตัว =[]= คุณครูกับบอกเราว่าเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์เลยคนน้อย ซึ่งเราตอบกลับไปว่าเราชอบ เราไม่ชอบที่คนเยอะ พอคุณครูรู้ว่าเรามาจากกรุงเทพถึงกับขำ ประมาณว่าอยู่กรุงเทพแล้วไม่ชอบคนเยอะเนี่ยนะ!?! เราเลยบอกว่าอาจจะเพราะเราอยู่กรุงเทพนี่แหละ เราเลยไม่ชอบคนเยอะ ว่าแล้วคุณครูใจดีก็แนะนำเราให้ไป Heyri หมู่บ้านศิลปะซึ่งอยู่ในแผนการของเราหลังจากนี้ เราคุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วเราก็ปล่อยให้เค้าเริ่มเรียนกัน ส่วนเราก็ออกมาเตาะแตะคนเดียวต่อไปจนทั่ว ก่อนที่จะมุ่งหน้าจุดหมายต่อไปของเราในวันนี้คือ Heyri Village ค่ะ

20121026-103125.jpg

20121026-103151.jpg

20121026-103220.jpg

20121026-103242.jpg

20121026-103313.jpg

20121026-103347.jpg

20121026-103418.jpg

Heyri Art Village
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Hapjeong Station, Exit 2 แล้วนั่งรถเมล์สาย 200, 2200 (สีแดง) ประมาณ 50 นาทีไปลงที่ Heyri ลงได้หลายป้ายเลย แล้วแต่จะอยากเข้าจากฝั่งไหน แต่ไปจาก English Village ออกประตู 2 แล้วเดินข้ามไปก็ถึงแล้ว
Operating hour : เปิดตลอด 24 ชั่วโมงแต่ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ด้านในนั้นจะเปิดตั้งแต่ 10:00 – 19:00 โดยประมาณ
Admission fee : Free แต่ถ้านั่งในร้านหรือเข้าพิพิธภัณฑ์นั้นก็แล้วแต่ค่ะ

Heyri นั้นเป็นหมู่บ้านของนักศิลปะ ตั้งแต่จิตกร ช่างภาพ ช่างปั้น นักดนตรี นักเขียนอยู่ร่วมกันและสร้างสรรงานร่วมกัน ในตอนแรกนั้น Heyri Art Village รู้จักกันในฐานะว่าเป็นหมู่บ้านหนังสือเพราะใกล้กับ Paju Publishing Town (หรือ Paju Book City) แต่จากนั้นก็เริ่มเติบโตขึ้นโดยมีนักศิลปะจากแขนงต่างๆเข้ามาร่วมในโครงการจนกลายเป็น Cultural Art Village อย่างทุกวันนี้

ภายใน Heyri มีทั้งที่พักอาศัย ห้องทำงาน แกลอรี่และพิพิธภัณฑ์ นักศิลปะส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการเปิดงานจัดแสดงผลงานหรือขายงานศิลปะ ปัจจุบันนี้มีพิพิธภัณฑ์ สถานที่จัดแสดงงาน สถานที่จัดคอนเสิร์ท ร้านหนังสือประมาณ 40 ที่ใน Heyri และยังมีที่กำลังจะเปิดอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีคาเฟ่และร้านอาหารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาเยือนอย่างเราๆ

ชื่อว่า Heyri นั้นมาจากเพลงเกี่ยวข้าวของชาวเกาหลี “The Sound of Heyri” แนวความคิดในการสร้างหมู่บ้านก็ใช้แนวคิดแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นเราจะเห็นอาคารตั้งอยู่กลางสีเขียวๆ จะยังเห็นคลองหรือสระน้ำตามธรรมชาติอยู่ อาคารที่สร้างใน Heyri ก็จะไม่สูงเกินไปกว่าสามชั้น แต่แน่นอนว่าเนื่องจากอยู่ในหมู่บ้านนักศิลป์ อาคารแต่ละอาคารก็จะเก๋ไก๋ต่างกันไป

เราออกจาก English Village และก็เดินเข้า Heyri ไปทาง Gate 9 แบบมึนๆ แผนที่เป็นภาษาเกาหลี -__-; แต่ก็อาศัยคลำๆทางเอา เราเดินไม่เยอะมากค่ะ แค่เลาะๆขอบๆของ Heyri เพื่อให้ออกไปขึ้นรถเมล์ได้ง่ายเพราะกลัวจะถึงโซลค่ำ อีกอย่างคือเราเมื่อยเพราะเดินโหดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้เห็นถึงสีเขียวๆ อาคาร และงานศิลป์เช่นพวกรูปปั้นที่ไปวางอยู่กลางทุ่งหญ้า ตอนที่เรากลับเราเองก็เสียดายเหมือนกันที่น่าจะมีเวลาและกำลังมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ถึงตัดสินใจจะอยู่แต่ก็ไม่มีแรงจะเดิน อาจจะสิ้นชีพอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ได้

20121026-103709.jpg

20121026-103737.jpg

20121026-103805.jpg

20121026-103854.jpg

20121026-103914.jpg

20121026-103930.jpg

เคยมีหลายๆคนว่าไว้ว่าเกาหลีไม่ค่อยมีอะไร เค้าเลยต้องสร้างมันขึ้นมาเพื่อดึงดูดให้คนไปท่องเที่ยว แตกต่างจากเมืองไทยที่มีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวล้นหลาม ในความคิดของเรานั้นมันไม่ผิดถ้าสิ่งที่สร้างน่าสนใจและไม่ทำลายองค์รวม เช่น Heyri ไม่ได้ทำลายผืนป่าแต่หาทางอยู่ร่วมอย่างเหมาะสม สิ่งที่สร้างขึ้นไม่ได้มุ่งหวังให้การท่องเที่ยวเป็นวัตถุประสงค์หลักแต่เป็นผลพลอยได้ เราว่าเค้าฉลาด การสนับสนุนการท่องเที่ยวของเค้าที่สนับสนุนกันจริงๆจัง ผ่านทาง KTO ทางผลิตภัณฑ์ส่งออกชื่อดังอย่าง K-pop หรือละครเกาหลี รวมกับบ้านเมืองที่พัฒนาแล้วทำให้เกาหลีเป็นประเทศท่องเที่ยวจริงๆ คือเที่ยวง่ายแม้จะคนในประเทศจะใช้ภาษาบ้านเกิดตัวเองมากกว่าภาษาอังกฤษ ประเทศไทยของเราซะอีกที่ประกาศเป็นเมืองท่องเที่ยว ถึงตอนนี้สิ่งอำนวยความสำดวกให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือคนไทยที่จะเที่ยวเมืองไทยด้วยกันเองนั้นน้อยเหลือเกิน แค่ดูจากการเดินทางไปมาระหว่างแอร์พอร์ทกับตัวเมืองก็พอจะรู้แล้ว เมืองไทยมีแอร์พอร์ทลิงค์ที่นานๆมาที Taxi และพึ่งพาอาศัยญาติโยม ส่วนเกาหลีมาเต็ม มีครบจนเกิน ทั้งรถไฟ Airport Express จากอินชอนไปถึงกลางเมืองหลวง Seoul Station รถประจำทาง หรือรถแอร์พอร์ทลีมูซีน แค่รถแอร์พอร์ทลีมูซีนสารพัดสายก็ไปทั่วโซลแล้ว ถ้าหาเมืองไทยพัฒนาได้ขนาดนั้น เราน่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากเลยล่ะค่ะ

Cheonggyecheon
How to go: ขึ้นรถไฟไปลงได้หลายจุดตลอดแนวสองข้างคลองเลย
Operating hour :เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
Admission fee : Free

การเดินทางขากลับของเราใช้เวลามากกว่าขาไปพอควร น่าจะเป็นช่วงเวลาเย็นที่คนเลิกงานกันแล้ว รถบนถนนเลยดูหนาแน่นกว่าเมื่อกลางวัน เราหลับๆตื่นๆระหว่างที่อยู่บนรถเมล์ขากลับจาก Heyri หลายรอบก็ยังไม่ถึงสถานี Hapjeong

วันนี้ผู้มีอุปการคุณเอื้อเฟื้อที่พักชวนไปทานเนื้อย่าง นัดกันตอนสองทุ่มแถวๆอับกุจอง เรามองนาฬิกาจากมือถือ(ไม่ใช้นาฬิกาข้อมือมีไรป่ะ #กวน)แล้วว่ายังพอมีเวลานิดหน่อยเลยตัดสินใจไปเดินเล่นที่คลอง Cheonggyecheon ก่อนทั้งๆที่เป็นแผนการที่วางไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ แต่ขอมาลองเดินช่วงสั้นๆนิดนึง เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเล่าเรื่องคลองน้ำใสนี่อีกครั้งนึงในไดอารี่วันถัดไปนะคะ

20121026-104322.jpg

20121026-104343.jpg

20121026-104357.jpg

20121026-104413.jpg

20121026-104440.jpg

คลอง Cheonggyecheon ตอนกลางคืนที่มีไฟเปิดสวยมากจนอย่างจะยืนชมอยู่อย่างนั้นนานๆเลยล่ะค่ะ แต่เพราะกลัวผิดเวลานัดเลยรีบเกาะรถไฟไปอับกุจองเพื่อพบว่าฝนตก เรากับผู้มีอุปการคุณเลยตัดสินใจแยกย้ายไปหาอะไรกินเองเพื่อความสะดวกและเปียกน้อย เราได้มีโอกาสเดินเล่นอับกุจองอีกนิดหน่อยก่อนจะไปจบที่ร้านอาหารใกล้บ้าน

ระหว่างเดินเล่นอับกุจองมีช่วงที่ฝนตกหนักๆแล้วเราไม่ไหวก็เลยรีบวิ่งเข้าไปในร้านชานมไข่มุกหนึ่งร้าน ซึ่งเห็นลายเซ็นต์เต็มไปหมดแต่ยังไม่ได้นึกอะไรจนกระทั่งตาไล่มาเห็นลายเซ็นต์ทิฟฟานี่และก็ของสาวๆ นึกในใจว่านี่เจอ RC โดยบังเอิญอีกแล้วสินะ ทั้งร้านนี่เต็มไปด้วยลายเซ็นต์ ลายเซ็นต์ และลายเซ็นต์ เยอะจนเราตกใจ ลายเซ็นต์ของหนุ่มๆ Exo ติดอยู่นู่นค่ะ .. ประตู .. แล้วนี่ถ้ามีวงน้องใหม่เดบิวต์อีกจะไปติดตรงไหนกันคะเนี่ย

ร้านชานมไข่มุกร้านนี้ไม่ใหญ่มาก ใครเคยไปคงรู้ มีโต๊ะแค่ประมาณสามโต๊ะเล็กๆกับเคาท์เตอร์เท่านั้นเอง แต่มีลูกค้ามาซื้อเป็นระยะๆเลยค่ะ น่าจะเป็นทั้งแฟนคลับเองและก็เด็กๆแถวนั้นด้วย ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ร้านมักจะซื้อไปทานข้างนอกมากกว่าชมบรรยากาศในร้าน แต่อย่างที่บอกว่าเราหลบฝนและพักเหนื่อย เราก็เลยนั่งกินชาจนหมดอย่างไม่แคร์สื่อ จนพอดูท่าว่าน่าจะเดินต่อได้แล้วก็สละที่ให้คนอื่นนั่งต่อ

20121026-163157.jpg

20121026-163333.jpg

ไดอารี่ของเราใกล้จบเต็มที่แล้ว เหลืออีกแค่วันครึ่งเท่านั้นเอง การเดินทางเที่ยวคนเดียว(แต่อาศัยกับคนอื่นบ้าง)จะหมดลง วันพรุ่งนี้เราจะไปตะลุยมหาวิทยาลัยกัน 😀

เมื่อวานเหนื่อยเดินจนขาจะหลุด กลับมานอนปอดแปดอยู่ที่ที่พัก ไอ่เราก็นึกว่ากายหยาบคงจะไม่ไหวแล้ว ที่ไหนได้ตื่นมาอีกวันเราก็ยังขยับตัวได้อยู่อย่างน่ามหัศจรรย์ วันนี้ตามแผนเราก็ยังจะไปเยี่ยมชมสารพัดวังอีก ขนาดเมื่อวานไปแบบงงๆแล้วก็ยังไม่รู้จักเข็ด ยังยืนยันว่าจะงงอยู่ต่อไป ไหนๆก็ไหนๆ ซื้อบัตร Integrated Ticket มาแล้วนี่ ไม่ไปก็ยังไงๆอยู่ ต้องไปค่ะ .. อ่อ แต่หลังจากเดินเยอะๆเข้า ตอนนี้เริ่มสละสิ่งโดยการโยนหนังสือทิ้ง เหลือไว้แค่น้องแพดกับน้องไอแล้วค่ะ ขนาดแค่นี้สะพายนานๆยังหนักเลย .. นอกเรื่องนานแล้ว เราเริ่มเดินกันอีกดีไหมคะ

Day 7 : Kona Beans (Apgujeong Branch), Unhyeonggung Palace, Changdeokgung Palace and Bewon Secret Garden, Changgyeonggung Palace, Insadong, Garosugil

Kona Beans (Apgujeong Branch)
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Apgujeong Station, Exit 2 แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาทีจากสถานี หรือถ้าเมื่อยก็ออก Exit 1 นั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟไปลงที่ป้าย 23-157 Apgujeong 2(i)dong Community Service Center แล้วเดินข้ามถนนมาเข้าซอยข้างๆ Black Smith Cafe เดินไปอีกนิดก็ถึงค่ะ
Operating Hours: 07:00 – 23:00 hrs
Price : KRW 700+

ก่อนเริ่มวันใหม่เราก็ต้องทานอาหารเช้าใช่ไหมคะ .. 55 เกริ่นได้ห่วยแตกมาก .. เพราะจริงๆแล้วเป็นคนติดอาหารเช้ามาก การมาเที่ยวเกาหลีแล้วไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานสำหรับเราสุดๆ แต่ถ้าได้ทานอะไรรองท้องซักหน่อยจะใช้ชีวิตได้อีกยาวนาน และถ้าได้ทานมากๆชีวิตจะมีสุข

ด้วยความที่ที่พักที่ใหม่ไปอยู่แถมจัมซิล โซลใต้ ซึ่งประมาณ 15-20 นาทีโดยรถเมล์จากแถบอับกุจอง เพราะงั้นเลยตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรต้องได้กิน ยังไงซะก็จะลองมาดูว่า Kona Beans ร้านกาแฟของคุณแม่หนุ่มๆนั้นจะคนซาพร้อมรับการมาเยือนของเรารึเปล่า บอกตรงๆว่าโฉบไปทีไรคนแน่นทุกทีจนคิดว่าจะไม่ได้กินซะแล้วค่ะ .. แต่วันนี้โชคเป็นของเรา Kona Beans คนโล่งงงงงเชียว มานึกอีกที คงเพราะห่างจากช่วงคอนเสิร์ตไปแล้ว แล้วก็หนุ่มเค้าเดินทางไปงานที่ญี่ปุ่น แฟนๆก็เลยซาๆไปอย่างที่เห็น ไม่ใช่เพราะเราโชคดีแต่อย่างใด -__-:;

ในความรู้สึกของเราภายใน Kona Beans ตกแต่งแบบให้ความรู้สึกอุ่นๆ ทั้งพื้น ผนัง กำแพงที่เป็นไม้ ไฟโทนส้มๆ อุ่นๆเหมาะกับเป็นร้านกาแฟเลยค่ะ ข้างในร้านมีของจากแฟนคลับวางอยู่เป็นส่วนๆไป น่ารักดี ยิ่งเจ้าตรงเคาท์เตอร์น่ะมีรูปการ์ตูนตากี้(คยูฮยอน)บอกว่า”อย่าถ่ายรูปตรงเคาท์เตอร์”แล้วก็ตากี้ขายไวน์ตั้งอยู่อย่างน่ารัก เราเดินไปสั่งกาแฟกับเบเกิลอาหารโปรดแล้วก็มานั่งชิมสบายใจ

20121009-210153.jpg

20121009-210012.jpg

20121009-210043.jpg

20121009-210107.jpg

20121009-210130.jpg

20121009-210303.jpg

ปกติเป็นคนไม่กินกาแฟนะคะ เพราะกินแล้วจะใจสั่น แต่นี่ทุ่มทุนมากเพื่อน้องกี้ที่รักยิ่ง .. เปล่าหรอกค่ะ อยากรู้มากกว่าว่ากาแฟเค้าอร่อยไหม .. กาแฟโอเคนะคะ เพราะกินไม่ใส่น้ำตาลก็ใช้ได้ ส่วนเบเกิลนิ่มเชียว Texture ผิดคาดไปหน่อย เพราะงั้นมันจะย่อยเร็วมากที่เดียว ฮาาา

20121009-210514.jpg

แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละค่ะ อาหารตรงหน้าก็หมดเรียบ! ( ‘ ‘)y เติมพลังแล้วเราก็พร้อมเดินทางแล้วค่าาา RC แรกของวันนี้ พระราชวัง Unhyeonggung

Unhyeongung Palace
How to go: ขึ้นรถไฟสาย 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4 แล้วเดินต่อประมาณ 50 เมตรจากสถานี หรือขึ้นรถไฟสาย 5 ลงที่ Jongno 3-ga Station, Exit 4 แล้วเดินต่อประมาณ 300 เมตรจากสถานี
Operating Hours:
November – March 09:00-18:00
April – October 09:00-19:00
Closed on Mondays
Admission fee : KRW 700

พระราชวัง Unhyeonggung หรือ พระราชวังเล็ก แต่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของชายหนุ่มที่ชื่อว่าโกจงซึ่งต่อมากลายเป็นจักรพรรดิในช่วงราชวงศ์โชซอน พระราชวังนี้ก็เลยแตกต่างจากพระราชวังอื่นเล็กน้อย เพราะเป็นบ้านพักมาก่อนนั่นเอง Unhyeonggung ในปัจจุบันนี้มีขนาดเล็กลงกว่าที่เคยเป็นในอดีตที่ผ่านมา

ด้วยความที่เป็นพระราชวังขนาดเล็ก Unhyeonggung จึงเงียบสงบให้ความรู้สึกแตกต่างจากวังอื่นๆ แถมที่นี่ยังเป็นวังเดียวมั้งคะที่ไม่ได้ทาสีเขียวๆแดงๆเหมือนวังอื่นทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ดูแปลกตาไปอีกแบบ ภายในพระราชวัง Unhyeonggung ยังมีหุ่นจำลองแสดงให้เห็นความสำคัญของห้องต่างๆในอดีตทำให้คนอ่อนด้อยประวัติศาสตร์แถมยังไม่ดูหนังประวัติศาสตร์อย่างเราเห็นภาพชัดเจนขึ้นทีเดียว

20121009-210710.jpg

20121009-210748.jpg

20121009-210906.jpg

20121009-210925.jpg

20121009-211009.jpg

20121009-211050.jpg

20121009-211332.jpg

20121009-211442.jpg

20121009-211526.jpg

Changdeokgung Palace and Secret Garden
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 15:30
Admission fee : Adult 3,000 KRW / Child 1,500 KRW (7-18 years old)
Secret Garden Admission Fee : Adult 5,000 KRW / Child 2,500 KRW แต่เพราะเราซื้อบัตรแบบ Intergrated Ticket มาเลยเข้าเลยค่าาา ทั้ง Changdeokgung และ Secret Garden ก็รวมอยู่ในนั้นแล้ว

เอ๊ะ อะไรกัน เห็นชื่อสถานที่ที่จะไปก็เกาหัวแกรก ไหงพระราชวัง Changdoekgung กับสวนลับพีวอนมาอีกแล้วววว ก็เพราะว่าเจ้าบัตร Integrated Ticket ของเรามันรวมทั้งวังและสวนลับพีวอน เราก็เลยตัดสินใจมาอีกครั้งนึงให้จุใจ มาคราวนี้ต่างจากคราวที่แล้ว ก็เพราะว่าคราวนี้มามึนคนเดียว ไม่มีเพื่อนร่วมทางสองคนมาด้วย .. และอีกอย่างคือมาวันนี้แดดดีมากเลยค่ะ

…ดีใจปานได้โล่ ㅠㅠ

สองวันดี สี่วันฝนสุดๆแบบนี้ เราว่าเราโชคดีได้อีกที่ได้เจอแดดออก ถ่ายภาพไม่ขมุกขมัวอีกต่อไปแล้วค่ะ .. เพราะมีบัตรเราก็เลยจัดการยื่นมันให้คุณลุงที่อยู่หน้าประตู แล้วคุณลุงก็พูดอะไรซักอย่างเป็นภาษาเกาหลีใส่เรา สุดท้ายพอจะเดาได้ว่าคุณลุงจะบอกว่าบัตรนี้รวมพีวอนนะ ให้ไปทางด้านขวาเลย เราก็เลยพยักหน้าหงึกๆพร้อมกับเอ่ยขอบคุณคุณลุง .. แต่เราก็ยังไม่ได้ไปที่สวนลับพีวอนเลยหรอกนะคะ คราวนี้เราตัดสินใจค่อยๆเดินชมตัวพระราชวัง Changdeokgung ก่อน

พระราชวัง Changdeokgung หรือ พระราชวัง Changdeok สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โจชอน เมื่อปี 1405 แม้ในตอนแรกพระราชวัง Changdeokgung ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังรองจากพระราชวัง Gyeongbokgung แต่ภายหลังถูกใช้เป็นพระราชวังหลักของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์โจชอนหลายสมัยและกลายเป็นพระราชวังหลักในที่สุด หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นรุกราน ทั้ง Gyeongbokgung Changdeokgung และพระราชวังอื่นๆถูกเผาทำลายลง แต่พระราชวัง Changdeokgung ได้รับการบูรณะและใช้เป็นพระราชวังหลักมากว่า 270 ปีจนเมื่อการบูรณะพระราชวัง Gyeongbokgung เสร็จสิ้น

ว่ากันว่าหากในอนาคตสถาบันจักรพรรดิเกาหลีถูกฟื้นขึ้นในฐานะสัญลักษณ์แห่งรัฐ เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นประมุข พระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ใช้ในการประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อการขึ้นเสวยราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิค่ะ

20121009-211647.jpg

20121009-211933.jpg

20121009-212006.jpg

20121009-212030.jpg

20121009-212100.jpg

20121009-212218.jpg

20121009-212317.jpg

20121009-212423.jpg

20121009-212503.jpg

พระราชวัง Changdeokgung ประกอบไปด้วยพื้นที่สาธารณะภายในวัง พระตำหนักของกษัตริย์และราชวงศ์และก็สวนลับพีวอน อย่างที่ทราบแหละค่ะว่าสวนลับเป็นที่พักผ่อนของเจ้านายและเชื้อพระวงศ์ เจ้าสวนลับนี้ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย บางต้นอายุกว่า 300 ปี สระน้ำและก็ตำหนักย่อยๆในนั้น

การเข้าชมสวนลับพีวอนนั้นต้องมีไกด์นำชม โดยจะจัดเป็นรอบๆตามภาษา คราวที่แล้วเราไปทันรอบภาษาอังกฤษพอดี แต่คราวนี้เดินเปะปะไป พอไปถึงด้านหน้าทางเข้าก็มีกลุ่มนึงเพิ่งเดินเข้าไป เราเลยบอกคุณลุงหน้าทางเข้าสวนลับว่าจะไปด้วยค้าาาา คุณลุงก็ส่งภาษา ประมาณว่าจะไปไหน จะเข้าไปกับไกด์ภาษาอะไร เราเลยบอกว่าเอาภาษานั้นแหละกลุ่มนั้นที่เข้าไปน่ะ ลุงเลยถามว่าภาษาจีน? คนฮ่องกงเหรอ? เราก็เลยพนักหน้ารับไป

…เมื่อวานเป็นยุโรป วันนี้เป็นสาวฮ่องกงค่า

สวนลับพี่วอนนั้นก่อนหน้านี้มีชื่อว่า บุควอน และก็ กึมวอน แต่สุดท้ายเมื่อพระเจ้าโกจงครองราชย์ก็ถวายนามให้ใหม่เป็นพีวอนมาถึงปัจจุบันนี้้ล่ะค่ะ บริเวณที่เป็นน้ำตกหิน ในอดีตเหล่าเจ้านายจะสังสรรค์กันโดยการลอยแก้วเหล้าไปตามน้ำ หากว่าลอยไปทางใครคนนั้นก็จะต้องดื่มให้หมดและแต่งโคลงกลอน หากแต่งไม่ได้จะต้องดื่มเหล้าสามแก้วเป็นการทำโทษ เป็นการพักผ่อนที่น่ารื่นรมณ์จริงๆ ^^

การเดินทางของเราในวันนี้ แรกๆก็ซ้ำทางเดิมอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่พอเดินเข้าไปลึกขึ้นก็เริ่มแปลกตา ตอนแรกน่ะเราไม่คิดจริงๆว่าจะเป็นป่าสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ แม้ภายนอกจะมีแดดแต่ในสวนลับแห่งนี้อากาศเย็นสบายมากเลยล่ะค่ะ พีวอนสำหรับเราใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าสวนลับ ควรจะเรียกว่าป่าหรือภูเขาที่ราชวงศ์มาสร้างตำหนักอยู่ในนั้นมากกว่า เราเองพอเดินชมไปเรื่อยก็ไม่แปลกใจเท่าไรนะคะว่าทำไมต้องมีไกด์นำชมในพีวอน เพราะถ้าเดินเองแล้วอาจจะเดินสะเปะสะปะไปจนหลงสวน(ป่า)ก็ได้ เดินไปครบรอบก็มาโผล่ตรงทางเข้าวังพอดีเลย

…โอ่~ มาแบบไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ดูต้นไม้ต้นโตๆ

20121009-212608.jpg

20121009-212755.jpg

20121009-213300.jpg

20121009-213415.jpg

20121009-213512.jpg

20121009-213605.jpg

20121009-213719.jpg

20121009-213812.jpg

20121009-213914.jpg

20121009-214322.jpg

20121009-214457.jpg

20121009-214524.jpg

สวนลับพีวอนนั้นถือเป็นที่โปรดอีกที่นึงของเราเลยค่ะ ถ้าสังเกตจะเห็นเราพูดบ่อยๆเกี่ยวกับเกาหลีคือพื้นที่สีเขียว ต้นไม้และภูเขา เพราะเราชอบที่คนอยู่อาศัยกันอย่างประนีประนอมกับธรรมชาติแบบนั้น พีวอนเองได้รับการออกแบบปลูกสร้างให้เข้ากับภูมิประเทศโดยรอบที่เป็นป่าและเนินเขามากกว่าที่จะถางทำลายเพื่อมาทำพระราชวังและตำหนักเพื่อพักอาศัย นอกจากนั้นยังเป็นที่เงียบสงบร่มรื่นจนเหมือนหยุดเวลาไว้เลยค่ะ เราว่าคนเกาหลีน่าอิจฉาที่ในเมืองหลวงก็มีป่ามีต้นไม้มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ แต่ประเทศไทยขนาดไปต่างจังหวัดยังเห็นแต่ภูเขาหัวโล้นเลย

…แต่ก็นะ เราไม่เคยไปต่างจังหวัดเกาหลีเลยยังบอกไม่ได้ว่ามีภูเขาหัวโล้นรึเปล่า

เดินพีวอนจนสุดเราก็มาเดินชมวังต่ออีกนิดก่อนจะไปพระราชวังแห่งที่สามของวันนี้

20121009-214554.jpg

20121009-214819.jpg

20121009-215148.jpg

20121009-215243.jpg

Changgyeonggung Palace
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, Apr – Oct 09:00 – 18:30 hrs
Admission fee : Adult 1,000 KRW พระราชวังนี้รวมอยู่ใน Intergrated Ticket นะคะ ^^

พระราชวัง Changgyeonggung เป็นพระราชที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซองจงเพื่อเป็นที่ประทับเของเจ้าจอมมารดา พระราชวังนี้ก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากพระราชวังอื่นเท่าใดนัก ในช่วงที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานก็ได้ถูกเผาทำลายลงและได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง หลังจากนั้นก็ยังเกิดไฟไหม้และได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้ง จนเมื่อเกาหลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก Changgyeonggung (พระราชวังชางเกียง) เป็น Changgyeongwon (สวนชางเกียง) เพื่อทำลายความยิ่งใหญ่และอำนาจของราชวงศ์เกาหลี ต่อมาพระราชวังนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ในช่วงที่เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น จนเมื่อรัฐบาลเกาหลีได้ย้ายสวนสัตว์ออกไปแล้วบูรณะให้เป็นพระราชวัง Changgyeonggung ดังเดิม

พระราชวัง Changgyeonggung นั้นสามารถเดินต่อมาจากพระราชวัง Changdeokgung ได้เลย แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเราตัดสินใจเดินจากด้านนอก คือ ออกทางประตูหน้าแล้วเดินเตาะแตะริมถนน เราเองดันนึกว่าประตูของ Changgyeonggung จะใกล้ด้วย แต่ดันไกลกว่าที่คิด .. ทำเอาเมื่อยตั้งแต่ยังไม่เข้าวังเลยค่ะ

เดินสำรวจวังไป อย่างที่หนังสือบอกไว้จริงๆว่าวังนี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ของเกาหลี เพราะมีบางส่วนของวังที่เป็นเพียงสนามหญ้าหรือทางเดินในสวนแต่มีแผ่นป้ายอธิบายไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนนี้ๆของวังมาก่อนก่อนที่จะถูกทำลายลงไป เห็นภาพวาดวังเก่าแล้วน่าเสียดายความยิ่งใหญ่นะคะ คงคล้ายๆกับเวลาที่เห็นโบราณสถานในบ้านเราที่เหลือแต่ซากปรักหักพังไว้ ที่นี่เองก็เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าบางส่วน

20121009-215358.jpg

20121009-215446.jpg

20121009-215634.jpg

20121009-215700.jpg

20121009-215732.jpg

20121009-215830.jpg

20121009-215938.jpg

20121009-220007.jpg

ตอนแรกน่ะเราเองจะเดินออกมาแล้วแต่เพราะอะไรซักอย่างทำให้อยากดู greenhouse ด้านในสุดของวังทั้งๆที่ก็ไม่รู้หรอกว่าหน้าตาเป็นยังไง ระหว่างทางที่จะเดินไปถึง greenhouse เราพบกับสระน้ำสระเบ้อเริ่มก่อนเลยค่ะ สวยมากจริงๆ สระน้ำนี้มีสองสระคือสระใหญ่และสระเล็ก เจ้าสระเล็กเนี่ยเป็นสระออริจิตั้งแต่สมัยโจชอน ส่วนเจ้าสระใหญ่นั้นคือที่นาที่กษัตริย์ทำการเพาะปลูก ซึ่งเวลาที่ไถนาข้าวเหล่านั้นก็จะภาวนาให้การเพาะปลูกของประเทศดี อะไรประมาณนั้น (ขอโทษที่ราชาศัพท์ไม่ได้นะคะ อ่อนด้อยจริงๆด้านนี้ ㅠㅠ) แต่พอตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นเท่านั้น ที่น่าเหล่านั้นก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสระน้ำขนาดใหญ่แทนเพื่อให้คนทั่วไปได้ใช้ในการสันทนาการ .. ถึงบอกไงคะว่าวังนี้เป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ของเกาหลีโดยแท้ .. แล้วเราก็เดินมาถึงอาคารกระจกสีขาว สวยมากเลยค่ะ โชคดีที่เดินมาเป็นเวลาที่มีฟ้ามีแดด ถ่ายรูปออกมาสวยจริงๆ ด้านใน greenhouse ยังคงมีพืชพันธุ์ต่างๆมากมายเลย เราเดินชมเล็กน้อยแล้วก็ลากขาตัวเองออกมา

20121009-220119.jpg

20121009-220148.jpg

20121009-220245.jpg

20121009-220311.jpg

20121009-220556.jpg

20121009-220755.jpg

20121009-220822.jpg

20121009-220847.jpg

อย่างนึงที่เราชอบเวลาเดินเที่ยววังในเกาหลีคงเป็นเพราะเรามักจะเห็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่พาเด็กๆมาชมวังพร้อมกับเล่าประวัติให้เด็กสมัยใหม่ได้รู้เรื่องราวของชาติในอดีต เราได้เห็นชาวเกาหลีหนุ่มสาวเป็นระยะๆ .. บางทีเค้าอาจจะมาเดท แต่เลือกเดทในวัดวัง เก๋ชะมัดเลยค่ะ เด็กวัยรุ่นไทยไปเดทตามห้าง ไม่เห็นเดทตามวังบ้างเลย .. นอกจากนั้นเรายังได้เห็นคนแก่มาเดินชมวังด้วย ไม่รู้ทำไม แต่เห็นแล้วรู้สึกดีที่คนในประเทศเค้าใส่ใจกับประวัติศาสตร์บ้านเกิด ประวัติศาสตร์เหล่านี้เราว่าสำคัญนะคะ แน่นอนว่าถ้าศึกษาประวัติศาสตร์แต่ละประเทศนั้นมักจะไม่ตรงกันเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ควรรู้ไว้ เพราะถ้าคนเราไม่มีอดีตก็คงไม่มีปัจจุบันอย่างทุกวันนี้ใช่ไหมคะ

…เขียนไปก็เหมือนกับบอกตัวเองเอาไว้ว่าต่อไปนี้จะสนใจประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นนี่เอง

Insadong
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4 5

Jongmyo Shrine เป็นศาลบรรพชนของพระราชวงศ์โชชอน เราเลยแอบสนใจ ในวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ Jongmyo Shrine จะมีการประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณของกษัตริย์กันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่ดั้งเดิม เราเองยังคิดเลยว่าหากมีโอกาสได้ไปเกาหลีช่วงนั้นพอดีจะขอไปชมพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นขวัญตาซะหน่อย รู้สึกว่าเกาหลีจะเป็นประเทศเดียวแล้วมั้งคะถ้าเราจำไม่ผิดที่ยังคงสืบสานประเพณีนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน

เพราะความที่อ่านประวัติ Jongmyo Shrine ด้านบนเลยทำให้เรารู้สึกอยากไป ยิ่งแค่เดินข้ามจากพระราขวัง Changgyeonggung มาก็ถึงแบบนี้ยิ่งปรารถนาใหญ่เลย เราสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าฝั่งตรงข้ามถนนที่เดินทำไมกลายเป็นกำแพงไม้ปิดเอาไว้เหมือนเป็นเขตก่อสร้างทั้งๆที่ควรจะเป็นทางเข้า Jongmyo Shrine สู้อุตส่าห์เดินวนไปดูก็หาทางเข้าไม่เจอ รู้แหละค่ะว่ามันจะเดินทะลุไปถนนอีกฝั่งเพราะงั้นจะเสี่ยงเดินไปดูอีกประตูก็ได้ แต่ก็ต้องย้อนไปเดินชมด้านในอีก และก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเปิดรึเปล่า กายหยาบของเราตอนนี้ประท้วงใหญ่ว่าไม่ไหวแล้ว ต้องการอาหารใส่ท้องแบบด่วนจี๋ ขาเริ่มหนักอึ้ง ก็เลยตัดใจไปอินซาดงเลยดีกว่า ทด Jongmyo Shrine ไว้ก่อน แมชหน้าค่อยว่ากันนะคะ ㅠㅠ

จากแถวๆ Jongmyo Shrine เดินมาไม่ไกลมากก็ถึงสวนทับกลซึ่งจะสามารถเดินทะลุไปแล้วไปป๊ะอินซาดงได้พอดี เราเลยเลือกเดินในสวนค่ะ ภายในสวนทับกลเราจะสามารถเห็นผู้เฒ่าผู้แก่มานั่งชิวกันเป็นปกติ มีคุณตาคนนึงใจดีมากๆเลยค่ะ เค้ายืนหล่ออยู่ที่หอระฆัง เราเองกะว่าจะถ่ายภาพคุณตากับระฆังไว้ซะหน่อย แต่คุณตากลับเดินออกมาให้เราถ่ายภาพเฉยเลย .. รู้สึกผิดบวกขอบคุณในใจยังไงไม่รู้

สวนทับกลเป็นที่ประกาศอิสรภาพของชาวเกาหลี เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กๆและเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัดในศาสนาพุทธชื่อว่า “Wongaksa” ซึ่งถูกทำลายไปเนื่องจากนโยบายการปราบปรามทางพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันยังคงมีการเก็บรักษาเจดีย์ wongak ซึ่งเป็นเจดีย์หินสูง 10 ชั้นไว้ในครอบแก้วอยู่

20121009-221103.jpg

20121009-221127.jpg

20121009-221709.jpg

20121009-222048.jpg

จากสวนทับกลไปไม่ไกลก็ถึงอินซาดงแล้วค่ะ แค่เดินมาถึงก็ครื้นเครงเลยค่ะ ตรงลานทางเข้าอินซาดงนั้นมีการแสดงอะไรซักอย่าง เราเห็นคนตั้งแต่นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ขาวเกาหลียืนชมกันใหญ่เลย แถมมีคุณลุงคุณป้าชาวเกาหลีไปร่วมเฮฮากับนักแสดงซะด้วย เดินไปอีกนิดก็เจอหนุ่มสาวกำลังนั่งเป็นแบบให้จิตรกรวาดรูปอยู่ริมถนน ได้อารมณ์ดีจริงๆ

20121009-222214.jpg

20121009-222338.jpg

20121009-225227.jpg

20121009-225419.jpg

ครั้งนึงอินซาดงเคยเป็นตลาดค้าของเก่าและพวกงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีค่ะ ประวัติของอินซาดงจริงๆแล้วนั้นในสมัยโจชอนแล้วเป็นถนนที่เป็นที่เรียนศิลปะ เพราะฉะนั้นบริเวณแห่งนี้เลยเป็นเหมือนศูนย์กลางงานศิลป์ตั้งแต่พวกภาพวาด งานฝีมือ อะไรอย่างนั้น ท่ามกลางย่านศิลปะแบบที่มีกลิ่นไปของความดั้งเดิม มีตึกนึงค่ะที่เป็นตึกอาร์ตตัวแม่แบบสมัยใหม่ คือ Ssamziegil

Ssamziegil เป็นตึกที่มีร้านค้าแบบโคตรอาร์ต ตกแต่งแบบน่าถ่ายรูปไปซะทุกซอกทุกหลืบ ในตึกมีตั้งแต่ร้านขายของจุกจิก ร้านเสื้อผ้า ไปจนถึงร้านอาหาร (ถ้าใครเคยดู MV เพลง Seoul ที่เป็นเพลงโปรโมทการท่องเที่ยวเกาหลี อาจจะเคยเห็นที่นี่แว่บๆก็ได้ค่ะ เราเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ไปแล้วกลับมาดู MV เหมือนกัน)

20121009-230440.jpg

20121009-231148.jpg

20121009-231403.jpg

20121009-231537.jpg

20121009-231707.jpg

20121009-231751.jpg

20121009-231905.jpg

20121009-235648.jpg

20121009-235733.jpg

20121009-235800.jpg

20121009-235826.jpg

20121009-235912.jpg

20121009-235940.jpg

20121009-235957.jpg

20121010-000038.jpg

20121010-000106.jpg

20121010-000125.jpg

เราน่ะเป็นพวกแปลกประหลาด เห็นป้ายชี้เข้าไปในหลืบเล็กๆว่าเป็นทางไป Ssamziegil เลยเลี้ยวเข้าไปเลย ก็เดินผ่านร้านอาหาร เห็นมีเกี๊ยวทอดดูน่ากินมากเลยตั้งใจไว้ว่าจะเดินกลับมา เราเดินนั่นนี่เรื่อยเปื่อยไปโผล่อีกทีชั้น 4 ของ Ssamziegil เหมือนเดินสวนทางกับชาวบ้านยังไงไม่รู้ค่ะ เราเดินเล่นใน Ssamziegil ไปเรื่อยจนไปเจอประตูทางเข้าที่ใหญ่กว่า แทนที่จะเดินออกไป ไม่เอาล่ะกลัวหาร้านอาหารน่ากินนั้นไม่เจอ ยอมเดินย้อนกลับมาทางเดิมซึ่งมารู้ทีหลังว่าอ้อมมาก คือแค่เดินประตูหน้าเดินย้อนมานิดก็ถึงแล้ว จะเดินสี่ชั้นลงมาตามทางเดิมทำไมกันค้าาาาา ไม่เข้าใจตัวเอง ㅠㅠㅠㅠ

แต่ชั่วโมงนั้นไม่สนใจอะไรนอกจากขอให้ไปถึงร้านเกี๊ยวทอดนั้นให้ได้ เพราะตัดสินใจแล้ว เนื่องจากว่าเราถูกชะตากับเกี๊ยวทอดที่ส่งวิ้งค์มาให้เราตอนเดินผ่านไปครั้งแรก พอมาถึงเห็นว่ามีเมนูเป็นบะหมี่ด้วยเลยเดินเข้าไปนั่งดีกว่า เราสั่งเกี๊ยวกับบะหมี่ที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ชี้ๆไปเพราะร้าน local เหลือบรรยาย จนชาวเกาหลีที่นั่งข้างๆถามเราเป็นภาษาอังกฤษค่ะว่ากินอะไร เกี๊ยวอย่างเดียวเหรอ พอเราบอกไปว่ากินเกี๊ยวแล้วก็บะหมี่ด้วย อนนี่แสนสวยก็จัดการสั่งให้ค่ะ เพราะพนักงานใจดีเข้าใจว่าเราสั่งแค่เกี๊ยวทอดอย่างเดียว

ระหว่างมื้ออาหารอนนี่แสนสวยชวยเราคุยตลอดเลย เราก็เพิ่งรู้ตอนที่เค้าเอามาบะหมี่เรามาเสิร์ฟแล้วอนนี่คนสวยบอกเราว่ามันคือแนงมยอน บะหมี่เย็น แถมอนนี่ยังคอยสอนวิธีการกินให้เราด้วย ใจดีมากๆเลย >;<; อนนี่บอกเราอีกว่าร้านนี้เป็นร้านดังที่ออกรายการโทรทัศน์ และเมนูดังก็คือเจ้าเกี๊ยวน่าตาดีนี่แหละค่ะ เห็นไหมว่าเราสัญชาตญาณด้านอาหารดีอย่างไม่น่าให้อภัย เรากินไปคุยกับอนนี่แสนสวยไปจนอิ่ม แต่ยังเหลือเกี๊ยวอยู่อีกสองตัว .. มัวแต่ไปกินแนงมยอนเลยอิ่มตื้อ ไม่เหลือที่ให้เกี๊ยวเลย .. อนนี่แสนสวยของเราเลยช่วยบอกกับคุณพนักงานใจดีให้เก็บเงินแล้วห่อกลับบ้านให้เราด้วย คุณพนักงานใจดีก็เอามาให้พร้อมกับพูดอะไรกับอนนี่เป็นภาษาเกาหลีที่อนนี่แปลให้ฟังว่า "เค้าบอกว่าคุณสวย ตาโตน่ารัก แล้วเค้าก็แถมเกี๊ยวให้คุณมาอีกหนึ่งตัว"

จุดนี้ทั้งดีใจทั้งโคตรเขินเลยค่ะ เจอคนเกาหลีชมเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าสวย แถมได้เกี๊ยวฟรีมาด้วย กรี๊ดดดดดดด~

20121010-000424.jpg

เราแยกกับอนนี่คนสวยน่าอินซาดงก่อนกลับบ้าน เราขอบคุณอนนี่แสนสวยนับครั้งไม่ถ้วนเลยล่ะค่ะที่ทำให้เราสนุกมากขึ้นในการเที่ยววันนี้จากการมีเพื่อนกินข้าวที่ถูกใจ

…ขอบคุณนะคะอนนี่สำหรับความทรงจำดีๆที่อนนี่ได้สร้างไว้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ขอบคุณจริงๆค่ะ

…ถ้ามีโอกาส หวังว่าเราคงได้พบกันใหม่นะคะ

Garosugil
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Sinsa Station, Exit 8 หรือ ลงที่ Apgujeong Station, Exit 5 แต่เดินจาก Apgujeong Station จะเดินไกลกว่าหน่อยนึงค่ะ

ค่ำนั้นไม่รู้อิท่าไหนตกลงใจไปเดินเล่น Garosugil ต่ออีกนิดหน่อยได้ของติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย(อีกแล้วก่อนจะกลับบ้าน) .. Garosugil นั้นแปลว่าถนนที่มีต้นไม้เต็มสองข้างทางซึ่งก็คือต้นแปะก๊วย Garosugil นั้นเชื่อมระหว่างถนน Dosan-daero กับถนน Apgujeongro สามารถมาได้จากทั้งสองทาง ถ้าเข้าจากทาง Dosan-daero ก็จะเป็นDosan-daero 13-gil แต่ถ้ามาจาก Apgujeong ก็เป็น Apgujeong-ro 12-gil รับรองว่าถ้าเดินไปยังไงก็ไม่หลงแค่เดินตามหนุ่มๆสาวๆไปเดี๋ยวก็เจอค่ะ

image

Garosugil นั้นไม่ยาวเท่าไรแต่เต็มไปด้วยร้านค้าพวก Private Brand เต็มไปหมด ราคาเสื้อผ้าลดราคาบางตัวที่เราจับได้มาก็ประมาณ 300 บาทไทยนับว่าถูกมากวำหรับเสื้อผ้าที่เกาหลีไปจนถึงหลักหลายพัน นอกจากนั้นร้านอาหารต่างๆก็น่านั่ง ถ้าเดินไปถนนสายนี้ก็จะเจอเด็กวัยรุ่นเต็มไปหมดเลย เหมือนเดินสยามแบบสั้นๆในซอยเดียวยังไงอย่างงั้น

ช้อปๆอย่างรวดเร็ว เงินเราหายวับไปเลย ㅠㅠ สุดท้ายวันนี้เรากลับบ้านแบบกินข้าวน้อยช้อปหนักค่ะ ปรบมือให้ตัวเองรัวๆหน่อย ㅠㅠ แต่ขอบอกเลยนะคะ ไปคราวหน้าเราจะไปเสียเงินที่นี่อีก เสื้อที่สอยมาถูกใจที่สุดในโลกหล้า ไปคราวหน้าโดนอีกเห็นๆ

มาเกาหลีทั้งทีครั้นจะไม่ไปชมวัดวังเลยก็รู้สึกแปลกๆ ถึงประวัติศาสตร์โลกเราจะอ่อนด้อยแต่ก็ยังอยากไปเดินดูบ้าง คงอารมณ์คล้ายๆกับที่ฝรั่งมาเมืองไทยแล้วอยากชมวัดพระแก้วมรกต พระบรมมหาราชวังอะไรแบบนี้ละมังคะ แต่เพราะความอ่อนด้อยของเราบวกกับที่ไปแล้วไม่มีทัวร์ ไดอารี่ครั้งนี้จึงเขียนยากผิดปกติ และอาจจะสั้นมากถึงมากที่สุด หลังจากทำใจว่าอาจจะได้อ่านบทความไร้สาระแล้ว เราไปเดินเล่นวังกันนะคะ

Day 6 : Deoksugung, Jeongdong-gil, Gwanghwamun Square, Gyeongbokgung, Cheongwadee (Blue House), Samcheongdongil

หลังจากที่หลับสนิทไปเมื่อคืนเพราะเหนื่อย เหนื่อยบวกตากฝนบ่อยจนคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นหวัด ถึงกับเดินเข้าร้านขายยาไปซื้อ Iboprofen มากินก่อนนอนเพื่อกันไม่ให้เป็นอะไรหนัก กว่าจะสื่อสารกับคุณลุงร้านขายยาได้ก็เกือบแย่ คุณลุงออกเสียงชื่อยาเป็น “อิบูโพรเพ่น” เล่นเอามึนตรึ้บ ต้องบอกคุณลุงไปว่าฟีเว่อร์ๆๆๆๆๆถึงได้ได้มา ต้องบอกว่า Iboprofen ที่นี่สีจัดมาก ชมพูแปร้ดแบบ shocking pink ทีเดียว สลบไปหนึ่งคืนตื่นมาทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ พร้อมเที่ยวได้อีกครั้ง

Deoksugung
Jeongdong-gil

How to go : รถไฟใต้ดินสาย 1 หรือ 2 ลงที่ City Hall Station, Exit 2 12
Operating hours : 09:00 – 21:00 (Ticketing 09:00 – 20:00)
Admission Fee : 1,000 KRW ถ้าจะเยี่ยมชมพระราชวังหลักซื้อบัตรแบบ Integrated Ticket of Palaces จะคุ้มมาก เพราะจะรวมค่าเข้า Gyeongbokgung Palace (3,000 won) Deoksugung Palace (1,000 won) Changdeokgung Palace (3,000 won) รวม Biwon Secret Garden (5,000 won) Changgyeonggung Palace (1,000 won) และ Jongmyo Shrine (1,000 won) ทั้งหมดในราคา 10,000 KRW โดยตั๋วมีอายุ 1 เดือนนับจากวันที่ซื้อ เพราะฉะนั้นคุ้ม! เราซื้อค่ะ!

เราเริ่มการทัวร์สารพัดวังวันแรกที่พระราชวัง Deoksugung การเดินทางจากที่พักที่มยองดงไป Deoksugung นั้นต้องไปต่อรถที่ Seoul Station ก่อนเพื่อเปลี่ยนสายไปยัง City Hall .. หลายๆคนอาจจะทราบถึงความสามารถพิเศษส่วนตัวของเราคือไม่เคยนั่งรถผิดฝั่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดได้บ่อยๆในการเดินทางโดยรถไฟใต้ดินเกาหลี เก่งใช่ม้า ^^ ถึงเราจะไม่นั่งผิดฝั่งแต่เรามักจะนั่งรถเลยสถานีบ่อยๆ บ่อยมากด้วยค่ะ เพราะมัวแต่กดมือถือ ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี่ก็แค่จะบอกว่าครั้งนี้ผิดจากความสามารถพิเศษปกติของเรา..เพราะเราลงก่อนถึงป้ายค่ะ -__-:;

…ไม่ขาดก็เกิน ความพอดีอยู่ไหน

จากมยองดงเรากระโดดลงที่ Seoul Station เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟไปยัง City Hall พอกระโดดลงมาก็เดินเพลินๆ เพลินมากกกก..จนขึ้นมาโผล่บนดิน เราขึ้นมาก็เจอรูปปั้นผู้ชายคนนึงกับอาคารทรงตะวันตก ไอ่มือเราก็ไว หยิบกล้องมาถ่ายรูปแชะๆ พอถ่ายรูปเสร็จสติเริ่มมากก็เริ่มมีคำถาม “วังอยู่ไหน?” หลังจากหมุนตัวเองไปพักนึงสติเริ่มกลับมาว่าเมื่อครู่ลงที่ Seoul Station นินา ยังไม่ทันต่อรถเลย แล้วมันคงจะถึงวังเลยเซ่! นึกได้ดังนั้นก็เขกหัวตัวเองไปสามทีก่อนจะเดินลงไปต่อรถมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง Deoksugung

พอกลับมาลองหาข้อมูลว่าไปงงๆไม่รู้ตัวที่ไหนมา สรุปว่าเราไปยืนถ่ายรูป Old Seoul Station มาค่ะ อันที่จริงแล้ว Old Seoul Station เคยเป็นสถานีรถไฟเก่าจนเมื่อมีการเปิดสถานี KTX แห่งใหม่ขึ้นมาหลังจากนั้นก็ได้มีการบูรณะให้เป็น Culture Complex โดยที่ยังคงสถาปัตยกรรมภายนอกไว้ดังเดิม ปัจจุบัน Old Seoul Station ได้รับการลงทะเบียนเป็นโบราณสถานของเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

20120928-215738.jpg

20120928-215814.jpg

เพียงแค่ครู่เดียวจาก Seoul Station ก็ถึงสถานี City Hall จากนั้นเดินมานิ๊ดดดดเดียวก็พระราชวัง Deoksugung .. Deoksugung แปลว่า พระราชวังแห่งการมีอายุยาวนานและมั่นคง เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์โชซอนและเกาหลี จึงมีมักนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม แต่ไม่มากเท่าพระราชวัง Gyeongbokgung ค่ะ Deoksugung มีอายุกว่า 500 ปีแล้ว ส่วนประวัติที่เหลือถามอากู๋น่าจะรู้ดีกว่าเรา แฮ่~!

พระราชวัง Deoksugung เป็นพระราชวังขนาดไม่ใหญ่นัก ภายในพระที่นั่งและอาคารที่สร้างแบบตะวันตก เราเดินไปข้างในสวนที่ด้านหลังมีอาคารแบบตะวันตกเปิดโล่ง ป้ายระบุว่าเป็นส่วนที่เจ้านาย(กษัตริย์และราชวงศ์)ใช้ในการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ด้านหน้ามีคุณลุงผู้ดูแลท่าทางใจดีอยู่หนึ่งคน ถึงจะรู้ว่าเข้าไปแล้วไม่มีอะไรหรอก ก็มันมองเห็นไปด้านในหมดแล้วนินา แต่ก็นะ เรายังถอดรองเท้าอย่างทุลักทุเลเดินเข้าไปหลังจากที่สื่อสารกับคุณลุงใจดีเสร็จว่าจะเข้าไปล่ะน้า~ ภายในตัวตำหนัก(ขอเรียกแบบนี้)มีชุดโต๊ะเก้าอี้วางอยู่แล้วก็ตู้ไม้ เท่านั้นจริงๆ เราก็เดินๆดูถ่ายภาพเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดอะไร พอเราจะเดินออกนี่สิคะ คุณลุงใจดีบอกให้เรากลับเข้าไปสิ เค้าจะถ่ายภาพให้ แถมปฏิเสธยังไงก็ไม่ยอม TvT

…ต้องถ่ายจริงๆเหรอคะ หนูโทรมโหดเลยทีเดียว

คำตอบคือถ่ายค่ะ เป็นครั้งแรกในชีวิตมั้งคะที่ถ่ายรูปเพราะความเกรงใจมากกว่าอยากจะไปอยู่ในภาพเพื่อเป็นที่ระลึก ชักภาพเสร็จก็มาคุยเจ๊าะแจ๊ะกับคุณลุงใจดีพักนึง เค้าคงเห็นว่ามาคนเดียวมั้งคะ บวกกับความประหลาดของหน้าตา คุณลุงเลยบอกว่าหน้าตาเราไม่เหมือนคนไทย กลับเหมือนคนยุโรปหรืออเมริกันมากกว่า ป้าดด~ มาประมวลผลทีหลังคิดว่าคุณลุงน่าจะเคยชินกับการเห็นคนไทยมาเป็นกลุ่ม ไม่ค่อยเห็นมาคนเดียวมั้งคะ คงไม่ใช่เพราะลุคและหน้าตาแน่ๆ

หลังจากนั้นเราเดินชมพระราชวัง Deoksugung รอบๆ ซึ่งยังมีบางส่วนที่ปิดซ่อมแซมและจะเปิดอีกทีในปี 2013 ที่นี่ใช้เวลาไม่นานก็เดินทั่วจริงๆนะคะ สบายขาดีจริงๆ เราเดินไปหนึ่งรอบแถมพยายามขอเค้าออกทางด้านหลังเพื่อที่จะเดินดูถนนข้างวังต่อ แต่ว่าเค้าบอกว่าต้องออกทางด้านหน้าก็เลยต้องเดินย้อนกลับมาด้านหน้า .. เพื่อที่จะเดินเข้าไปชิวริมรั้วด้านหลังของวังอีกที -_-”

20120928-215953.jpg

20120928-220028.jpg

20120928-220139.jpg

20120928-220243.jpg

20120928-220343.jpg

20120928-220417.jpg

20120928-220446.jpg

20120928-220544.jpg

20120928-220626.jpg

20120928-220652.jpg

20120928-220713.jpg

ตอนที่เดินกลับมาด้านประตูหน้าเป็นตอนที่ทหารเปลี่ยนกะพอดีเราเลยได้ดูการเปลี่ยนกะของทหารที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เราได้ดูจากด้านหลังค่ะ -_-” ไม่ได้เห็นอะไรเท่าไรหรอก

20120928-220821.jpg

20120928-220849.jpg

เอาล่ะต่อจากนี้ถึงเวลาที่จะต้องบอกตัวเองว่าเราจะต้องอดทนมากๆเพราะเราจะเริ่มเดินทางไกลกันแล้วล่ะ

ถนนเลียบกำแพงหิน Deoksugung หรือที่เรียกว่าชองดงกิล (Jeongdong-gil) ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุด โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงที่เจ้าใบแปะก๊วยจะหล่นลงมาที่พื้นจนเต็มไปหมด ได้ยินมาว่าที่ไม่มีการกวาดเจ้าใบแปะก๊วยพวกนี้ไปเพราะเป็นนโยบายของท่านรัฐมนตรีท่านนึงที่บอกว่าไม่ต้อง เพราะมันทำให้ถนนสายนี้โรแมนติกที่สุดนั่นเอง

เท่าที่เราหาพบมีความเชื่อเดี่ยวกับเจ้าถนนสายนี้อยู่สองแบบ แบบแรกคือเชื่อว่าถ้าคู่รักคู่ไหนได้เดินด้วยกันที่ชองดงกิลแล้วความรักของพวกเค้าจะยั่งยืนตลอดกาล แต่อีกเรื่องกลับบอกว่าถ้าคู่รักคู่ไหนเดินบนถนนเส้นนี้ด้วยกันก็จะมีอันต้องเลิกรากันไปในที่สุด เราเองไปเดินคนเดียวก็เลยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมมติฐานไหนเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญ ^^”

20120928-221028.jpg

20120928-221124.jpg

ชองดงเคยเป็นศูนย์กลางของชุมชนคนต่างชาติในเกาหลี ที่พักคณะฑูต รวมไปถึงโบสถ์ของชาวคริสเตียน เพราะฉะนั้นระหว่างทางที่เดินเราก็จะพบกับอาคารต่างๆที่บ่งบอกถึงอดีตเลยล่ะค่ะ เราตั้งใจเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งกรุงโซล .. โบสถ์ชองดงซึ่งเป็นโบสถ์โปรเตสเทนท์ยุคแรกของเกาหลี .. จองมยอนจอน (Jeongmyeongjeon) ที่พักของมิชชันนารีที่ถูกสร้างแยกออกมาจากวัง ปัจจุบันจองมยอนจอนเปลี่ยนไปเป็นห้องจัดแสดงความเป็นมาเล็กๆแล้ว .. จากนั้นก็เดินเตาะแตะไปจนถึงซากหอคอยที่ยังคงเหลืออยู่ของอาคารสถานฑูตรัสเซียเก่า (Former Russia Legation) ที่เราอยากดูนักหนา สถานฑูตรัสเซียเก่าสร้างขึ้นแบบเรเนซองค์น่าจะสวยมากเลยล่ะค่ะ น่าเสียดายที่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ซากหอคอย ขนาดแค่ซากหอคอยก็ยังสวยมากจนเราอยากย้อนเวลากลับไปดูว่าทั้งอาคารนั้นจะสวยแค่ไหน

20120928-221359.jpg

20120928-221233.jpg

20120928-221259.jpg

20120928-221519.jpg

20120928-221553.jpg

20120928-221620.jpg

20120928-221643.jpg

20120928-221713.jpg

20120928-221737.jpg

20120928-221822.jpg

20120928-221851.jpg

หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากจะเห็นแล้วเราก็เดินกลับมาเลาะไปตามกำลังด้านหลังของพระราชวัง Deoksugung ผ่านอาคารสำนักงานใหญ่ขององค์กรการกุศล Salvation Army Headquarters เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังจตุรัสกวางฮวามุน

20120928-222019.jpg

20120928-222055.jpg

20120928-222205.jpg

Gwanghwamun Square
How to go : รถไฟใต้ดินสาย 5 ลงที่ City Hall Station Gwanghwamun Station, Exit 2 3
Operating hours : จตุรัสกวางฮวามุนเปิดตลอด (แหงแซะ) แต่พิพิธภัณฑ์พระเจ้าเซจงและนายพลยี ชุนชินเปิดวันอังคาร – อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10:30 – 22:30 hrs (Last entry 22:00 hrs)
Admission Fee : Free

ทำเป็นพูดดีว่าจะมุ่งหน้าไปจตุรัสกวางฮวามุน เปล่าหรอกค่ะ เราก็เดินไปเรื่อยๆนั่นแหละ เพราะความที่เราไม่ได้กางแผนที่เดินมันทุกแยก เราเดินไปเรื่อยๆจับทิศเอาอย่างเดียวเพราะทางตรงนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร แล้วก็ไปคนเดียวด้วยค่ะเลยไม่ค่อยคิดอะไรมากเท่าไร สุดท้ายเพราะความชิวก็ทำให้มึน เราออกมาถึงถนนใหญ่แต่กลับต้องปรับศูนย์ใหม่เพื่อหาทางไปจตุรัสกวางฮวามุน คลำไม่นานหรอกค่ะ แค่ซักระยะเท่านั้นเอง ㅠㅠㅠㅠ

พอทิศทางเริ่มได้ ความมั่นใจเริ่มมา เราก็เดินเตาะแตะไปจตุรัสกวางฮวามุนจริงๆแล้วค่ะ หาไม่ยากเลยเพราะว่าอนุสาวรีย์พระเจ้าเซจงโดดเด่นเป็นสง่ามากๆ แต่การเดินแถวๆนั้นต้องทำใจนะคะ ก็บริเวณจตุรัสกวางฮวามุน พระราชวัง Gyeongbokgung Samcheongdongil นั้นใกล้กับบ้านพักประธานาธิบดีเกาหลีหรือที่เรียกกันว่า Blue House มากแถมยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญเช่นพวกสถานฑูต ก็เลยจะมีตำรวจอยู่เป็นระยะๆและบางทีก็มีปิดถนนด้วย เราเองก็เจอมาเหมือนกันระหว่างทางไปกวางฮวามุนนี่ล่ะค่ะ

มาถึงจตุรัสกวางฮวามุนแบบเต็มไปด้วยผู้คน เราเดินชมอยู่ด้านบนซักพักก็เดินลงไปพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใต้ฐานอนุสาวรีย์พระเจ้าเซจง เจ้าพิพิธภัณฑ์ใต้ดินนี้แบ่งเป็นสองส่วนค่ะ ส่วนนึงแสดงประวัติและผลงานของพระเจ้าเซจงมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเกาหลี ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสิ่งต่างๆมากมาย ตั้งแต่เครื่องดนตรี นาฬิกาแสงอาทิตย์ แผนที่ดวงดาว อาวุธ ตลอดไปจนประดิษฐ์ตัวอักษรเกาหลีที่ใช้มาจนทุกวันนี้ อีกส่วนเป็นส่วนแสดงประวัติและผลงานของนายพลยี ซุนซิน แม่ทัพเรือฝ่ายซ้ายแห่งมณฑลจอนลา ผู้นำเกาหลีชนะญี่ปุ่นหลายศึก นอกจากจะมีประวัติของท่านก็ยังมีเรือเต่าหรือที่ในภาษาเกาหลีเรียกว่าเรือโคบุกชอนที่ท่านคิดค้นขึ้นและเป็นส่วนสำคัญในชัยชนะของเกาหลี รวมไปถึงประวัติศาสตร์เกาหลีเกี่ยวกับการสงครามในสมัยนั้นด้วย เราว่าพิพิธภัณฑ์นี้เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่สนใจ เพราะว่านอกจากส่วนแสดงที่ให้ความรู้แล้วก็ยังมีเกมให้เด็กๆเล่น ทั้งหมดนี่ฟรีค่ะ ถูกใจคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเรามาก *-*

20120928-222402.jpg

20120928-222442.jpg

20120928-222507.jpg

20120928-222533.jpg

20120928-222629.jpg

20120928-222655.jpg

20120928-222741.jpg

20120928-222900.jpg

20120928-222928.jpg

20120928-223006.jpg

20120928-223025.jpg

ก่อนกลับเราเห็นด้านในมีมุมให้ทดลองเขียนภาษาเกาหลีโดยใช้พู่กันเขียนบนกระดาษข้าวเลยลองเดินไปถามเค้าว่าเราเขียนได้ไหม เค้าบอกได้ค่ะ เชิญนั่ง .. พนักงานถามชื่อเราไปเราเลยบอกชื่อที่ปกติใช้ว่าเจดพร้อมสะกดให้ด้วย Jade นะ จะได้ไม่ออกเสียงผิด พนักงานก็เขียนมาให้เป็นตัวอย่างเพื่อให้เราเขียนตาม พอเห็นแล้วถึงจะอ่านเกาหลีไม่แตกฉานแต่ก็เดาได้ว่ามันคือ “เจ-เอ-ดี-อี” เป็นภาษาเกาหลีจริงๆ ไม่สามารถจะขำกว่านี้ได้อีกแล้วค่ะ เราก็เขียนไปตามนั้นแหละ คุณพนักงานก็เฝ้ามองเราเขียนไปให้กำลังใจไปว่าลายมือน่ารัก แล้วชื่อเรา “เจ-เอ-ดี-อี” ก็ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ

20120928-223128.jpg

20120928-223157.jpg

Gyeongbokgung
How to go : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงที่ Gyeongbokgung Palace Station, Exit 5 หรือรถไฟใต้ดินสาย 5 Gwanghwamun Station, Exit 2.
Operating hours : ปิดวันอาทิตย์
March-October: 09:00-18:00
November-February: 09:00-17:00
* Last admission: 1 hr before closing.
* Operating hours are subject to change depending on circumstances.
Admission Fee : 3,000 KRW แต่เราซื้อบัตรแบบ Integrated Ticket of Palaces สบายค่า

มองนาฬิกาแล้วมีเวลานิดหน่อยที่จะเดินไปดูทหารเปลี่ยนกะ(จากด้านหน้า)ที่พระราชวัง Gyeongbokgung เราเลยแทบจะถลาออกจากพิพิธภัณฑ์นั้น แต่ประเด็นมันคือเราไม่ได้โผล่มาตรงทางที่เราลงนี่สิคะ .. อะไรเนี้ยยยย .. แล้วเราก็แพ้ทางใต้ดินตลอดเหมือนตอนที่สิงคโปร์เลย พอลงไปใต้ดินขึ้นมาจะเหมือนสูญเสียสรรถภาพด้านทิศทาง ประหลาดมากเพราะหันไปเห็น Gyeongbokgung อยู่ลิบๆก็ยังจะเดินไปฝั่งตรงกันข้ามเพราะไม่เชื่อว่าเป็นวังจริงๆ แล้วก็ต้องเดินย้อนกลับมา

…วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรา เดินมึนงงเหมือนคนไร้สติ

…หรือเราจะไร้สติมาตลอดตั้งแต่มาที่นี่หว่า

เราเผื่อเวลาไว้นิดหน่อยในการเดิน เพราะฉะนั้นพอเดินกลับมาเค้าก็เปลี่ยนกะกันพอดีอีกแล้ว แต่เราน่ะ…อยู่อีกฝั่งของถนนน่ะสิ ข้ามไปไม่ทัน ยังสงสัยตัวเองอยู่นิดๆว่าคงไม่มีดวงจะได้ดูทหารเปลี่ยนกะแบบเป็นเรื่องเป็นราวกับเค้าซักทีละมั้ง ครั้งแรกได้ดูจากด้านหลัง ครั้งที่สองได้ดูจากด้านหน้าแบบไกลๆ -__-“ แต่ก็เอาเถอะค่ะ ตัดใจๆ คิดได้ดังนั้นก็เดินเตาะแตะเข้าไปในวัง

พระราชวัง Gyeongbokgung แปลว่า “พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง” เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังใหญ่และเป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดของราชวงศ์โชชอน และได้กลายเป็นพระราชวังหลวงหรือวังหลักสำหรับประทับว่าราชการของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของเกาหลีมาโดยตลอด ถึงแม้ในอดีตบางส่วนของพระราชวังจะถูกเพลิงเผาในช่วงที่ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีแต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้สวยงามดังเดิม

นักท่องเที่ยวจำนวนมาก หลายชาติหลากภาษาเลยค่ะที่มาเยี่ยมชมพระราชวัง Gyeongbokgung สมกับที่เป็นพระราชวังหลัก ทุกอย่างใน Gyeongbokgung ยิ่งใหญ่และแตกต่างจาก Deoksugung ที่เราไปเมื่อเช้า เราใช้เวลาพักนึงที่นี่ แต่ไม่นานเท่าไรค่ะเพราะว่าเป็นพวกไม่ถูกโรคกับสถานที่ที่คนเยอะ ทั้งๆที่ในตอนแรกตั้งใจจะเดินออกทางด้านหลังของวังที่จะเดินไป Cheongwadae หรือ Blue House ใกล้ขึ้น แต่เพราะอะไรไม่รู้ เราเดินมาออกทางประตูด้านทิศตะวันตก คงเพราะอยากเดินดูให้ทั่วจริงๆแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม

…ถึงตอนนี้แอบเสียดายเบาๆที่ไม่ดูหนังประวัติศาสตร์ของเกาหลี ไม่งั้นคงซึมซาบอะไรได้มากกว่านี้

20120928-223353.jpg

20120928-223416.jpg

20120928-223443.jpg

20120928-223503.jpg

20120928-223524.jpg

20120928-223558.jpg

20120928-223627.jpg

20120928-223652.jpg

Cheongwadee (Blue House)
How to go : Cheongwadae อยู่ด้านหลังพระราชวังGyeongbokถ้านั่งรถไฟใต้ดินก็ขึ้นสาย 3 ไปลงที่ Gyeongbokgung Palace Station, Exit 5
Operating hours : Every Sunday, Monday and National holidays การเข้าชมด้านในจะต้องเข้าชมกับทัวร์ซึ่งต้องจองล่วงหน้านะคะ

Cheongwadae หรือ Blue House คือบ้านพักของประธานาธิบดีเกาหลี เพราะฉะนั้นถนนโดยรอบเลยเต็มไปด้วยตำรวจ ตำรวจ ตำรวจ และตำรวจ เราแค่เดินออกมาจากวังก็เจอเลยค่ะ คุณตำรวจเกาหลีหน้าใสคอยตั้งด่านอยู่ สงสัยท่าทางเราคงน่าสงสัยไปหน่อยเพราะเค้าถามเราด้วยว่าเป็นคนชาติไหนและจะไปไหน .. แง้ ทำไมกลุ่มก่อนหน้านี้ที่เดินผ่านไปไม่เห็นถามเลย ทำร้ายจิตใจกันน่าดู T^T .. แต่คุณตำรวจก็ถามแค่นั้นแหละค่ะ แล้วก็ปล่อยเราให้เดินต่อไป ส่วนเค้าก็ไปคุยกับนายตำรวจอีกคน คิดว่าคงจะ FYI ให้กันทราบเกี่ยวกับเรา

เราเดินเรื่อยๆเลียบไปทางกำแพงฝั่งตะวันตกของ Gyeongbokgung ไม่นานก็เห็นอนุสาวรีย์รูปนกฟินิกซ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อยู่หน้า Cheongwadae จุดนี้น่าจะเป็นจุดฮิตอีกจุดนึงที่นักท่องเที่ยวจะมาถ่ายภาพเลยล่ะค่ะ ในบริเวณใกล้ๆ Cheongwadae นี้จะนอกจากจะเห็นคุณตำรวจมาคอยตั้งด่ายแล้วก็จะเห็นป้อมไฟแดงแบบมีคุณตำรวจอยู่ด้านในด้วย .. เจ๋งอ่ะ .. ทำไมถึงต้องป็นฟีนิกซ์ เคยอ่านเจอว่าที่เป็นนกฟีนิกซ์ก็เพราะฟีนิกซ์ไม่มีวันตาย เปรียบเสมือนชาวเกาหลีที่ไม่ว่าจำผ่านสงครามก็จะสามารถฟื้นคืนประเทศขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งนั่นเอง

20120928-223755.jpg

20120928-223926.jpg

20120928-223959.jpg

จากอนุสาวรีย์นกฟีนิกซ์เราก็เดินเลาะๆทางกำแพงของพระราชวัง Gyeongbokgung จนมาเจอประตูวังด้านทิศใต้ ตรงนั้นมองเข้าไปก็จะพบกับอาคารหลังคาสีฟ้าหรือ Blue House นั่นเอง ว่ากันว่า Cheongwadae ตั้งอยู่ในตำแหน่งฮวงจุ้ยดีที่สุดของกรุงโซล คือด้านหลังเป็นภูเขาด้านหน้าเป็นแม่น้ำ ตรงนี้มีเขต Photo Zone อีกแล้วค่ะ ห้ามเดินเข้าไปถ่ายรูปเลยเส้นเหลือง ประหนึ่งเดจาวูจากที่เราไป DMZ อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะว่า Cheongwadae คือที่พักประธานาธิบดีก็เลยเฮี้ยบเนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญของประเทศ

20120928-224103.jpg

20120928-224133.jpg

เหตุผลที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมาโฉบ Cheongwadae ก็เพราะเป็นธรรมเนียมว่าควรจะต้องมาทักทายกับผู้นำประเทศถึงแม้จะไม่ได้เห็นประธานาธิบดีก็ตาม ทัวร์ต่างๆก็เลยมักจะพาลูกทัวร์ของตัวมากัน

เดินเลยอาคารหลังคาฟ้ามาอีกมีอาคารหินสวยมากจนอยากจะถ่ายภาพ เราเองนึกว่าเขตห้ามถ่ายรูปมีแค่ตรงนั้น แถวนี้คงอนุญาติให้ถ่ายได้ตามชอบใจ มือไวเท่าความคิดก็ยกกล้องขึ้นมาฉับฉับ แต่ได้แค่นั้นแหละค่ะ แค่ยกกล้องขึ้นมา คุณตำรวจยกมือกันพรึ่บแทบจะพร้อมกันแล้วบอกว่า “No Photo” ใจหายว้าบไปอยู่ตะตุ่มเลย เกือบไปแล้วค่ะ เกือบทำผิดโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว อาคารสวยหลังนั้นคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ Cheongwadae เพราะตั้งอยู่ในเขตนั้น แหมเรา เกือบจะไม่ได้ไป Samcheongdongil ซะแล้วสิ

Samcheongdongil
How to go : อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระราชวัง Gyeongbokgung ถ้านั่งรถไฟใต้ดินก็ขึ้นสาย 3 ไปลงที่ Anguk Station ค่ะ

ถัดจาก Changdeokgung เดินไปอีกนิดก็ถึง Samcheongdong .. Samcheongdong เป็นอีกที่ที่มีเอกลักษณ์ที่นึงของโซลเลยค่ะ Samcheongdong ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างพระราชวัง Gyeongbokgung และพระราชวัง Changdeokgung ทางเหนือเป็น Cheongwadae และทางใต้เป็น Insadong ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าเป็นที่ที่ดีมากเลย Samcheong (Sam คือสาม Cheong แปลว่าสะอาด, ดี) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพราะมีสิ่งดีๆที่มีในย่าน Samcheong ก็คือน้ำสะอาด ล้อมรอบด้วยภูเขาสวย และผู้อยู่อาสัยที่จิตใจดี

ตอนแรกที่เดินเลาะมาจากกำแพงข้างวังเราเห็นบันไดเดินลงก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นทางเดินที่จะพาเราไปย่าน Samcheongdong (ไม่ยอมกางแผนที่อีกเช่นเดิม) แต่สุดท้ายงงเต๊กเพราะหาทางไปร้านดังที่จะเป็น RC ไม่พบ .. แหงล่ะ ทำหยั่งกะเป็นคนเกาหลี .. เลยต้องเอาแผนที่มาดู แต่แผนที่ที่เรามีดั๊นนนไม่มีอัพเดตซักกะอัน งงค่ะ เราก็เดินเปะปะไปกับแผนที่ไม่อัพเดตบนมือถือ อากู๋แมพของเกาหลีก็ดันเป็นภาษาเกาหลี ทำเอาเพลีย สุดท้ายไปเจอแผนที่เจ๋งที่สุดคือในร้านกาแฟ แปะอยู่ตรงหน้าร้าน พุดโธ่! บ่นอะไรไม่ได้ค่ะ ถ่ายรูปเก็บเอาใช้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้เอาแล้วกัน

20120928-224343.jpg

20120928-224431.jpg

20120928-224522.jpg

ระหว่างทางที่เดินใน Samcheongdong จะเจอร้านน่ารักๆ ทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายของ ไปจนถึงแกลลอรี่ค่ะ น่ารักมาก เราทราบเหมือนกันว่าแถวนั้นมีหมู่บ้านบุกชอนที่เป็นบ้านโบราณของเกาหลีแต่เราไม่ได้ไปดูค่ะ เดินไม่ไหวแล้วก็มีนัดทานอาหารเย็นกับผู้มีอุปการะคุณตอนหัวค่ำ กลัวเดินช้าๆเนิบๆเพราะความเมื่อยด้วยเดินมาทั้งวันจนขาจะหลุดจะทำให้ผิดเวลาก็เลยตัดสินใจว่าแค่ Lemonade จากร้าน Lemon Aid แทน แถมยังล้มแผนการที่จะไปกินร้านเด็ดร้านดังแลกกับเนื้อย่างร้านอร่อยแถวมยองดงแทน

…อุตสาห์พยายามได้แผนที่มาเพื่อ?

20120928-224616.jpg

20120928-224707.jpg

20120928-224800.jpg

20120928-224901.jpg

20120928-224951.jpg

20120928-225013.jpg

20120928-225040.jpg

20120928-225114.jpg

20120928-225135.jpg

วันนั้นเรากลับที่พักด้วยความตั้งใจแน่วแน่มากว่าเราจะกลับมาเดิน Samcheongdong อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่แล้วก็ไม่ได้กลับไป รู้สึกเสียดาย แต่เรายังมีอะไรให้เดินอีกเยอะในเกาหลี .. พรุ่งนี้เราไปเที่ยววังกันต่ออีกวันนะคะ ไปกันแบบงงๆอย่างวันนี้นี่แหละ ^^

ด้วยความสนใจในเกาหลีไม่ใช่เพียงแค่ศิลปินดาราแต่พอรับรู้เรื่องการเมืองและสงครามทำให้เรารู้สึกว่ามีสถานที่ที่นึงที่อยากจะไปเห็น ไม่ว่าพี่ชายที่เคยไปทำงานที่เกาหลีใต้อยู่พักใหญ่จะบอกว่าชายแดนเกาหลีเหนือ-ใต้มันน่ากลัวแต่เรายังคงอยากไป ลังเลอยู่นานทั้งๆที่ทัวร์ก็จองยาก คือถ้าจองช้าในวันที่มีนักท่องเที่ยวเยอะก็อาจจะหมดสิทธิ์ได้ไป แถมยังไม่สามารถไปเองได้ ต้องมีไกด์นำเที่ยวเท่านั้น .. Demilitarized Zone (DMZ) และ Panmunjeom Joint Security Area (JSA)

Day 5 : Demilitarized Zone (DMZ), Panmunjeom Joint Security Area (JSA), N Seoul Tower, Teddy Bear Museum

Demilitarized Zone (DMZ)
Panmunjeom Joint Security Area (JSA)

How to go : จองกับทัวร์ค่ะ ให้ทางโรงแรมติดต่อให้ก็ได้ แต่ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนวันเดินทาง หรือนั่งรถไฟไปลง Imjingak แล้วซื้อทัวร์ DMZ ที่นั่นได้เลย แต่ไม่รู้นะคะว่าวันคนเยอะจะเป็นยังไง สำหรับเราเอาชัวร์เพราะ JSA ต้องจองล่วงหน้าอยู่แล้วเลยให้ทัวร์จัดการให้ทั้งหมดเลยค่ะ

เราตื่นแต่เช้าตรู่มาเตรียมตัวที่จะไปเที่ยว Demilitarized Zone (DMZ) และ Joint Security Area (JSA) เพราะรถของทัวร์ที่จองไว้นัดตั้งแต่ 07:55 .. เศษ 55 นาทีนี่ยังไง -_-” .. นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของเกสท์เฮาท์ที่พักซักครู่รถก็มารับ ตอนแรกที่เห็นแอบตกใจค่ะ เพราะเป็นรถตู้ขนาดแค่ 6-7 คนนั่งเท่านั้นเอง แอบตกใจเบาๆว่าไหนบอกว่าเป็น popular tour แต่มีคนแค่นี้ล่ะ พอนั่งไปซักพักก็ได้รู้ว่านั่นเป็นแค่รถคันแรกที่ไปรับเราจากที่พักค่ะ เราต้องเปลี่ยนเป็นรถตู้คันที่ใหญ่ขึ้นอีกคันเพื่อนั่งไปยัง Imjingak ที่อยู่ในเขตพาจู แล้วที่นั่นเราจะนั่งรถบัสอีกคันเพื่อเที่ยวใน DMZ และคงไม่ต้องบอกว่าเรามีเพื่อนร่วมเดินทางเต็มรถเลย อุ่นใจขึ้นอีกเยอะเลย -_-”

Demilitarized Zone (DMZ) คืออะไรและมันสำคัญยังไง อันนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 60 กว่าปีก่อนนู้นเกิดความขัดแย้งทางความคิดทางด้านการเมืองขึ้นจนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามเกาหลี ในตอนแรกนั้นญี่ปุ่นปกครองเกาหลีอยู่จนถึงตอนที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีจึงเป็นอิสระ ซึ่งมันเหมือนจะดี แต่มันกลับทำให้เกิดเรื่องราวมากมายตามมา เพราะเกาหลีเป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างการปกครองสองฝ่าย เกาหลีเหนือติดกับจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์จึงเห็นว่าคอมมิวนิสต์ดี ในขณะที่เกาหลีใต้ติดกับญี่ปุ่นซึ่งกลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยหลังจากที่แพ้สงครามก็เห็นว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยดี ความแตกต่างทางด้านความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังต้องการผู้นำและระบอบการปกครองหลังจากเพิ่งได้อิสรภาพจึงทำให้ก่อกำเนิดเป็นสงครามเกาหลี

เกาหลีเหนือจัดตั้งเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์โดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน ส่วนเกาหลีใต้ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติหรือ UN เกิดขึ้นนานหลายปีจนในที่สุดได้มีข้อตกลงหยุดยิงโดยกำหนดให้เส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือหรือที่เรียกว่าเส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นที่แบ่งเขตแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดย Demilitarized Zone (DMZ) กินเนื้อที่จากเส้นขนานที่ 38 ไป 2 กิโลเมตรทั้งทางฝั่งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ไปตลอดแนวยาว

เมื่อพูดถึงพรมแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้แล้วบางคนอาจจะคิดว่ามันอยู่ไกลมากเหมือนบ้านเราที่เขตชายแดนอยู่ไกลเมืองหลวงไปหลายร้อยกิโลเมตร หากแต่ DMZ นั้นอยู่ห่างจากโซลไปเพียงแค่ 40-50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วโมงเดียวทางรถยนต์เท่านั้นเอง ระหว่างทางที่นั่งรถไปเราจะสามารถเห็นรั้วลวดหนามและป้อมทหารอยู่เป็นระยะๆ ยิ่งใกล้เขต DMZ รั้วพวกนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นและแน่นหนามากขึ้น โดยห้ามให้ใครเข้าออกจากเจ้ารั้วนี้ค่ะ หากเห็น…..อาจจะโดนยิงจากทหารได้ สาเหตุก็เพราะแม่น้ำนั้นติดอยู่ว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนจากฝั่งเหนือลักลอบมาทางแม่น้ำและขึ้นฝั่งที่เกาหลีใต้นั่นเอง

ตอนที่เราเดินทางออกจากโซล รถที่นั่งขับผ่านพิพิธภัณฑ์…ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับสงคราม ไกด์ชี้ให้ดูที่ด้านหน้าซึ่งมีอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงสงครามเป็นรูปปั้นสองพี่น้องกำลังกอดกัน แต่ถ้าดูดีๆแล้วคนนึงใส่ชุดทางฝั่งเหนือ ส่วนอีกคนใส่ชุดทางฝั่งใต้ เพราะสงครามทำให้พี่กับน้องต้องมาสู้กันเอง ฟังที่ไกด์เล่าเราเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันนะคะ

ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่าตัวเค้าเองก็มีญาติที่ขาดการติดต่อเพราะสงครามเหมือนกัน ป้าของเค้าอยู่เกาหลีเหนือและขาดการติดต่อไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง .. คนที่แสนจะ sensitive ไม่เข้าเรื่องอย่างเราน้ำตาคลอ -_-”

เขต DMZ เป็นเขตที่ไม่อนุญาติให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัย แต่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นประมาณ 200 กว่าชีวิตได้ คนที่เข้าอาศัยอยู่ในเขต DMZ เข้าไปเพื่อทำการเกษตรในเขตนั้นซึ่งเป็นที่ปลูกข้าว ถั่วเหลือ และโสมที่ได้ชื่อว่าดีอันดับหนึ่งของเกาหลี ชาวบ้านที่อยู่อาศัยใน DMZ จะได้สิทธิพิเศษจากทางรัฐบาลหลายๆอย่าง เช่น ไม่ต้องเสียภาษี บุตรหลายได้เรียนฟรีจนจบมหาวิทยาลัย แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เข้าไปได้ง่ายๆนะคะ เราจำไม่ได้ว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง แต่แค่เงื่อนไขในการอยู่ก็อึดอัดแล้ว เพราะมีเคอร์ฟิว ถ้าจะไปค้างบ้านญาตินอกเขต DMZ ก็ต้องแจ้งล่วงหน้า การทำงานแต่ละครั้งจะมีทหารไปยืนคุม และแน่นอนว่าหมู่บ้านเล็กๆขนาด 200 กว่าคนอาศัยอยู่ชาวบ้านก็จะรู้จักกัน เพราะฉะนั้นหากมีใครแปลกหน้าเข้ามาก็จะรู้ได้ทันทีเลยค่ะ ไกด์เราพูดแบบตลกปนเสียดสีเบาๆว่าจริงๆแล้วที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเกาหลีก็คือ DMZ นี่เอง .. ฟังแล้วจุกอีกแล้ว T^T

ถึง DMZ ในเวลานี้จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนเข้าชม แต่ DMZ ยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตทหาร ซึ่งแปลว่าทหารเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นกฎระเบียบในการเข้าจะมีเยอะมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ก่อนเข้าจะมีทหารขึ้นมาตรวจนับคนและตรวจ Passport นอกจากนั้นในเขต DMZ ห้ามถ่ายภาพยกเว้นในเขตที่อนุญาติให้ถ่ายได้ ไกด์เองก็ได้แค่บอกเรานะคะว่าส่วนไหนอนุญาติ ส่วนไหนไม่อนุญาติ ที่เหลือถ้าเราฝ่าฝืนแล้วคุณทหารมาดุ ไกด์เองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่บอกล่ะค่ะว่าเป็นเขตทหาร เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะที่เราถ่ายรูปจาก DMZ มาซะน้อยเชียว

สำหรับเหตุผลในการห้ามถ่ายรูปก็ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าห้ามนะคะ การถ่ายรูปก็เหมือนกับเป็นการเปิดเผยข้อมูลของทางเกาหลีใต้ให้กับอีกฝ่ายได้รับรู้ ณ บัดนี้เกาหลีทั้งสองฝ่ายยังถือว่าเป็นประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ในฐานะที่เป็นฝ่ายที่มักจะโดนฝ่ายเหนือรุกตลอดเกาหลีใต้จึงต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีนี้ เราเห็นคนพยายามจะแอบถ่ายภาพตรงนั้นตรงนี้ แต่เราไม่คิดแม้แต่จะพยายามแอบถ่ายในที่ห้ามถ่าย ในเมื่อเรามาด้วยความรักในประเทศเค้าเราก็ควรจะเคารพกฎและปกป้องประเทศเค้าด้วยจริงไหม

ถึง DMZ จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่นานแต่ก็นับว่าเป็นที่นิยมมาก เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนกับญี่ปุ่นค่ะ เยอะมากจริงๆ

สำหรับทัวร์ DMZ เราเริ่มต้นกันที่ Imjingak ที่นี่เป็นที่ขึ้นรถบัสเพื่อที่จะเข้าไปด้านใน DMZ แถวๆนั้นก็จะมีป้ายที่ระลึกเกี่ยวกับสงคราม ป้ายไว้อาลัยแด่ทหารและประชาชนที่เสียชีวิตจากสงครามเกาหลี หากเดินเข้าไปก็จะเจอหัวรถจักรไอน้ำ ซึ่งตามป้ายระบุไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของโศกนาฎกรรมในการแบ่งแยกเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ หัวรถจักรนี้ถูกทิ้งไว้ใน DMZ เพราะถูกระเบิดจากสงครามเกาหลีจนตกราง รูที่เห็นในรูปคือร่องรอยจากกระสุนพันกว่านัดที่ยิงเข้าหาหัวรถจักรคันนี้ หากเดินแยกไปอีกทางก็จะเห็นสุดทางที่ต่อจากนี้จะเป็นเขต DMZ เข้าไปต่อไม่ได้โดยด้านหน้าก็จะมีป้ายที่แสดงความหวังความต้องการในการรวมชาติ .. ยืนมองแล้วใจหายนะคะ คนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ กลับต้องมาแบ่งแยกออกเป็นสองประเทศอย่างนี้

20120917-133924.jpg

20120917-134826.jpg

20120917-140721.jpg

20120917-140954.jpg

20120917-141119.jpg

20120917-141216.jpg

20120917-141258.jpg

20120917-174503.jpg

นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นนะคะ เรายังไม่ได้เข้าเขต DMZ จริงๆกันเลย สถานที่ที่ DMZ ทัวร์จะพาไปเยี่ยมชมมีสามแห่งคือ สถานีรถไฟโดราซาน หอสังเกตุการณ์โดราซาน และอุโมงค์หมายเลขสาม ระหว่างที่นั่งรถเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ สองข้างทางบางช่วงเรายังเห็นป้าย”ระวัง กับระเบิด”อยู่เลยค่ะ ใน DMZ ยังมีระเบิดอยู่จริงโดยยังเก็บกู้ไม่หมดและไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่จุดไหนบ้าง สาเหตุก็เพราะตอนที่เค้าวางระเบิดเค้าไม่ได้ค่อยๆขุดแล้ววางมันลงไป เค้าปล่อยระเบิดจำนวนมากเหล่านั้นลงมาจากเครื่องบิน คุณไกด์บอกเราว่าระเบิดเหล่านั้นเป็นระเบิดที่ไม่รุนแรงนัก ถ้าโดนก็ไม่ถึงกับเสียชีวิต สาเหตุก็เพราะเค้าไม่อยากให้อีกฝ่ายตาย แต่อยากให้สืบสาวไปว่าอีกฝ่ายมาจากไหนมากกว่า ซึ่งรอยเลือดจากบาดแผลจะทำให้ตามรอยได้ง่าย คุณไกด์เลยบอกว่า “พวกคุณโชคดีนะ ถ้าโดนระเบิดแถวนี้ก็ไม่ถึงตายหรอก แต่คุณอาจจะเสียแขนหรือขา” .. ขอบคุณค่ะที่ทำให้รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหน -_-”

…จริงๆก็ไม่อันตรายขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่อย่าเดินที่เค้าห้ามเดินก็จะปลอดภัย

จุดแรกที่เราโดนหย่อนลงเป็นที่แรกคือสถานีรถไฟโดราซาน สถานีรถไฟโดราซานเป็นสถานีรถไฟเดียวที่ตั้งอยู่ในเขต DMZ สภาพเหมือนใหม่กิ๊กเพราะไม่ได้ผ่านการใช้งานจริง ถ้ามองดูป้ายจะเห็นว่ารถไฟสายนี้มุ่งหน้าไปที่ Pyeongyang เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ มีเคาท์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองคอยให้บริการ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ผ่านเข้าออกเมืองจากสถานีนี้จริงๆซักที เหมือนเป็นสถานที่รอวันที่จะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรเป็น

20120917-142940.jpg

20120917-144303.jpg

20120917-144918.jpg

20120917-145028.jpg

20120917-154600.jpg

จากสถานีโดราซานจะเห็นสายไฟฟ้าพาดผ่านไปถึงฝั่งเกาหลีเหนือด้วย มีคนในกลุ่มเราถามไกด์ว่ามันไปไหน คุณไกด์บอกว่าสายไฟพวกนั้นส่งไปยังโรงงานของเกาหลีใต้ที่ตั้งอยู่ฝั่งโน้น

เราใช้้เวลาไม่นานที่สถานีรถไฟโดราซานก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจุดต่อไป หอสังเกตการณ์โดราซาน

หอสังเกตุการณ์โดราซาน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหอสังเกตการณ์ก็ต้องเป็นที่ที่เกาหลีใต้ไว้คอยส่องเกาหลีเหนือ จากที่นี่จะเห็นเสาธงที่เกาหลีเหนือบรรจงสร้างให้สูงกว่าเกาหลีใต้และหมู่บ้าน Propaganda Village หมู่บ้านของเกาหลีเหนือหมู่บ้านเดียวในเขต DMZ ว่ากันว่าเป็นหมู่บ้านที่ที่เกาหลีเหนือสร้างเพื่อให้เห็นว่าฝั่งเค้าก็อยู่ดีกินดี..แต่เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีมนุษย์โลกอาศัยอยู่ ที่นี่มีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญไว้ให้นักท่องเที่ยวดูด้วย หอสังเกตุการณ์โดราซานอนุญาติให้ถ่ายรูปได้ในเขต photo zone นะคะ ถ้าถ่ายรูปนอกเขตคุณทหารก็จะเข้าชาร์จทันที ได้ยินมาว่าถึงอยู่ในเขตที่ให้ถ่ายภาพแต่ถ้ายกมือสูงๆก็พอถ่ายภาพเสาธงและเจ้าหมู่บ้าน Propaganda Village ของทางฝั่งเกาหลีเหนือได้ น่าเสียดายที่วันที่ไปทัศนวิสัยไม่ดีเลยเห็นแค่ฟ้าฝนไป ^^”

ด้านในหอสังเกตุการณ์โดราซานจะมีห้องที่คุณทหารคอยบรีฟให้ข้อมูลเหมือนเป็นเลกเชอร์เลยค่ะว่าอะไรอยู่ตรงไหนอย่างไร ตอนเราไปมีทัวร์จีนรอนานมากกกกเลยต้องให้เค้าไปก่อน ส่วนเรากลุ่มเล็กกว่าก็มีคุณทหารหน้าตาใจดีมาบรีฟให้ ภายในห้องนี้ห้ามถ่ายภาพอีกเช่นกัน ตามประสาค่ะ กฎมีไว้เพื่อฝ่าฝืน เราเห็นคนในกลุ่มทัวร์จีนพยายามที่จะถ่ายภาพ คุณทหารใจดีที่มาบรีฟให้เรากลายร่างทันทีเลยค่ะ เดินไปยึดกล้องจากคนจีนสองสามคนนั้นเลย .. น่ากลัวที่เดียว .. กรณีนี้ว่าคุณทหารใจดีไม่ได้นะคะเพราะเค้าทำตามหน้าที่ เราเชื่อว่าเค้าจะคืนกล้องให้เมื่อจบบรีฟ แต่ระหว่างนั้นขอยึดไว้ก่อน

20120917-161810.jpg

20120917-174131.jpg

20120917-174222.jpg

20120917-174404.jpg

จากหอสังเกตุการณ์โดราซานเราก็มุ่งหน้าไปที่อุโมงค์หมายเลขสาม .. หลังจากที่สงครามสิ้นสุดและมีข้อตกลงจัดตั้ง DMZ ขึ้น เกาหลีเหนือก็ยังพยายามต่างๆนานาที่จะข้ามฝั่งมาเกาหลีใต้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้บนดินก็มาใต้ดิน ใช่เลย! เกาหลีเหนือพยายามข้ามฝั่งมาเกาหลีใต้โดยการเจาะอุโมงค์ขึ้นมา อุโมงค์หมายเลขสามเป็นหนึ่งในอุโมงค์ที่เกาหลีเหนือขุดเพื่อให้เป็นทางลำเลียงทหารและอาวุธมายังเกาหลีใต้เพื่อบุกโซล แต่เกาหลีใต้ดันขุดพบเสียก่อนโดยผู้ที่พบเป็นวิศวกร พอเกาหลีใต้รู้ตัวก็จัดการขุดเจาะแล้วปล่อยน้ำเข้าไปในอุโมงค์เหมือเป็นการเตือนเกาหลีเหนือว่า “เฮ้ นายกำลังล้ำเส้นนะ” ก่อนจะขุดอุโมงค์ลงมาสกัดดาวรุ่ง ตอนที่เกาหลีใต้ลงมาเกาหลีเหนือเค้าก็ยกทัพกลับไปยังที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้วค่ะ ลองคิดว่าถ้าเกาหลีเหนือทำสำเร็จ..โซลคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้แน่ๆ

อุโมงค์หมายเลขสามไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปและต้องฝากของไว้ก่อนที่จะเข้าไป ตอนเราไปคนเยอะจนที่ฝากของไม่พอเลยล่ะค่ะ คุณไกด์คนเก่งของเราไปเจรจาจนสามารถให้ฝากของได้ที่ตรงเคาท์เตอร์ แล้วเราก็เดินลงอุโมงค์ไปสบายใจ ตรงที่หน้าทางเข้ามีตัวช่วยของเราอำนวยความสะดวกไว้ด้วย .. หมวกนิรภัยค่ะ .. เลือกอันสีเข้มๆใหม่ๆมาใส่ซะ มันจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ในอนาคตค่ะ

ทางเดินลงอุโมงค์ดูกว้างเป็นทางเดินเรียบๆ มีราวจับพร้อม เดินไปเรื่อยๆมีเก้าอี้และป้ายบอกทางเป็นระยะ อุณหภูมิภายในเย็นกว่าด้านนอกมากเลยค่ะ สมกับที่เป็นเครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติ เราคิดไม่ออกเลยล่ะว่าจะเย็นขนาดไหนในหน้าหนาวเพราะได้ยินมาว่าที่ DMZ นั้นอุณหภูมิจะลดลงถึง -10 ถึง -20 องศา แค่อยู่บนผิวดินยังสั่นแหง็กๆ อยู่ใต้ดินไม่แข็งตายเลยเหรอคะ ㅠㅠ ทางเดินที่เราเดินนั้นลาดประมาณ 11 องศา ระดับความเอียงที่คนต้องปีนนั้นจะอยู่ที่ 12 องศาเพราะฉะนั้นนี่เป็นระดับความเอียงสูงสุดที่คนเดินได้โดยไม่ต้องปีนแล้วค่ะ ตอนลงไม่เท่าไร…ตอนขึ้นนี่สิ -__-:;

เดินไปเรื่อยๆทางจะเริ่มเล็กลง อุโมงค์รอบๆที่เป็นหินแกรนิตนั้นแคบลงและเตี้ยลงเรื่อยๆ เตี้ยแบบที่คนความเตี้ยไม่ถึง 160 อย่างเราต้องก้มในบางครั้ง เห็นมีคนหัวโขกร้องโอ้ยกันเป็นระยะๆด้วย บอกแล้วว่าหมวกสร้างอนาคต เค้าไม่ให้เราใส่โดยไม่มีสาเหตุหรอกค่ะ .. อ้อ ไม่ต้องถามนะว่าเราหัวโขกบ้างไหม มันจะเหลือเหรอคะ ผู้หญิงติดอันดับด้านความซุ่มซ่ามขนาดนี้ โขกไปหลายรอบเหมือนกัน -_-” นอกจากนั้นภายในอุโมงค์เราจะสามารถเห็นหลุมระเบิด(เรียกอย่างนั้นรึเปล่า)ที่เค้าไว้เจาะอุโมงค์นี่ล่ะค่ะ ทางฝ่ายเกาหลีใต้ป้ายสีเหลืองเพื่ิอให้เราสามารถเห็นชัดเจน เราเดินไปจนสุดอุโมงค์ก็จะได้เห็นประตูอีกฝั่งเป็นของเกาหลีเหนือ เท่านี้แหละค่ะ ดิฉันฟิน~

อุโมงค์ที่เราเดินลงมานี้เป็นอุโมงค์ที่ขุดมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทางลงถึงได้ทำให้เดินง่ายขึ้น ตอนที่เดินกลับคุณไกด์ชี้ให้ดูอุโมงค์เกาหลีใต้ขุดมาเพื่อสะกัดอุโมงค์หมายเลขสามในตอนแรก เล็กกว่า แคบกว่า และมืดกว่ามาก มากจนเราสงสัยว่าคนเกาหลีสมัยก่อนตัวเล็กมากเลยเหรอ อุโมงค์ถึงได้มีขนาดเล็กได้อย่างนั้น ถ้าจะลงมาทางอุโมงค์ออริจินั้นต้องลงโดยรถไฟซึ่งแน่นอนว่ามีราคาแพงกว่า

ก่อนเดินกลับขึ้นไปบนทางลาด 11 องศา คุณไกด์ใจดีแนะนำเล็กๆว่าให้เดินไปด้วยความเร็วคงที่ จงอย่าได้เร่งโชว์ความเก๋าเจ้าจะเหนื่อย จากด้านล่างอุโมงค์มาถึงปากอุโมงค์น่าจะใช้เวลาทั้งสิ้น 15 นาทีโดยประมาณ เราค่อยๆเดินขึ้นพร้อมกับพยายามบอกตัวเองในใจว่ากรุไม่ได้ปีนนะคะ แล้วก็ได้เห็นความสำคัญของราวจับและเก้าอี้ค่ะ เราไม่ได้ใช้หรอกเพราะกลัวว่าหยุดแล้วจะเหนื่อยพาลเดินไม่ไหวเอา เดินแฮ่กหน่อยแต่ก็ถึงโดยไม่เป็นลมค่ะ

จากนั้นเราก็เข้าไปดูส่วนของภาพยนต์สั้นๆเหมือนเป็น documentary เชิงอารมณ์เกี่ยวกับสงครามเกาหลีนี่แหละค่ะ ทำได้ดีจนเราอยากจะร้องไห้ให้ได้ .. เชื่อไหมล่ะว่าแค่อยากเฉยๆแต่ไม่ได้ร้อง .. สงครามไม่มีอะไรดีเลยนะคะ ให้แต่ความสูญเสีย ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ

ทัวร์ DMZ สิ้นสุดลงแล้วค่ะ ในตอนที่เราขึ้นแวะตามสถานที่ต่างๆจนถึงตอนที่ออกจาก DMZ กลับมาที่ Imjingak ก็นับด้วยค่ะว่าครบจำนวนคนรึเปล่า ไปเท่าไรออกเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ไป JSA ต่อทัวร์ก็จะสิ้นสุดแค่นี้ค่ะ แต่สำหรับคนที่ไป JSA ต่อนั้นก็จะต้องเปลี่ยนรถอีกคันเพื่อแวะทานอาหารกลางวันก่อนแล้วก็เดินทางไปยัง JSA

JSA หรือ Joint Security Area คือที่ที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ใช้เจรจาข้อตกลงต่างๆ(ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จซักที)ร่วมกัน การเดินทางเข้าไปใน JSA เข้มงวดกว่า DMZ เยอะมาก เพราะเป็นจุดที่เป็น border line จริงๆเลยอ่อนไหวกว่ามาก การเข้าชมโดยต้องมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน ไม่สามารถไปสอยหน้างานได้อย่าง DMZ ก่อนเข้าจะมีการตรวจ Passport แบบที่ไม่ใช่แค่เปิดผ่านๆให้ดูเหมือนที่ DMZ ต้องแต่งกายสุภาพ ห้ามแต่งกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้า sandals หรือกระโปรง miniskirt เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว JSA ยังไม่อนุญาติให้คนเกาหลีเข้าอีกด้วย

JSA อยู่ภายใต้การดูแลของ UNC (United Nation Command) ส่วนอีกฝั่งของ JSA อยู่ภายใต้การดูแลของฝั่งเกาหลีเหนือ การเข้าไปใน JSA ไม่ใช่ว่ารู้ทางแล้วจะเข้าไปได้นะคะ ต้องรอทหารของทาง UNC มา escort เราเข้าไป ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเมื่อไร ต้องรอ .. ระหว่างที่รอเข้าไปใน JSA เราก็นั่งมองไปด้านนอก ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ มันดูเป็นเขตทหารที่จริงจังเกินกว่าที่เคยเห็นที่เมืองไทยมั้งคะ ในใจก็คิดสะระตะว่าด้านในจะน่ากลัวแค่ไหน มาก็ผู้หญิงคนเดียว ไม่ได้มีเพื่อนร่วมทัวร์เหมือนคนอื่่นเค้า แล้วคุณทหารจะโหดไหม กระโปรงตรูจะสั้นไปไหม คุณทหารจะให้เข้าไปรึเปล่า เรียกว่านอยทุกหย่อมหญ้า พอรถคุณที่ทหารที่จะดูแลเรามาก็เป็นนายทหารฝรั่งกระโดดลงมาสองคน แงงงงงงงงง~ น่ากลัวไปอีกแปดเท่าตัว

แต่เชื่อไหมคะ ไอ่คนคิดสารพัดอย่างเรา สุดท้ายคิดจนเหม่อ คุณทหารมาตรวจ passport ก็มัวแต่มองออกไปนอกรถ จนคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆต้องสะกิด -_-”

ก่อนที่เราจะไปไหน เค้าก็จะพาเราไปฟังบรีฟเกี่ยวกับ JSA และเซ็นต์เอกสารยินยอมว่าจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่โทษใครหากได้รับอันตราย คล้ายๆกับเวลาเราไปเล่นบันจี้จัมพ์ แต่นี่เสี่ยงกันไปคนละอย่าง

หลังจากที่มีข้อเจรจาหยุดยิงแล้ว ตอนแรกเกาหลีใต้และเกาหลีเหนืออยู่ในเขต JSA โดยที่ไม่ได้แบ่งฝ่าย แต่ทั้งคู่ก็มี Check point แต่เราจะเรียกว่าจุดรักษาการณ์ของตัวเอง โดยที่มีจุดรักษาการณ์จุดนึงของเกาหลีใต้ที่เป็นจุดเสี่ยง คืออยู่ในวงล้อมของจุดรักษาการณ์ฝั่งเกาหลีเหนือ และจุดรักษาการณ์ที่ใกล้ที่สุดจากตรงนั้นก็ดันมีต้นไม้บัง ทางฝั่งเกาหลีใต้จึงพยายามตัดต้นไม้แต่ก็เกิดเหตุการณ์โดนทหารเกาหลีเหนือรุมทำร้ายจนมีทหารอเมริกันเสียชีวิตไปสองนาย หลังจากนั้นแม้แต่ในเขต JSA เองจึงยังต้องมีเส้นแบ่งพรมแดนชัดเจน เรียกว่า Military Demarcation Line (MDL) โดยกองกำลังแต่ละฝ่ายจะต้องอยู่ในเขตของตัวเอง

ภายใน JSA นัั้นมีสะพานนึงคือ Bridge of No Return (ถ้าจะชื่อไม่ผิดนะคะ) หลังจากเจรจาหยุดยิง สะพานนี้เป็นสะพานที่ให้คนทั้งสองฝ่ายเลือกว่าจะอยู่ฝั่งไหน แต่เมื่อเลือกและเดินข้ามฝั่งมาแล้วก็จะไม่มีวันได้กลับไปอีกฝั่งนึงไม่ว่าจะอย่างไร สะพานนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น Bridge of No Return

หลังจากฟังบรีฟจบเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่เจรจากันล่ะค่ะ ตรงนี้พอเราลงจากรถแล้วจะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยนอกจากกล้อง ของอื่นพวกกระเป๋าเป้ก็ต้องทิ้งไว้บนรถ ตอนที่เราไปฝนตกเบาๆก็ยังเอาร่มไปไม่ได้ค่ะ เพราะว่ามันอาจจะทำให้ทหารฝั่งใดฝั่งหนึ่งคิดว่ามันเป็นอาวุธได้ เวลาเดินก็ต้องเดินเป็นแถว อ่อนไหวขนาดนั้นจริงๆนะคะ .. มาถึง Panmunjeom เราจะได้เข้าไปทางอาคารใหญ่ฝั่งเกาหลีใต้ที่ชื่อว่า Freedom House โดยจาก Freedom House ก็จะมองเห็นอาคารทางฝั่งเกาหลีเหนือที่เรียกว่า Panmun Hall และอาคารสีฟ้าสดสามหลังที่ใช้เป็นที่เจรจา

เราเห็นทหารเกาหลีเหนือที่รักษาการณ์อยู่ที่ Panmun Hall คอยส่องกล้องเราอยู่ด้วยแหละ ส่วนนี้อนุญาติให้ถ่ายภาพได้แต่อย่าซ้ายหรือขวาเกินไปนัก โดยที่เราจะดูในการดูแลของคุณทหาร UNC ที่ไปรับเรามาและทหารเกาหลีอีกหลายนายเลยล่ะค่ะ คุณไกด์เล่าให้ฟังว่าเคยมีนักท่องเที่ยวใช้กล้องที่ดีหน่อยถ่ายรูปไป ตอนแรกมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอะไร แต่พอดูรูปในกล้องที่กดซูมไปใกล้ๆก็เห็นทหารเกาหลีเหนือซุ่มอยู่ในภาพซะอย่างนั้น

ส่วนอาคารสีฟ้าสามหลังนั้นตั้งคร่อมเขตแดนทั้งสองอยู่ คือตั้งอยู่บนเส้น MDL ค่ะ ถ้ามองไปก็ยังจะเห็นคอนกรีตเล็กๆที่บอกเขตพรมแดนเลยล่ะ เราเคยอ่านหนังสือเจอก่อนไปว่าในห้องนี้ประตูฝั่งนึงจะเป็นทหารเกาหลีเหนือคอยคุมอยู่ ในขณะที่ประตูอีกฝั่งเป็นเกาหลีใต้ แต่ตอนเราไปไกด์เล่าว่าห้องนี้ใครมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน ถ้าเกาหลีใต้มาถึงก่อนอย่างเช่นวันที่เราไป เค้าก็จะล็อกประตูฝั่งที่จะเปิดไปทางเกาหลีเหนือเพื่อไม่ให้อีกฝั่งเข้ามา ในทางตรงกันข้ามถ้าเกาหลีเหนือมาถึงก่อนก็จะทำแบบเดียวกัน เราไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมนะคะ

ภายในห้องมีโต๊ะประชุมที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง บนเส้น MDL เลยทีเดียว เรายังคิดอยู่ว่าตอนเจรจากันจริงๆจะอยู่ในบรรยากาศยังไง อึดอัดไหม คุยกันจะอึดอัดไหม “อย่าเข้ามานะเว่ยนี่เขตชั้น” อะไรแบบนี้หรือเปล่า

เราเดินดูรอบห้อง ในทางเทคนิคแล้วคุณไกด์บอกว่าเราได้ข้ามไปเขตเกาหลีเหนือแล้ว เพราะเราได้ข้ามเส้นพรมแดนมาแล้ว .. เออ จริงของเค้า

20120917-174722.jpg

20120917-181251.jpg

20120917-181127.jpg

20120917-181455.jpg

20120917-181550.jpg

20120917-181644.jpg

หลังจากการชม Panmunjeom เสร็จสิ้นเค้าก็พาเรากลับมายัง Tourist Center ที่เป็นจุดบรีฟในตอนแรก ข้างๆนั่นมีร้านขายของฝากด้วยนะคะ นอกเหนือจากของที่ระลึกของ JSA แล้วที่นี่ยังมีเงินและสินค้าจากเกาหลีเหนือให้หยิบซื้อได้ด้วยนะคะ

20120917-185040.jpg

20120917-185001.jpg

ก่อนที่จะไปทัวร์นี้เราตื่นเต้นกังวลเล็กน้อยว่าจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้วทั้ง DMZ และ JSA ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ DMZ เป็นเหมือน Tourist site ที่มีนักท่องเที่ยวไปชมเยอะทีเดียว ในขณะที่ JSA นั้นมีคนไปชมน้อยกว่ามากและการดูแลรักษาการณ์เคร่งครัดกว่าจนรู้สึกได้ถึงความจริงจังและอ่อนไหวในเขตนั้น เพียงแค่ทำตามกฎที่เค้าบอกก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราว่าจำเป็นที่สถานที่ตรงนั้นจะต้องใช้กฎระเบียบแบบนั้นในการควบคุม หลังจากที่เข้าไปใน JSA แล้วเรารู้สึกอีกแบบค่ะ รู้สึกประหลาดที่เห็นว่าประเทศที่เคยเป็นประเทศเดียวกันกลับถูกแบ่งออกเป็นสองโดยเส้นเพียงเส้นเดียวเท่านั้นเอง แค่เจ้าหลักสีขาวที่น่าจะสูงประมาณ 50 เซนติเมตรจำนวน 126 ต้นกับคอนกรีตที่สูงจากพื้นนิดเดียว เราไปยืนมองประตูสีฟ้าที่สามารถเปิดไปยังเกาหลีเหนืออยู่แป๊บนึง ก็ประตูธรรมดาแต่เป็นประตูธรรมดาที่คั่นคนที่เคยอยู่ร่วมเป็นประเทศเดียวกันมาก่อน…แค่เท่านั้นเอง เห็นใจเค้ามากขึ้น เข้าใจเค้ามากขึ้น

ไม่ต้องตกใจนะคะ เราไม่ได้เปิดประตูให้พวกเค้ามาเจอกันหรอก ㅠㅠ เปิดไปคงเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ ทหารเกาหลีใต้คนนึงยืนเฝ้ากลางห้อง อีกคนเฝ้าประตู แล้วทหาร UNC ทหารเกาหลีเหนืออีกไม่รู้เท่าไร

…ว้าย~ คิดแล้วคงจะไม่รอด

จาก Panmunjeom Joint Security Area เราก็มุ่งหน้ากลับโซล หลับได้หลายตื่นค่ะกว่าจะถึง แต่เราไม่ได้หลับนะคะ นั่งมองทางที่มีรั้วลวดหนามไปเรื่อยๆพร้อมกับภาวนาขอให้สองประเทศนี้ก้าวสู่หาทางที่ดีที่สุดที่จะก้ามสู่ความสงบได้ในเร็ววัน

20120917-190052.jpg

N Seoul Tower
Teddy Bear Museum

How to go : Cable car นั่ง Subway มาลงที่ Myeongdong Station แล้วเดินต่ิไปที่สถานีรถเคเบิล, Taxi, Yellow Bus สาย 2 3
Price : Cable car round trip 7,500 KRW, Observatory entrance fee 7,000, Teddy Bear Museum 8,000 KRW (Combination Observatory + Teddy Bear Museum 12,000 KRW)

รถบัสของทัวร์ปล่อยเราลงที่ Seoul Station ค่ะ เรามุ่งหน้าไปที่เที่ยวใกล้บ้านของเราต่อ วันนี้เดินไม่เยอะ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร แผนที่วางไว้วันนี้คือขึ้น N Seoul Tower เราจะไปดูโซลจากมุมสูงตอนกลางคืนกัน เย้~

การไป Seoul Tower ไปได้หลายทาง แต่เราเลือกขึ้นเคเบิลไป เรานั่งรถมาลงที่สถานี Myeongdong จากนั้นก็เดินทางวิธีที่เราถนัดมากที่สุดคือ..เดิน ^^” เดินขึ้นนัมซานเพื่อไปขึ้นเคเบิลก็คือเดินไปทางที่พักเรานั่นเองแต่เลยไปอีกปู้นนึง เพราะรู้ว่าเดินได้หลายทางแต่ทางที่ผ่านที่พักเราเนินชันน้อยกว่าเลยเลือกเดินทางนั้นค่ะ

เดินไปถึงสุดกลายเป็นทางต้องเลือกซ้ายขวา สันชาตญาณน่ะบอกว่าขวา แต่เพื่อความมั่นใจเราเลยถามคนแถวนั้น แล้วก็ขวาจริงๆด้วยค่ะ มองไปฝั่งตรงข้ามถนนเห็นทางขึ้นเขานัมซานอยู่ แต่ไม่เอาดีกว่าค่ะ เรานั่งเคเบิลน่าจะดีกว่าตะกายเขา ใช้ร่างกายหนักเกินไปก็ไม่ดี เราเลยเดินเตาะแตะต่อเพื่อไปกระเช้า ข้างๆทางไปมีพวกร้านกาแฟน่ารักๆด้วยค่ะ แอบเล็งไว้เหมือนกันว่าอาจจะมานั่ง เดินมาซักพักก็เห็นกระเช้าแล้วค่ะ มาถูกทางแล้ว ตาเห็นมือก็หยิบกล้องมากดชัตเตอร์ คุณลุงที่ทำงานอยู่ริมถนนพอดีก็เลยทำท่ายิ้มยกสองนิ้วให้เราถ่ายรูป ^^ แต่พอหันกล้องไปจะถ่ายกลับไม่ยอมให้ถ่าย เค้าอายค่ะแต่เค้าอยากแซวเราเล่น เป็นมิตรมากๆ เป็นเรื่องที่เราจะจำไปนานเลยค่ะที่ได้เจอคุณลุงเป็นมิตรคนนี้

เดินเลยจากคุณลุงเป็นมิตรไปไม่นานก็ถึงทางขึ้นเคเบิล จ่ายเงินซื้อตั๋วไปกลับแล้วก็ไปต่อแถว แถวตรงกระเช้าไม่ยาวเท่าไร รอสักพักก็ได้ไปแล้ว ออกจากกระเช้าก็เดินขึ้นต่อไปอีก เราเห็นทางเดินขึ้นมาจากด้านล่าง คาดว่าคือทาง้ดินนั่นแหละที่เราเห็นก่อนขึ้นเคเบิลมา คนที่เดินขึ้นต้องอดทนสุดๆอะ โชคดีที่ตัดสินใจถูก ไม่งั้นคงหมดแรงก่อน 😀

เราเดินต่อขึ้นมาอีกนิดก็ถึงยอดสุดของนัมซาน N Seoul Tower ตั้งอยู่ตรงหน้านี่แล้ว ^^ ไม่คิดอะไรมากค่ะ เดินวนหนึ่งรอบตรงที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าไปคล้องกุญแจกัน .. อย่าถามว่าเจอกุญแจชั้นไหม ได้คล้องกุญแจไหมนะคะ หยาบคาย .. จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว Teddy Bear Museum และ Observatory Deck เราไปตะกายตึกกันค่ะ

20120917-190207.jpg

20120917-194306.jpg

20120917-190846.jpg

20120917-194129.jpg

20120917-194546.jpg

20120917-194641.jpg

20120917-194728.jpg

ก่อนไปตะกายตึกเราจะไปดูน้องหมีกันก่อน เดินบันไดเตาะแตะจากชั้นที่ซื้อตั๋วลงไปชั้นล็อบบี้ที่มี Teddy Bear Museum และทางขึ้นไปชมวิวบน Seoul Tower เราหมุนซ้ายหมุนขวาหลายทีมาก เห็นเจ้าหมีตัวโตก็เดินไปหาเหมือนโดนดูดแต่ดันเป็นที่ขายของที่ระลึกกับ Museum Hall 2 หาทางเข้าอันแรกบ่เจอ สุดท้ายต้องไปถามพนักงานแล้วก็รู้ว่าไอ้ส่วนที่ 1 น่ะมันอยู่อีกปีกนึง -_- เดินมาตามทิศที่พนักงานบอกสุดท้ายก็เจอประตูไปสู้น้องหมีจนได้ ทางเข้าเล็กกระติ๊ดนึง เราไม่เห็นไม่ผิดค่ะ 555

ใน Teddy Bear Museum จะเริ่มต้นด้วยว่าตำนานเกี่ยวกับหมีว่าทำไมหมีถึงเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ไปจากนั้นจะแสดงประวัติของโซล การสร้างเมือง พระราชพิธีสำคัญ ไปจนถึงแต่ละย่านของโซลค่ะ ตั้งแต่มยองดง อินซาดง แทฮักโน ฮงแด เป็นต้น ส่วนนี้เราว่าถ้าได้ไปดูย่านนั้นจริงๆก่อนแล้วมาดูเจ้าน้องหมีพวกนี้จะน่ารักขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ

20120917-202817.jpg

20120917-200008.jpg

20120917-202428.jpg

20120917-202654.jpg

20120917-203219.jpg

20120917-203301.jpg

ชมน้องหมีเสร็จเราก็ไปต่อแถวขึ้นลิฟท์ไปยัง Observation level เพื่อที่จะไปดูวิวรอบๆนัมซานกันค่ะ พอเข้าไปในลิฟท์พนักงานจะบอกให้มองขึ้นแล้วเพดานลิฟท์ก็จะมีภาพเคลื่อนไหวเหมือนเราขึ้นจรวจทะลุอวกาศไปเลย ชาวต่างชาติที่ขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกับเรามาเป็นครอบครัว คุณพ่อฝรั่งก็พูดกับคุณลูกฝรั่งแบบขำๆว่านี่เรามาสูงกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย ทำเอาเรากลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน 😀

เราเดินชมวิวของโซลมุมสูงจากนัมซานค่ะ สวยมากจริงๆ แสงไฟของโซลตอนกลางคืนทำให้เมืองดูมีีชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน กรอบกระจกจะระบุทิศที่เรากำลังหันไปส่วนด้านบนของกระจกจะมีขื่อเมืองว่าทิศที่เราหันไปอยู่นี่คือทิศไหน เราเดินหากรุงเทพ…หาไปก็คิดถึงบ้านไป น้ำตาจะไหล เป็นพวกดราม่าชอบคิดถึงแม่คิดถึงหมาเวลาห่างบ้านค่ะ แม่เราเค้าอยากมาเกาหลีมาก มากกว่าเราด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีโอกาสได้มาซะที เพราะติดงานนั่นนี่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเราได้มาก่อนเค้าเสียนี่ ㅠㅠ

พอเดินเจอกรุงเทพปุ้บไอ้เราก็อยากจะถ่ายภาพเก็บไว้กลับมีคู่นึงกำลังยืนอิ่มอยู่กับแสงไฟจากด้านล่าง เราก็ไม่อยากกวน เลยขอแชะภาพเค้ามาด้วยเลยแล้วกัน เดินอิ่มอยู่ซักพักก็ลงมาชั้นล่างแล้วค่ะ

20120917-195236.jpg

20120917-195330.jpg

20120917-195430.jpg

20120917-195548.jpg

ที่นี่เราซื้อโปสการ์ดกะจะส่งให้เพื่อนสนิท โปสการ์ดสวยๆมีด้วยค่ะ เราเลยซื้อไว้ แต่พอถามถึงสแตมป์กลับไม่มีเลยอดส่ง .. ตอนกลับมาถึงเมืองไทยเราเลนถามคนเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องการส่งโปสการ์ดด้วยมึนงงกับการไปรษณีย์เกาหลีเล็กๆ เวลาไปเที่ยวคุณจะสามารถหาโปสการ์ดได้และอย่างด้านบน Seoul Tower ก็มีไปรษณีย์ให้ส่ง เจ้าตู้ไปรษณีย์สีแดงๆก็มีเต็มเมืองเลยค่ะ แต่เราหาสแตมป์มาติดไม่ได้ทั้งๆที่โปสการ์ดต้องติดสแตมป์ ถามพวกร้านสะดวกซื้อหรือร้านที่ขายโปสการ์ดเองก็ไม่มีขาย เค้าบอกว่าสแตมป์มีขายที่ไปรษณีย์เท่านั้น นั่นหมายความว่าต่อให้ซื้อที่นัมซาน คนไม่มีสแตมป์อย่างเราต้องไปตามล่าหาไปรษณีย์เพื่อจะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนสาว

…พอเถอะ โปสการ์ดเปล่าเป็นที่ระทึกแล้วกันนะเธอ -_-“

ขาลงจาก Observatory ต่อแถวยาวกว่าขาขึ้นเล็กน้อยถึงปานกลาง พอเข้าไปในลิฟท์เราก็คิดอยู่ว่าขาลงเค้าจะทำยังไง เกือบมองพื้นแล้ว แต่เค้าบอกให้มองเพดานอีกที ภาพคราวนี้เป็นภาพวิดิโอตอนต้นแบบย้อนกลับค่ะ จากอวกาศเราถอยหลังกลับสู่พื้นโลก เข้าใจคิดจริงๆเลย

ในการเที่ยว N Seoul Tower สำหรับคนที่ไปดึกๆอย่างเราต้องระวังนิดนึงคือเจ้าพิพิธภัณฑ์น้องหมีเลิกเร็วกว่า Observatory level นะคะ ถ้าจะไปต้องบริหารเวลาดีๆ ดูหมีแล้วค่อยขึ้น หรือขึ้นไปแล้วจะลงมีดูหมีทันไหมเพราะแถวขึ้นลงลิฟท์ยาวมาก ถ้าชมวิวเพลินแล้วมาเจอแถวลิฟท์ยาวยืดอาจจะลงมาบ้านน้องหมีก็อาจจะปิด อดดูล่ะจ๋อยเลยน้า

20120917-203444.jpg

20120917-203618.jpg

หมดโปรแกรมการเตาะแตะของวันนี้ เราก็ข้ามไปเพิ่มพลังที่ร้านซุปเนื้อเจ้าดั้งเดิม ไปจนนั่งที่โต๊ะ จนกินอาหารแล้วหันไปมองกำแพงเลยได้รู้ว่าร้านนี้มันอยู่ในละครเรื่องนึง Brilliant Legacy .. เกาหลีนี่เก่งจริงๆนะคะ น่านับถือมาก ละครนี่เหมือนอยู่ทุกอณูเลยก็ว่าได้ ถ้าใครดูซีรีส์เกาหลีแล้วอยากตามรอยหลังคงมาอยู่ได้เป็นเดือนๆแน่เลย

เรากินเจ้าซุปเนื้อไปหนึ่งอิ่ม จากนั้นก็เดินข้ามฝั่งกลับบ้านไปพักผ่อนอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่อิ่มจริงๆค่ะ เราดีใจที่เราตัดสินใจไม่ผิดที่ไป DMZ และ JSA ถ้ามีใครถามว่าน่าสนใจไหม เราแนะนำให้ไปสำหรับคนที่สนใจเกาหลีมากกว่าแค่ K Pop ค่ะ แต่ทัวร์นี้ไม่เหมาะกับคนที่มาเที่ยวแบบเวลาจำกัดเพราะจะเสียเวลาเที่ยวและช้อปไปเลยวันนึง แต่น่าจะได้มุมมองที่ดีๆกลับไปแน่ๆ ถ้าให้เราไปอีกครั้งเราก็ยังอยากไปนะคะ บอกแล้วว่าประทับใจมากจริงๆ ^^ วันนี้ตอนเช้ากับการเที่ยวช่วงค่ำให้อารมณ์ต่างกันเยอะมากเลยค่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างลงตัว ลองคิดว่าถ้าเปลี่ยนจากขึ้นนัมซานไปดูพิพิธภัณฑ์สงครามคงดราม่าขึ้นอีกจม เอาเป็นว่าสนุกมากวันนี้ ไม่เหนื่อยมากเท่าที่ควรและพร้อมจะเดินขาลากในวันถัดไปแล้วค่ะ

ไปค่ะเราไปชมวังกัน~

หลังจากที่กายหยาบบอบช้ำมาจากสามวันที่ผ่านมา เดินเยอะ กินไม่เป็นเวลา จากตอนแรกที่คิดว่าจะไปมหาวิทยาลัยดงกุกและมหาวิทยาลัยคยองฮีวันนี้เพื่อให้เป็นวันตะลุยมหาวิทยาลัยไปเลย เลยเปลี่ยนว่าจะตื่นสายหน่อย .. ได้ข่าวว่าสายเป็นปกติ -_-” .. เดินน้อยหน่อย แผนการวันนี้ก็เลยเหลือแค่ฮงแด อีแดก่อนแล้วมหาวิทยาลัยน้องค่อยไปวันหลัง เรายังมีเวลา แต่ถ้าเราทรมานร่างตั้งแต่ตอนนี้ เราอาจจะไม่มีเวลาเที่ยวเพราะต้องนอนซมเฉยๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปเดินเล่นแอ๊บเป็นเด็กมหาวิทยาลัยกันค่ะ

Day 4 : Hongdae, Four Seasons House, Sinchon, Edae

Hongdae
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Hongik University Station, Exit 8 9 หรือ Hapjeong, Exit 3 4 แล้วแต่ว่าอยากจะเดินขึ้นเหนือหรือล่องใต้

เพราะรู้ว่าสถานที่ที่จะไปวันนี้ ร้านรวงผู้คนจะเริ่มมีชีวิตกันตอนสายๆแบบสิบโมงไปแล้ว เราเลยกะว่าจะไปกินข้าวเช้าที่ Kona Beans ก่อน อยากจะอุดหนุนร้านของน้องให้ได้แต่เมื่อวานมาดูลาดเลาแล้วคนเยอะเชียว วันนี้เลยลองมาดูด้วยคิดว่าเป็นวันจันทร์ คนอาจจะไม่เยอะมาก ที่ไหนได้ .. คนเต็มร้านเลยค่ะ ㅠㅠ .. ผู้หญิงตัวน้อยอย่างเราทอดถอนใจ ดูท่าเข้าไปยังไงก็ไม่มีที่ให้นั่งแน่ๆ ต่อแถวซื้อน่ะได้แต่อาจจะไร้ที่กิน มันเป็นความคิดที่แย่มากสำหรับเรา เราเลยตัดสินใจว่าไปหาคาเฟ่ใกล้ๆคนน้อยๆแถวอับกุจองกินแล้วกัน

เราเดินมาเรื่อยๆกลับมาที่สถานีรถไฟ Apgujeong เดินหลายรอบก็พอรู้ว่ามีร้านไหนถูกชะตาบ้าง เห็น Waffle Bant ร้านฟ้าๆน่ารักดีเลยตัดสินใจว่าวันนี้จะแง้บอาหารเช้าที่ร้านนี้แหละ พอเดินเข้าไปร้านโล่งแต่ดูอุ่นๆมากเลยล่ะค่ะ คนขายก็เป็นกันเองมากทีเดียว หลังจากกวาดตามองเมนูแล้วก็ตัดสินใจสั่ง Green tea latte กับ Original waffle ไป นั่งรอซักพักเดียวก็ได้แง้บสมใจ ชาเขียวหวานไปหน่อย ส่วนวัฟเฟิลโอเคนะคะ หอม หวานนิดๆแต่ไม่หวานไป ระหว่างที่นั่งแง้บก็มีคนเดินเข้ามาสั่งแบบ to-go เรื่อยๆ ร้านเค้าก็น่าจะโอเคอยู่นะ (มาสังเกตทีหลังว่ามีสาขาที่อื่นด้วย 555′)

20120913-112352.jpg20120913-113355.jpg

จัดการเรื่องปากท้องของประชาชนเสร็จสิ้นเราก็เดินทางต่อค่ะ คราวนี้มุ่งหน้าไปฮงแดเลย

ย่านมหาวิทยาลัยฮงอิกและย่านมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาคือที่ที่เราจะไปเดินสำรวจกันวันนี้ คนอ่านอาจจะงง อะไรกัน บอกว่าวันนี้จะไปฮงแด อีแด ไหงไปๆมาๆคือมหาวิทยาลัยฮงอิกกับมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาซะงั้น ในภาษาเกาหลี คำว่าแดฮักกโย (대학교) แปลว่ามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยฮงอิกก็คือ “ฮงอิกแดฮักกโย/홍익 대학교” เรียกสั้นๆก็คือฮงแดนั่นเอง เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาชื่อเกาหลีก็คือ “อีฮวายอจาแดฮักกโย/이화 여자 대학교” ที่เรียกให้ง่ายสบายปากขึ้นก็คืออีแด

ฮงแดเป็นแหล่งรวม ร้านค้า ร้านอาหาร คลับ บาร์ รวมทั้งเป็นถนนแสดงงานศิลป์อาร์ตๆอะไรพวกนั้น เราไปฮงแดแบบกะว่าจะไปหม่ำข้าวกลางวันที่ร้านที่เจอในหนังสือเต็มที่แล้วก็อาจจะไปเดิน free market แถวๆนั้นแล้วก็ไปดู 1st Shop of Coffee Prince .. อยากดูภาพดอกทานตะวันในร้าน .. แล้วค่อยไปดี๊ด๊าต่อที่อีแด ไม่ได้ตั้งใจมาเสพย์งานศิลป์หรอกค่ะ

เรามาถึงฮงแดในวันฝนตก เด็กนักศึกษาเดินกันตามถนนเส้นหลักที่มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัย เราเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงแยกหน้ามหาวิทยาลัยครู่นึงก่อนที่จะเดินต่อเข้าไปตามแยกเล็กแยกน้อยต่อ มีอยู่ช่วงถนนนึงที่มีกราฟฟิตี้เยอะมาก บางอันสวยเกินไปจนน่าประหลาดใจ พอเดินมาเรื่อยๆถึงได้เจอโรงเรียนสอนกราฟฟิตี้อยู่ในซอย ต้นเหตุของสารพัดลายบนกำแพงมาจากที่นี้นี่เอง แบบว่าเยอะมากจริงๆแม้แต่ในห้องน้ำก็ไม่เว้น

20120913-114223.jpg20120913-114359.jpg20120913-114431.jpg20120913-114505.jpg20120913-114539.jpg
20120913-114830.jpg

Four Seasons House (Yoon’s Studio)
Address : Seoul-si Jung-gu Myeongdong 10-gil 29 (Myeongdong 2-ga)
How to go : Subway Line 4 ลงที่ Myeongdong Station, Exit 6, 7, 8 ได้หมดเลยแต่ Exit 8 ใกล้ที่สุด
Operating hours : 10:30 – 21:30 hrs
Price : 8,000 KRW +

จริงๆเราลังเลมากว่าจะไปดู Four Seasons House ดีไหม .. ก็กะว่าจะเดินไปเรื่อยๆตามใจตัวเองนั่นแหละ แต่จะเดินไปทิศที่บ้านตั้งอยู่แต่ถ้าไม่เจอก็ไม่ขวนขวายจะต้องไปดู ถ้าเจอก็เข้าไปเยี่ยมชมซักหน่อยคงไม่เสียเวลามากนัก

พอเราเดินมาก็เริ่มเห็นร้านคาเฟ่ที่หนังสือแนะนำ ร้าน Mug of Rabbits และเดินไปอีกนิดคือ Vinyl เล็งไว้แล้วค่ะ เดี๋ยวเราจะกลับมานั่งร้านกระต่ายหลังเสร็จกิจ ถ้าจำไม่ผิดเรายืนหมุนตัวอยู่หน้า Vinyl อยู่แป๊บนึง เพราะคิดว่ามาถูกแล้ว พิกัดน่าจะอยู่แถวนี้แต่ดันหาไม่เจอ จนเห็นป้าย Four Seasons House เล็กๆหน้าซอย ดีใจแทบกรี๊ด ประมาณว่าดีใจที่เซนส์ด้านถนนหนทางยังดีอยู่ แล้วก็ทำตัวเป็นคนดี เดินกลับมาข้ามถนนตรงทางม้าลาย

บ้านสี่ฤดูหรือ Four Seasons House เป็นสถานที่ทำงาน ของผู้กำกับ ยูน ซอคโฮ ผู้สร้างละคร 4 ฤดูเรื่อง Spring Waltz, Summer Scent, Autumn in my Heart และ Winter Sonata ภายในบ้านใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำ Spring Waltz แสดงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในการถ่ายทำของละครสี่ฤดู นั่นคือสิ่งที่เรารู้มาในตอนแรกค่ะ เราเคยดูละครของผู้กำกับท่านนี้อยู่บ้างอย่างน้อยก็สองสามเรื่่องจากละครสี่ฤดูเลยคิดว่าอยากเห็น แต่ไม่ได้จำเป็น พอมาถึงหน้าปากซอยขนาดนี้แล้ว….ยังไงก็ต้องไปดูค่ะ

สองขาก้าวไปตาทางมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านที่คิดว่าเป็นบ้านสี่ฤดู ภาพตรงหน้ามันคุ้นสุดๆจนคิดว่าฝันเลยค่ะ แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความมั่นใจของเราก็ยิ่งชัดเจนขึ้น .. บ้านฮาน่า

20120913-124349.jpg

20120913-124513.jpg

เราค่อยๆเดินเข้าไปในบ้าน เห็นสวนเขียวๆ ร้านกาแฟคุณหมอ และบ้านสีเหลืองหลังน้อย แถมข้างฝายังแอบมีรูปจุนที่กำลังถ่ายภาพฮาน่าขนาดเท่าฝาบ้านเหมือนยืนยันให้กับคนที่กำลังงงๆไม่มั่นใจอย่างเรา เราเดินวนไปเข้าบ้านทางด้านหลังที่มีเขียนว่า Jun’s Studio เพราะด้านหน้าดูดีไป เค้ากลัว ㅠㅠ

ภายในร้านเป็นร้านคาเฟ่แหละค่ะ มีแฟนนั่งอยู่และบางคนก็เดินถ่ายรูปสำรวจเหมือนเราเลย แต่เค้าน่าจะดีกว่าเพราะดูท่าเหมือนรู้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน ในขณะที่เรายังดูงงๆ เดินสำรวจอยู่เราก็เจอของมีค่า เหมือนเจอสมบัติเลยค่ะ ภาพวาดฮาน่าที่อยากเห็นมานาน ยืนมองอยู่พักนึงก่อนจะตั้งสติถ่ายภาพ

เราเดินสำรวจชั้นสองที่เป็นส่วนที่พักของจุนและฮาน่าตามท้องเรื่องก่อนจะเดินไปสำรวจห้องใต้ดินที่เป็นส่วนแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในละครสี่ฤดูและ Love Rain ก่อนจะไปจบที่บ้านสีเหลืองหลังน้อยที่ภายฝนจัดเป็นส่วนแสดงของ Summer Scent สวยมากทีเดียวค่ะ คนไม่เคยดูละครเรื่องนี้อย่างเรายังชอบเลย

20120913-124723.jpg

20120913-124832.jpg

เราใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้ในบ้านสี่ฤดู ก้าวแต่ละก้าวของเราก้าวไปอย่างช้าๆ รู้สึกตื้นตันตลอดเวลาเลยค่ะกว่าจะลาบ้านฮาน่ามาได้ในที่สุด ดีใจมากๆที่ได้เห็นบ้านฮาน่าเพราะเป็นการพบโดยบังเอิญ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงดีใจได้ขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะมันเป็นงานชิ้นนึงของยัยยุนมากกว่าที่จะเป็นเพราะละคร Love Rain เป็นเพราะครั้งนีงยุนอาเคยมาทำงานไม่หลับไม่นอนที่นี่เลยทำให้ดีใจที่ได้มายืนในบ้านหลังนี้

…ขอบคุณตัวเองที่ยังมีเซนส์ด้านทิศทางบ้าง

…ขอบคุณที่ไม่คิดเดินเลยบ้านสี่ฤดูไปโดยที่ไม่เข้าไปดู

…ขอบคุณที่เราได้เห็นภาพวาดฮาน่าที่เราอยากเห็นด้วยตาตัวเอง

และเพราะว่าถ่ายรูปที่นี่มาเยอะเกินกว่าจะใส่ในไดอารี่เลยเปิดอีกโพสเพื่อฮาน่าและจุน ^^ อยากให้คนที่ไม่ได้ไปได้เห็นบ้านฮาน่าด้วยกัน ลองกดไปดูภาพกันนะคะ

Four Seasons House : Jun’s Studio and Hana’s House

ชมบ้านฮาน่าสบายใจเราก็ออกมาคาเฟ่กระต่ายน้อย Mug of the Rabbit เหมาะพอดีเลยค่ะ เพราะเราต้องพักพอและฝนก็ตกหนักขึ้น เราสั่ง Green Tea Latte อีกแล้ว ด้วยว่าเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเลยตั้งใจว่าวันนั้นไม่ว่าจะเดินเข้าคาเฟ่ไหนก็จะสั่งชาเขียวเรื่อยไปนี่แหละ เพราะอาจจะเดินเข้าอีกหากถูกชะตา หลังจากสำเร็จโทษชาเขียวอีกแก้วไปฝนก็เริ่มซา ได้เวลาเดินเตาะแตะต่อแล้วค่ะ

20120913-115052.jpg20120913-115124.jpg20120913-115154.jpg

จริงๆแล้วเราแพลนว่าจะไปแง้บๆอาหารที่ร้านร้านนึงในฮงแดเลยไม่ได้ทานอะไรรองท้องเลย แต่ดันหาไม่เจอทั้งๆที่มั่นใจในแผนที่ สุดท้ายเราเลยเดินดูนั่นนี่ในฮงแดไปเรื่อยๆ ไม่กินก็ได้ รวบยอดไปกินที่อีแดเลยแล้วกัน เพราะเจ้าชาเขียวนมนี่ก็ไปกองเต็มท้องอยู่ เราเดินไป 1st Shop of Coffee Price ตอนแรกไม่มั่นใจอีกแล้วค่ะว่าถูกซอยแต่เห็นคนกลุ่มนึงประมาณ 4-5 คนยืนอยู่ด้านหน้ามองเข้าไปด้านในก็พอจะมั่นใจว่าใช่ เราลืมไปเลยค่ะว่าสาขาแรกนี่ปิดไปแล้วจนพอไปถึงเห็นบ้านปิดพร้อมป้าย Big Project ก็นึกได้ว่าเคยมีคนโพสแล้วนินา ดีเลย์ไปนาน -_-” ว่าแล้วก็กดๆถ่ายรูปทั้งที่ปิดๆมานิดหน่อย ใจหายเหมือนกันนะคะ เพราะเป็นหนึ่งในละครเรื่องแรกๆที่ทำให้เรารู้จักเกาหลี ไม่คิดว่าจะถูกเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแล้วทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีๆ จากนั้นเราก็เดินต่อเพื่อกลับมาขึ้นรถไฟไป Sinchon

20120913-115424.jpg20120913-115534.jpg20120913-115606.jpg20120913-115805.jpg20120913-115842.jpg20120913-115907.jpg20120913-115939.jpg
20120913-120327.jpg

Sinchon
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Sinchon Station, Exit 1 2 3 4 แล้วแต่สะดวกเดิน

Edae
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Ehwa Woman’s University Station, Exit 1 2 3 4

ชินชอนเป็นถนนสายสั้นๆที่เป็นอีกย่านมหาวิทยาลัย ใช้เวลาเดินจากปากทางจนถึงทางรถไฟไม่น่าเกิน 10-15 นาที เราเดินบนถนนหลักดูนั่นนี่เรื่อยเปื่อยเอามากๆ ของเล็กๆน้อยๆขายสมแล้วที่เป็นย่านเด็กวัยรุ่น ที่นี่เป็นที่แรกที่เราถูกคนมาถามทางในเกาหลี ทั้งๆที่หน้าตากะเหรี่ยงขนาดนี้ยังมีคนมาสะกิดถามพร้อมรัวภาษาเกาหลีอีกเป็นชุด เราได้แต่ส่ายหัวไปเบาๆ ถึงรู้ทางไปก็บอกเค้าไม่ได้จริงๆค่ะ เพราะพูดเกาหลีได้แค่สวัสดีกับขอบคุณเท่านั้น ฮืออออ~ นี่เป็นแค่รายแรกค่าเพราะยังมีคนมาถามอีกเยอะ ^^”

เราเดินชินชอนแค่ถนนหลักไม่ได้เดินซอกเล็กซอกน้อยก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ระหว่างทางที่เดินไปอีแดมีร้านเล็กน้อยๆขายพวกของจุกจิกกุ๊กกิ๊กนั่นนี่ โดยเฉพาะยิ่งใกล้อีแดนี่เหมาะแก่การช้อปปิ้งสุดๆ เราเองก็ล้มละลายเบาๆมาแล้วใน Kosney

20120913-120702.jpg
20120913-120819.jpg20120913-120851.jpg20120913-120916.jpg

เราว่าย่านอีแดต้องเป็นที่ชื่นชอบของทั้งชายหนุ่มหญิงสาวอะ สาวๆมีที่ให้ล้มละลาย มาอีแดเสร็จอาจจะกลับไปพร้อมเสื้อผ้าหน้าผมและของกุ๊กกิ๊ก ส่วนหนุ่มๆก็เจริญตาเจริญใจเพราะสาวๆเกาหลีเต็มไปหมด

20120913-121524.jpg20120913-121606.jpg20120913-121630.jpg20120913-121651.jpg

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เดินเพลิน พอนึกได้ว่าต้องเดินหาร้านอาหารก็เดินกับมาหน้ามหาวิทยาลัยอีกที พิกัดที่บอกว่าจะเป็นร้าน School Food แปลงร่างเป็น De Chocolate ไปแล้ว และตอนนี้ร่างกายเรียกร้องอาหารหนักรุนแรงเลยเดินไปหาร้านที่ถูกชะตา คล้ายๆกับว่าเราจะเป็นคนชอบถูกชะตากับร้านที่หน้าตา local มากกว่าร้านแฟนซีน่ารักค่ะเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อยู่พักนึงก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งทานที่ร้านหน้าตาบ้านๆร้านนึง .. โชคดี เจอร้านอร่อยอีกแล้ว ㅠㅠ .. แต่ให้มาอีกก็ไม่รู้จะมาถูกไหม แป่ว~

ระหว่างที่เราแง้บๆบิบิมบับอย่างอร่อย อาจุมม่าเดินผ่านไปพูดอะไรซักอย่าง น่าจะ”อาหารอร่อยไหม”หรือ”กินให้อร่อยนะ”นี่แหละ เราก็เงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าวแล้วยกนิ้วโป้งให้อาจุมม่า แบบว่าเพิ่งตักข้าวใส่ปากไป ข้าวเต็มปากพูดไม่ได้แต่อยากจะบอกว่าอร่อยค่ะ อาจุมม่าเลยหัวเราะเอิ้กเลย T///////////T

20120913-121810.jpg

Myeongdong Cathedral
Address : Seoul-si Jung-gu Myeongdong 2-ga 1
How to go : Subway Line 4 ลงที่ Myeongdong Station, Exit 6 7 8 หรือ Subway Line 2 ลงที่ Euljiro-1 (il)-ga Station, Exit 5 6
Operating hours : 09:00 – 21:00 hrs (except the Cathedral)

เรากลับมามยองดงก็ค่ำแล้ว แต่ร้านรวงยังเปิดเลยตัดสินใจว่าจะซื้อของตามใบสั่งเลยก่อนจะไปมีเวลา ส่วนเรื่องจะขนกลับไปที่พักสุดท้ายยังไงน่ะอีกเรื่องนึง ร่างที่มีแรงจากบิบิมบัมของอาจุมม่าเลยถือร่มเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้มาจนสุดหลังมยองดงแล้วก็ตัดสินใจเลี้ยวไปคาธีดรอลซักหน่อย

ใครที่เป็นละครเกาหลีอาจจะคุ้นๆเพราะคาธีดรอลนี้เป็นฉากนึงใน You are beautiful ที่มีกึนซอก ชินเฮ ฮงกิ และยงฮวานำแสดง เราเองก็จำไม่ได้หรอกค่ะว่าเป็นตอนไหนของละครและถ่ายทำที่ส่วนไหนของโบสถ์ เพราะที่เราอยากไปมันไม่ได้เกี่ยวกับละคร 55′ ที่จริงแล้วความสำคัญของมยองดงคาธีดรอลเป็นเพราะคาธีดรอลนี้เป็นโบสถ์ของนิกายแคทอลิคของเกาหลีและเป็นสัญลักษณ์ของมยองดง อยู่ใกล้ขนาดนี้ก็เดินไปดูซะหน่อย ทั้งเปียกๆแฉะๆนี่แหละแต่ศรัทธาล้นเหลือนี่ .. ได้ข่าวว่านับถือพุทธ -_-”

โบสถ์ตอนกลางคืนนี่เงียบบอกไม่ถูก ด้วยแสงไฟน้อยๆจากภายในเพียงนั้นเลยทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ไปใหญ่เลยค่ะ เราเดินเข้าไปภายใน แม้จะมีคนมาสวดมนต์อยู่บ้างแต่ก็เงียบกริบ เงียบจนไม่กล้ากดชัตเตอร์อีกแล้ว แต่ก็ถ่ายมาแล้วย่องออกมาให้เบาที่สุด กล้าหายใจเต็มปอดก็ตรงพ้นประตูโบสถ์มาแล้วนี่ล่ะค่ะ

20120913-122103.jpg20120913-122147.jpg20120913-122241.jpg

20120913-122444.jpg

20120913-122530.jpg

เราเดินรอบๆโบสถ์หนึ่งรอบก่อนจะเดินกลับมาที่พัก วันนี้เราตั้งใจว่าจะนอนเร็วกว่าปกติค่ะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไป DMZ และ JSA ไปสุดเขตชายแดนเกาหลีเลยทีเดียวค่ะ ^^

เมื่อคืนหลังคอนเสิร์ท หลังจากได้รู้ว่าสามคนที่เบาะหน้าเป็นคนไทยเราก็จัดการผูกมิตรซะเลย พวกเค้าจะกลับกรุงเทพไฟล์ทเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งก็คือวันนี้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นวันนี้เลยเป็นครึ่งวันสุดท้ายของเค้าในโซล เท่าที่คุยกันหนึ่งในนั้นอยากไปวังชางด็อกและเดินดูสวนลับพีวอนก็เลยตกลงกันว่าไปก็ไป ยังไงก็จะไปวังอยู่แล้วและไปเที่ยวแบบเจอมนุษย์คนไทยบ้างก็คงดี .. ก่อนที่จะต้องเที่ยวคนเดียวอีกหลายวัน

Day 3 : Changdeok-gung and Secret Garden, Bongeunsa Temple, Pulmuone Kimchi Field Museum, Coex Aquarium

Changdeok-gung and Secret Garden
How to go : Subway Line 3 ลงที่ Anguk Station, Exit 4
Operating hours : Seasonal, August 09:00 – 15:30
Admission fee : Adult 3,000 KRW / Child 1,500 KRW (7-18 years old)
Secret Garden Admission Fee : Adult 5,000 KRW / Child 2,500 KRW

เรารีบตื่นนอนแต่เข้าจัดการนั่นนี่เพราะรู้ว่าจะต้องรีบเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก่อนเที่ยง จะฝากของก็ไม่มั่นใจความสามารถในการสื่อสารกับคุณลุงยาม สุดท้ายเลยตัดสินใจเอากระเป๋าไปฝากโรงแรมที่มยองดงก่อนดีกว่าเพื่อความสบายใจ เราบอกกับโซวอนที่นัดไว้ว่าจะขอสายซักครึ่งชั่วโมงเพราะในแอพดันกะเวลาจากสถานี Hyehwa ไปสถานี Myeongdong ไว้ประมาณแค่ 8 นาที .. หูยยย ใกล้ขนาดนี้นิดเดียวก็ถึง .. แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิคะ มันไม่รวมเวลาลากกระเป๋าจากที่พักไปสถานีรถไฟและจากสถานีรถไฟขึ้นเขา แถมพอลงจากสถานี Myeongdong มาฝนก็ตกอีกต่างหาก คนที่ปกติพกร่มตลอดเวลาหน้าฝนนึกได้ตอนนั้นเองค่ะ ตอนที่หาร่มไม่เจอ ก็เลยนึกได้ว่าลืมร่มไว้ที่คอนเสิร์ทเมื่อคืนพร้อมถุงขนม แต่มันรอไม่ได้แล้วนี่คะ นัดคนเค้าไว้แล้ว เราเลยเข้า 7-11 ไปซื้อร่มแล้วจัดการเดินขึ้นเขาเพื่อไปโยนกระเป๋า

ตอนแรกเราก็นึกค่ะว่าไปแค่ดร็อปกระเป๋าแล้วเค้าคงไม่อะไรมากมาย แต่คือเค้าให้ทั้งเช็คอิน จ่ายเงิน อธิบายนั่นนี่อีกก่อนจะเอากระเป๋าไปโยนในห้องให้ แค่นั้นแหละค่ะ เสร็จกิจเราก็วิ่งปรู้ดกลับมาที่ NIIED ทันที สายแล้วววววววว~

เหตุผลที่เรารีบไม่ใช่เพราะเราสายค่ะ แต่เป็นเพราะเพื่อนเดินทางของเราจะมีเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ต่างจากเราที่มีอีกหลายวันในเกาหลี เราอยากให้เค้าได้ไปที่ที่เค้าอยากจะไป ไม่อยากให้ต้องมาสายหรือพลาดโอกาสไปเพราะเรา

พอมาถึงที่พักเห็นผู้ร่วมเดินทางวันนี้กำลังจัดกระเป๋าก็แอบใจชื้นนิดๆว่าคงไม่สายมากนัก รอสองคนจัดกระเป๋าแบบพร้อมกลับบ้านแล้วเราก็เริ่มเดินทางเพื่อไปยัง Changdeok-gung อาจจะเป็นเพราะความที่เป็นโซวอนเหมือนกันก็เลยทำให้คุยกันรู้เรื่อง การนั่ง subway เลยใกล้กว่าปกติ เราเลยมัวแต่เม้ามอยกันจนนั่งรถเลยป้ายกันแบบไม่มีใครรู้ตัวเลยค่ะ มารู้ตัวอีกทีก็คือรถไฟกำลังออกจากสถานี Anguk แล้ว อาเมน

นั่งรถกลับมาหนึ่งสถานีบวกเดินอีกนิดหน่อยก็ถึง Changdeok-gung พอดี จากการคำนวนเวลารู้สึกว่าเวลากระชั้นสุดๆแต่เพื่อนร่วมทางอยากดูค่ะ เรายินดีสนับสนุนเต็มที่ ไหนๆก็มาแล้วนินา แต่ก็ขึ้นอยู่กับเค้า เพราะถ้าตกไฟล์ทเค้าจะยุ่งกว่า ลังเลอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจดูแล้วกัน เราต้องซื้อตั๋วอย่างน้อยหนึ่งในก่อนเพื่อเข้าวังและซื้อตั๋วเพิ่มอีกใบหากต้องการเข้าชมสวนลับพีวอน ซึ่งเราอยากเข้าไปดูแบบใจร้อน

เราแทบจะไม่ได้เข้าไปชมวังเลยมั้งคะวันนี้เพราะรีบเดินเข้าไปเพื่อให้ทันรอบสวนลับพีวอน ไม่งั้นจะพลาดไปหมด ทั้งวังทั้งพีวอน ใจเราน่ะยังไงก็ได้แต่ห่วงคนตั้งใจจะมาดู หลังจากคำนวนเวลาแล้วคำนวนเวลาอีกก็สรุปได้ว่าเข้าไปดูและเดินออกมาก่อนที่จะครบรอบก็แล้วกัน

สวนลับพีวอนคือสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจสำหรับเจ้านาย(กษัตริย์และราชวงศ์) บ้างก็ไว้ทรงหนังสือ ประพันธ์โคลงกลอน หรือสังสรรค์ ภายในสวนแค่เดินเข้ามาก็ร่มรื่นแล้วล่ะค่ะ ถึงจะเรียกว่าสวนแต่ดูแล้วเหมือนกับสร้างสิ่งก่อสร้างเล็กๆเพื่อพำนักพักพิงในป่ามากกว่า

20120905-192352.jpg

20120905-192454.jpg

20120905-192718.jpg

20120905-192746.jpg

20120905-192832.jpg

20120905-192855.jpg

เราเดินมาถึงส่วนที่เป็นที่พักแน่นอนว่าสำหรับกษัตริย์และผู้ติดตามก่อนที่จะตกลงใจกันว่าวันนี้เราควรจะพอแค่นี้ดีกว่า ไม่งั้นเพื่อนร่วมเดินทางอาจจะตกเครื่องไม่ได้กลับมาเมืองไทยได้ เราเดินไปส่งเพื่อนเดินทางที่สถานี Anguk ก่อนจะแยกกันไปเพราะเค้าต้องรีบกลับที่พักเพื่อเดินทางต่อไปสนามบิน ส่วนเราต้องไปตามล่าหาอาหารแล้ว ตั้งแต่เมื่อเช้ามัวแต่วิ่งผลัดสี่คูณร้อยจนไม่มีอะไรซักอย่างตกถึงท้องเลย ㅠㅠ

…โชคดีนะคะเพื่อนร่วมเดินทางของเรา แล้วโอกาสหน้าเราคงได้เดินด้วยกันใหม่ ^^

Bongeunsa Temple
How to go : Subway Line 2 ลงที่ Samseong Station, Exit 6 เดินขึ้นไปทางเหนือของห้าง Coex วัดบงอึนซาจะอยู่อีกฝั่งถนน
Operating hours : 05:00 – 21:00 hrs
Admission fee : Free

ถึงตอนนั้นจะบอกว่าจะแยกไปหาของกินแต่รอบตัวไม่เจอร้านที่ถูกชะตาส่งสายตาปิ๊งๆมาให้เลย แถม T-money ก็หมด ตู้เติมก็เสีย มองเข้าไปในตู้ที่ควรจะมีพนักงานแต่หาพนักงานไม่เจอ งงหนักเลยเดินกลับมาเติมที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อเติมเงินใน T-money ก่อนจะเดินลงไปที่สถานีอีกรอบ จริงๆแล้ววันนี้ตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นคือวันไป SM Art Exhibiton แล้วก็ตะลุยคังนัม แต่เราไป SM Art Exhibition มาแล้ว เวลาที่เหลืออีกครึ่งวันคงพอให้เที่ยวตามแผนเดิมคือเที่ยวย่านคังนัม

เราตัดสินใจไปที่ไกลที่สุดก่อนคือวัดพงอึนซาแล้วค่อยกลับมาใช้เวลาที่เหลือของวันที่ Coex พอมาถึงเราก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปดูหน้า SM Art Exhibition ก่อนเลยว่าวันนี้ใครจะมาเดินเล่นที่นี่ เผื่อจะได้มาพร้อมกันกับยัยหนู วันนี้ศิลปินที่มาคือยูริ (จำได้เท่านั้น มีใครอีกไหมไม่แน่ใจจริงๆค่ะ) เราเห็นแถวแล้วมาประมวลผลอยู่นานเพราะคนเยอะมากกว่าเมื่อวันศุกร์ที่เรามามาก อาจจะเพราะเป็นวันหยุด ตกลงเราเลยตัดใจไม่รอน้องยูลแล้วกัน เดินลงมาตั้งเข็มกันใหม่ที่ด้านล่าง ไปบงอึนซาจริงๆแล้วค่ะ ไม่ออกนอกเส้นทางแล้ว หลังจากหาทิศเหนือใน Coex อยู่นาน เราเองดันไม่มีเข็มทิศติดมาด้วยแถมนี่ยังเป็นเวลากลางวันที่ไม่มีดาวเหนือคอยบอกทางอีก พนักงานคงเห็นเรายืนมองผังห้างอย่่างงงๆแล้วทนไม่ไหวเลยเดินเข้ามาถามว่าต้องการความช่วยเหลือไหม พอเราถามทางไปวัดก็ตั้งสติอยู่ครู่นึงก่อนจะชี้ทางไปสว่างให้กับเรา พอเดินมาแล้วก็ถึงได้รู้ว่าทิศเหนือของห้างจริงๆแล้วก็คือฝั่งเดียวกับ Hall D สถานที่จัด SM Art Exhibition นั่นแหละเพียงแต่คนละชั้นเท่านั้นเอง พอรู้เท่านั้นความมั่นใจด้านทิศทางก็กลับมาเต็มที่ เราหาทางเดินออกจาก Coex มาที่ถนนใหญ่ก็พบวัดตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

20120905-193209.jpg

วัดบงอึนซาเป็นวัดพุทธนิกายมหายานที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรชิลลา ในสมัยราชวงศ์โจซอน ศาสนาพุทธในเกาหลีถูกกดดันเป็นอย่างมาก ต่อมาวัดบงอึนซาได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1498 โดยพระราชินีแห่งราชวงศ์โจซอน และได้รับการสนับสนุนจากพระราชินีมุนจอง ซึ่งเป็นผู้ฟื้นฟูศาสนาพุทธในเกาหลีในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 วัดบงอึนซาแห่งนี้จึงเป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายเซนในปี 1551

ในช่วงสงครามเกาหลี วัดแห่งนี้เคยถูกเผาทำลายลงไปบางส่วนและได้มีการบูรณะขึ้นมาอีกครั้งจนกลายเป็นวัดที่สำคัญอีกหนึ่งในโซล ภายในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักด้วยหินอ่อนองค์ใหญ่ ซึ่งมักจะมีผู้คนมากราบไหว้ขอพรกัน

ภายในวัดมีโคมขาวๆแขวนเต็มไปหมด สวยมากเลยล่ะค่ะ แขวนกันเต็มเพดานไปจนถึงเป็นแนวตามทางเดิน เค้าจะเขียนคำขอพรใส่ในโคมกันแล้วทางวัดจะเอาไปแขวนให้ เราจ่ายค่าโคมเหมือนเป็นการทำบุญนั่นละค่ะ

20120905-193321.jpg

20120905-193450.jpg

20120905-193531.jpg

20120905-193554.jpg

20120905-193620.jpg

20120905-193638.jpg

20120905-193717.jpg

ในวันที่เราไปมีคนตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชรา พ่อแม่ที่พาลูกหลานมาไหว้พระ ทำให้วัดมีคนเดินไปมาตลอด แทบทุกอาคาร(เรียกว่าโบสถ์ได้ไหมนะ?)จะมีคนไหว้พระนั่งสมาธิเต็มไปหมด แต่ก็ยังเงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก เงียบแบบที่เราไม่กล้ากดชัตเตอร์ถ่ายรูปเลยค่ะ กลัวไปรบกวนสมาธิคนอื่นเค้า ㅠㅠ ตามข้อมูลแล้วทางวัดเองมี Temple Stay สำหรับผู้สนใจศึกษาและ/หรือปฏิบัติธรรมด้วย ถ้าใครสนใจก็ลองหาข้อมูลได้เลยนะคะ น่าสนใจทีเดียว แต่นิกายมหายานอาจจะต่างจากพุทธนิกายหินยานที่ชาวไทยนับถืออยู่

Pulmuone Kimchi Field Museum
Location : Second Basement Level, COEX Mall
Operating hours : Tuesday – Sunday: 10:00 – 18:00 hrs (visitors admitted until 5:30 p.m.)
Fee : Adult: 3,000 KRW / Elementary, Middle, High School Students: 2,000 KRW / Child (48 months old or elder): 1,000 KRW

เราเดินวนดูนั่นนี่ในวัดครบหนึ่งรอบก็เดินข้ามฝั่งกลับมาที่ Coex แล้วลงไปชั้นใต้ดินค่ะ แรกเริ่มเดิมทีก็ตั้งใจจะไป Aquarium ก่อนแต่อิท่าไหนไม่รู้ เจอพิพิธภัณฑ์กิมจิก่อน กิมจิก็กิมจิ .. พอกลับมาเช็คเวลาทำการของพิพิธภัณฑ์อีกทีถึงได้รู้ว่าโชคดีมากที่เข้าพิพิธภัณฑ์กิมจิก่อนเพราะถ้าไป Aquarium ก่อนแล้วกลับมาดูเราอาจจะไม่ได้ดูก็ได้ เพราะพิพิธภัณฑ์ปิดก่อน

พิพิธภัณฑ์กิมติเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกิมจิ วิธีการทำ อาหารจากกิมจิ คุณประโยชน์ของกิมจิ และก็มีกิมจิให้ชิมด้วยค่ะ

กิมจิถือว่าเป็นอาหารที่ดีกับสุขภาพอันดับต้นๆของโลกเลยนะคะ แรกเริ่มเดิมทีแล้วที่มาของกิมจิคือความต้องการที่จะเก็บอาหารไว้รับประทานในหน้าหนาวซึ่งอากาศหนาวเย็น เนื้อสัตว์ต่างๆสามารถเก็บได้ในที่เย็น แต่ผักล่ะจะเก็บได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการดองผักออกมาเป็นกิมจิ แต่กลับกลายเป็นว่าคนเกาหลีสมัยโบราณได้ค้นพบอาหารที่มีคุณประโยชน์มากเลยทีเดียวเพราะกิมจิอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง นอกจากนั้นยังมีวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม เหล็กและจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส ทำให้กิมจินอกจากจะอุดมด้วยวิตามินแล้วยังช่วยย่อยอาหารอีกด้วย เริ่ดจริงๆ

แรกเริ่มเดิมทีกิมจิไม่ได้มีสีแดงแต่สีเหมือนผักที่ใช้ดองนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มีวิวัฒนาการในการทำมาเรื่อยๆจนกลายเป็นกิมจิสีแดงที่คุ้นตาอย่างทุกวันนี้ แต่กิมจิเองก็มีมากมายหลากหลายชนิดมากเลยค่ะ ซึ่งแล้วแต่ว่าร้านไหนจะเสิร์ฟกิมจิแบบไหนเป็นเครื่องเคียง

20120905-193926.jpg

20120905-193955.jpg

20120905-194049.jpg

พิพิธภัณฑ์กิมจิสร้างขึ้นเพื่อเปิดให้ประชาชนทั้งภายในประเทศและชาวต่างชาติได้ศึกษาความเป็นมาของอาหารขึ้นชื่อของชาวเกาหลีอย่าง “กิมจิ” ซึ่งบริษัท พุลมูวอน ได้เคยสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมาแล้วที่ จังหวัดชุงกู ในปี 1996 เพื่อรองรับจำนวนของนักท่องเที่ยวที่จะมางานโอลิมปิกในปี 1998 หลังจากนั้นพิพิธภัณฑ์ก็ถูกย้ายไปที่ COEX เพื่อเผยแพร่ความเป็นมาของกิมจิให้ชาวต่างชาติได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนจะถูกย้ายมาที่โซลอีกครั้งในปี 2000

เราใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีในการชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ระหว่างที่อยู่ในนั้นก็มีครอบครัวชาวเกาหลีเข้ามาชมเป็นระยะๆ มีคุณตาพาหลานอายุราวๆสิบขวบ(พร้อมครอบครัว)มาเที่ยวด้วยค่ะ เห็นคุณหลานพูดภาษาอังกฤษเลยเดาว่าน้องน่าจะอาศัยอยู่ต่างประเทศ พอกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดคุณตาเลยพาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ คุณตาแข็งแรงและอารมณ์ดีมากๆ พอเห็นหุ่นที่ทำท่าป้อนกิมจิแล้วก็รีบไปนั่งทำท่าให้ถ่ายรูปทันที ^^

20120905-194112.jpg

Coex Aquarium
Location : B1 floor, COEX Mall
Operating hours : 10:00 – 20:00 hrs (Last entry at 19.00)
Admission fee : 17,500 KRW

หลังจากเดินดูพิพิธภัณฑ์กิมจิจนทั่ว ชิมกิมจิเรียบร้อย เราก็พร้อมจะไป Coex Aquarium แล้วค่ะ เราใช้เวลาอยู่นานมากในการหาเจ้า Aquarium ใหญ่โตนี้ เพราะป้ายมันมาๆหายๆ คือเดินมาตามทางที่มีป้ายไป Aquarium อยู่ดีๆป้ายก็หายไปซะงั้น! หายไปจนเหมือนคนหลงทาง ㅠㅠ เรางงจนต้องเดินหา floor plan ดูทางแล้วก็ยังเดินต่อไปอย่างไม่มั่นใจ ระหว่างทางก่อนถึง Aquarium ก็ถูกดูดโดยอะไรที่คล้ายๆกับนิทรรศการขนาดเล็กเลยเข้าไปเดินวนซะหน่อยแล้วกลับมาหา Aquarium ต่อ

20120905-200042.jpg

ถึงจะเดินมาแบบงงๆแต่เราก็ถึงค่ะ Coex Aquarium อยู่ตรงหน้าแล้ว พอมาดูแผนที่จากใบปลิวของ Aquarium แล้วมันอยู่ติดกับ Megabox Theater ที่เราเดินผ่านด้านหลังไปมาอยู่หลายรอบ มาถึงที่แล้วเราก็แอบอยากเขกหัวตัวเองเบาๆที่ริอาจจะมา Aquarium วันเสาร์อาทิตย์ เพราะครอบครัวพาลูกพาหลานมาเที่ยวเยอะมากกกก มากจริงๆ คือแค่เห็นทางเข้าก็บอกได้เลยล่ะค่ะ ㅠㅠ ไม่ชอบคนเยอะไม่พอ ไม่ถูกกับเด็กด้วย เรามาผิดที่ซะแล้ว แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ช่างมันเถอะก็ได้ ㅠㅠ

20120905-200217.jpg

Coex Aquarium เป็น Aquarium ที่ใหญ่นะคะตามความคิดเรา พื้นที่รวมของ Aquarium ใหญ่ตั้ง 14,340 ตารางเมตร เป็นส่วนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเปิดให้บริการ 9,256 ตารางเมตร ใช้เวลาประมาณชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งในการเที่ยวชม Aquarium จัดแสดงตั้งแต่ปลาท้องถิ่นของเกาหลี Fish’s Wonderland ซึ่งคือส่วนที่แสดงปลาที่เข้าไปอยู่ในการดำเนินชีวิตของคน เราจะได้เห็นปลาในตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องขายของอัตโนมัติ ตู้โทรศัพท์สาธารณะหรือคอมพิวเตอร์ได้ในโซนนี้ Amazon World ปลาจากทั่วโลก Ocean Tunnel ที่ให้เราเดินใต้แทงค์น้ำขนาดใหญ่ที่มีฉลามด้วย ไล่ไปเรื่อยๆจะเป็นโซนของสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนมและใต้ทะเลลึก

20120905-200347.jpg

20120905-200413.jpg

20120905-200437.jpg

20120905-200619.jpg

20120905-200648.jpg

20120905-200703.jpg

ตอนที่เราไปส่วนของสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม เจ้าแมวน้ำน่ารักมันจ้องตากับคนที่ดูอยู่ หยุดให้ถ่ายรูปอยู่นานมากแล้วมันก็ไป แต่ทีนี้พอเรียกอีกทีมันก็ไม่มาแล้ว มันคงคิดในใจว่าก็เมื่อกี้อยู่ให้ถ่ายตั้งนานแล้วนินา พอแล้ว เหนื่อยแล้ว

20120905-200511.jpg

โซนที่น่าสนใจอีกโซนคือ Touch Pool เป็นส่วนที่ให้เด็กลองสัมผัสสัตว์ทะเลพวกหอยและปลาดาวได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้จับปลาดาว อันที่จริงแล้วเราเห็นป้ายเขียนว่าให้จับพวกมันเบาๆแต่ก็เห็นเด็กบางคนจับหนักมือเป็นบ้า เคยได้ยินว่าปลาหรือสัตว์น้ำที่อยู่ใน Aquarium จะต้องถูกผลัดเปลี่ยนบ้างไม่งั้นก็จะมีอัตราการตายสูง อันนี้คงจะสูงปรี้ดหนักกว่าเดิมแน่ๆ เราเดินไปจนถึงเจ้าเพนกวินดูความน่ารักของมันอยู่พักนึงก่อนที่จะออกมา .. เสียดายมากๆที่ครั้งนี้ไป Aquarium คนเดียว ถ้าไปกับเพื่อนตามกล้องที่จบสัตว์แพทย์ของเรามันจะต้องยิ่งสนุกเพราะจะมีคนอธิบายอะไรเล็กๆน้อยๆที่ใน Aquarium ไม่มีบอกไว้

อันที่จริงตอนแรกที่ไป Coex Aquarium เราไม่มั่นใจหรอกค่ะว่าเป็นที่ที่สาวๆไปกับเจ้าเด็กอันตรายใน SNSD and Dangerous Boys แต่พอเห็นที่ที่ถ่ายรูปกับไข่และหัวฉลามที่ซันนี่โดนกินมาก็มั่นใจ เลยถือเป็นโบนัสในการเดินทางไกลวันนี้ .. วันนี้ที่ไม่มีสาวๆแต่มีคุณพ่อจับเด็กน้อยให้เจ้าฉลามกินน่ารักมากๆเลยค่ะ เราเลยแอบถ่ายรูปมาซะเลย แฮ่~

20120905-200823.jpg

หลังจากใช้ชีวิตทั้งวันโดยการดื่มน้ำวิตามิน เพราะมัวแต่เดินเที่ยว ผลัดอาหารเช้าเป็นกลางวันและกลายเป็นเย็นไป เราเลยตัดสินใจว่าจะไปกินข้าวที่มยองดงก็แล้วกัน ใกล้บ้านดี ในมยองดงมีร้านก๋วยเตี๋ยวเส้นนิ่มชื่อด้งอยู่ร้านนึงเลยตั้งใจว่าจะไปกินร้านนั้น แต่ก่อนไปด้วยความที่ Coex อยู่ในเขตคัมนัมซึ่งในใจคิดว่าคงไม่ไกลจาก SM เท่าไร เลยนั่งรถมาแวะ(กล้าใช้คำว่าแวะมากๆจุดนี้)ที่อับกุจองเพื่อสำรวจเส้นทางมาร้าน Kona Beans ของเจ้าน้องชายและทางไป SM วันนี้ที่แฟนเยอะมากค่ะทั้งที่หน้าบริษัทและร้านกาแฟของน้องชาย เราไม่ได้รอหรอก ^^” มาสำรวจจริงๆเพราะเดินดูนั่นนี่แล้วก็เดินเลยไปถนนด้านข้างตึกขึ้นเขายาวไปจนถึงสุดถนน จากตรงนั้นถนนที่มาตัดอีกเส้นคือถนนที่จำวิ่งเลียบแม่น้ำฮันไป ฝั่งตรงข้ามคือสวนสาธารณะเป็นแนวยาวไปเลยค่ะ เกาหลีนี่พื้นที่สีเขียวเยอะจริงๆ แต่สวนสาธารณะนี้ไม่ได้ติดกับริมแม่น้ำฮันนะคะ ในใจเราอยากจะเดินไปดูอีกแต่กายหยาบบอกไม่ไหวแล้วค่ะ ต้องรีบหาอาหารกินอย่างด่วนเพราะหิวแบบที่ขนมปังในคาเฟ่แถวนั้นก็ยั้งไม่อยู่ เราเลยรีบออกจากอับกุจองไปมยองดงเพื่อแง้บอาหารเย็น

20120905-200947.jpg

20120905-201009.jpg

Myeongdong Gyoja (명동교자)
Address : Seoul-si Jung-gu Myeongdong 10-gil 29 (Myeongdong 2-ga)
How to go : Subway Line 4 ลงที่ Myeongdong Station, Exit 6, 7, 8 ได้หมดเลยแต่ Exit 8 ใกล้ที่สุด
Operating hours : 10:30 – 21:30 hrs
Price : 8,000 KRW +

ตอนที่นั่งรถไฟฟ้ามีคุณลุงขึ้นมาขายของด้วยค่ะ ซึ่งดูจะเป็นปกติมากๆเพราะทุกคนทำท่าเฉยชา เราก็มองคุณลุงฆ่าเวลาไประหว่างที่อยู่บนรถ คุณลุงพรีเซนท์ของอย่างชำนาญ ถึงเราไม่เข้าใจก็พอรู้ล่ะค่ะว่าคุณลุงขายที่สไลด์อาหาร แต่ไอ้ที่ทำเราอึ้งไปคือระหว่างที่เราก้มกดโทรศัพท์มือถือเราก็ได้กลิ่นแตงกวาลอยมา คุณลุงเอาแตงกวามาใช้ในการสาธิตแบบสดๆ

…คุณพระ! เจสสิก้าทันที เธอคงไม่สามารถอยู่ร่วมโบกี้กับคุณลุงสาธิตได้แน่ๆ

แล้วคุณลุงก็เดินไปขายอีกโบกี้ถัดไปหลังจากไม่ประสบความสำเร็จจากโบกี้เรา เราก็นั่งต่อจนมาถึงสถานี Myeongdong อย่างหิวโซ เราหาร้านเจอแล้วเดินเข้าร้านแบบไม่คิดเลยค่ะ ตอนสั่งอาหารก็นั่งระลึกชาติอยู่พักนึงว่าร้านนี้อะไรดังน้อ แต่พอเปิดเมนูก็มาก็เจอหน้าแรกเลยค่ะ อารมณ์ว่าเป็น signature ของร้าน ด้วยความหิวจริงๆอยากจะสั่งของอีกเยอะมากมากินแต่ตาไวเหลือบไปเห็นขนาดชามโต๊ะข้างๆ เอาเป็นว่าชามเดียวก่อนน่าจะดีกว่า จัดการเรียกอาจุมม่ามาสั่งอาหารและจ่ายเงิน ร้านนี้เก็บเงินเลยค่ะ ไม่นานอาหารก็มา แล้วก็เป็นดังคาด…….ราบเป็นน่ากลอง

20120905-195626.jpg

กินเสร็จก็ไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่มีแรงอะไรทั้งสิ้น เดินขึ้นเขาหนึ่งเนินเพื่อกลับที่พักเพื่อพักผ่อน ชาร์จแบตไว้ก่อนพรุ่งนี้ยังเดินอีกเยอะ ^^