Seoul 2012 : ชายแดนเกาหลีเหนือ-ใต้ ปีนป่ายนัมซาน

ด้วยความสนใจในเกาหลีไม่ใช่เพียงแค่ศิลปินดาราแต่พอรับรู้เรื่องการเมืองและสงครามทำให้เรารู้สึกว่ามีสถานที่ที่นึงที่อยากจะไปเห็น ไม่ว่าพี่ชายที่เคยไปทำงานที่เกาหลีใต้อยู่พักใหญ่จะบอกว่าชายแดนเกาหลีเหนือ-ใต้มันน่ากลัวแต่เรายังคงอยากไป ลังเลอยู่นานทั้งๆที่ทัวร์ก็จองยาก คือถ้าจองช้าในวันที่มีนักท่องเที่ยวเยอะก็อาจจะหมดสิทธิ์ได้ไป แถมยังไม่สามารถไปเองได้ ต้องมีไกด์นำเที่ยวเท่านั้น .. Demilitarized Zone (DMZ) และ Panmunjeom Joint Security Area (JSA)

Day 5 : Demilitarized Zone (DMZ), Panmunjeom Joint Security Area (JSA), N Seoul Tower, Teddy Bear Museum

Demilitarized Zone (DMZ)
Panmunjeom Joint Security Area (JSA)

How to go : จองกับทัวร์ค่ะ ให้ทางโรงแรมติดต่อให้ก็ได้ แต่ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนวันเดินทาง หรือนั่งรถไฟไปลง Imjingak แล้วซื้อทัวร์ DMZ ที่นั่นได้เลย แต่ไม่รู้นะคะว่าวันคนเยอะจะเป็นยังไง สำหรับเราเอาชัวร์เพราะ JSA ต้องจองล่วงหน้าอยู่แล้วเลยให้ทัวร์จัดการให้ทั้งหมดเลยค่ะ

เราตื่นแต่เช้าตรู่มาเตรียมตัวที่จะไปเที่ยว Demilitarized Zone (DMZ) และ Joint Security Area (JSA) เพราะรถของทัวร์ที่จองไว้นัดตั้งแต่ 07:55 .. เศษ 55 นาทีนี่ยังไง -_-” .. นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของเกสท์เฮาท์ที่พักซักครู่รถก็มารับ ตอนแรกที่เห็นแอบตกใจค่ะ เพราะเป็นรถตู้ขนาดแค่ 6-7 คนนั่งเท่านั้นเอง แอบตกใจเบาๆว่าไหนบอกว่าเป็น popular tour แต่มีคนแค่นี้ล่ะ พอนั่งไปซักพักก็ได้รู้ว่านั่นเป็นแค่รถคันแรกที่ไปรับเราจากที่พักค่ะ เราต้องเปลี่ยนเป็นรถตู้คันที่ใหญ่ขึ้นอีกคันเพื่อนั่งไปยัง Imjingak ที่อยู่ในเขตพาจู แล้วที่นั่นเราจะนั่งรถบัสอีกคันเพื่อเที่ยวใน DMZ และคงไม่ต้องบอกว่าเรามีเพื่อนร่วมเดินทางเต็มรถเลย อุ่นใจขึ้นอีกเยอะเลย -_-”

Demilitarized Zone (DMZ) คืออะไรและมันสำคัญยังไง อันนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 60 กว่าปีก่อนนู้นเกิดความขัดแย้งทางความคิดทางด้านการเมืองขึ้นจนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามเกาหลี ในตอนแรกนั้นญี่ปุ่นปกครองเกาหลีอยู่จนถึงตอนที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีจึงเป็นอิสระ ซึ่งมันเหมือนจะดี แต่มันกลับทำให้เกิดเรื่องราวมากมายตามมา เพราะเกาหลีเป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างการปกครองสองฝ่าย เกาหลีเหนือติดกับจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์จึงเห็นว่าคอมมิวนิสต์ดี ในขณะที่เกาหลีใต้ติดกับญี่ปุ่นซึ่งกลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยหลังจากที่แพ้สงครามก็เห็นว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยดี ความแตกต่างทางด้านความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังต้องการผู้นำและระบอบการปกครองหลังจากเพิ่งได้อิสรภาพจึงทำให้ก่อกำเนิดเป็นสงครามเกาหลี

เกาหลีเหนือจัดตั้งเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์โดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน ส่วนเกาหลีใต้ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติหรือ UN เกิดขึ้นนานหลายปีจนในที่สุดได้มีข้อตกลงหยุดยิงโดยกำหนดให้เส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือหรือที่เรียกว่าเส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นที่แบ่งเขตแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดย Demilitarized Zone (DMZ) กินเนื้อที่จากเส้นขนานที่ 38 ไป 2 กิโลเมตรทั้งทางฝั่งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ไปตลอดแนวยาว

เมื่อพูดถึงพรมแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้แล้วบางคนอาจจะคิดว่ามันอยู่ไกลมากเหมือนบ้านเราที่เขตชายแดนอยู่ไกลเมืองหลวงไปหลายร้อยกิโลเมตร หากแต่ DMZ นั้นอยู่ห่างจากโซลไปเพียงแค่ 40-50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วโมงเดียวทางรถยนต์เท่านั้นเอง ระหว่างทางที่นั่งรถไปเราจะสามารถเห็นรั้วลวดหนามและป้อมทหารอยู่เป็นระยะๆ ยิ่งใกล้เขต DMZ รั้วพวกนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นและแน่นหนามากขึ้น โดยห้ามให้ใครเข้าออกจากเจ้ารั้วนี้ค่ะ หากเห็น…..อาจจะโดนยิงจากทหารได้ สาเหตุก็เพราะแม่น้ำนั้นติดอยู่ว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนจากฝั่งเหนือลักลอบมาทางแม่น้ำและขึ้นฝั่งที่เกาหลีใต้นั่นเอง

ตอนที่เราเดินทางออกจากโซล รถที่นั่งขับผ่านพิพิธภัณฑ์…ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับสงคราม ไกด์ชี้ให้ดูที่ด้านหน้าซึ่งมีอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงสงครามเป็นรูปปั้นสองพี่น้องกำลังกอดกัน แต่ถ้าดูดีๆแล้วคนนึงใส่ชุดทางฝั่งเหนือ ส่วนอีกคนใส่ชุดทางฝั่งใต้ เพราะสงครามทำให้พี่กับน้องต้องมาสู้กันเอง ฟังที่ไกด์เล่าเราเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันนะคะ

ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่าตัวเค้าเองก็มีญาติที่ขาดการติดต่อเพราะสงครามเหมือนกัน ป้าของเค้าอยู่เกาหลีเหนือและขาดการติดต่อไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง .. คนที่แสนจะ sensitive ไม่เข้าเรื่องอย่างเราน้ำตาคลอ -_-”

เขต DMZ เป็นเขตที่ไม่อนุญาติให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัย แต่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นประมาณ 200 กว่าชีวิตได้ คนที่เข้าอาศัยอยู่ในเขต DMZ เข้าไปเพื่อทำการเกษตรในเขตนั้นซึ่งเป็นที่ปลูกข้าว ถั่วเหลือ และโสมที่ได้ชื่อว่าดีอันดับหนึ่งของเกาหลี ชาวบ้านที่อยู่อาศัยใน DMZ จะได้สิทธิพิเศษจากทางรัฐบาลหลายๆอย่าง เช่น ไม่ต้องเสียภาษี บุตรหลายได้เรียนฟรีจนจบมหาวิทยาลัย แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เข้าไปได้ง่ายๆนะคะ เราจำไม่ได้ว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง แต่แค่เงื่อนไขในการอยู่ก็อึดอัดแล้ว เพราะมีเคอร์ฟิว ถ้าจะไปค้างบ้านญาตินอกเขต DMZ ก็ต้องแจ้งล่วงหน้า การทำงานแต่ละครั้งจะมีทหารไปยืนคุม และแน่นอนว่าหมู่บ้านเล็กๆขนาด 200 กว่าคนอาศัยอยู่ชาวบ้านก็จะรู้จักกัน เพราะฉะนั้นหากมีใครแปลกหน้าเข้ามาก็จะรู้ได้ทันทีเลยค่ะ ไกด์เราพูดแบบตลกปนเสียดสีเบาๆว่าจริงๆแล้วที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเกาหลีก็คือ DMZ นี่เอง .. ฟังแล้วจุกอีกแล้ว T^T

ถึง DMZ ในเวลานี้จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนเข้าชม แต่ DMZ ยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตทหาร ซึ่งแปลว่าทหารเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นกฎระเบียบในการเข้าจะมีเยอะมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ก่อนเข้าจะมีทหารขึ้นมาตรวจนับคนและตรวจ Passport นอกจากนั้นในเขต DMZ ห้ามถ่ายภาพยกเว้นในเขตที่อนุญาติให้ถ่ายได้ ไกด์เองก็ได้แค่บอกเรานะคะว่าส่วนไหนอนุญาติ ส่วนไหนไม่อนุญาติ ที่เหลือถ้าเราฝ่าฝืนแล้วคุณทหารมาดุ ไกด์เองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่บอกล่ะค่ะว่าเป็นเขตทหาร เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะที่เราถ่ายรูปจาก DMZ มาซะน้อยเชียว

สำหรับเหตุผลในการห้ามถ่ายรูปก็ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าห้ามนะคะ การถ่ายรูปก็เหมือนกับเป็นการเปิดเผยข้อมูลของทางเกาหลีใต้ให้กับอีกฝ่ายได้รับรู้ ณ บัดนี้เกาหลีทั้งสองฝ่ายยังถือว่าเป็นประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ในฐานะที่เป็นฝ่ายที่มักจะโดนฝ่ายเหนือรุกตลอดเกาหลีใต้จึงต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีนี้ เราเห็นคนพยายามจะแอบถ่ายภาพตรงนั้นตรงนี้ แต่เราไม่คิดแม้แต่จะพยายามแอบถ่ายในที่ห้ามถ่าย ในเมื่อเรามาด้วยความรักในประเทศเค้าเราก็ควรจะเคารพกฎและปกป้องประเทศเค้าด้วยจริงไหม

ถึง DMZ จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่นานแต่ก็นับว่าเป็นที่นิยมมาก เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนกับญี่ปุ่นค่ะ เยอะมากจริงๆ

สำหรับทัวร์ DMZ เราเริ่มต้นกันที่ Imjingak ที่นี่เป็นที่ขึ้นรถบัสเพื่อที่จะเข้าไปด้านใน DMZ แถวๆนั้นก็จะมีป้ายที่ระลึกเกี่ยวกับสงคราม ป้ายไว้อาลัยแด่ทหารและประชาชนที่เสียชีวิตจากสงครามเกาหลี หากเดินเข้าไปก็จะเจอหัวรถจักรไอน้ำ ซึ่งตามป้ายระบุไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของโศกนาฎกรรมในการแบ่งแยกเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ หัวรถจักรนี้ถูกทิ้งไว้ใน DMZ เพราะถูกระเบิดจากสงครามเกาหลีจนตกราง รูที่เห็นในรูปคือร่องรอยจากกระสุนพันกว่านัดที่ยิงเข้าหาหัวรถจักรคันนี้ หากเดินแยกไปอีกทางก็จะเห็นสุดทางที่ต่อจากนี้จะเป็นเขต DMZ เข้าไปต่อไม่ได้โดยด้านหน้าก็จะมีป้ายที่แสดงความหวังความต้องการในการรวมชาติ .. ยืนมองแล้วใจหายนะคะ คนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ กลับต้องมาแบ่งแยกออกเป็นสองประเทศอย่างนี้

20120917-133924.jpg

20120917-134826.jpg

20120917-140721.jpg

20120917-140954.jpg

20120917-141119.jpg

20120917-141216.jpg

20120917-141258.jpg

20120917-174503.jpg

นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นนะคะ เรายังไม่ได้เข้าเขต DMZ จริงๆกันเลย สถานที่ที่ DMZ ทัวร์จะพาไปเยี่ยมชมมีสามแห่งคือ สถานีรถไฟโดราซาน หอสังเกตุการณ์โดราซาน และอุโมงค์หมายเลขสาม ระหว่างที่นั่งรถเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ สองข้างทางบางช่วงเรายังเห็นป้าย”ระวัง กับระเบิด”อยู่เลยค่ะ ใน DMZ ยังมีระเบิดอยู่จริงโดยยังเก็บกู้ไม่หมดและไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่จุดไหนบ้าง สาเหตุก็เพราะตอนที่เค้าวางระเบิดเค้าไม่ได้ค่อยๆขุดแล้ววางมันลงไป เค้าปล่อยระเบิดจำนวนมากเหล่านั้นลงมาจากเครื่องบิน คุณไกด์บอกเราว่าระเบิดเหล่านั้นเป็นระเบิดที่ไม่รุนแรงนัก ถ้าโดนก็ไม่ถึงกับเสียชีวิต สาเหตุก็เพราะเค้าไม่อยากให้อีกฝ่ายตาย แต่อยากให้สืบสาวไปว่าอีกฝ่ายมาจากไหนมากกว่า ซึ่งรอยเลือดจากบาดแผลจะทำให้ตามรอยได้ง่าย คุณไกด์เลยบอกว่า “พวกคุณโชคดีนะ ถ้าโดนระเบิดแถวนี้ก็ไม่ถึงตายหรอก แต่คุณอาจจะเสียแขนหรือขา” .. ขอบคุณค่ะที่ทำให้รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหน -_-”

…จริงๆก็ไม่อันตรายขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่อย่าเดินที่เค้าห้ามเดินก็จะปลอดภัย

จุดแรกที่เราโดนหย่อนลงเป็นที่แรกคือสถานีรถไฟโดราซาน สถานีรถไฟโดราซานเป็นสถานีรถไฟเดียวที่ตั้งอยู่ในเขต DMZ สภาพเหมือนใหม่กิ๊กเพราะไม่ได้ผ่านการใช้งานจริง ถ้ามองดูป้ายจะเห็นว่ารถไฟสายนี้มุ่งหน้าไปที่ Pyeongyang เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ มีเคาท์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองคอยให้บริการ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ผ่านเข้าออกเมืองจากสถานีนี้จริงๆซักที เหมือนเป็นสถานที่รอวันที่จะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรเป็น

20120917-142940.jpg

20120917-144303.jpg

20120917-144918.jpg

20120917-145028.jpg

20120917-154600.jpg

จากสถานีโดราซานจะเห็นสายไฟฟ้าพาดผ่านไปถึงฝั่งเกาหลีเหนือด้วย มีคนในกลุ่มเราถามไกด์ว่ามันไปไหน คุณไกด์บอกว่าสายไฟพวกนั้นส่งไปยังโรงงานของเกาหลีใต้ที่ตั้งอยู่ฝั่งโน้น

เราใช้้เวลาไม่นานที่สถานีรถไฟโดราซานก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจุดต่อไป หอสังเกตการณ์โดราซาน

หอสังเกตุการณ์โดราซาน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหอสังเกตการณ์ก็ต้องเป็นที่ที่เกาหลีใต้ไว้คอยส่องเกาหลีเหนือ จากที่นี่จะเห็นเสาธงที่เกาหลีเหนือบรรจงสร้างให้สูงกว่าเกาหลีใต้และหมู่บ้าน Propaganda Village หมู่บ้านของเกาหลีเหนือหมู่บ้านเดียวในเขต DMZ ว่ากันว่าเป็นหมู่บ้านที่ที่เกาหลีเหนือสร้างเพื่อให้เห็นว่าฝั่งเค้าก็อยู่ดีกินดี..แต่เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีมนุษย์โลกอาศัยอยู่ ที่นี่มีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญไว้ให้นักท่องเที่ยวดูด้วย หอสังเกตุการณ์โดราซานอนุญาติให้ถ่ายรูปได้ในเขต photo zone นะคะ ถ้าถ่ายรูปนอกเขตคุณทหารก็จะเข้าชาร์จทันที ได้ยินมาว่าถึงอยู่ในเขตที่ให้ถ่ายภาพแต่ถ้ายกมือสูงๆก็พอถ่ายภาพเสาธงและเจ้าหมู่บ้าน Propaganda Village ของทางฝั่งเกาหลีเหนือได้ น่าเสียดายที่วันที่ไปทัศนวิสัยไม่ดีเลยเห็นแค่ฟ้าฝนไป ^^”

ด้านในหอสังเกตุการณ์โดราซานจะมีห้องที่คุณทหารคอยบรีฟให้ข้อมูลเหมือนเป็นเลกเชอร์เลยค่ะว่าอะไรอยู่ตรงไหนอย่างไร ตอนเราไปมีทัวร์จีนรอนานมากกกกเลยต้องให้เค้าไปก่อน ส่วนเรากลุ่มเล็กกว่าก็มีคุณทหารหน้าตาใจดีมาบรีฟให้ ภายในห้องนี้ห้ามถ่ายภาพอีกเช่นกัน ตามประสาค่ะ กฎมีไว้เพื่อฝ่าฝืน เราเห็นคนในกลุ่มทัวร์จีนพยายามที่จะถ่ายภาพ คุณทหารใจดีที่มาบรีฟให้เรากลายร่างทันทีเลยค่ะ เดินไปยึดกล้องจากคนจีนสองสามคนนั้นเลย .. น่ากลัวที่เดียว .. กรณีนี้ว่าคุณทหารใจดีไม่ได้นะคะเพราะเค้าทำตามหน้าที่ เราเชื่อว่าเค้าจะคืนกล้องให้เมื่อจบบรีฟ แต่ระหว่างนั้นขอยึดไว้ก่อน

20120917-161810.jpg

20120917-174131.jpg

20120917-174222.jpg

20120917-174404.jpg

จากหอสังเกตุการณ์โดราซานเราก็มุ่งหน้าไปที่อุโมงค์หมายเลขสาม .. หลังจากที่สงครามสิ้นสุดและมีข้อตกลงจัดตั้ง DMZ ขึ้น เกาหลีเหนือก็ยังพยายามต่างๆนานาที่จะข้ามฝั่งมาเกาหลีใต้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้บนดินก็มาใต้ดิน ใช่เลย! เกาหลีเหนือพยายามข้ามฝั่งมาเกาหลีใต้โดยการเจาะอุโมงค์ขึ้นมา อุโมงค์หมายเลขสามเป็นหนึ่งในอุโมงค์ที่เกาหลีเหนือขุดเพื่อให้เป็นทางลำเลียงทหารและอาวุธมายังเกาหลีใต้เพื่อบุกโซล แต่เกาหลีใต้ดันขุดพบเสียก่อนโดยผู้ที่พบเป็นวิศวกร พอเกาหลีใต้รู้ตัวก็จัดการขุดเจาะแล้วปล่อยน้ำเข้าไปในอุโมงค์เหมือเป็นการเตือนเกาหลีเหนือว่า “เฮ้ นายกำลังล้ำเส้นนะ” ก่อนจะขุดอุโมงค์ลงมาสกัดดาวรุ่ง ตอนที่เกาหลีใต้ลงมาเกาหลีเหนือเค้าก็ยกทัพกลับไปยังที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้วค่ะ ลองคิดว่าถ้าเกาหลีเหนือทำสำเร็จ..โซลคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้แน่ๆ

อุโมงค์หมายเลขสามไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปและต้องฝากของไว้ก่อนที่จะเข้าไป ตอนเราไปคนเยอะจนที่ฝากของไม่พอเลยล่ะค่ะ คุณไกด์คนเก่งของเราไปเจรจาจนสามารถให้ฝากของได้ที่ตรงเคาท์เตอร์ แล้วเราก็เดินลงอุโมงค์ไปสบายใจ ตรงที่หน้าทางเข้ามีตัวช่วยของเราอำนวยความสะดวกไว้ด้วย .. หมวกนิรภัยค่ะ .. เลือกอันสีเข้มๆใหม่ๆมาใส่ซะ มันจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ในอนาคตค่ะ

ทางเดินลงอุโมงค์ดูกว้างเป็นทางเดินเรียบๆ มีราวจับพร้อม เดินไปเรื่อยๆมีเก้าอี้และป้ายบอกทางเป็นระยะ อุณหภูมิภายในเย็นกว่าด้านนอกมากเลยค่ะ สมกับที่เป็นเครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติ เราคิดไม่ออกเลยล่ะว่าจะเย็นขนาดไหนในหน้าหนาวเพราะได้ยินมาว่าที่ DMZ นั้นอุณหภูมิจะลดลงถึง -10 ถึง -20 องศา แค่อยู่บนผิวดินยังสั่นแหง็กๆ อยู่ใต้ดินไม่แข็งตายเลยเหรอคะ ㅠㅠ ทางเดินที่เราเดินนั้นลาดประมาณ 11 องศา ระดับความเอียงที่คนต้องปีนนั้นจะอยู่ที่ 12 องศาเพราะฉะนั้นนี่เป็นระดับความเอียงสูงสุดที่คนเดินได้โดยไม่ต้องปีนแล้วค่ะ ตอนลงไม่เท่าไร…ตอนขึ้นนี่สิ -__-:;

เดินไปเรื่อยๆทางจะเริ่มเล็กลง อุโมงค์รอบๆที่เป็นหินแกรนิตนั้นแคบลงและเตี้ยลงเรื่อยๆ เตี้ยแบบที่คนความเตี้ยไม่ถึง 160 อย่างเราต้องก้มในบางครั้ง เห็นมีคนหัวโขกร้องโอ้ยกันเป็นระยะๆด้วย บอกแล้วว่าหมวกสร้างอนาคต เค้าไม่ให้เราใส่โดยไม่มีสาเหตุหรอกค่ะ .. อ้อ ไม่ต้องถามนะว่าเราหัวโขกบ้างไหม มันจะเหลือเหรอคะ ผู้หญิงติดอันดับด้านความซุ่มซ่ามขนาดนี้ โขกไปหลายรอบเหมือนกัน -_-” นอกจากนั้นภายในอุโมงค์เราจะสามารถเห็นหลุมระเบิด(เรียกอย่างนั้นรึเปล่า)ที่เค้าไว้เจาะอุโมงค์นี่ล่ะค่ะ ทางฝ่ายเกาหลีใต้ป้ายสีเหลืองเพื่ิอให้เราสามารถเห็นชัดเจน เราเดินไปจนสุดอุโมงค์ก็จะได้เห็นประตูอีกฝั่งเป็นของเกาหลีเหนือ เท่านี้แหละค่ะ ดิฉันฟิน~

อุโมงค์ที่เราเดินลงมานี้เป็นอุโมงค์ที่ขุดมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทางลงถึงได้ทำให้เดินง่ายขึ้น ตอนที่เดินกลับคุณไกด์ชี้ให้ดูอุโมงค์เกาหลีใต้ขุดมาเพื่อสะกัดอุโมงค์หมายเลขสามในตอนแรก เล็กกว่า แคบกว่า และมืดกว่ามาก มากจนเราสงสัยว่าคนเกาหลีสมัยก่อนตัวเล็กมากเลยเหรอ อุโมงค์ถึงได้มีขนาดเล็กได้อย่างนั้น ถ้าจะลงมาทางอุโมงค์ออริจินั้นต้องลงโดยรถไฟซึ่งแน่นอนว่ามีราคาแพงกว่า

ก่อนเดินกลับขึ้นไปบนทางลาด 11 องศา คุณไกด์ใจดีแนะนำเล็กๆว่าให้เดินไปด้วยความเร็วคงที่ จงอย่าได้เร่งโชว์ความเก๋าเจ้าจะเหนื่อย จากด้านล่างอุโมงค์มาถึงปากอุโมงค์น่าจะใช้เวลาทั้งสิ้น 15 นาทีโดยประมาณ เราค่อยๆเดินขึ้นพร้อมกับพยายามบอกตัวเองในใจว่ากรุไม่ได้ปีนนะคะ แล้วก็ได้เห็นความสำคัญของราวจับและเก้าอี้ค่ะ เราไม่ได้ใช้หรอกเพราะกลัวว่าหยุดแล้วจะเหนื่อยพาลเดินไม่ไหวเอา เดินแฮ่กหน่อยแต่ก็ถึงโดยไม่เป็นลมค่ะ

จากนั้นเราก็เข้าไปดูส่วนของภาพยนต์สั้นๆเหมือนเป็น documentary เชิงอารมณ์เกี่ยวกับสงครามเกาหลีนี่แหละค่ะ ทำได้ดีจนเราอยากจะร้องไห้ให้ได้ .. เชื่อไหมล่ะว่าแค่อยากเฉยๆแต่ไม่ได้ร้อง .. สงครามไม่มีอะไรดีเลยนะคะ ให้แต่ความสูญเสีย ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ

ทัวร์ DMZ สิ้นสุดลงแล้วค่ะ ในตอนที่เราขึ้นแวะตามสถานที่ต่างๆจนถึงตอนที่ออกจาก DMZ กลับมาที่ Imjingak ก็นับด้วยค่ะว่าครบจำนวนคนรึเปล่า ไปเท่าไรออกเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ไป JSA ต่อทัวร์ก็จะสิ้นสุดแค่นี้ค่ะ แต่สำหรับคนที่ไป JSA ต่อนั้นก็จะต้องเปลี่ยนรถอีกคันเพื่อแวะทานอาหารกลางวันก่อนแล้วก็เดินทางไปยัง JSA

JSA หรือ Joint Security Area คือที่ที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ใช้เจรจาข้อตกลงต่างๆ(ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จซักที)ร่วมกัน การเดินทางเข้าไปใน JSA เข้มงวดกว่า DMZ เยอะมาก เพราะเป็นจุดที่เป็น border line จริงๆเลยอ่อนไหวกว่ามาก การเข้าชมโดยต้องมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน ไม่สามารถไปสอยหน้างานได้อย่าง DMZ ก่อนเข้าจะมีการตรวจ Passport แบบที่ไม่ใช่แค่เปิดผ่านๆให้ดูเหมือนที่ DMZ ต้องแต่งกายสุภาพ ห้ามแต่งกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้า sandals หรือกระโปรง miniskirt เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว JSA ยังไม่อนุญาติให้คนเกาหลีเข้าอีกด้วย

JSA อยู่ภายใต้การดูแลของ UNC (United Nation Command) ส่วนอีกฝั่งของ JSA อยู่ภายใต้การดูแลของฝั่งเกาหลีเหนือ การเข้าไปใน JSA ไม่ใช่ว่ารู้ทางแล้วจะเข้าไปได้นะคะ ต้องรอทหารของทาง UNC มา escort เราเข้าไป ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเมื่อไร ต้องรอ .. ระหว่างที่รอเข้าไปใน JSA เราก็นั่งมองไปด้านนอก ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ มันดูเป็นเขตทหารที่จริงจังเกินกว่าที่เคยเห็นที่เมืองไทยมั้งคะ ในใจก็คิดสะระตะว่าด้านในจะน่ากลัวแค่ไหน มาก็ผู้หญิงคนเดียว ไม่ได้มีเพื่อนร่วมทัวร์เหมือนคนอื่่นเค้า แล้วคุณทหารจะโหดไหม กระโปรงตรูจะสั้นไปไหม คุณทหารจะให้เข้าไปรึเปล่า เรียกว่านอยทุกหย่อมหญ้า พอรถคุณที่ทหารที่จะดูแลเรามาก็เป็นนายทหารฝรั่งกระโดดลงมาสองคน แงงงงงงงงง~ น่ากลัวไปอีกแปดเท่าตัว

แต่เชื่อไหมคะ ไอ่คนคิดสารพัดอย่างเรา สุดท้ายคิดจนเหม่อ คุณทหารมาตรวจ passport ก็มัวแต่มองออกไปนอกรถ จนคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆต้องสะกิด -_-”

ก่อนที่เราจะไปไหน เค้าก็จะพาเราไปฟังบรีฟเกี่ยวกับ JSA และเซ็นต์เอกสารยินยอมว่าจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่โทษใครหากได้รับอันตราย คล้ายๆกับเวลาเราไปเล่นบันจี้จัมพ์ แต่นี่เสี่ยงกันไปคนละอย่าง

หลังจากที่มีข้อเจรจาหยุดยิงแล้ว ตอนแรกเกาหลีใต้และเกาหลีเหนืออยู่ในเขต JSA โดยที่ไม่ได้แบ่งฝ่าย แต่ทั้งคู่ก็มี Check point แต่เราจะเรียกว่าจุดรักษาการณ์ของตัวเอง โดยที่มีจุดรักษาการณ์จุดนึงของเกาหลีใต้ที่เป็นจุดเสี่ยง คืออยู่ในวงล้อมของจุดรักษาการณ์ฝั่งเกาหลีเหนือ และจุดรักษาการณ์ที่ใกล้ที่สุดจากตรงนั้นก็ดันมีต้นไม้บัง ทางฝั่งเกาหลีใต้จึงพยายามตัดต้นไม้แต่ก็เกิดเหตุการณ์โดนทหารเกาหลีเหนือรุมทำร้ายจนมีทหารอเมริกันเสียชีวิตไปสองนาย หลังจากนั้นแม้แต่ในเขต JSA เองจึงยังต้องมีเส้นแบ่งพรมแดนชัดเจน เรียกว่า Military Demarcation Line (MDL) โดยกองกำลังแต่ละฝ่ายจะต้องอยู่ในเขตของตัวเอง

ภายใน JSA นัั้นมีสะพานนึงคือ Bridge of No Return (ถ้าจะชื่อไม่ผิดนะคะ) หลังจากเจรจาหยุดยิง สะพานนี้เป็นสะพานที่ให้คนทั้งสองฝ่ายเลือกว่าจะอยู่ฝั่งไหน แต่เมื่อเลือกและเดินข้ามฝั่งมาแล้วก็จะไม่มีวันได้กลับไปอีกฝั่งนึงไม่ว่าจะอย่างไร สะพานนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น Bridge of No Return

หลังจากฟังบรีฟจบเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่เจรจากันล่ะค่ะ ตรงนี้พอเราลงจากรถแล้วจะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยนอกจากกล้อง ของอื่นพวกกระเป๋าเป้ก็ต้องทิ้งไว้บนรถ ตอนที่เราไปฝนตกเบาๆก็ยังเอาร่มไปไม่ได้ค่ะ เพราะว่ามันอาจจะทำให้ทหารฝั่งใดฝั่งหนึ่งคิดว่ามันเป็นอาวุธได้ เวลาเดินก็ต้องเดินเป็นแถว อ่อนไหวขนาดนั้นจริงๆนะคะ .. มาถึง Panmunjeom เราจะได้เข้าไปทางอาคารใหญ่ฝั่งเกาหลีใต้ที่ชื่อว่า Freedom House โดยจาก Freedom House ก็จะมองเห็นอาคารทางฝั่งเกาหลีเหนือที่เรียกว่า Panmun Hall และอาคารสีฟ้าสดสามหลังที่ใช้เป็นที่เจรจา

เราเห็นทหารเกาหลีเหนือที่รักษาการณ์อยู่ที่ Panmun Hall คอยส่องกล้องเราอยู่ด้วยแหละ ส่วนนี้อนุญาติให้ถ่ายภาพได้แต่อย่าซ้ายหรือขวาเกินไปนัก โดยที่เราจะดูในการดูแลของคุณทหาร UNC ที่ไปรับเรามาและทหารเกาหลีอีกหลายนายเลยล่ะค่ะ คุณไกด์เล่าให้ฟังว่าเคยมีนักท่องเที่ยวใช้กล้องที่ดีหน่อยถ่ายรูปไป ตอนแรกมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอะไร แต่พอดูรูปในกล้องที่กดซูมไปใกล้ๆก็เห็นทหารเกาหลีเหนือซุ่มอยู่ในภาพซะอย่างนั้น

ส่วนอาคารสีฟ้าสามหลังนั้นตั้งคร่อมเขตแดนทั้งสองอยู่ คือตั้งอยู่บนเส้น MDL ค่ะ ถ้ามองไปก็ยังจะเห็นคอนกรีตเล็กๆที่บอกเขตพรมแดนเลยล่ะ เราเคยอ่านหนังสือเจอก่อนไปว่าในห้องนี้ประตูฝั่งนึงจะเป็นทหารเกาหลีเหนือคอยคุมอยู่ ในขณะที่ประตูอีกฝั่งเป็นเกาหลีใต้ แต่ตอนเราไปไกด์เล่าว่าห้องนี้ใครมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน ถ้าเกาหลีใต้มาถึงก่อนอย่างเช่นวันที่เราไป เค้าก็จะล็อกประตูฝั่งที่จะเปิดไปทางเกาหลีเหนือเพื่อไม่ให้อีกฝั่งเข้ามา ในทางตรงกันข้ามถ้าเกาหลีเหนือมาถึงก่อนก็จะทำแบบเดียวกัน เราไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมนะคะ

ภายในห้องมีโต๊ะประชุมที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง บนเส้น MDL เลยทีเดียว เรายังคิดอยู่ว่าตอนเจรจากันจริงๆจะอยู่ในบรรยากาศยังไง อึดอัดไหม คุยกันจะอึดอัดไหม “อย่าเข้ามานะเว่ยนี่เขตชั้น” อะไรแบบนี้หรือเปล่า

เราเดินดูรอบห้อง ในทางเทคนิคแล้วคุณไกด์บอกว่าเราได้ข้ามไปเขตเกาหลีเหนือแล้ว เพราะเราได้ข้ามเส้นพรมแดนมาแล้ว .. เออ จริงของเค้า

20120917-174722.jpg

20120917-181251.jpg

20120917-181127.jpg

20120917-181455.jpg

20120917-181550.jpg

20120917-181644.jpg

หลังจากการชม Panmunjeom เสร็จสิ้นเค้าก็พาเรากลับมายัง Tourist Center ที่เป็นจุดบรีฟในตอนแรก ข้างๆนั่นมีร้านขายของฝากด้วยนะคะ นอกเหนือจากของที่ระลึกของ JSA แล้วที่นี่ยังมีเงินและสินค้าจากเกาหลีเหนือให้หยิบซื้อได้ด้วยนะคะ

20120917-185040.jpg

20120917-185001.jpg

ก่อนที่จะไปทัวร์นี้เราตื่นเต้นกังวลเล็กน้อยว่าจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้วทั้ง DMZ และ JSA ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ DMZ เป็นเหมือน Tourist site ที่มีนักท่องเที่ยวไปชมเยอะทีเดียว ในขณะที่ JSA นั้นมีคนไปชมน้อยกว่ามากและการดูแลรักษาการณ์เคร่งครัดกว่าจนรู้สึกได้ถึงความจริงจังและอ่อนไหวในเขตนั้น เพียงแค่ทำตามกฎที่เค้าบอกก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราว่าจำเป็นที่สถานที่ตรงนั้นจะต้องใช้กฎระเบียบแบบนั้นในการควบคุม หลังจากที่เข้าไปใน JSA แล้วเรารู้สึกอีกแบบค่ะ รู้สึกประหลาดที่เห็นว่าประเทศที่เคยเป็นประเทศเดียวกันกลับถูกแบ่งออกเป็นสองโดยเส้นเพียงเส้นเดียวเท่านั้นเอง แค่เจ้าหลักสีขาวที่น่าจะสูงประมาณ 50 เซนติเมตรจำนวน 126 ต้นกับคอนกรีตที่สูงจากพื้นนิดเดียว เราไปยืนมองประตูสีฟ้าที่สามารถเปิดไปยังเกาหลีเหนืออยู่แป๊บนึง ก็ประตูธรรมดาแต่เป็นประตูธรรมดาที่คั่นคนที่เคยอยู่ร่วมเป็นประเทศเดียวกันมาก่อน…แค่เท่านั้นเอง เห็นใจเค้ามากขึ้น เข้าใจเค้ามากขึ้น

ไม่ต้องตกใจนะคะ เราไม่ได้เปิดประตูให้พวกเค้ามาเจอกันหรอก ㅠㅠ เปิดไปคงเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ ทหารเกาหลีใต้คนนึงยืนเฝ้ากลางห้อง อีกคนเฝ้าประตู แล้วทหาร UNC ทหารเกาหลีเหนืออีกไม่รู้เท่าไร

…ว้าย~ คิดแล้วคงจะไม่รอด

จาก Panmunjeom Joint Security Area เราก็มุ่งหน้ากลับโซล หลับได้หลายตื่นค่ะกว่าจะถึง แต่เราไม่ได้หลับนะคะ นั่งมองทางที่มีรั้วลวดหนามไปเรื่อยๆพร้อมกับภาวนาขอให้สองประเทศนี้ก้าวสู่หาทางที่ดีที่สุดที่จะก้ามสู่ความสงบได้ในเร็ววัน

20120917-190052.jpg

N Seoul Tower
Teddy Bear Museum

How to go : Cable car นั่ง Subway มาลงที่ Myeongdong Station แล้วเดินต่ิไปที่สถานีรถเคเบิล, Taxi, Yellow Bus สาย 2 3
Price : Cable car round trip 7,500 KRW, Observatory entrance fee 7,000, Teddy Bear Museum 8,000 KRW (Combination Observatory + Teddy Bear Museum 12,000 KRW)

รถบัสของทัวร์ปล่อยเราลงที่ Seoul Station ค่ะ เรามุ่งหน้าไปที่เที่ยวใกล้บ้านของเราต่อ วันนี้เดินไม่เยอะ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร แผนที่วางไว้วันนี้คือขึ้น N Seoul Tower เราจะไปดูโซลจากมุมสูงตอนกลางคืนกัน เย้~

การไป Seoul Tower ไปได้หลายทาง แต่เราเลือกขึ้นเคเบิลไป เรานั่งรถมาลงที่สถานี Myeongdong จากนั้นก็เดินทางวิธีที่เราถนัดมากที่สุดคือ..เดิน ^^” เดินขึ้นนัมซานเพื่อไปขึ้นเคเบิลก็คือเดินไปทางที่พักเรานั่นเองแต่เลยไปอีกปู้นนึง เพราะรู้ว่าเดินได้หลายทางแต่ทางที่ผ่านที่พักเราเนินชันน้อยกว่าเลยเลือกเดินทางนั้นค่ะ

เดินไปถึงสุดกลายเป็นทางต้องเลือกซ้ายขวา สันชาตญาณน่ะบอกว่าขวา แต่เพื่อความมั่นใจเราเลยถามคนแถวนั้น แล้วก็ขวาจริงๆด้วยค่ะ มองไปฝั่งตรงข้ามถนนเห็นทางขึ้นเขานัมซานอยู่ แต่ไม่เอาดีกว่าค่ะ เรานั่งเคเบิลน่าจะดีกว่าตะกายเขา ใช้ร่างกายหนักเกินไปก็ไม่ดี เราเลยเดินเตาะแตะต่อเพื่อไปกระเช้า ข้างๆทางไปมีพวกร้านกาแฟน่ารักๆด้วยค่ะ แอบเล็งไว้เหมือนกันว่าอาจจะมานั่ง เดินมาซักพักก็เห็นกระเช้าแล้วค่ะ มาถูกทางแล้ว ตาเห็นมือก็หยิบกล้องมากดชัตเตอร์ คุณลุงที่ทำงานอยู่ริมถนนพอดีก็เลยทำท่ายิ้มยกสองนิ้วให้เราถ่ายรูป ^^ แต่พอหันกล้องไปจะถ่ายกลับไม่ยอมให้ถ่าย เค้าอายค่ะแต่เค้าอยากแซวเราเล่น เป็นมิตรมากๆ เป็นเรื่องที่เราจะจำไปนานเลยค่ะที่ได้เจอคุณลุงเป็นมิตรคนนี้

เดินเลยจากคุณลุงเป็นมิตรไปไม่นานก็ถึงทางขึ้นเคเบิล จ่ายเงินซื้อตั๋วไปกลับแล้วก็ไปต่อแถว แถวตรงกระเช้าไม่ยาวเท่าไร รอสักพักก็ได้ไปแล้ว ออกจากกระเช้าก็เดินขึ้นต่อไปอีก เราเห็นทางเดินขึ้นมาจากด้านล่าง คาดว่าคือทาง้ดินนั่นแหละที่เราเห็นก่อนขึ้นเคเบิลมา คนที่เดินขึ้นต้องอดทนสุดๆอะ โชคดีที่ตัดสินใจถูก ไม่งั้นคงหมดแรงก่อน 😀

เราเดินต่อขึ้นมาอีกนิดก็ถึงยอดสุดของนัมซาน N Seoul Tower ตั้งอยู่ตรงหน้านี่แล้ว ^^ ไม่คิดอะไรมากค่ะ เดินวนหนึ่งรอบตรงที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าไปคล้องกุญแจกัน .. อย่าถามว่าเจอกุญแจชั้นไหม ได้คล้องกุญแจไหมนะคะ หยาบคาย .. จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว Teddy Bear Museum และ Observatory Deck เราไปตะกายตึกกันค่ะ

20120917-190207.jpg

20120917-194306.jpg

20120917-190846.jpg

20120917-194129.jpg

20120917-194546.jpg

20120917-194641.jpg

20120917-194728.jpg

ก่อนไปตะกายตึกเราจะไปดูน้องหมีกันก่อน เดินบันไดเตาะแตะจากชั้นที่ซื้อตั๋วลงไปชั้นล็อบบี้ที่มี Teddy Bear Museum และทางขึ้นไปชมวิวบน Seoul Tower เราหมุนซ้ายหมุนขวาหลายทีมาก เห็นเจ้าหมีตัวโตก็เดินไปหาเหมือนโดนดูดแต่ดันเป็นที่ขายของที่ระลึกกับ Museum Hall 2 หาทางเข้าอันแรกบ่เจอ สุดท้ายต้องไปถามพนักงานแล้วก็รู้ว่าไอ้ส่วนที่ 1 น่ะมันอยู่อีกปีกนึง -_- เดินมาตามทิศที่พนักงานบอกสุดท้ายก็เจอประตูไปสู้น้องหมีจนได้ ทางเข้าเล็กกระติ๊ดนึง เราไม่เห็นไม่ผิดค่ะ 555

ใน Teddy Bear Museum จะเริ่มต้นด้วยว่าตำนานเกี่ยวกับหมีว่าทำไมหมีถึงเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ไปจากนั้นจะแสดงประวัติของโซล การสร้างเมือง พระราชพิธีสำคัญ ไปจนถึงแต่ละย่านของโซลค่ะ ตั้งแต่มยองดง อินซาดง แทฮักโน ฮงแด เป็นต้น ส่วนนี้เราว่าถ้าได้ไปดูย่านนั้นจริงๆก่อนแล้วมาดูเจ้าน้องหมีพวกนี้จะน่ารักขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ

20120917-202817.jpg

20120917-200008.jpg

20120917-202428.jpg

20120917-202654.jpg

20120917-203219.jpg

20120917-203301.jpg

ชมน้องหมีเสร็จเราก็ไปต่อแถวขึ้นลิฟท์ไปยัง Observation level เพื่อที่จะไปดูวิวรอบๆนัมซานกันค่ะ พอเข้าไปในลิฟท์พนักงานจะบอกให้มองขึ้นแล้วเพดานลิฟท์ก็จะมีภาพเคลื่อนไหวเหมือนเราขึ้นจรวจทะลุอวกาศไปเลย ชาวต่างชาติที่ขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกับเรามาเป็นครอบครัว คุณพ่อฝรั่งก็พูดกับคุณลูกฝรั่งแบบขำๆว่านี่เรามาสูงกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย ทำเอาเรากลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน 😀

เราเดินชมวิวของโซลมุมสูงจากนัมซานค่ะ สวยมากจริงๆ แสงไฟของโซลตอนกลางคืนทำให้เมืองดูมีีชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน กรอบกระจกจะระบุทิศที่เรากำลังหันไปส่วนด้านบนของกระจกจะมีขื่อเมืองว่าทิศที่เราหันไปอยู่นี่คือทิศไหน เราเดินหากรุงเทพ…หาไปก็คิดถึงบ้านไป น้ำตาจะไหล เป็นพวกดราม่าชอบคิดถึงแม่คิดถึงหมาเวลาห่างบ้านค่ะ แม่เราเค้าอยากมาเกาหลีมาก มากกว่าเราด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีโอกาสได้มาซะที เพราะติดงานนั่นนี่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเราได้มาก่อนเค้าเสียนี่ ㅠㅠ

พอเดินเจอกรุงเทพปุ้บไอ้เราก็อยากจะถ่ายภาพเก็บไว้กลับมีคู่นึงกำลังยืนอิ่มอยู่กับแสงไฟจากด้านล่าง เราก็ไม่อยากกวน เลยขอแชะภาพเค้ามาด้วยเลยแล้วกัน เดินอิ่มอยู่ซักพักก็ลงมาชั้นล่างแล้วค่ะ

20120917-195236.jpg

20120917-195330.jpg

20120917-195430.jpg

20120917-195548.jpg

ที่นี่เราซื้อโปสการ์ดกะจะส่งให้เพื่อนสนิท โปสการ์ดสวยๆมีด้วยค่ะ เราเลยซื้อไว้ แต่พอถามถึงสแตมป์กลับไม่มีเลยอดส่ง .. ตอนกลับมาถึงเมืองไทยเราเลนถามคนเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องการส่งโปสการ์ดด้วยมึนงงกับการไปรษณีย์เกาหลีเล็กๆ เวลาไปเที่ยวคุณจะสามารถหาโปสการ์ดได้และอย่างด้านบน Seoul Tower ก็มีไปรษณีย์ให้ส่ง เจ้าตู้ไปรษณีย์สีแดงๆก็มีเต็มเมืองเลยค่ะ แต่เราหาสแตมป์มาติดไม่ได้ทั้งๆที่โปสการ์ดต้องติดสแตมป์ ถามพวกร้านสะดวกซื้อหรือร้านที่ขายโปสการ์ดเองก็ไม่มีขาย เค้าบอกว่าสแตมป์มีขายที่ไปรษณีย์เท่านั้น นั่นหมายความว่าต่อให้ซื้อที่นัมซาน คนไม่มีสแตมป์อย่างเราต้องไปตามล่าหาไปรษณีย์เพื่อจะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนสาว

…พอเถอะ โปสการ์ดเปล่าเป็นที่ระทึกแล้วกันนะเธอ -_-“

ขาลงจาก Observatory ต่อแถวยาวกว่าขาขึ้นเล็กน้อยถึงปานกลาง พอเข้าไปในลิฟท์เราก็คิดอยู่ว่าขาลงเค้าจะทำยังไง เกือบมองพื้นแล้ว แต่เค้าบอกให้มองเพดานอีกที ภาพคราวนี้เป็นภาพวิดิโอตอนต้นแบบย้อนกลับค่ะ จากอวกาศเราถอยหลังกลับสู่พื้นโลก เข้าใจคิดจริงๆเลย

ในการเที่ยว N Seoul Tower สำหรับคนที่ไปดึกๆอย่างเราต้องระวังนิดนึงคือเจ้าพิพิธภัณฑ์น้องหมีเลิกเร็วกว่า Observatory level นะคะ ถ้าจะไปต้องบริหารเวลาดีๆ ดูหมีแล้วค่อยขึ้น หรือขึ้นไปแล้วจะลงมีดูหมีทันไหมเพราะแถวขึ้นลงลิฟท์ยาวมาก ถ้าชมวิวเพลินแล้วมาเจอแถวลิฟท์ยาวยืดอาจจะลงมาบ้านน้องหมีก็อาจจะปิด อดดูล่ะจ๋อยเลยน้า

20120917-203444.jpg

20120917-203618.jpg

หมดโปรแกรมการเตาะแตะของวันนี้ เราก็ข้ามไปเพิ่มพลังที่ร้านซุปเนื้อเจ้าดั้งเดิม ไปจนนั่งที่โต๊ะ จนกินอาหารแล้วหันไปมองกำแพงเลยได้รู้ว่าร้านนี้มันอยู่ในละครเรื่องนึง Brilliant Legacy .. เกาหลีนี่เก่งจริงๆนะคะ น่านับถือมาก ละครนี่เหมือนอยู่ทุกอณูเลยก็ว่าได้ ถ้าใครดูซีรีส์เกาหลีแล้วอยากตามรอยหลังคงมาอยู่ได้เป็นเดือนๆแน่เลย

เรากินเจ้าซุปเนื้อไปหนึ่งอิ่ม จากนั้นก็เดินข้ามฝั่งกลับบ้านไปพักผ่อนอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่อิ่มจริงๆค่ะ เราดีใจที่เราตัดสินใจไม่ผิดที่ไป DMZ และ JSA ถ้ามีใครถามว่าน่าสนใจไหม เราแนะนำให้ไปสำหรับคนที่สนใจเกาหลีมากกว่าแค่ K Pop ค่ะ แต่ทัวร์นี้ไม่เหมาะกับคนที่มาเที่ยวแบบเวลาจำกัดเพราะจะเสียเวลาเที่ยวและช้อปไปเลยวันนึง แต่น่าจะได้มุมมองที่ดีๆกลับไปแน่ๆ ถ้าให้เราไปอีกครั้งเราก็ยังอยากไปนะคะ บอกแล้วว่าประทับใจมากจริงๆ ^^ วันนี้ตอนเช้ากับการเที่ยวช่วงค่ำให้อารมณ์ต่างกันเยอะมากเลยค่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างลงตัว ลองคิดว่าถ้าเปลี่ยนจากขึ้นนัมซานไปดูพิพิธภัณฑ์สงครามคงดราม่าขึ้นอีกจม เอาเป็นว่าสนุกมากวันนี้ ไม่เหนื่อยมากเท่าที่ควรและพร้อมจะเดินขาลากในวันถัดไปแล้วค่ะ

ไปค่ะเราไปชมวังกัน~

ใส่ความเห็น